ละครดังแห่งยุคเรื่องบุพเพสันนิวาส นอกจากจะให้ความบันเทิงแล้ว ยังให้ความรู้ถึงผู้คนสมัยอยุธยาว่ามีความมั่นคงในชีวิตมากน้อยเพียงใดชีวิตไพร่ในกระแสที่คนไทยบางส่วนนิยมแต่งตัวย้อนยุคในปัจจุบัน แต่เราก็แทบไม่เห็นคนไทยย้อนยุคไปแต่งตัวเป็นไพร่ แม้ว่า “ไพร่” จะเป็นประชากรส่วนใหญ่ของอยุธยาก็ตาม
นั่นเป็นเพราะชีวิตของ “ไพร่” ในอยุธยาก็ไม่น่าภิรมย์สักเท่าไรนัก
แม้ว่า “ไพร่” จะไม่ใช่ชนชั้นล่างสุดของสังคมอยุธยา และถือกันว่า “ไพร่” เป็นชนชั้นที่มี “อิสระ” ต่างจากทาสที่ปราศจากอิสระ
แต่การเป็นอิสระนั้นไม่ใช่ความเป็นอิสระอย่างสมบูรณ์ แต่ต้องแลกมาด้วยการทำงานให้ราชการที่เรียกว่า การเกณฑ์แรงงาน ไปทำงานในสภาพการทำงานที่ไม่ค่อยปลอดภัยนัก หรือไม่ก็ต้องส่งส่วยให้กับขุนนาง เจ้านาย หรือกษัตริย์
ในละครเราจะเห็นว่า ไพร่บางคนพยายามหลีกหนีการเกณฑ์แรงงานไปสร้างป้อมปราการ เมกะโปรเจ็คท์แห่งยุคขุนหลวงนารายณ์ ด้วยการมาขายตัวเป็นทาสที่บ้านออกญาโหราธิบดี เช่นเดียวกับผู้ที่ไม่สามารถหาส่วยมาให้ขุนนาง (เช่น ออกญาโกษาธิบดี) ก็ยอมขายตัวเพื่อมาเป็นทาสเช่นกัน
นี่ยังไม่นับรวมการไร้ซึ่งสวัสดิการจากรัฐในยุคนั้น ไพร่บางคนจึงยอมขายอิสรภาพมาเป็นทาสในบ้านออกญาโหราธิบดี เพียงเพื่อจะได้รับมุ้ง เพื่อลดความเสี่ยงของตนและครอบครัวที่จะติดเชื้อไข้ป่านั่นเอง
ชีวิตทาสดังนั้น อิสรภาพในยุคอยุธยาจึงมีต้นทุนที่ต้องจ่าย และหากไม่สามารถจ่ายได้ การยอมเสียอิสรภาพและกลายมาเป็นทาสก็เป็นทางเลือกที่ไม่อาจหลีกเลี่ยงได้
เพราะการเป็นทาสก็ยังมีหลักประกันที่จะมีข้าวปลาอาหารทาน (แม้จะไม่สมบูรณ์) แต่นั่นก็ต้องแลกมาด้วยอิสรภาพของตนเอง
ต้นทุนที่หนักที่สุดของการสูญเสียอิสรภาพไม่ใช่การทำงานหนัก แต่เป็นการถูกลงโทษลงทัณฑ์จากผู้เป็นนาย โดยไม่ต้องไถ่ถามความเป็นธรรม ดังเช่น แม่ปริก พี่ผิน พี่แย้ม จะต้องถูกแม่หญิงการะเกด (คนเดิม) ตบตี ด่าทอ ถูกใช้ให้ไปล่มเรือแม่หญิงจันทร์วาด
พี่แย้มจึงบอกกับแม่หญิงการะเกด (คนใหม่) ว่า การเป็นทาสจึงจำเป็นต้องลุ้นว่าจะได้นายที่มีเมตตาหรือไม่? และส่วนใหญ่คำตอบคือ ไม่ (ยึดตามคำพูดของพี่แย้ม)
หากพูดในภาษาปัจจุบันก็ต้องบอกว่า ชีวิตทาสเป็นการนำเอาศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์ ไปแลกเพื่อให้ได้ความจำเป็นพื้นฐานในการดำรงชีวิต
นี่ยังไม่นับทาสเชลยที่ถูกจับมา และทาสในเรือนเบี้ยที่ไม่ได้เกิดจากการเลือกที่ตนเองจะเป็นทาสด้วยซ้ำไป
ชีวิตขุนนางในชนชั้นขุนนาง ซึ่งเป็นตัวละครหลักของเรื่อง ที่ดูน่าจะชิลล์ ๆ เพราะการงานต่าง ๆ ก็มีบ่าวไพร่คอยบริการ แต่ในละครไม่ได้เล่าถึงเงื่อนไขในการเลี้ยงตน (และบ่าวไพร่) ของขุนนางมากนัก
ในอยุธยา ขุนนางมิใช่ได้รับเงินเดือนเช่นในปัจจุบัน แต่กษัตริย์หรือขุนหลวงจะพระราชทาน “เงินปี” ซึ่งก็มิได้มากนัก ดังนั้น การดำรงชีพของขุนนางจึงขึ้นอยู่กับความสามารถในการใช้ตำแหน่งและสิทธิประโยชน์ (หรือศักดินา) ที่ตนมี อันหมายถึง ที่ดิน บ่าวไพร่ และหน้าที่การงาน ในการหาเลี้ยงตนและคนในเรือน
