อูควง เพิ่งเจอว่าพม่าให้อ่านออกเสียงว่าอูกวง ทำไงดี ผมล่ออูควงไปแล้ว ไหนๆก็ไหนๆขออูควงต่อแล้วกัน
บั้นปลายชีวิตของขิ่นหวุ่น มิงจีจบไม่ค่อยจะสวย เพราะคนพม่าส่วนหนึ่งจะเห็นว่าท่านขายชาติ ทั้งๆที่ท่านทำไปก็เพื่อจะสงวนรักษาชีวิตของเพื่อนร่วมชาติชาวพม่านั่นเอง
การกระทำที่เกิดข้อตำหนิมากที่สุดคือการที่ท่านให้ม้าเร็วไปแจ้งแม่ทัพที่รักษาด่านหน้าทั้งหมดไม่ให้ยิงก่อนทหารอังกฤษ เวลานั้นอังกฤษเคลื่อนขบวนเรือมาทางแม่น้ำอิระวดีแล้ว ราชสำนักได้ข่าวก็ตกใจ ในที่สุดก็ยอมฟังคำแนะนำของท่านสมุหนายกควง ให้ผ่อนหนักเป็นเบาให้มากที่สุด อย่าแข็งขืนต่อกองทัพอังกฤษ ใช้การทูตนำกองทัพด้วยการเจรจาอย่างเดียว
ท่านหวังว่า การที่พม่าไม่ยิงก่อนอาจทำให้สงครามไม่เกิด ที่ไหนได้ ฝรั่งง้างหมัดมาตั้งแต่ไกล พม่าตั้งการ์ดอยู่เฉยๆแต่ไม่ออกหมัด ฝรั่งไปเข้าใจว่าโง่เองก็ออกหมัดตูมเข้าไป พม่าก็หงายผลึ่ง ปืนของอังกฤษวิถียาวกว่าของพม่าอยู่แล้ว เข้าระยะยิงก่อนก็ต้องยิง ขืนช้าไปเข้าระยะยิงของปืนศัตรูเข้า แม้จะล้าสมัยกว่าแต่อาจมีลูกฟลุ๊กมาโดนให้เจ็บตัวได้
ดังนั้นจึงเกิดวลีพม่า เขียนด้วยอักษรโรมันว่า" U Kaung lein htouk, minzet pyouk " อูกวงเล่นท่วก มึนเสร็จอ้วก(
?
?) แปลเป็นอังกฤษว่า U Kaung's treachery, end of dynasty หรือถอดความเป็นไทยๆว่า “นายกทรยศ สูญหมดพระราชวงศ์”
เมื่อฝรั่งเข้ายึดครองพระราชวังมัณฑเลย์แบบผู้พิชิต ท่านผู้เฒ่าก็อุตส่าห์ไปเข้าแถวต้อนรับ และรับใช้ระบอบปกครองของอังกฤษในพม่ากับเขาด้วย
ร่างความเห็นเรื่องนี้ไว้แล้ว แต่ยังหาจังหวะลงไปไม่ได้จนใกล้จบกระทู้ ขอขัดจังหวะตรงนี้ละค่ะ
มันก็น่าคิดเหมือนกันว่า อัครมหาเสนาบดีขิ่นหวุ่น มิงจี แกหูกว้างตากว้างกว่าพรรคพวกร่วมสมัย จึงคิดว่ารบไปก็เท่านั้น มีแต่ตายกับตายลูกเดียว ยังไงพม่าก็ไม่รอดจากมหาอำนาจอย่างอังกฤษอยู่ดี แกก็เลยพยายามสงวนราชอาณาจักรและชีวิตไพร่พลมิให้เปลืองเปล่าไป ด้วยการสั่งมิให้รบ จะได้เจรจากันด้วยสันติ
เจรจาสันติ เรียกอีกชื่อหนึ่งว่าแพ้นั่นแหละค่ะ แต่เป็นการแพ้ชนิดไม่บอบช้ำ เป็นความฉลาดว่าถ้าชกไม่ไหวก็ชิงโยนผ้าเสีย ก่อนจะถูกน็อคลงไปสลบ
นอกจากนี้ขิ่นหวุ่นคงจะหวังว่าจะได้เจ้านายใหม่ที่เข้าท่ากว่าพระเจ้าสีป่อและพระนางศุภยาลัต แต่ข้อนี้แกถูกอังกฤษหักหลัง เจ้านายใหม่ที่ว่าเกิดสิ้นพระชนม์ไปก่อน ไม่อาจจะเป็นร่มโพธิ์ร่มไทรให้แกได้
ไปติดตามประวัติท่านขิ่นหวุ่นจากอินทรเนตร ได้ความมาว่า หลังจากอังกฤษยึดพม่าได้แล้วในปี 1885 ท่านขิ่นก็ไม่ได้ถูกปลดไปอยู่บ้านเฉยๆ แต่ว่าได้รับบรรจุเข้าเป็นข้าราชพลเรือนในสังกัดอังกฤษ ทำงานมา 3 ปีก็ได้เครื่องราชอิสริยาภรณ์ดาราแห่งอินเดียเป็นความดีความชอบ เท่านั้นยังไม่พอ เมื่อมีสภานิติบัญญัติอังกฤษ(ปกครอง)พม่า ในเวลาต่อมา แกก็ได้เป็นหนึ่งในสองของชาวพม่าที่ได้รับแต่งตั้งเป็นกรรมาธิการด้วย
สภานี้มีหน้าที่ออกกฎหมายอะไรก็ตาม ไม่อาจหารายละเอียดมาลงได้ แต่เดาได้ว่ากฎหมายที่อังกฤษบัญญัติออกมานั้นย่อมอำนวยประโยชน์ให้อังกฤษมากกว่าพม่าผู้เป็นเจ้าของสังคมเดิม
ในบั้นปลาย ท่านขิ่นป่วยเป็นอัมพาต แต่ก็อยู่ยืนยาวมาจน ค.ศ. 1908 คืออีก 23 ปีหลังฝรั่งชนะพม่า