การใช้หน้าที่การงานเพื่อหาประโยชน์ของหลวงและของตนจึงดำเนินควบคู่กันไป (แบบที่ใคร ๆ ในอยุธยา) เขาก็ทำกัน ดังที่ในละคร เราได้เห็นขุนเหล็ก (ออกญาโกษาธิบดี) ได้นำของกำนัลเข้าบ้านเป็นจำนวนมาก
ดังนั้น ความทับซ้อนของผลประโยชน์ส่วนตนกับส่วนรวมจึงเป็นเรื่องที่แบ่งยากมากในสมัยนั้น และน่าจะส่งผลต่อความนึกคิดของเหล่าขุนนาง แม้กระทั่งในยุคหลัง ๆ ที่เวลาล่วงเลยมากว่า ๓๐๐ ปีด้วย
แต่การทำเช่นนั้น ไม่ใช่ไม่มีความเสี่ยง เพราะเส้นแบ่งที่เบลอนั้นเอง ขุนนางก็อาจถูกตัดสินให้มีความผิดได้ไม่ยาก เช่นในละครเราทราบดีว่า ในที่สุดขุนเหล็กก็ถูกลงโทษด้วยการโบยจนเสียชีวิต เพราะรับสินน้ำใจ (ในมุมมองของขุนเหล็ก) จากผู้ที่ไม่ต้องการให้มีการสร้างป้อมปราการ
แม้กระทั่ง ออกพระวิสูตรสุนทร (ขุนปาน) ซึ่งต่อมาก็ก้าวขึ้นมาเป็นออกญาโกษาธิบดี ขุนนางที่สำคัญอันดับ ๒ ของแผ่นดิน ตำแหน่งเดียวกับพี่ชาย สุดท้ายก็ถูกขุนหลวงเพทราชาลงโทษ และขุนปานก็ฆ่าตัวตายในที่สุด
ดังนั้น วิถีทางของความสบายของเหล่าขุนนางในอยุธยาจึงมีความเสี่ยงรออยู่ข้างหน้าเช่นกัน
ชีวิตของขุนหลวงมาถึงขุนหลวงหรือกษัตริย์หรือเหล่าเจ้านายทั้งหลาย ผู้ซึ่งอยู่บนยอดสุดของปิรามิดและอำนาจในกรุงศรีอยุธยา
หากมองผิวเผินการอยู่บนยอดสุดของสังคมน่าจะมีความมั่นคงมาก แต่ในประวัติศาสตร์ การแย่งชิงอำนาจกันอย่างเข้มข้น ภายใต้กติกาที่คลุมเครือ (นอกจากกติกาที่ว่า ผู้ชนะคือผู้มีอำนาจ) ก็ได้ทำให้กษัตริย์หรือรัชทายาทถูกโค่นล้มและปลงพระชนม์ไปไม่น้อย
ตัวอย่างเช่น ก่อนที่พระเจ้าปราสาททอง (บิดาของขุนหลวงนารายณ์) จะก้าวขึ้นมาเป็นขุนหลวง ก็ต้องโค่นล้มพระเชษฐาธิราช (อายุ ๑๕ พรรษา) และพระอาทิตยวงศ์ (อายุ ๑๐ พรรษา) และก่อนที่ขุนหลวงนารายณ์จะครองราชย์ก็ต้องโค่นล้มเจ้าฟ้าไชย (พี่ชาย) และพระศรีสุธรรมราชา (อา) ก่อนทั้งสิ้น และทุกคนที่ถูกโค่นล้มก็มีจุดจบคือการถูกสำเร็จโทษทั้งสิ้น
เช่นเดียวกับพระปีย์ โอรสบุตรธรรมของขุนหลวงนารายณ์ก็จะถูกพระเพทราชาสำเร็จโทษ เพื่อก้าวขึ้นเป็นขุนหลวง และต่อมาเจ้าพระขวัญโอรสของพระเพทราชาก็ถูกลอบปลงพระชนม์เพื่อให้ออกหลวงสรศักดิ์ได้ก้าวขึ้นเป็นพระเจ้าเสือเช่นกัน
ดังนั้น จะเห็นได้ว่า ชีวิตของขุนหลวงและเจ้านาย จึงวางอยู่บนเส้นด้ายของการแย่งชิงอำนาจในหมู่เจ้านาย (ซึ่งก็คือพี่น้อง) และขุนนางชั้นสูง (ซึ่งก็คือ ลูกน้องคนสนิทหรือเพื่อน) เช่นกัน
ในมุมมองของคนรุ่นหลัง การกำหนดหลักเกณฑ์แห่งความสัมพันธ์ที่เท่าเทียมกัน (มากขึ้น) และการเคารพในสิทธิที่ทุกชีวิตพึงมี จะสร้างความมั่นคงในชีวิตได้มากกว่า และสร้างความน่าอยู่และความเข้มแข็งของสังคมไปพร้อม ๆ กัน เราจึงเห็นแม่หญิงการะเกด (หรือเกศสุรางค์) ตกใจหลายครั้ง เมื่อทราบถึงกติกาและความสัมพันธ์ของผู้คนในอยุธยา และแม่หญิงก็พยายามสื่อสารกับชาวอยุธยาหลายครั้งว่า คนกับคนนั้นเท่ากันจากบทความเรื่อง
"ความ (ไม่) มั่นคงของมนุษย์ในยุคอยุธยา โดย อาจารย์ ดร.เดชรัต สุขกำเนิด ภาควิชาเศรษฐศาสตร์เกษตรและทรัพยากร คณะเศรษฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยเกษตรศาสต