เรือนไทย

General Category => ทันกระแส => ข้อความที่เริ่มโดย: pipat ที่ 19 ต.ค. 07, 10:07



กระทู้: โลกร้อน
เริ่มกระทู้โดย: pipat ที่ 19 ต.ค. 07, 10:07
อ่านข่าวคุณอัลกอร์ได้รางวัลโนเบลแล้วไม่เห็นด้วยเลย
แกเพิ่งออกจากตำแหน่งมาได้แปดปี ไปลงสมัครแข่งแพ้อีตาบุชมาหนหนึ่ง

จากนั้นก็หางานรณรงค์โรคร้อน
สรุปว่าอายุงานยังไม่เท่าไร มีงานเด่นคือทำหนังออกมาเรื่องหนึ่ง
บ้านเราก็เกาะกระแส ตามเห่อไปกับเขาด้วย
หนังเรื่องนี้ถูกฟ้องที่อังกฤษ ใช้ภาษาชาวบ้านก็คือ เว่อร์
ข่มขู่ แสดงข้อมูลที่เกินจริง อย่างเช่นบอกว่าพายุคะทรีน่าที่ถล่มนิวออลีนส์นั่น มาจากปัญหาโรคร้อน

ศาลอังกฤษก็ดีเหลือหลาย พิพากษาว่าผิด 9 ประเด็น

แต่ที่ไม่เห็นด้วย ไม่ได้มาจากสารคดีของแกผิดพลาด ผมไม่หวังสาระอะไรมากจากวัฒนธรรมอเมริกันอยู่แล้ว
แต่ผมไม่เห็นด้วย เพราะคุณกอร์ ไม่สามารถทำให้ประเทศตัวเอง ตระหนักเรื่องนี้
และออกมาเป็นแนวหน้าในการทำให้โรคเย็น เอ้ย...โลกเย็น
กลับไปเที่ยวชี้มูลความผิดตีขลุมไปทั้งโลก

คำโบราณมีว่า "ฝนฟ้าตกต้องตามฤดูกาล"
แสดงว่าเราตระหนักเรื่องสิ่งแวดล้อมมาแต่ใหนแต่ไรแล้ว ลองย้อนคิดดูประเพณีปฏิบัติของเรา ทั้งงานหลวงงานชาวบ้าน
ล้วนสะท้อนความคิดคำนึงเรื่องมนุษย์กับสิ่งแวดล้อมไว้ ค่อยๆ คิดตามก็จะเห็น

อย่างในจารึกพ่อขุนราม ท่านระบุการปลูกต้นตาลเอาไว้
คนที่คุ้นกับชาวสวนจะนึกออกว่า ต้นตาลเขาไม่ใช่ไม้ธรรมดา แต่เป็นไม้แห่งการสืบทอด
พ่อปลูกไว้ให้ลูก เพราะเป็นไม้โตช้ามากๆๆๆๆๆ

ยี่สิบปีแหละ จึงจะมาคิดว่า ตาลที่ปลูกไว้ให้ผลผลิตหรือยัง
ที่พ่อขุนรามบอกว่าปลูกตาลได้ 14 เข้า(คือปี) แล้วท่านฉลอง จึงน่าจะเป็นการทำลายสถิติทีเดียว

เมื่อเราลงตาลแล้ว เราก็ต้องคอยดูแลประคบประหงม
ไม่ใช่ทำเหมือนพวกสร้างทาง โยนๆ เมล็ดไว้ หรือลงต้นอ่อนแล้วก็แล้วกัน
การดูแลรักษานี้แหละ ที่เป็นการสร้างสิ่งแวดล้อมสีเขียวขึ้นมา

กระทู้นี้ชวนคุย เพื่อจะให้เห็นว่า ไม่มีเรื่องอะไรที่ใหม่เจี๊ยบ ไม่มีเรื่องอะไรที่ปราศจากที่มา
คุยกันเล่นแก้ความอิจฉาก็ได้มั้งครับ

ดาบวิชัยของเรา เหนื่อยหนักกว่าอัลกอร์เป็นใหนๆ ไม่เห็นโลกจะรู้จักเลย
แต่แกก็มีความพอใจตามอัตภาพ ทั้งที่แกน่าจะได้รางวัลมากกว่าเจ้าแยงกี้ขี้ฮกนั่นเป็นไหนๆ


กระทู้: โลกร้อน
เริ่มกระทู้โดย: CrazyHOrse ที่ 19 ต.ค. 07, 11:21
ผมไม่อยากกล่าวหานาย ก ถึงขนาดว่าขี้ฮกหรอกครับ แต่เห็นด้วยกับคุณ pipat ว่ามันเร็ว ดูวูบวาบไปหน่อย คณะกรรมการรางวัลโนเบลก็ช่างมือไม้อ่อน แจกง่ายเหลือเกิน

จะว่าไปนี่ไม่ใช่เรื่องแรกที่นาย ก แกพยายามสร้างกระแส หลายปีที่แล้วตอนสู้กับบุชก็เคยประกาศตัวเป็นนัยว่า "ข้าคือบิดาแห่งอินเตอร์เน็ต" มาแล้ว

เรื่องนี้ทำเอาตัวนาย ก เองเสียคะแนนไปเยอะ เพราะแฟนอินเตอร์เน็ตเขารู้กันดีว่าไผเป็นไผ คนที่เป็นมันสมองตัวจริงและออกแรงผลักดันอินเตอร์เน็ตจนมาถึงวันนี้ได้มีอีกนับไม่ถ้วนที่สมควรได้รับเครดิตมากกว่านาย ก  และคนสำคัญคนหนึ่งในนั้นคือ Jon Postel หัวหน้าคณะที่ปรึกษาชุดหนึ่งของคลินตัน

สิ่งที่ นาย ก ทำก็เลยถูกมองว่าเป็นการชุบมือเปิบ ขโมยเอาเครดิตของคนอื่นหน้าด้านๆ ซึ่งคนดีๆเขาไม่ทำกันครับ เสียคะแนนโวตจากคนอินเตอร์เน็ตไปไม่น้อย (แต่ไม่รู้เหมือนกันว่าหลอกเอาคะแนนโวตจากตาสีตาสาไปได้เท่าไหร่)

ส่วนคนดีๆอย่าง Jon Postel น่าเสียดายที่ตายไปเมื่อหลายปีที่แล้ว อายุยังน้อย แค่ราวห้าสิบกว่าปีเท่านั้นเอง ทีมงานที่ปรึกษา Ira Magaziner ก็สลายตัวไปหลัง Postel ตายไม่นาน แต่ก็ได้วางรากฐานอะไรดีๆสำหรับประชาคมอินเตอร์เน็ตไว้หลายอย่าง นโยบายที่วางไว้ก็วางไว้ให้เป็นประโยชน์ของประชาคมโลกจริงๆไม่ใช่แค่สหรัฐอเมริกา

เนื่องในกระทู้โลกร้อนของนาย ก นี้ ขอระลึกถึงคุณงามความดีของ Jon Postel ครับ

(http://upload.wikimedia.org/wikipedia/commons/thumb/4/44/Jon_Postel.jpg/655px-Jon_Postel.jpg)


กระทู้: โลกร้อน
เริ่มกระทู้โดย: เทาชมพู ที่ 19 ต.ค. 07, 11:47
อ้างถึง
ดาบวิชัยของเรา เหนื่อยหนักกว่าอัลกอร์เป็นใหนๆ ไม่เห็นโลกจะรู้จักเลย
เอาเรื่องของดาบวิชัยมาลงให้อ่านกันอีกที      เขาเป็นคนเล็กๆคนหนึ่งที่เกิดมาทำสิ่งยิ่งใหญ่ให้สังคมที่เขาอาศัยอยู่
คนแบบนี้ทำความดีอย่างสงบเสงี่ยม เจียมตัว  ไม่ป่าวประกาศ ไม่อวดโอ้  ก้มหน้าก้มตาทำงานปิดทองหลังพระไปเรื่อยๆ จนวันหนึ่งทองล้นออกมาถึงหน้าพระ
ผู้คนก็ได้เห็นเอง

http://www.sarakadee.com/web/modules.php?name=Sections&op=printpage&artid=327

เกร็ดข่าว : วันนี้ของนายดาบตำรวจวิชัย สุริยุทธ

เรื่อง : วันชัย ตันติวิทยาพิทักษ์
ภาพ : วิจิตต์ แซ่เฮ้ง
 
      “คุณรู้ไหม การปลูกต้นไม้เป็นการทำบุญที่ถูกต้องที่สุด มันยั่งยืนกว่า และช่วยเหลือทุกคนได้ชั่วลูกชั่วหลาน”
                                                                    นายดาบตำรวจวิชัย สุริยุทธ
                                                    สารคดี ฉบับที่ ๒๒๕ พฤศจิกายน ๒๕๔๖
 
       นายดาบตำรวจวิชัย สุริยุทธ ผู้บังคับงานหมู่สอบสวน สถานีตำรวจภูธรอำเภอปรางค์กู่ จังหวัดศรีสะเกษ วัย ๕๘ ปี กลายเป็นคนดังชั่วข้ามคืน เมื่อเครื่องดื่มชูกำลังยี่ห้อหนึ่งนำเรื่องราวชีวิตจริงของ “คนบ้า” ที่อุทิศเวลาในชีวิตร่วม ๒๐ ปี ก้มหน้าก้มตาปลูกต้นไม้ทุกวันโดยไม่หวังสิ่งตอบแทน มาถ่ายทอดในหนังโฆษณาชิ้นใหม่
      เรื่องราวในโฆษณาชิ้นนั้น บอกเล่าชีวิตจริงของนายดาบตำรวจผู้ใช้เวลาว่างจากงานราชการ ออกปลูกต้นไม้ทุกวันตามที่รกร้างว่างเปล่า ไหล่ถนน ที่ดินสาธารณะ ฯลฯ ปลูกโดยที่ไม่มีนายสั่ง ไม่มีค่าตอบแทนใด ๆ จะมีบ้างก็เสียงหัวเราะลอยลมของเด็กๆ และชาวบ้านที่คิดว่าเขาเป็นบ้า
      เวลาผ่านไปเกือบ ๒๐ ปี อำเภอปรางค์กู่ซึ่งเคยเป็นอำเภอที่แห้งแล้งยากจนที่สุดในประเทศ กลับร่มรื่นเขียวขจีไปด้วยต้นไม้นานาชนิด โดยเฉพาะต้นตาลที่นับได้ไม่ต่ำกว่า ๒ ล้านต้น ไม่รวมไม้ชนิดอื่นๆ ไม่ว่าต้นยางนา ต้นคูน ต้นสะเดา ต้นขี้เหล็ก ฯลฯ
      ราว ๒ ปีก่อน สารคดี ตีพิมพ์บทสัมภาษณ์ชีวิตของนายดาบตำรวจวิชัย สุริยุทธ นับเป็นครั้งแรกที่สังคมได้รู้จักกับดาบวิชัย--คนบ้าผู้ปลูกต้นไม้ ๒ ล้านต้น อย่างละเอียด หลังจากนั้นชื่อของดาบวิชัยก็เริ่มเป็นที่รู้จักในสังคม จนดังเป็นพลุแตกเมื่อหนังโฆษณาชิ้นนี้ออกอากาศทางโทรทัศน์เมื่อต้นปีที่ผ่านมา
      ดาบวิชัยกลายเป็นคนดังระดับประเทศ หน่วยงานต่าง ๆ ทั้งรัฐและเอกชนหันมาให้ความสนใจ มอบรางวัลและเกียรติบัตรให้ในฐานะบุคคลผู้มีความซื่อสัตย์และเสียสละ ขณะที่รายการวิทยุโทรทัศน์หลายรายการก็เข้าคิวรอที่จะสัมภาษณ์ชีวิตของนายดาบผู้นี้ต่อเนื่องกันมาอีกหลายเดือน
 
      สารคดี ได้พบกับดาบวิชัยอีกครั้งเมื่อเขาเดินทางมารับโล่เกียรติคุณในกรุงเทพฯ และถือโอกาสแวะมาทักทายเราถึงสำนักงาน ดาบวิชัยได้เล่าให้เราฟังถึงเรื่องราวหลายอย่างที่เข้ามาในชีวิต
      “ทีมงานที่มาถ่ายทำโฆษณาเขาบอกว่ารู้จักผมใน สารคดี เขาอ่านข้อมูลในนั้นแล้วก็ส่งคนมาหาข้อมูลเพิ่มที่อำเภอปรางค์กู่หลายครั้ง ก่อนจะตกลงกัน จากนั้นเขาก็ยกทีมมาถ่ายทำ ๓ วันติดต่อกัน คนแห่มาดูทั้งอำเภอเหมือนถ่ายหนัง
      “หลังจากที่โฆษณาออกฉายทางทีวี บางคนก็ไม่เชื่อว่าผมมีตัวตนจริง แรงเยอร์โปรโมตขึ้นเองหรือเปล่า คนมารู้ว่าผมมีตัวตนจริงๆ ก็เมื่อไปออกรายการ ถึงลูกถึงคน และรายการ ทไวไลท์โชว์ ๒ รายการนี้เป็นรายการที่ทำให้คนเริ่มหันมาสนใจ เพราะเมื่อก่อนนี้ไม่ค่อยมีใครเชื่อว่าผมปลูกต้นไม้ได้เยอะขนาดนี้”
      ทุกวันนี้แม้จะกลายเป็นคนมีชื่อเสียง ดาบวิชัยก็ยังปลูกต้นไม้เหมือนเดิม ยังใช้มอเตอร์ไซค์คู่ชีพที่อายุสิบกว่าปีเป็นพาหนะ บรรทุกเมล็ดพันธุ์ไปปลูกตามที่ต่างๆ แต่ละปีดาบวิชัยจะเริ่มปลูกต้นไม้ก่อนหน้าฝน โดยเลือกวันที่ ๑ พฤษภาคมเป็นวันแรกของการปลูกต้นไม้ ถือเป็นการให้เกียรติวันแรงงานแห่งชาติ
      “ผมยังปลูกต้นไม้เป็นกิจวัตรประจำวันเหมือนเดิมทั้งเช้าและเย็น มันเป็นนิสัยติดตัวไปแล้ว แต่เดี๋ยวนี้ไม่ค่อยสะดวกเหมือนเมื่อก่อน มีพวกสื่อต่างๆ ไปหาบ่อย ไม่ก็ต้องเข้ากรุงเทพฯ มารับรางวัล หรือเป็นวิทยากรเดินสายไปพูดเรื่องการปลูกต้นไม้ตามที่ต่างๆ ทั่วประเทศ เวลาที่ไม่มีคนไปหา ไม่มีสื่อไปหา ผมก็ปลูกต้นไม้ทุกวัน วันไหนเป็นเทศกาลพิเศษ ผมจะขอความร่วมมือจากชาวบ้าน มาช่วยกันปลูกต้นไม้ ผมปลูกด้วยเมล็ดพันธุ์ ไม่ได้ปลูกด้วยกล้าไม้ ถ้าปลูกด้วยกล้าไม้มันก็จะไม่ได้มากเหมือนอย่างนี้ เทคนิคการปลูกก็คือปลูกก่อนหน้าฝนและช่วงฝน ดินที่ปลูกต้องโปร่ง มีความชุ่มชื้น พอฝนตกมาเมล็ดก็งอก รากแก้วก็หยั่งลึก นี่ถ้าหากว่าไม่ถูกไฟไหม้ไปบ้าง มันก็จะเพิ่มกว่านี้อีกหลายเท่า แต่ก็ยังดีที่ผมปลูกต้นตาลซึ่งทนสภาพความแห้งแล้งได้ดี แล้วปลูกไม้อื่นๆ ทุกอย่างที่กินได้ อย่างขี้เหล็ก ต้นหว้า ต้นไม้บางชนิดลำต้นก็สามารถเอาไปใช้ประโยชน์ในอนาคต เช่น ต้นยางนา ต้นมะค่า
       “คิดไปแล้วที่ผ่านมาน่าจะปลูกไปแล้วมากกว่า ๒ ล้านต้น คือเราเอาเมล็ดพันธุ์ไปหยอดตามขอบถนน ริมห้วยหนองคลองบึง วันละ ๔๐๐-๕๐๐ ต้นได้ ถนนเยอะยิ่งปลูกเยอะ ถ้าถนนเก่าเราก็ปลูกตาล วันหนึ่งปลูกไม่ต่ำกว่า ๑๐๐ เมล็ด เพราะต้นตาลมันทนไฟ ไม่ค่อยตาย ยิ่งเดี๋ยวนี้ได้รับความร่วมมือจากชาวบ้านมากขึ้น ก็ยิ่งปลูกได้มากขึ้น เมื่อวันที่ ๑ พฤษภาคมที่ผ่านมา เฉพาะต้นคูนก็น่าจะร่วมหมื่นต้นแล้ว เพราะคนที่มาร่วมปลูกเยอะ เดี๋ยวนี้ประชาสัมพันธ์ง่าย คนเข้าใจมากขึ้น แต่ก่อนชาวบ้านนึกว่าผมบ้าจริงๆ ตอนนี้เขาแค่ล้อเล่นว่าผมบ้า
      “ชีวิตผมไม่เปลี่ยน ผมคงเส้นคงวาเหมือนเดิม ปณิธานเริ่มต้นอย่างไรบั้นปลายชีวิตก็อย่างนั้น อยากฝากขอบคุณสื่อต่างๆ ที่ไปค้นหาคนตัวเล็กๆ คนหนึ่งที่อยู่ในพงหญ้ากลางทุ่ง ในถิ่นทุรกันดาร มาให้คนในสังคมรู้จัก ถ้าหากว่าใครเอาไปเป็นตัวอย่างได้ก็ดีสำหรับเขา แต่ส่วนตัวผมนั้นก็คงเหมือนเดิมแหละ อย่างไรก็อย่างนั้น เรียบง่ายและก็จะทำไปเรื่อยๆ จนกว่าสังขารจะไม่ไหว คิดว่ามรรคผลจากสิ่งที่เราทำมันเกิดกับชาวบ้าน ถ้าหากว่าทั้งประเทศมีคนทำอย่างนี้ไปเรื่อยๆ ประเทศชาติก็จะเจริญ อยากจะฝากกับพี่น้องชาวชนบททั้งหลายว่าถ้าเลียนแบบผมได้ก็จะดี มรรคผลเกิดที่ตัวเขาเองไม่ได้เกิดที่ใคร ถ้าเขาทำเขาก็ได้ของเขาเอง จะช้าก็ไม่เป็นไร ผมชอบอุดมคติที่ว่าการสร้างฐานะของตนเองคือการสร้างฐานะของชาติ ถ้าหลายๆ คนมาร่วมกันทำให้ตัวเองเหมือนอย่างผมทำ มันก็มีพลัง”
      สิ่งที่ติดตามมาอีกอย่างเมื่อกลายเป็นคนมีชื่อเสียง ก็คือเริ่มมีนักการเมืองหลายคนวิ่งเข้าหา บางคนมาขอให้ช่วยเป็นหัวคะแนนในการเลือกตั้งวุฒิสมาชิกสมัยหน้า บางคนก็มาชวนให้เป็นสมาชิกพรรค แต่ดาบวิชัยยืนยันหนักแน่นว่าไม่เล่นการเมืองเด็ดขาด
      “เล่นแล้วสู้เขาไม่ได้หรอก เราก็ไม่ชอบอยู่แล้วด้วย เราไม่ชอบความวุ่นวาย ถ้าเล่นการเมือง มันจะมาสร้างความวุ่นวาย เล่นการเมืองเมื่อไรปวดหัวเมื่อนั้น เพราะว่าเราไม่อยากเอาใจใคร ผมว่าถ้ารักประเทศชาติจริงๆ ก็มาทำคล้ายๆ ผมนี่แหละ ให้มีความจริงใจต่อผืนแผ่นดิน แล้วก็มีความจริงใจต่อตัวเอง ประเทศชาติก็เจริญเองแหละ"

http://www.pattayadailynews.com/thai/shownews.php?IDNEWS=0000000619

ดาบวิชัย ได้รับรางวัล บุคคลดีเด่นแห่งปี 2549
ร้อยตำรวจตรีวิชัย สุริยุทธ (ดาบวิชัย) ได้รับเลือกให้เป็นบุคคลดีเด่น สาขาอนุรักษ์ทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ประจำปี 2549 จากคณะกรรมการเอกลักษณ์ของชาติ สำนักงานปลัดสำนักนายกรัฐมนตรี
               นายเอนก สิทธิประศาสน์ ประธานคณะอนุกรรมการคัดเลือกบุคคล และหน่วยงานดีเด่นของชาติ ในคณะกรรมการเอกลักษณ์ของชาติ สำนักงานปลัดสำนักนายกรัฐมนตรี แถลงข่าวการคัดเลือกบุคคล และหน่วยงานดีเด่นของชาติ ประจำปี 2549 จำนวน 5 สาขา ประกอบด้วย สาขาพัฒนาสังคม ประเภทบุคคล ได้แก่ นายประยงค์ รณรงค์ (ด้านการพัฒนาชุมชน) ประเภทหน่วยงาน คือ มูลนิธิตงฮั้วการแพทย์ ในพระบรมราชูปถัมภ์ (ด้านการสาธารณสุข)

               สาขาพัฒนาเศรษฐกิจ ประเภทหน่วยงาน ได้แก่ บริษัทสวนสามพราน จำกัด (ด้านอุตสาหกรรมการท่องเที่ยว) สาขาอนุรักษ์ทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ประเภทบุคคล ได้แก่ ร.ต.ต.วิชัย สุริยุทธ หรือ ดาบวิชัย  สาขาวิทยาศาสตร์เทคโนโลยี ประเภทบุคคล ได้แก่ ศ.เกียรติคุณ นพ.ยงยุทธ วัชรดุลย์ สาขาเผยแพร่เกียรติภูมิของไทย ประเภทบุคคล ได้แก่ ศ.อุดม รุ่งเรืองศรี (ด้านการอนุรักษ์ภาษาถิ่น)

               ทั้งนี้ คณะกรรมการเอกลักษณ์ของชาติได้เริ่มดำเนินการคัดเลือกบุคคล และหน่วยงานดีเด่นของชาติ มาตั้งแต่ปี 2526 เป็นต้นมา เพื่อเป็นการส่งเสริมให้กำลังใจบุคคล และหน่วยงานดีเด่น เผยแพร่สู่สาธารณชน ตลอดจนให้เยาวชนของชาติ และประชาชน ยึดถือเป็นแบบอย่าง และเป็นแนวทางประพฤติอย่างภาคภูมิใจต่อไป

               ประวัติดาบวิชัย ดาบตำรวจผู้พลิกแผ่นดิน เริ่มต้นที่บ้านนาโนน ตำบลลำโขง (ปัจจุบันเป็นตำบลหนองไฮ) อำเภออุทุมพรพิสัย จังหวัดศรีสะเกษ ที่นั่นมีแต่ความแห้งแล้ง พ่อแม่ทำนา ฐานะทางบ้านยากจน ต้องรับจ้างทำงานสารพัดทั้งกรรมกรก่อสร้าง จับกัง กระทั่งได้ศึกษาต่อที่โรงเรียนอุทุมพรพิสัย ศรีสะเกษวิทยาลัย และหลังจบโรงเรียนพลตำรวจ3 จังหวัดนครราชสีมา ก็ได้เข้ารับราชการตำรวจ เมื่อปีพ.ศ.2511 ประจำ สภ.อ. เมืองศรีสะเกษ ต่อมาในปี พ.ศ.2513 ย้ายมาประจำ สภ.อ.ปรางค์กู่ ตำแหน่งธุรการงานสอบสวน จนถึงปัจจุบัน

               หลังจากได้เข้าร่วมอบรมโครงการแผ่นดินธรรมแผ่นดินทอง เมื่อ พ.ศ.2530 ที่เน้นเรื่องความสงบสุขของชาวบ้าน และเศรษฐกิจพอเพียง มีการนำเสนอโครงการ ชุมชนชีวิตใหม่ เน้นเชิดชูคนดีที่เสียสละเวลาเพื่อส่วนรวม โดยเริ่มต้นที่ตัวเอง ไม่เรียกร้องความช่วยเหลือจากใคร โดยเฉพาะจากสอนว่า
            "เราต้องขยันอย่างฉลาด และต้องปราศจากอบายมุข เราจะต้องพึ่งตนเองให้ได้อย่างมีศักดิ์ศรีโดยไม่เบียดเบียนใคร ความทุกข์ของเพื่อนบ้านคือภารกิจที่เราต้องร่วมกันแก้ไข เมื่อเรามีเพื่อนบ้านดีก็ไม่ต้องมีรั้วบ้าน การทำงานหนักคือดอกไม้ของชีวิต"

               หลังจากอบรมโครงการนี้เสร็จ ทำให้ดาบวิชัยได้เกิดแง่คิดที่จะทำประโยชน์ให้กับแผ่นดิน และเนื่องจากอำเภอปรางค์กู่ เป็นอำเภอที่ยากจนที่สุดของ จังหวัดศรีสะเกษ ผืนดินมีแต่ความแห้งแล้ง โครงการปลูกต้นไม้ในที่สาธารณะเพื่อส่วนรวมจึงเกิดขึ้น คือ รณรงค์ปลูกต้นยางนา เพื่อเอาไว้สร้างบ้านเรือน รณรงค์ปลูกต้นตาล ซึ่งเป็นพืชสารพัดประโยชน์ ใช้ได้ทั้งต้น กาบ ใบ ลูก รวมทั้งจาวตาลและคอตาล ต้นตาลปลูกง่ายโตเร็วและทนทาน รณรงค์ปลูกต้นคูน ต้นไม้ประจำภาคอีสานและประจำชาติไทย ดอกเหลืองอร่ามบานสะพรั่งตลอดหน้าแล้ง รณรงค์ให้เปลี่ยนการทำนาปีเป็นไร่นาสวนผสม

               ดาบวิชัยเริ่มต้นรณรงค์ชาวบ้านตามโครงการทั้ง 4 ที่ตั้งไว้ตั้งแต่ พ.ศ.2531 จนเห็นเป็นรูปธรรมและได้รับการยอมรับจากชาวบ้าน กระทั่งวันที่ 5 ก.ค. พ.ศ.2543 ประชาคม อ.ปรางค์กู่ทั้ง 10 ตำบล ได้พร้อมใจกันลงมติให้ใช้ 4 โครงการนี้เป็นคำขวัญของ อ.ปรางค์กู่ ที่ว่า "ปรางค์กู่อยู่ในป่ายางกลางดงตาล บานสะพรั่งดอกคูน บริบูรณ์ไร่นาสวนผสม"

               "ผมยึดหลัก ทำเพื่อความสุขของผู้อื่น ทำให้คนที่ไม่รู้ ทำให้คนที่เสียโอกาส ผมจะปลูกต้นไม้ ไปเรื่อยๆ ทุกวันนี้ผมไม่ได้ปลูกแต่ต้นยางนา คูน ตาล เท่านั้น ผมปลูกขี้เหล็ก สะเดา กระถิน ตะไคร้ โตแล้วให้ดอกออกผลก็เป็นของชาวบ้าน ใครจะกินก็มาเก็บเอา บางคนเก็บไปขาย ส่งลูกเรียน ผมเห็นแล้วก็ชื่นใจ ผมมีความสุขทุกขั้นตอน ตั้งแต่เอาเมล็ดพันธุ์ใส่ถุง แบกจอบ หิ้วขึ้นมอเตอร์ไซค์ ขี่ไปปลูกจนเสร็จสิ้นกระบวนการ ผมจึงตั้งใจปลูกต้นไม้ไปเรื่อยๆ จนกว่าชีวิตจะหาไม่"

               กว่า 18 ปี ที่ ดาบวิชัย ที่เริ่มต้นลงมือปลูกต้นไม้ เหมือนเป็นหน้าที่ที่ต้องทำทุกวัน บางคนว่าบ้า บางคนว่าเพี้ยน แต่คำพูดเหล่านี้ไม่ได้เปลี่ยนวิถีชีวิตของดาบวิชัย ที่ยังคงดำเนินต่อไป

               ดาบวิชัยได้รับรางวัลเกียรติบัตรยกย่องเชิดชูจากสมเด็จพระญาณสังวร สมเด็จพระสังฆราชสกลมหาสังฆปรินายก ในฐานะผู้บำเพ็ญประโยชน์ต่อพุทธศาสนา ในด้านส่งเสริมการอนุรักษ์สิ่งแวดล้อม เมื่อวันที่ 6 พฤษภาคม พ.ศ.2544  ได้รับพระราชทานรางวัลเสาเสมาธรรมจักร สาขาส่งเสริมการอนุรักษ์สิ่งแวดล้อม จากสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ เมื่อวันที่ 6 พฤษภาคม พ.ศ.2544  ได้รับโล่พร้อมใบประกาศเกียรติคุณ และรางวัลลูกโลกสีเขียว ประเภทบุคคล รางวัลชมเชย จากนายอานันท์ ปันยารชุน เมื่อวันที่ 18 ธันวาคม พ.ศ.2544 ได้รับรางวัลจากมูลนิธิบุณยะจินดา โดย พล.ต.อ.พจน์ บุณยะจินดา อดีตอธิบดีกรมตำรวจ และได้รับรางวัลโล่เกียรติยศ จากพ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร นายกรัฐมนตรี


กระทู้: โลกร้อน
เริ่มกระทู้โดย: เทาชมพู ที่ 19 ต.ค. 07, 11:51
คนเล็กๆอีกคนหนึ่ง ที่เป็นตำนานของอเมริกามาจนทุกวันนี้ คือ จอห์นนี่ แอปเปิ้ลซีด หรือจอห์นนี่ เมล็ดแอปเปิ้ล
เขาคนนี้มีอุดมกาณ์ราวกับเป็นดาบวิชัยเมื่อชาติก่อน คือตั้งหน้าตั้งตาปลูกแอปเปิ้ลให้สะพรั่งไปทั่วหลายรัฐของอเมริกา

http://www.enchantedlearning.com/school/usa/people/Appleseedindex.shtml

Johnny Appleseed was a legendary American who planted and supplied apple trees to much of the United States of America. Many people think that Johnny Appleseed was fictional character, but he was a real person.

Johnny was a skilled nurseryman who grew trees and supplied apple seeds to the pioneers in the mid-western USA. Appleseed gave away and sold many trees. He owned many nurseries in Ohio, Pennsylvania, Kentucky, Illinois, and Indiana, where he grew his beloved apple trees. Although he was a very successful man, Appleseed lived a simple life. It is said that as Johnny traveled, he wore his cooking pot on his head as a hat!

Johnny Appleseed was born in Leominster, Massachusetts, on September 26, 1774. His real name was John Chapman, but he was called Johnny Appleseed because of his love for growing apple trees.

Johnny died at the age of 70; he is buried in Fort Wayne, Indiana. He had spent 50 years growing apple trees and traveling to spread his precious trees around his country.



กระทู้: โลกร้อน
เริ่มกระทู้โดย: pipat ที่ 19 ต.ค. 07, 12:18
เกณฑ์ของผมหยาบกว่าของคุณเครซี่แยะเลย
ที่ตาแอล กอร์ทำนี่ ผมเรียกว่าตอแหลเลยแหละ

อย่างไรก็ดี เอาเทดมาให้ดู เดี๋ยวจะว่าฟังความข้างเดียว
http://www.ted.com/index.php/talks/view/id/1


กระทู้: โลกร้อน
เริ่มกระทู้โดย: pipat ที่ 20 ต.ค. 07, 00:46
ถ้าจำไม่ผิด นักวิทยาศาสตร์ที่ทำวิจัยเรื่องชั้นโอโซน และเป็นคนเห็นวิกฤติของปรากฏการณ์เรือนกระจก
จะได้รางวัลโนเบลด้วยเหมือนกัน

แต่ช้าหน่อย ร่วมยี่สิบปีกระมัง
แปลว่าคณะกรรมการสายวิชาการเขาค่อนข้างตระหนี่การยอมรับ ต่างจากคณะกรรมการสายสังคม
เอ้ย...สายสันติภาพ
สมัยหนึ่ง ผมก็งงกับการที่เขาให้รางวัลรัฐมนตรีเวียตนามเหนือและสหรัฐ เรื่องการประชุมที่ล้มเหลวของสันติภาพในเวียตนาม
แล้วมาให้นักการเมืองโปแลนด์คนหนึ่ง
เอาหัวเป็นประกันว่า สักวันหนึ่ง จะมีดาราฮอลี่วูดได้รางวัล
เอ...หรือจะนับนายกอร์เป็นดารา เพราะแกได้ตุ๊กตาทองนี่นา

ย้อนกลับมาที่เรื่องโลกร้อน ผมออกจะเป็นคนเห็นแก่ตัว คือช่างโลกมันเถอะ
ขอประเทศไทยเย็นเสียก่อน เรื่องอื่นรอได้
ตอนนี้ เราบริโภคน้ำมันจะทะลุปีละล้านล้านบาทอยู่แล้ว
หมายความว่า เราขายทรัพยากรธรรมชาติหมดประเทศหนึ่งปี ก็ยังไม่พอซื้อน้ำมันหนึ่งปี
แต่คนที่รับผิดชอบ ไม่ยักออกมาเตือนกันบ้าง

อันที่จริง หากประหยัดน้ำมันกันแค่ 10% ก็เป็นเงินถึงแสนล้านทีเดียว เงินมากขนาดนี้สร้างโรงพยาบาลชั้นยอด ได้ถึงยี่สิบโรง
สร้างมหาวิทยาลัยชั้นเยี่ยมได้เท่าๆกัน วางรางรถไฟฟ้าได้รอบกรุงเทพ....เอ้า ให้มุดดินด้วย
ถ้าเอาเงินแค่หมื่นล้านมาทำให้เกิดการประหยัดน้ำมัน 10% เราก็ยังกำไรตั้งเก้าหมื่นล้าน

ผมชักงงๆ แล้วว่า ประเทศนี้รวยหรือจน


กระทู้: โลกร้อน
เริ่มกระทู้โดย: ศรีปิงเวียง ที่ 20 ต.ค. 07, 10:21
สวัสดีทุกๆ ท่านครับ
จริงๆ องค์การ IPCC ก็ได้รับรางวัลเช่นเดียวกับนาย กอร์ ครับ แต่ไม่ยักมีใครพูดถึงมากเท่า :(
ผมเห็นด้วยกับทุกท่านครับ เรื่องที่นายกอร์ได้รับรางวัลนี้ ทั้งที่จริงๆแล้วภาพยนตร์เรื่อง The Inconvinient Truth (ซึ่งมีหนังสือที่ใช้ชื่อเดียวกันนี้วางจำหน่ายด้วย) นี้ คล้ายๆกับการประชาสัมพันธ์นายกอร์เสียมากกว่า (มีเนื้อหาเกี่ยวกับโลกร้อนซึ่งรวบรวมข้อมูลต่างๆ มาแสดงให้เข้าใจง่ายขึ้นเท่านั้น)
ตอนที่หนังเรื่องนี้ฉายใหม่ๆ แบบจำกัดโรง ไม่ค่อยมีใครสนใจมากนัก (อย่าว่าแต่เรื่องนี้เลย แค่เรื่องโลกร้อนพูดกันมาเป็นสิบๆ ปีก็เหมือนไม่ค่อยมีใครจะสนใจนักนอกจากวงการวิทยาศาสตร์) เพิ่งมาสนใจก็ไม่กี่ปีมานี้เพราะมีการประโคมข่าวเรื่องโลกร้อนทั้งจากสื่อ และจากหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ประกอบกับท่าทีของประเทศมหาอำนาจครับ

ส่วนเรื่องรางวัลโนเบลสาขาสันติภาพนี้ ผมบอกตรงๆว่าเป็นสาขาที่สื่อถึงการเมืองในขณะนั้น มากกว่า พวกเศรษฐศาสตร์หรือวิทยาศาสตร์ครับ
บางคนไม่น่าจะได้ ก็ดันได้ ในขณะที่บางคนน่าจะได้ ก็ได้แต่ ชวดรางวัล (เป็นอย่างนี้ทุกสาขา)
ผมยังเสียดาย ที่คุณ จี.เอ็น.ลิวอิส ไม่ได้รางวัล ทั้งที่เขาทีคุณูปการต่อเคมีฟิสิกัล เพราะเขาถึงแก่กรรมเสียก่อน
บางสาขา เช่น คณิตศาสตร์ ก็ไม่ได้มีการตั้งรางวัลสาขานี้ (แต่มีรางวัล อเบล มาแทน ซึ่งว่ากันว่าพิจารณารางวัลยากกว่ารางวัลโนเบลเสียอีก)
ป.ล.
1. ลีโอนาร์โด ดิคาร์ปริโอก็ทำหนังเกี่ยวกับโลกร้อนเหมือนกันนิ แต่ทำมาย...ไม่มีใครนึกถึง :P
2. Gerhard Ertl ได้รับรางวัลเพราะ his studies of chemical processes on solid surfaces ครับ (รู้สึกว่าจะเอาไปอธิบายการบางลงของชั้นโอโซนได้ด้วย และทำให้เราเรียนเกี่ยวกับเคมีฟิสิกัลอีกหนึ่งด้าน
เหนื่อยหน่อย :'()
3. นายกอร์กับประธานาธิบดีคาสโตรเคยเถียงกันเรื่องการปลูกพืชทำเอทานอลครับ รายหนึ่งเห็นว่าดี แต่อีกรายเห็นว่าจะทำให้ชาวบ้านถูกเอารัดเอาเปรียบมากขึ้นครับ


กระทู้: โลกร้อน
เริ่มกระทู้โดย: agree ที่ 20 ต.ค. 07, 14:52
เฮ้อ...............คนสมัยนี้เอาแต่จะบอกว่าให้ปลูกต้นไม้กัน แต่หารู้ไม่ว่าตัวเองน่ะยังไม่เคยปลูกเลย  :(

แล้วคนที่ปลูกต้นไม้ในโลกนี้ก็มีน้อยเสียนี่กระไร ไอ้ส่วนที่มันมากส่วนหนึ่งก็เอาแต่จะผลิตก๊าซเรือนกระจกนำพาโลกร้อน อีกส่วนก็วิพากษ์วิจารณ์กันใหญ่แต่ไม่ทำอะไร ส่วนสุดท้ายไม่วิจารณ์และก็ไม่ทำอะไรเลย

แล้วนอกจากปลูกต้นไม้แล้วก็ต้องใช้พาหนะที่ปล่อยก๊าซเรือนกระจกออกมาให้ลดลง ใช้ไฟฟ้าอย่างประหยัดกันด้วย


ปล.มีห้องทันกระแสด้วยหรือเนี่ย  :o


กระทู้: โลกร้อน
เริ่มกระทู้โดย: agree ที่ 21 ต.ค. 07, 14:23
http://th.wikipedia.org/wiki/%E0%B8%9B%E0%B8%A3%E0%B8%B2%E0%B8%81%E0%B8%8F%E0%B8%81%E0%B8%B2%E0%B8%A3%E0%B8%93%E0%B9%8C%E0%B9%82%E0%B8%A5%E0%B8%81%E0%B8%A3%E0%B9%89%E0%B8%AD%E0%B8%99

โลกเริ่มร้อนขึ้นทุกวัน คาร์บอนไดออกไซด์เพิ่มมากขึ้น ความจริงแล้วถ้ามีคาร์บอนไดออกไซด์ออกซิเจนก็มากขึ้นด้วย แต่ทว่า......มนุษย์แย่ ๆ มันกลับไปตัดต้นไม้ จนภูเขาที่อุดมสมบูรณ์กลับกลายเป็นภูเขาหัวโล้น

แล้วพวกผงซักฟอกก็มีสารฟอสเฟตซึ่งเป็นสารอาหารที่สำคัญของพืช ผงซักฟอกที่ถูกใช้แล้วถูกทิ้งปล่อยลงตามท่อทิ้งน้ำเสีย จนพืชน้ำเจริญเติบโตมากขึ้นแย่งออกซิเจน พอออกซิเจนไม่มี น้ำก็เริ่มเสีย ปัญหาอีกข้อก็ตามมาอีก

ส่วนซัลเฟอร์ไดออกไซด์ที่ถูกปล่อยจากปล่องตามโรงงานอุตสาหกรรมก็ลอยขึ้นไปปะทะกับไอน้ำ พอไอน้ำเกาะรวมกันเป็นเมฆและควบแน่นเกิดเป็นฝน ปรากฎว่าเป็น "ฝนกรด" พวกฝนกรดพอตกลงมาโดนกับพืชผักก็เลยเกิดความเสียหายอย่างมาก อาหารคนแทบไม่มีอันจะกิน สิ่งก่อสร้างก็โดนฝนกรดทำลายเละตุ้มเป๊ะ

มิหนำซ้ำน้ำมันที่รั่วออกเรือขนส่งน้ำมันก็ทำลายทะเลจนสิ่งมีชีวิตในทะเลตาย ผิวน้ำเต็มไปด้วยคราบน้ำมัน สักวันหนึ่งโลกเราคงจะเหมือนดาวศุกร์เป็นแน่แท้

เมื่อคนไม่มีอันจะกินก็เลยต้องทำสงครามแย่งอาหารกัน จนเกิดสงครามโลกครั้งที่ 3 ขึ้น หลังจากนั้นคนทั้งโลกก็ตายหมดจนไม่มีสิ่งมีชีวิตเหลืออยู่ เวทีที่แสดงละครมานานก็ได้จบลง โลกกลายเป็นดาวแห่งความตายโดยสิ้นเชิง :'(


กระทู้: โลกร้อน
เริ่มกระทู้โดย: pipat ที่ 21 ต.ค. 07, 14:43
มีคนทุกข์ทรมานจากฝนเหลืองในเวียตนามเป็นล้านๆ คน
แต่ผู้เกี่ยวข้อง บอกว่า....ไม่มี๊....เราไม่เคยใช้ของอย่างนั้น
บริสัตว์ที่ผลิตยาป้อนกองทัพเซตั้นนั่น
ก็บอกว่า ไม่มี จะมีได้ไง เราไมทำอะไรชั่วๆ อย่างนั้น

ที่คลิตี้ กำลังจะมีคนต้องชดใช้กรรม เป็นพันล้าน ถ้าศาลท่านศักดิ์สิทธิ์จริง
ตามอย่างเมืองโบพาล ที่ทำแก๊สพิษรั่ว คนตายทั้งเมือง
พวกนี้เป็นพิษทางตรง ที่เห็นๆ โจ่งแจ้ง
เรายังไม่รู้สึกรู้สมกันเลย

เพราะงั้น ไอ้พิษที่ร้อยปีจึงเห็นผลนี่....จิ๊บจ๊อย

ลืมไปได้เลยครับ
ลูกหลานรับกรรมอย่างเดียว


กระทู้: โลกร้อน
เริ่มกระทู้โดย: agree ที่ 21 ต.ค. 07, 14:52
คนสมัยนี้ไม่มีเมตตาหรือ ? ถึงได้ทำให้โลกร้อน พอเราตาย......ลูกหลานก็ต้องชะตาขาด รับกรรมแทนเรา
คนสมัยนี้ไม่มองการณ์ไกล ไม่นึกถึงลูกหลาน ลูกหลานต้องทนร้อนอย่างน่าอดสูกว่าเรายิ่งนัก
ตอนนี้ยังไม่เท่าไหร่หรอก โลกนั้นมันยังไม่ร้อนเกินไป พอเราตายโลกอาจจะร้อนขึ้น
คิดดูเถอะถ้าใครไม่อยากตก ในฤดูฝนแม่น้ำก็ยังแห้งเหือด ฝนดันไม่ตกอีก ชาวบ้านก็ขาดน้ำตายกันไป
ฤดูหนาวก็ร้อนจัดซะจนตัวละลาย เหงื่อแตกขึ้ไคลไหล
ฤดูร้อนก็ไหม้จัดจัด ใน 30 วินาทียืนอยู่ก็ทนไม่ไหวแล้ว
เฮ้อ ! น่าสงสารลูกหลานเหลนโหลน  :(


กระทู้: โลกร้อน
เริ่มกระทู้โดย: ติบอ ที่ 21 ต.ค. 07, 22:08
มีคนทุกข์ทรมานจากฝนเหลืองในเวียตนามเป็นล้านๆ คน


หกปีที่แล้ว ในคาบเรียนวิชาชีวะวิทยา
อาจารย์ผู้สอนเคยพุดถึงเรื่องผนเหลือง
ว่าเป็นฮอร์โมนพืชที่มีผลในการปลิดขั้วใบพืชใบเลี้ยงคู่
ซึ่งเป็นสารชนิดเดียวกับที่ใช้ยาฆ่าหญ้าชนิดที่เป็นใบเลี้ยงคู่ในปัจจุบัน
ซึ่งถ้าเป็นอย่างนั้นจริง สารเคมีชนิดนี้ไม่น่าจะมีผลกับผิวคน

หัวข้ออภิปรายในคาบที่เหลือของวิชาก็เลยเป็นหัวข้อที่ว่า
"คุณคิดว่าระหว่างคนเวียดนามที่อ้างว่าตัวเองได้รับทุกข์ทรมานจากสารเคมีนี้
กับคนอเมริกันที่อ้างว่าตนเองใช้สารเคมีนี้ในการต่อสู้...... ใครโกหก"




แล้วเสียงในห้องหลายคนก็เลือกเชื่อฝรั่งกันครับ..... เพราะเขาว่า UN ว่างั้น
(ไม่รู้จิงป่าว เวลาให้ค้นข้อมูลก็ไม่มีสั่งต้นคาบ เตรียมตัว 10 นาที แบ่งกลุ่ม ขึ้นอภิปราย ภาษาอังกิดก็ม่ายแข็งแรง)
ปวดเฮดอีหลี


กระทู้: โลกร้อน
เริ่มกระทู้โดย: pakun2k1d ที่ 21 ต.ค. 07, 23:39
เรื่องโลกร้อนดิฉันได้เรียนมาตั้งแต่ชั้นมัธยมต้น  20 กว่าปีแล้วค่ะ  แต่ก็ไม่เคยเห็นเป็นประเด็นใหญ่โตอะไรจนกระทั่งมาได้ยินว่า คุณก.เธอได้โนเบลแล้วเรื่องนี้ก็กลายเป็นเรื่องดัง  ยังสงสัยว่าคุณก.เธอทำอะไรหว่า  ความที่ดิฉันตกข่าว  ได้อ่านกระทู้นี้แหละค่ะถึงได้ตาสว่าง  แต่ก็คิดว่ายังรู้น้อยอยู่ดีค่ะ  ไม่รู้ย่อมไม่ชี้ค่ะ  แต่ขอมาบอกเล่า และเชิญชวนกันทำเรื่องใกล้ ๆ ตัวคะ 

ดิฉันได้วิธีนี้มาจากนวนิยายเรื่องหนึ่งนานมากแล้วค่ะ  ที่บ้านดิฉันจะพยายามไม่ทิ้งน้ำจากการซักล้างไปเปล่า ๆ ค่ะ  จะหาวิธีที่พอทำได้  เช่น  นำไปรดต้นไม้ซี่งมีอยู่มากพอสมควร ประหยัดค่าน้ำได้หลายสตังค์นะคะ  โดยเฉพาะน้ำที่มีผงซักฟอก น้ำล้างเนื้อต่าง ๆ พวกนี้เป็นปุ๋ยให้ต้นไม้อย่างดี  น้ำที่เหลือจากการรดน้ำต้นไม้ก็ใช้รดถนนหน้าบ้านช่วงเที่ยง ๆ ลดความร้อนของถนน ลดปริมาณฝุ่นที่ปลิวเข้าบ้านด้วยค่ะ  ซึ่งแน่นอนนะคะ มีงานเพิ่มขึ้น ความสะดวกสบายลดลง  แต่ก็ค่อย ๆ ทำไปเท่าที่ทำได้  ดีกว่าไม่ได้ทำ  ตอนที่ดิฉันเริ่มทำ  คุณแม่ก็ไม่เห็นด้วยค่ะท่านบ่นว่ามันยุ่งยาก  ดิฉันก็ไม่ได้ว่าอะไรถ้าคุณแม่ไม่สะดวกก็ให้ท่านทำอย่างที่ท่านสะดวก  เวลาที่ดิฉันอยู่ดิฉันก็ทำ  เวลาตักน้ำที่เก็บไว้ไปรดน้ำต้นไม้  ถ้าหลาน ๆ อยู่ก็ชวนกันมาช่วยกันทำ  หกเลอะเทอะก็ไม่ต้องเสียดาย  เด็ก ๆ ก็สนุกด้วย  แล้วต้นไม้ก็งามค่ะ  ปัจจุบันนี้คุณแม่ก็ทำด้วยค่ะ  ท่านอยู่บ้านทั้งวันอยู่แล้วก็ค่อย ๆ ทำเท่าที่ทำได้ค่ะ  ไม่ได้รีบอะไร  เหนื่อยก็พัก  เป็นการออกกำลังกายด้วย  ลดเวลาว่างด้วย

ขยะที่บ้านดิฉัน  แยกแบบง่าย ๆ ค่ะ  1. เศษผัก เปลือกผลไม้  นำไปใส่ต้นไม้โคนต้นไม้  ไม่ต้องหมักหรือผ่านกรรมวิธีใด ๆ เลยค่ะ  หรือจะขุดเป็นหลุมเล็ก ๆ ถ้ามีพื้นที่ สำหรับไว้ทิ้งขยะพวกนี้  นาน ๆ เข้าก็กลายเป็นปุ๋ยเอง  2.  เศษอาหาร  กับขยะที่เป็นชิ้นส่วนของเนื้อสัตว์ทั้งหลายที่จะสร้างปัญหาเรื่องกลิ่น 3.ขยะอื่น ๆ นอกจาก 1.และ 2.   เมื่อก่อนที่บ้านดิฉันจะมีปัญหาเรื่องรถมาเก็บขยะไม่สม่ำเสมอ  บางครั้งจะทิ้งช่วงห่างมาก  พอเราทำวิธีนี้  ขยะที่มีปัญหาคือพวกเศษอาหารเมื่อถูกแยกออกมาปริมาณจะไม่มาก  ขยะประเภทที่ 3 ซึ่งมีปริมาณมากก็ไม่เป็นปัญหาเพราะจะไม่ค่อยมีกลิ่น  ถึงจะมีบางส่วนที่จะปนเปื้อนอาหารอยู่บ้าง  แล้วการที่นำบางส่วนไปเป็นปุ๋ยให้ต้นไม้แล้ว  ปริมาณขยะก็ลดลง  ขณะที่บ้านอื่น ๆ มีปัญหาเวลาที่การเก็บขยะทิ้งช่วงไป  บ้านดิฉันทั้ง ๆ ที่มีคนอยู่กันหลายคน  พอทำวิธีนี้แล้วไม่มีปัญหาเลย  แถมต้นไม้ที่บ้านก็งามดีโดยไม่ต้องเสียสตังคซื้อปุ๋ย

ขยะประเภทที่ 3  นี้สามารถแยกโดยละเอียดไปได้อีกนะคะ  อย่างเช่น ถุงพลาสติกจากร้านค้าต่าง ๆ ดิฉันก็จะแยกที่สะอาดสภาพยังดีอยู่เก็บไว้ให้ร้านค้าเล็ก ๆ ในหมู่บ้าน หนังยาง หรือยางวง(ภาษาทางเหนือ)ก็เก็บไว้ใช้รัดของต่าง ๆ ในบ้าน  เยอะเกินใช้ก็เอาไปให้ร้านก๋วยเตี๋ยวในหมู่บ้าน  เวลาเอาไปให้ใหม่ ๆ เขาก็งง ๆ เหมือนกันนะคะ  แต่ยามนี้คนเริ่มเห็นคุณค่าของการประหยัดเล็กประหยัดน้อย  แล้วที่น่าสนใจก็คือ  พอมีคนเห็นว่าของแบบนี้ก็เอามาให้กันได้  มีประโยชน์ มีคนทำ ก็มีคนกล้าทำต่อ ๆ ไปค่ะ  เหมือนว่าคิดอยู่เหมือนกันแต่ไม่กล้าทำอะไรอย่างนั้นค่ะ

ทั้งหมดทั้งสิ้นนี้  เพียงเชิญชวนตามความสะดวกของแต่ละท่านนะคะ  หรือท่านอื่น ๆ อาจจะมีเรื่องเล็ก ๆ ที่เราทำได้อีกมาเพิ่มเติมก็ดีนะคะ


กระทู้: โลกร้อน
เริ่มกระทู้โดย: pipat ที่ 22 ต.ค. 07, 00:03
อ่านความเห็นของป้ากุนแล้วซำบายเจย
บางอย่างผมก็ทำไม่ได้ ไม่ค่อยมีวินัย อย่างพวกถุงปลาสติค

เคยคุยกับคนที่รู้เรื่องกระดาษ
เขาต่อต้านการรีไซเกิ้ลกระดาษ ผมก้องง
เขาบอกว่า การรีไซเกิ้ลนั่นแหละ ตัวทำลายโลกเลย เพราะต้องฟอกและย่อยให้กลายเป็นเยื่อกระดาษ
เคมีขนาดหนัก

ส่วนการทำกระดาษ กลับกลายเป็นสะอาดกว่า
ผมชอบใจความคิดของพวกสแกนดิเนเวีย ที่อุดหนุนการใช้ไม้ เขาบอกว่า ตัดไปเท่าไรก็ปลูกคืนได้หมด
แต่ซีเมนต์นี่สิ หมดแล้วหมดเลย
ผมก็นึกถึงเทือกเขางูขึ้นมาทันที ไม่รู้จะเหลืออยู่สักเท่าไร จำได้ว่า หลายปีก่อนผ่านสระบุรี...โอ้โห นรกของจริงเลย
มีแต่ฝุ่นจากการระเบิดภูเขา และการทำปูน....ทนกันอยู่ได้งัย

เอารูปดับร้อนมาฝากครับ ฝีมือครูผมเอง


กระทู้: โลกร้อน
เริ่มกระทู้โดย: agree ที่ 22 ต.ค. 07, 08:04
ระบบขนส่งมวลชนก็ดีนะครับ ถ้าจะไปไหนก็ไปด้วยกัน พร้อมกัน จะได้ไม่สิ้นเปลืองน้ำมันและเกิดไอเสียที่ออกมาจากท่อไอเสีย ดีกว่าต้องต่างคนต่างขับกัน เปลืองน้ำมันเยอะกว่าอีก

แต่ถ้าจำเป็นจริง ๆ ก็ต้องขับรถยนต์ไปแต่ควรใช้ด้วยความจำเป็น ถ้าจะไปที่ที่อยู่ใกล้บ้านก็ไม่ต้องขับรถไป เดินไปดีกว่า ไม่เปลืองน้ำมัน

ปล.เอาน้ำกระเจี๊ยบไปดื่มคลายร้อนครับ  :D


กระทู้: โลกร้อน
เริ่มกระทู้โดย: CrazyHOrse ที่ 22 ต.ค. 07, 09:30
เรื่องฝนเหลืองหน่อยของคุณติบอ

อันนี้มะกันไม่ก้าวหน้าเท่าพี่ไทยเลย อยากโชว์ว่าฝนเหลืองชัวร์ ทำได้ง่ายๆแบบโชว์กินไก่สนามหลวงไงครับ เอานักการเมือง นักการทหาร นักวิทยาศาสตร์ หรือนักอะไรก็ตามที่มั่นใจว่าฝนเหลืองปลอดภัย มาโชว์เอาฝนเหลืองละลายน้ำพ่นสเปรย์ใส่แบบอาบน้ำกลางแจ้ง

ทำแค่นี้เด็กนักเรียนก็ไม่ต้องมาสงสัยว่าใครขี้ฮกแล้ว ซำบายมั่ก  ;D


กระทู้: โลกร้อน
เริ่มกระทู้โดย: เทาชมพู ที่ 22 ต.ค. 07, 09:37
ได้ fw mail มาค่ะ 

'โหรโสรัจจะ' ยืนยันปีหน้าคนไทยได้ดูหิมะแน่ เหตุสามดาวทำมุมวิกฤต ย้ำเจอภัยธรรมชาติหนักทั้งแผ่นดินไหว พายุ น้ำท่วม ด้านอธิบดีกรมอุตุฯ ยันเป็นไปได้ยาก โอกาสเกิดน้อยมาก แต่ยอมรับเคยเกิดที่พม่า ไม่วางใจจับตาสภาพอากาศวิปริต

คำทำนาย 'โหรโสรัจจะ' ใกล้เคียงกับผลวิจัยของนักวิชาการ
 
จากกรณีที่ก่อนหน้านี้ที่ดร.อานนท์ สนิทวงศ์ ณ อยุธยา ผู้อำนวยการศูนย์เครือข่ายงานวิเคราะห์วิจัยและฝึกอบรม การเปลี่ยนแปลงของโลกในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ออกมาระบุว่า ปรากฏการณ์ลานีญาปีนี้แรงมากที่สุดในรอบ 30 ปี และทำให้ไทยมีอากาศหนาวหนักที่สุด
 
ทั้งนี้ พบว่าผลวิจัยดังกล่าวตรงกับคำทำนายของ 'โหรโสรัจจะ นวลอยู่' ซึ่งได้ทำนายไว้ในหนังสือ 'ศาสตร์แห่งโหร' ปี 2551ของสำนักพิมพ์'มติชน' ที่ระบุว่า
'...ส่วนสยามประเทศ ปีชวด 2551 นี้ จะเป็นปีแห่งความอาเพศ ในปลายปีชวด 2551 นี้ จะเกิดปรากฏการณ์ทางธรรมชาติที่น่าแปลกมหัศจรรย์ จะเกิด 'หิมะตก' ในเมืองไทยไปทั่วทางภาคเหนือและอีสานบางส่วน ประชาชนทั้งคนไทยและทั่วโลกตื่นตกใจแทบช็อก เพราะไม่เคยเห็นปรากฏการณ์เช่นนี้มาก่อนเลย
แต่จริงๆ แล้ว ในทางโหราศาสตร์ไทยถือว่าเป็นอาเพศ เป็นลางร้ายที่จะเกิดมหันตภัยตามมาไม่หยุดหย่อน ทั้งทางธรรมชาติ บุคคล การเมือง การปกครอง วัฒนธรรมประเพณี ความเป็นอยู่แบบไทยๆ เราก็จะเปลี่ยนแปลงไป...'
 
ย้ำ 3 ดาวทำมุมวิกฤต ส่งผล 'หิมะตก'
 
นายโสรัจจะ นวลอยู่ หรือ โหรโสรัจจะ ให้สัมภาษณ์เพิ่มเติมว่า มีความเป็นไปได้ว่า ปีหน้า เมืองไทยจะมีหิมะตก เพราะเท่าที่วิเคราะห์แล้วพบว่า มีดวงดาวสามดวงที่ทำมุมกันอย่างไม่เคยปรากฎมาก่อน ทำให้ปลายปีหน้าไทยอาจจะมีหิมะเกิดขึ้น คือสามดาวใหญ่จะทำมุมกันแบบวิกฤต ทั้งดาวพฤหัส ดาวเสาร์ และราหู ทำให้มีแนวโน้มว่าอาจทำให้เกิดภาวะธรรมชาติวิปริต สอดคล้องกับวงการวิทยาศาสตร์เหมือนกัน
 
'ดาวพฤหัสบดี ซึ่งตอนนี้อยู่ในราศีพิจิกจะเขยิบย้ายไปอยู่ราศีธนู ขณะที่ราหูจะยังอยู่ในราศีกุมภ์ ส่วนดาวเสาร์ก็จะยังอยู่ในราศีสิงห์ ตรงนี้ถือว่า กระทบต่อโลกและเมืองไทยโดยตรง เพราะเป็นการจรของดวงดาวในมุมอับ ซึ่งตรงกับดวงเมืองลัคนาของไทย เพราะดาวพฤหัสซึ่งดาวเกี่ยวกับน้ำจะย้ายไปอยู่ราศีธนูในเดือนพฤศจิกายนนี้ ขณะที่ราหูจะโคจรจากราศีกุมภ์ไปยังราศีมีน ถือเป็นจุดตรึงเมืองไทย หรือเหมือนเจอมุมกากบาท ซึ่งเป็นปรากฏการณ์ที่เกี่ยวกับดินฟ้าอากาศโดยตรง คือเมืองไทยเราจะเจอภาวะอากาศหนาวจัด ตรงนี้ก็อาจสอดคล้องกับปรากฏการณ์วิทยาศาสตร์เรื่องน้ำแข็งขั้วโลกละลาย ทั้งหมดนี้เป็นผลพวงจากปลายปีนี้ ซึ่งอากาศเมืองไทยเริ่มหนาวมาก โดยดาวพฤหัสจะเริ่มย้ายเข้าสู่ราศีธนูในเดือนพฤศจิกายนนี้แล้ว ' โหรโสรัจจะกล่าว
 
เมื่อถามย้ำว่า แล้วจะเกิดหิมะขึ้นในเมืองไทยจริงหรือไม่ โหรชื่อดังกล่าวว่า อาจเป็นลักษณะเป็นเกร็ดน้ำแข็งมากกว่า แต่เป็นปรากฎการณ์ที่จะเรียกว่าจะบ่อยครั้งขึ้นในเมืองไทยหรือทุก ๆ 1 หรือ 2 ปี จากเดิมที่เกิดแบบ 3 ทศวรรษครั้ง
 
ปีหน้าหนัก ทั้งแผ่นดินไหว พายุ น้ำท่วม
 
โหรโสรัจจะ ยังกล่าวว่า นอกจากนี้ มีความเป็นไปได้ว่าปีหน้าจะเกิดภัยธรรมชาติอย่างรุนแรง ๆ เช่น พายุ อุทกภัย หรือน้ำท่วมในบางแห่ง เรียกว่าเป็นภัยรุนแรงเกี่ยวกับน้ำ คน และมหาสมุทร โดยเฉพาะในช่วงที่ปลายปีหน้า ดาวพฤหัสจะเขยิบจะไปอยู่ราศีมังกร ตรงนี้เกี่ยวกับไทยโดยตรง เพราะทำฉากกับลัคนาของดวงเมืองไทย ส่วนราหูก็จะโคจรมารวมอยู่กับดาวพฤหัสด้วย ถือเป็นมุมเล็งกัน
 
'จากมุมวิกฤตของดวงดาวดังกล่าวตั้งแต่ปีนี้จนถึงปีหน้า ไทยอาจะต้องเจอภัยธรรมชาติอื่นๆ เช่น แผ่นดินไหวในบางพื้นที่ หรือสึนามิใต้ทะเล ดินถล่ม รวมทั้งเรื่องแผ่นดินไหว ที่คาดว่าอาจเกิดขึ้นในช่วงเดือนเมษา เพราะอิทธิพลของราหูที่ย้ายเข้าราศีมังกร' โหรโสรัจจะ กล่าว
 
อธิบดีกรมอุตุ รับเคยมีหิมะตกที่พม่า
 
ด้านนายศุภฤกษ์ ตันศรีรัตนวงค์ อธิบดีกรมอุตุนิยมวิทยา กล่าวถึงสภาวะอากาศที่แปรปรวนบ่อย โดยคาดว่า จะเป็นช่วงที่อากาศหนาวที่สุดในรอบ 30 ปี ว่า ในขณะนี้ถือได้ว่ามีปรากฏการณ์ลานีญาเกิดขึ้น ซึ่งเป็นแบบอ่อนๆ ยังไม่มากนัก และจะเป็นต่อเนื่องไปจนถึงปี 2551 และหากประกอบกับมีมวลอากาศเย็นจากประเทศจีน ก็จะทำให้อุณหภูมิลดต่ำลง 1-2 องศาเซลเซียสในภาคเหนือและภาคอีสาน ซึ่งน่าจะสนับสนุนกับแนวคิดของนักวิชาการที่เคยระบุไปก่อนหน้านี้
 
ระบุหิมะที่เมืองไทย เป็นไปได้ยาก
 
เมื่อถามว่าจะเป็นไปได้หรือไม่ว่าอาจจะมีหิมะตกที่เมืองไทย อธิบดีกรมอุตุนิยม กล่าวว่า เป็นไปไม่ได้ คงเป็นเรื่องยากมากทีเดียว แต่ถ้าในภูมิภาคเดียวกันก็เคยเกิดที่ทางเหนือของประเทศพม่า ใกล้กับประเทศจีน เคยมีหิมะตกบ้าง แต่ก็ไม่ได้บ่อยนัก สำหรับบ้านเราอย่างมากก็มีแค่แม่คะนิ้ง
 
'กรณีที่จะเกิดหิมะตกได้จะต้องมีอุณหภูมลบต่ำกว่าศูนย์องศามากๆ ก็อาจจะทำให้เกิดเป็นลักษณะของเกร็ดหิมะได้ แต่ที่ผ่านมาประวัติศาสตร์เมืองไทยไม่เคยปรากฏ'
เมื่อถามย้ำว่าหากเกิดหิมะตกในเมืองไทยจริงจะหมายความว่าสภาพอากาศของประเทศเกิดวิกฤตแล้วใช่หรือไม่ นายศุภฤกษ์ กล่าวว่า ก็ยังไม่เรียกได้ว่าวิกฤต เป็นเพียงสภาพอากาศที่เปลี่ยนแปลงไปเท่านั้น แต่อย่างไรก็ตามกรมอุตุฯาก็ต้องติดตามต่อไปว่าสภาพอากาศจะเปลี่ยนไปมากน้อยแค่ไหน เป็นสิ่งที่ต้องจับตาอยู่แล้ว
มติชน -

เอ หิมะตกนี่ ถ้าบนยอดดอยอินทนนท์หรือที่เชียงราย อุณหภูมิต่ำไม่ต้องถึงศูนย์ด้วยซ้ำ ละอองน้ำก็กลายเป็นฝอยหิมะ เป็นไปได้ไหมคะ
ไม่ได้หมายความว่าหิมะจะตกในกรุงเทพ หรือภาคกลาง ภาคอีสานและภาคใต้
 



กระทู้: โลกร้อน
เริ่มกระทู้โดย: agree ที่ 22 ต.ค. 07, 09:48
ได้ fw mail มาค่ะ 

'โหรโสรัจจะ' ยืนยันปีหน้าคนไทยได้ดูหิมะแน่ เหตุสามดาวทำมุมวิกฤต ย้ำเจอภัยธรรมชาติหนักทั้งแผ่นดินไหว พายุ น้ำท่วม ด้านอธิบดีกรมอุตุฯ ยันเป็นไปได้ยาก โอกาสเกิดน้อยมาก แต่ยอมรับเคยเกิดที่พม่า ไม่วางใจจับตาสภาพอากาศวิปริต

คำทำนาย 'โหรโสรัจจะ' ใกล้เคียงกับผลวิจัยของนักวิชาการ
 
จากกรณีที่ก่อนหน้านี้ที่ดร.อานนท์ สนิทวงศ์ ณ อยุธยา ผู้อำนวยการศูนย์เครือข่ายงานวิเคราะห์วิจัยและฝึกอบรม การเปลี่ยนแปลงของโลกในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ออกมาระบุว่า ปรากฏการณ์ลานีญาปีนี้แรงมากที่สุดในรอบ 30 ปี และทำให้ไทยมีอากาศหนาวหนักที่สุด
 
ทั้งนี้ พบว่าผลวิจัยดังกล่าวตรงกับคำทำนายของ 'โหรโสรัจจะ นวลอยู่' ซึ่งได้ทำนายไว้ในหนังสือ 'ศาสตร์แห่งโหร' ปี 2551ของสำนักพิมพ์'มติชน' ที่ระบุว่า
'...ส่วนสยามประเทศ ปีชวด 2551 นี้ จะเป็นปีแห่งความอาเพศ ในปลายปีชวด 2551 นี้ จะเกิดปรากฏการณ์ทางธรรมชาติที่น่าแปลกมหัศจรรย์ จะเกิด 'หิมะตก' ในเมืองไทยไปทั่วทางภาคเหนือและอีสานบางส่วน ประชาชนทั้งคนไทยและทั่วโลกตื่นตกใจแทบช็อก เพราะไม่เคยเห็นปรากฏการณ์เช่นนี้มาก่อนเลย
แต่จริงๆ แล้ว ในทางโหราศาสตร์ไทยถือว่าเป็นอาเพศ เป็นลางร้ายที่จะเกิดมหันตภัยตามมาไม่หยุดหย่อน ทั้งทางธรรมชาติ บุคคล การเมือง การปกครอง วัฒนธรรมประเพณี ความเป็นอยู่แบบไทยๆ เราก็จะเปลี่ยนแปลงไป...'
 
ย้ำ 3 ดาวทำมุมวิกฤต ส่งผล 'หิมะตก'
 
นายโสรัจจะ นวลอยู่ หรือ โหรโสรัจจะ ให้สัมภาษณ์เพิ่มเติมว่า มีความเป็นไปได้ว่า ปีหน้า เมืองไทยจะมีหิมะตก เพราะเท่าที่วิเคราะห์แล้วพบว่า มีดวงดาวสามดวงที่ทำมุมกันอย่างไม่เคยปรากฎมาก่อน ทำให้ปลายปีหน้าไทยอาจจะมีหิมะเกิดขึ้น คือสามดาวใหญ่จะทำมุมกันแบบวิกฤต ทั้งดาวพฤหัส ดาวเสาร์ และราหู ทำให้มีแนวโน้มว่าอาจทำให้เกิดภาวะธรรมชาติวิปริต สอดคล้องกับวงการวิทยาศาสตร์เหมือนกัน
 
'ดาวพฤหัสบดี ซึ่งตอนนี้อยู่ในราศีพิจิกจะเขยิบย้ายไปอยู่ราศีธนู ขณะที่ราหูจะยังอยู่ในราศีกุมภ์ ส่วนดาวเสาร์ก็จะยังอยู่ในราศีสิงห์ ตรงนี้ถือว่า กระทบต่อโลกและเมืองไทยโดยตรง เพราะเป็นการจรของดวงดาวในมุมอับ ซึ่งตรงกับดวงเมืองลัคนาของไทย เพราะดาวพฤหัสซึ่งดาวเกี่ยวกับน้ำจะย้ายไปอยู่ราศีธนูในเดือนพฤศจิกายนนี้ ขณะที่ราหูจะโคจรจากราศีกุมภ์ไปยังราศีมีน ถือเป็นจุดตรึงเมืองไทย หรือเหมือนเจอมุมกากบาท ซึ่งเป็นปรากฏการณ์ที่เกี่ยวกับดินฟ้าอากาศโดยตรง คือเมืองไทยเราจะเจอภาวะอากาศหนาวจัด ตรงนี้ก็อาจสอดคล้องกับปรากฏการณ์วิทยาศาสตร์เรื่องน้ำแข็งขั้วโลกละลาย ทั้งหมดนี้เป็นผลพวงจากปลายปีนี้ ซึ่งอากาศเมืองไทยเริ่มหนาวมาก โดยดาวพฤหัสจะเริ่มย้ายเข้าสู่ราศีธนูในเดือนพฤศจิกายนนี้แล้ว ' โหรโสรัจจะกล่าว
 
เมื่อถามย้ำว่า แล้วจะเกิดหิมะขึ้นในเมืองไทยจริงหรือไม่ โหรชื่อดังกล่าวว่า อาจเป็นลักษณะเป็นเกร็ดน้ำแข็งมากกว่า แต่เป็นปรากฎการณ์ที่จะเรียกว่าจะบ่อยครั้งขึ้นในเมืองไทยหรือทุก ๆ 1 หรือ 2 ปี จากเดิมที่เกิดแบบ 3 ทศวรรษครั้ง
 
ปีหน้าหนัก ทั้งแผ่นดินไหว พายุ น้ำท่วม
 
โหรโสรัจจะ ยังกล่าวว่า นอกจากนี้ มีความเป็นไปได้ว่าปีหน้าจะเกิดภัยธรรมชาติอย่างรุนแรง ๆ เช่น พายุ อุทกภัย หรือน้ำท่วมในบางแห่ง เรียกว่าเป็นภัยรุนแรงเกี่ยวกับน้ำ คน และมหาสมุทร โดยเฉพาะในช่วงที่ปลายปีหน้า ดาวพฤหัสจะเขยิบจะไปอยู่ราศีมังกร ตรงนี้เกี่ยวกับไทยโดยตรง เพราะทำฉากกับลัคนาของดวงเมืองไทย ส่วนราหูก็จะโคจรมารวมอยู่กับดาวพฤหัสด้วย ถือเป็นมุมเล็งกัน
 
'จากมุมวิกฤตของดวงดาวดังกล่าวตั้งแต่ปีนี้จนถึงปีหน้า ไทยอาจะต้องเจอภัยธรรมชาติอื่นๆ เช่น แผ่นดินไหวในบางพื้นที่ หรือสึนามิใต้ทะเล ดินถล่ม รวมทั้งเรื่องแผ่นดินไหว ที่คาดว่าอาจเกิดขึ้นในช่วงเดือนเมษา เพราะอิทธิพลของราหูที่ย้ายเข้าราศีมังกร' โหรโสรัจจะ กล่าว
 
อธิบดีกรมอุตุ รับเคยมีหิมะตกที่พม่า
 
ด้านนายศุภฤกษ์ ตันศรีรัตนวงค์ อธิบดีกรมอุตุนิยมวิทยา กล่าวถึงสภาวะอากาศที่แปรปรวนบ่อย โดยคาดว่า จะเป็นช่วงที่อากาศหนาวที่สุดในรอบ 30 ปี ว่า ในขณะนี้ถือได้ว่ามีปรากฏการณ์ลานีญาเกิดขึ้น ซึ่งเป็นแบบอ่อนๆ ยังไม่มากนัก และจะเป็นต่อเนื่องไปจนถึงปี 2551 และหากประกอบกับมีมวลอากาศเย็นจากประเทศจีน ก็จะทำให้อุณหภูมิลดต่ำลง 1-2 องศาเซลเซียสในภาคเหนือและภาคอีสาน ซึ่งน่าจะสนับสนุนกับแนวคิดของนักวิชาการที่เคยระบุไปก่อนหน้านี้
 
ระบุหิมะที่เมืองไทย เป็นไปได้ยาก
 
เมื่อถามว่าจะเป็นไปได้หรือไม่ว่าอาจจะมีหิมะตกที่เมืองไทย อธิบดีกรมอุตุนิยม กล่าวว่า เป็นไปไม่ได้ คงเป็นเรื่องยากมากทีเดียว แต่ถ้าในภูมิภาคเดียวกันก็เคยเกิดที่ทางเหนือของประเทศพม่า ใกล้กับประเทศจีน เคยมีหิมะตกบ้าง แต่ก็ไม่ได้บ่อยนัก สำหรับบ้านเราอย่างมากก็มีแค่แม่คะนิ้ง
 
'กรณีที่จะเกิดหิมะตกได้จะต้องมีอุณหภูมลบต่ำกว่าศูนย์องศามากๆ ก็อาจจะทำให้เกิดเป็นลักษณะของเกร็ดหิมะได้ แต่ที่ผ่านมาประวัติศาสตร์เมืองไทยไม่เคยปรากฏ'
เมื่อถามย้ำว่าหากเกิดหิมะตกในเมืองไทยจริงจะหมายความว่าสภาพอากาศของประเทศเกิดวิกฤตแล้วใช่หรือไม่ นายศุภฤกษ์ กล่าวว่า ก็ยังไม่เรียกได้ว่าวิกฤต เป็นเพียงสภาพอากาศที่เปลี่ยนแปลงไปเท่านั้น แต่อย่างไรก็ตามกรมอุตุฯาก็ต้องติดตามต่อไปว่าสภาพอากาศจะเปลี่ยนไปมากน้อยแค่ไหน เป็นสิ่งที่ต้องจับตาอยู่แล้ว
มติชน -

เอ หิมะตกนี่ ถ้าบนยอดดอยอินทนนท์หรือที่เชียงราย อุณหภูมิต่ำไม่ต้องถึงศูนย์ด้วยซ้ำ ละอองน้ำก็กลายเป็นฝอยหิมะ เป็นไปได้ไหมคะ
ไม่ได้หมายความว่าหิมะจะตกในกรุงเทพ หรือภาคกลาง ภาคอีสานและภาคใต้
 



อ่านไปอ่านมา พอเจอบรรทัดสุดท้าย เศร้าเลย.................:'(

งั้นต้องไปที่ยอดดอยอินทนนท์ซะแล้ว เพื่อจะได้เห็นหิมะ



กระทู้: โลกร้อน
เริ่มกระทู้โดย: Bana ที่ 23 ต.ค. 07, 21:36
ถ้ามองในแง่ดี  การรณรงค์ของคุณกอร์  ทำให้โลกตื่นตัวกันจนเกิดการวิพากษ์วิจารณ์กันกว้างขวาง  นับว่าสำเร็จระดับดีทีเดียว  เพราะการโฆษณาประชาสัมพันธ์ในยุคนี้  มีอิทธิพลมากต่อเจตคติของมนุษยชาติ  อาจมีบางส่วนดูโอเวอร์หรือขู่มากไปนิด  แต่ก็ดีในการกระตุ้นต่อมสำนึกแบบคุณ Agree ว่ามา  เห็นไม๊แม้แต่วงการโหราศาสตร์ก็ตระหนักในเรื่องการประชาสัมพันธ์  ทุกเรื่องสิน่าท่านต้องมีเอี่ยวตลอด  พรรคพวกที่โน่นเมืองมะกันบอกว่าคุณกอร์แกฮอตใช้ได้เลยชั่วโมงนี้  ขนาดที่ว่าแคนดิเดตท่านผู้นำสมัยหน้าของเมืองมะกันเลยทีเดียว
ส่วนเรื่องท่านหมวดวิชัย  ก็กระตุ้นไม่น้อยครับปลูกฝังการรักการปลูกต้นไม้เยอะเลย  ท่านเคยมาเป็นวิทยากรพิเศษที่จังหวัดผมด้วย  ท่านเป็นคนเรียบง่ายแต่ยิ่งใหญ่จริงๆ  ตัวผมเองได้ทราบเรื่องท่านครั้งแรกในรายการของทีวีบูรพา  ต้องขอขอบพระคุณมา  ณ  ที่นี้ด้วย  แต่ก่อนผมเคยกลัวการปลูกต้นมะพร้าวมาก  เพราะทางบ้านผมเค้าถือกันว่า  ถ้าปลูกมะพร้าวเวลามันโตมีลูกจะได้มาล้างหน้าคนปลูก  อย่าพึ่งขำกันนะครับเป็นเรื่องที่เค๊าถือกันจริงๆ  แต่ปัจจุบันนี้ความเชื่อเหล่านั้นหายไปมากแล้วครับ  ผมยังลงมะพร้าวน้ำหอมที่ได้มาจากสามพรานไปตั้งหลายต้น  ใกล้จะได้กินแล้วครับมีความสุขจังเวลาจะได้เห็นคนมารับประโยชน์จากสิ่งที่เราปลูกกับมือและหมั่นฟูมฟักมา
ในฐานะสายเลือดเกษตรกรร้อยเปอร์เซ็นต์  ยอมรับว่าฤดูกาลแปลกไป  หรือเรียกแบบท่านพิพัฒน์ก็ได้ว่า  ฝนฟ้าไม่ค่อยตกต้องตามฤดูกาลเท่าไหร่  หน้าหนาวก็รู้สึกว่าสั้นลง  แม้มีระบบชลประทานมาช่วยบ้างก็ไม่ดีเหมือนธรรมชาติ  ดังนั้นสิ่งสำคัญที่สุดเวลานี้ขอสนับสนุนความเห็นของคุณ Agree เรามาปลูกต้นไม้กันเถอะปลูกเยอะๆเลย  ให้รางวัลตัวเองและโลกด้วยวิธีนี้ดีที่สุดดับร้อนกายและใจได้ชงัดนักแล......... ;)


กระทู้: โลกร้อน
เริ่มกระทู้โดย: pipat ที่ 23 ต.ค. 07, 22:25
มีนิยายดังเรื่องหนึ่ง คนปลูกต้นไม้
คงจำกันได้

เขาแต่งให้ปัญหาทุกอย่าง ไม่ว่าเล็กว่าใหญ่ สรุปลงที่การปลูกต้นไม้ได้หมด
ว่าไปแล้ว

ปลูกต้นไม้นี่แหละ ยาสารพัดขจัดพิษ ตัวจริงของแท้รับประกันได้


กระทู้: โลกร้อน
เริ่มกระทู้โดย: ติบอ ที่ 23 ต.ค. 07, 23:58
เรื่องฝนเหลืองหน่อยของคุณติบอ

อันนี้มะกันไม่ก้าวหน้าเท่าพี่ไทยเลย อยากโชว์ว่าฝนเหลืองชัวร์ ทำได้ง่ายๆแบบโชว์กินไก่สนามหลวงไงครับ เอานักการเมือง นักการทหาร นักวิทยาศาสตร์ หรือนักอะไรก็ตามที่มั่นใจว่าฝนเหลืองปลอดภัย มาโชว์เอาฝนเหลืองละลายน้ำพ่นสเปรย์ใส่แบบอาบน้ำกลางแจ้ง

ทำแค่นี้เด็กนักเรียนก็ไม่ต้องมาสงสัยว่าใครขี้ฮกแล้ว ซำบายมั่ก  ;D



เนาะๆ




ปล. แอบมาเนาะๆ โหน่ย..... ช๊อบบบ ชอบ คำตอบของคุณ CrazyHOrse จัง


กระทู้: โลกร้อน
เริ่มกระทู้โดย: ศรีปิงเวียง ที่ 24 ต.ค. 07, 11:42
1.ขอเท้าความถึงเรื่องฝนเหลืองนะครับ
เห็นมีคนยกอุทาหรณ์เรื่องฝนเหลืองว่า คนมักจะเชื่อตามฝา...หรั่งกันจริงๆ
ก็เลยสงสัยว่า ฝนเหลืองดูท่าจะปลิดขั้วได้ไม่รุนแรงเนอะ
มีคนทุกข์ทรมานจากฝนเหลืองในเวียตนามเป็นล้านๆ คน


หกปีที่แล้ว ในคาบเรียนวิชาชีวะวิทยา
อาจารย์ผู้สอนเคยพุดถึงเรื่องผนเหลือง
ว่าเป็นฮอร์โมนพืชที่มีผลในการปลิดขั้วใบพืชใบเลี้ยงคู่
ซึ่งเป็นสารชนิดเดียวกับที่ใช้ยาฆ่าหญ้าชนิดที่เป็นใบเลี้ยงคู่ในปัจจุบัน
ซึ่งถ้าเป็นอย่างนั้นจริง สารเคมีชนิดนี้ไม่น่าจะมีผลกับผิวคน

ลองดูในลิงก์ข้างล่างนี้ ก็จะเข้าใจว่า...พวกนั้นจะยอมไปกินไก่ เอ๊ย อาบฝนเหลืองหรือเปล่าครับ ;D
http://web.ku.ac.th/schoolnet/snet6/envi5/yellowrain/rainn.htm
เห็นว่าคดีฝนเหลือง ศาลกำลังพิจาณาอยู่ครับ
2. ผมว่า นโยบายของรัฐก็มีส่วนในการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกสู่บรรยากาศ เช่นเดียวกับที่เราทำอยู่ครับ
ที่มะกันไม่สำเร็จ ก็เพราะอะไร ก็น่าจะรู้กันดีอยู่ครับ


กระทู้: โลกร้อน
เริ่มกระทู้โดย: SILA ที่ 24 ต.ค. 07, 13:55
         ได้อ่านบทความ  ปรากฏการณ์ราโชมอน (The Rashomon Effect) กับปฐมเหตุแห่งวิกฤตโลกร้อน

โดย ศิวัช พงษ์เพียจันทร์ หน่วยวิจัยชีวธรณีเคมีและการเปลี่ยนแปลงสิ่งแวดล้อม คณะการจัดการสิ่งแวดล้อม มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์

จากนสพ.มติชนฉบับวันอาทิตย์ที่ ๒๑ ต.ค. นี้  เห็นว่าน่าสนใจครับ

           http://matichon.co.th/matichon/matichon_detail.php?s_tag=01fun09211050&day=2007-10-21&sectionid=0140

            คุณศิวัชกล่าวถึง rashomon effect ที่มีที่มาจากนิยาย-หนังญี่ปุ่นที่เป็นที่รู้จักกันดี ฝรั่งนำไปใช้ในความหมายเกี่ยวกับข้อมูล(เรื่องเดียวกัน
แต่ต่างคนเล่า) แล้วนำเสนอข้อมูลเรื่องโลกร้อนจากอีกด้านหนึ่งซึ่งถือว่าเป็นปรากฏการณ์ตามธรรมชาติอยู่เดิมแล้ว ก่อนที่จะจบลงด้วยหลักธรรมทางพุทธศาสนา

           
           คุณศิวัชปูพื้น ราโชมอน นิยายเอกของญี่ปุ่น

"  คือเรื่องราวการไต่สวนคดีฆาตกรรมและข่มขืนโดยมีตัวละครเอกสี่คน ได้แก่ จอมโจรผู้ตกเป็นจำเลยสังคมในคดีฆาตกรรมซามูไรผู้สูงศักดิ์ ภรรยาสาวของซามูไร
ผู้ซึ่งอ้างว่าถูกขืนใจโดยจอมโจร คนตัดไม้ผู้เห็นเหตุการณ์ทั้งหมด และวิญญาณของซามูไรผู้ถูกฆาตกรรม โดยการติดต่อผ่านร่างทรง
           สิ่งที่น่าสนใจคือ คำให้การของตัวละครทั้งสี่ที่ดูเหมือนจะขัดแย้งกันเองแต่แฝงเร้นไปด้วยอุบายอันแยบคาย จนทำให้ผู้อ่านไม่สามารถสรุปได้ว่า
            ใครคือฆาตกรที่แท้จริง "   ต่อมา
   
" Wendy D.Roth และ Jal D.Mehta จาก Harvard University ได้เปรียบเทียบ ปรากฏการณ์ราโชมอน (The Rashomon Effect) กับโศกนาฏกรรม
ที่เกิดขึ้นในสังคม เช่น คดีสังหารหมู่ในโรงเรียน Paducah, Kentucky และ Jonesboro, Arkansas ประเทศสหรัฐอเมริกา ซึ่งสะท้อนให้เห็นถึง
          ความขัดแย้งจากมุมมองที่แตกต่างของผู้เห็นเหตุการณ์ เหยื่อผู้รอดชีวิต และประชาชนในท้องถิ่น อันคล้ายกับคำให้การของตัวละครทั้งสี่ที่แตกต่างกันโดยสิ้นเชิง
           เป็นไปได้หรือไม่ที่ความจริง (The Truth) อาจไม่ได้มีเพียงหนึ่งเดียว แต่สามารถธำรงไว้ซึ่งเอกภาพและทวิภาพพร้อมกันในเวลาเดียว "

          อัล กอร์ได้รณรงค์ให้ตระหนักถึงภาวะวิกฤตโลกร้อนอันเป็นผลจากน้ำมือมนุษย์ แต่

" นักวิทยาศาสตร์อีกหลายกลุ่มเชื่อว่าภาวะโลกร้อนไม่ได้เกิดขึ้นด้วยน้ำมือมนุษย์เพียงอย่างเดียว
       จากผลวิเคราะห์ค่าของ Stable Oxygen Isotopes ในแท่งน้ำแข็งที่ขุดเจาะจากสถานี Vostok ในขั้วโลกใต้ พบว่า
           ในอดีตอุณหภูมิโลกได้มีการเปลี่ยนแปลงอยู่ตลอดอันเป็นที่มาของการเกิด ยุคน้ำแข็ง (Glacial Period) และช่วงอบอุ่นระหว่างยุคน้ำแข็ง (Interglacial Period)
ซึ่งแต่ละช่วงกินเวลายาวนานถึง 100,000 ปี
           และวัฏจักรนี้ได้เกิดขึ้นก่อนที่จะมีการปฏิวัติอุตสาหกรรมอันเป็นสาเหตุสำคัญของภาวะโลกร้อนที่เกิดจากฝีมือของมนุษย์

           ผลงานวิจัยชิ้นนี้สอดคล้องกับคำอธิบายของนักวิทยาศาสตร์ชาวเซอร์เบียชื่อ "มิลูติน มิลานโควิทช์" (Milutin Milankovitch; ค.ศ.1879-1958)
ซึ่งได้กล่าวถึงปัจจัย 3 ประการที่ทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงของสภาพภูมิอากาศโลก หรือ "วัฏจักรมิลานโควิทช์" คือ

1.การเปลี่ยนแปลงรูปร่างของวงโคจรโลกรอบดวงอาทิตย์ทุก 96,000 ปี เช่น จากวงรีเป็นวงกลมทำให้ระยะห่างระหว่างโลกกับดวงอาทิตย์ลดลง ส่งผลให้ปริมาณ
ของแสงอาทิตย์ที่กระทบชั้นบรรยากาศโลกเพิ่มมากขึ้น "ในเงื่อนไขนี้อุณหภูมิเฉลี่ยของโลกจะสูงขึ้น"

2.การส่ายของแกนโลกซึ่งมีลักษณะคล้ายกับการหมุนของลูกข่างทุก 21,000 ปี ส่งผลให้พื้นที่ผิวโลกแต่ละที่ได้รับพลังงานจากแสงอาทิตย์ไม่เท่ากัน

3.การเปลี่ยนองศาของแกนโลกกับระนาบของวงโคจรโลกรอบอาทิตย์ ซึ่งมีค่าอยู่ระหว่าง 21.5-24.5 องศา โดยมีคาบเวลาอยู่ที่ 41,000 ปี การเอียงของแกนโลก
ก่อให้เกิดความแตกต่างทางฤดูกาล
           ปัจจุบันแกนโลกเอียง 23.5 องศา และมีแนวโน้มที่จะเอียงมากขึ้นทำให้บริเวณที่ใกล้กับขั้วโลกได้รับแสงอาทิตย์มากขึ้นในฤดูร้อนและน้อยลงในฤดูหนาว

           นอกจากนี้ จำนวนและพื้นที่ของจุดดำบนดวงอาทิตย์ (Sunspots) ยังมีอิทธิพลต่ออุณหภูมิโลก คือ ช่วงที่จำนวนของจุดดำเพิ่มมากขึ้น ปริมาณของแสงอาทิตย์
ที่กระทบกับชั้นบรรยากาศโลกจะลดลง โลกก็จะเย็นลง และ หากจำนวนของจุดดำลดลง โลกจะรับพลังงานแสงอาทิตย์มากขึ้น ส่งผลให้โลกร้อนขึ้น

           เหล่านี้เป็นสิ่งที่เกิดขึ้นเองตามธรรมชาติจึงเป็นการยากที่จะตัดสินว่าวิกฤตโลกร้อนที่เกิดขึ้นในปัจจุบันมีสาเหตุมาจากมนุษย์เพียงอย่างเดียว

          แต่ ความจริงข้อหนึ่งที่ไม่มีใครปฏิเสธได้คือ ตลอดระยะเวลา 400,000 ปีที่ผ่านมา ไม่เคยมีช่วงไหนที่ระดับความเข้มข้นของก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์
ในชั้นบรรยากาศ มีค่าสูงเกิน 280 ppmv (part per million by volume)
         มนุษย์ใช้เวลาเพียง 200 ปี ในการเพิ่มความเข้มข้นของก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ให้มีค่าสูงขึ้นถึง 35% โดยปัจจุบันมีค่าอยู่ที่ 380 ppmv "

ในตอนท้ายคุณศิวัชเชื่อว่า

" ความขัดแย้งในปฐมเหตุแห่งวิกฤตโลกร้อนจะยุติลงได้ก็ต่อเมื่อทุกฝ่ายต่างพิจารณาปัญหาด้วยเหตุ (Cause) และปัจจัย (Factor) ตามหลักคำสอนของพระพุทธเจ้า
ที่เรียกว่า" "อธิปัจจัยตา" หรือ "ปฏิจจสมุปบาท" นั้น

           "คือการมองสิ่งต่างๆ ที่เกิดขึ้นอย่างมีความสัมพันธ์และต่อเนื่องเป็นปฏิกิริยาลูกโซ่ ดังพุทธภาษิตที่กล่าวไว้ว่า
                        "เพราะสิ่งนี้มีสิ่งนี้จึงมี เพราะสิ่งนี้เกิดสิ่งนี้จึงเกิด เพราะสิ่งนี้ดับสิ่งนี้จึงดับ""

         "วัฏจักรมิลานโควิทช์" มีอยู่แล้วตามธรรมชาติหรือเป็นกฎธรรมชาติในขณะที่ "มนุษย์" เปรียบเสมือนปัจจัยเสริม (Co-Factors) ที่ทำให้วิกฤตโลกร้อนรุนแรงยิ่งขึ้น

           ไม่ว่าปฐมเหตุแห่งวิกฤตโลกร้อนจะเกิดขึ้นจากปัจจัยเดียวหรือผลกระทบจากหลายปัจจัย สิ่งที่ท้าทายมนุษยชาติคือการปล่อยวางอัตตา หรือ อีกนัยหนึ่งคือ
การหลีกเลี่ยงความขัดแย้งอันเกิดจาก "ปรากฏการณ์ราโชมอน" แล้วหันหน้าเข้ามาร่วมมือกันก่อนที่ทุกอย่างจะสายเกินเยียวยา "



กระทู้: โลกร้อน
เริ่มกระทู้โดย: pipat ที่ 24 ต.ค. 07, 15:23
http://www.antiwar.com/orig/austin.php?articleid=3838

คุณศิวัชคนนี้ น่าจะไปทำงานที่ดีทรอยต์
ม่ายก้อเป็นทีมที่ปรึกษาของบุชไปเลย


กระทู้: โลกร้อน
เริ่มกระทู้โดย: เทาชมพู ที่ 24 ต.ค. 07, 15:35
เคยอ่านราโชมอน  เลยงงๆว่ามันไม่เห็นจะเป็นอย่างที่คุณศิวัชว่าไว้เลย

อ้างถึง
เรื่องราวการไต่สวนคดีฆาตกรรมและข่มขืนโดยมีตัวละครเอกสี่คน ได้แก่ จอมโจรผู้ตกเป็นจำเลยสังคมในคดีฆาตกรรมซามูไรผู้สูงศักดิ์ ภรรยาสาวของซามูไร
ผู้ซึ่งอ้างว่าถูกขืนใจโดยจอมโจร คนตัดไม้ผู้เห็นเหตุการณ์ทั้งหมด และวิญญาณของซามูไรผู้ถูกฆาตกรรม โดยการติดต่อผ่านร่างทรง
           สิ่งที่น่าสนใจคือ คำให้การของตัวละครทั้งสี่ที่ดูเหมือนจะขัดแย้งกันเองแต่แฝงเร้นไปด้วยอุบายอันแยบคาย จนทำให้ผู้อ่านไม่สามารถสรุปได้ว่า  ใครคือฆาตกรที่แท้จริง "

ทำไมจะสรุปไม่ได้    เรื่องนี้มีคนโกหก ๓ คน พูดจริง ๑ คน   
 
ความจริงมีหนึ่งเดียว  เอกภาพและทวิภาพอะไรนั่น  ไม่จริงค่ะ


กระทู้: โลกร้อน
เริ่มกระทู้โดย: SILA ที่ 24 ต.ค. 07, 17:32

       เข้าใจว่าผู้เขียนหมายความว่า จากเรื่อง ราโชมอน ในตอนท้ายสุดที่คาดว่า เรื่องเล่าจากชายตัดฟืนผู้เห็นเหตุการณ์จะเป็นความจริงอย่างแน่นอน
แต่แล้วเขาก็ถูกจับได้ว่าเป็นผู้ขโมยของมาจากที่เกิดเหตุด้วย ทำให้ความจริงจากปากของเขาถูกลดความน่าเชื่อถือลงไปครับ

         
 
         


กระทู้: โลกร้อน
เริ่มกระทู้โดย: เทาชมพู ที่ 24 ต.ค. 07, 18:04
เคยอ่านราโชมอนฉบับแปลของม.ร.ว.คึกฤทธิ์ ปราโมช   จำได้ว่าชายตัดฟืนน่าจะเป็นคนเฉลยปริศนาว่าใครฆ่าซามูไรกันแน่     
เปิดกรุเอาดีวีดีหนังเก่าปี 1950 ที่โตชิโร มิฟูเน่เล่น มาดูอยู่ตอนนี้ค่ะ   เรื่องนี้ส่งชิงรางวัลออสการ์ด้วย
ได้รางวัลหนังต่างประเทศยอดเยี่ยม


กระทู้: โลกร้อน
เริ่มกระทู้โดย: pipat ที่ 24 ต.ค. 07, 19:55
ความจริงกับความน่าเชื่อถือเป็นสองอย่าง อย่าปนกันครับ
ถ้าความจริงอยู่ใน 4 คนนี้ ก็ต้องมี 3 คนที่โกหก
คนพูดจริงจะเป็นใครก็ได้ใน 4 คนนี้

เรื่องโลกร้อนเพราะอะไร เป็นคนละอย่างกับความน่าเชื่อถือ
โลกร้อนจริงๆ ไม่ใช่ร้อนเพราะคนหนึ่งพูด พออีกคนพูดโลกก็เย็น
แล้วความก้าวหน้าทางวิทยาศาสตร์ก็ไม่ได้บอกความจริงสุดท้าย
มันบอกแค่ข้อมูลเท่านั้น ถ้าเชื่อโดยไม่สอบ ก็ไม่ต่างอะไรกับไสยศาสตร์

เราถูกบอกให้"เชื่อ" เรื่องน้ำมันหมูเลวอย่างไรมาตั้ง 30 ปี
จนบัดนี้ เด็กบางคนอาจจะไม่เคยกินน้ำมันหมูโดยตั้งใจอีกแล้ว
กินกันแต่น้ำมันพืช
จู่ๆ ก็มีงานวิจัยออกมาล้มคุณงามความดีของน้ำมันพืช กลายเป็นว่าน้ำมันหมูน่ะดี
ถ้ารับประทานเป็น

คุณศิวัชคงจะแก่ทฤษฎีมากๆ
เดินตามวิธีคิดของแก โลกร้อนหรือไม่ ยังไม่สำคัญเท่ากับสาเหตุของโลกร้อน หาไปเหอะ คงรู้เข้าสักวัน

ถ้าแกอ้างปรัชญาพระพุทธศาสนา ผมก็อ้างบ้าง
คนถูกธนูยิง
อย่าเพิ่งไปหาว่าใครยิง ยิงมาจากใหน ธนูเป็นของใคร.....ฯลฯ
ช่วยคนถูกยิงเสียก่อน


กระทู้: โลกร้อน
เริ่มกระทู้โดย: CrazyHOrse ที่ 25 ต.ค. 07, 14:54
เรื่องโลกร้อนนี่คุยกันมาหลายปีแล้ว ดูเหมือนว่าทฤษำีที่ได้รับการยอบรับมากที่สุดก็เป็นอันที่นาย ก แกเอามาประโคมนี่แหละครับ

พอดีผมเป็นพวกชอบตามข่าวแนวนี้ ผ่านหลายปีเข้ามันก็เลยชักจะหายเห่อ

มาเอะใจตรงที่ได้ยินคนบอกว่าอากาศแปรปรวน โลกร้อนๆหนาวๆ ฝรั่งร้อน ส่วนไทยเราเย็นลงและเย็นนานขึ้น

เรื่องนี้ชอบกล(พาดพิงกระทู้ภาษาวิบัติว่าเมื่อก่อนเขาใช้ว่า "ไม่ชอบกล") เพราะสมัยผมเด็กๆหน้าหนาวมันหนาวทุกปี และหนาวเป็นเดือน สมัยเรียนม.ต้น ห้องเรียนไม่มีหน้าต่าง มีแต่ประตูเลื่อนบานใหญ่มาก ๔ บาน(กว้างบานละสองเมตรเห็นจะได้) ถึงหน้าหนาวต้องปิดประตูให้หมดทุกบาน ขนาดนั้นยังหนาวเลย ห้องไหนประตูพังปิดไม่ได้ก็แย่เลยครับ ลมมันเย็นนนนนนนนนนน

บางทีหนาวมากๆ พอถึงตอนพักน้อย ผม(และเพื่อนๆ)ชอบลงไปยืนกางแขนรับแสงแดดอยู่ในสนามหน้าตึกเรียน (ยังกะพวกกิ้งก่าแน่ะ) มันอุ่น... สบาย... โอ้... วิเศษมากเลยจ๊อดดดดดด

เวลาผ่านไป หน้าหนาวมันสั้นลงเรื่อยๆ จนทำท่าว่าบางช่วงจะหายไปเฉยๆ

พอมีคนว่าหน้าหนาวยางขึ้น หนาวขึ้น นี่แหละถึงนึกขึ้นมาได้ครับ

ไม่ค่อยเกี่ยวกันเลยนิ  ;D


กระทู้: โลกร้อน
เริ่มกระทู้โดย: พลอยชมพู ที่ 30 ต.ค. 07, 21:33
ลมหนาวเป็นสิ่งที่ชอบ เพราะอากาศสดชื่น แต่ความหนาวในกรุงเทพจะเป็นหนาวเยือกๆ ชื้นๆ เพราะอยู่ใกล้ทะเล  แต่ถ้าอยู่ทางเหนือจะหนาวแห้งๆ ไม่เหนียวตัวชอบมากค่ะ

ดีใจที่กรุงเทพจะกลับมาหนาวเย็นอีก หลังจากที่ หายไปนานแล้ว


กระทู้: โลกร้อน
เริ่มกระทู้โดย: กุ้งแห้งเยอรมัน ที่ 30 ต.ค. 07, 22:30
ดีใจทุกเช้าที่ได้สัมผัสลมหนาว.. อ่านเรื่องของท่านเจ้าคุณนรฯโดยบังเอิญและบันทึก จึงส่งมาประกอบข้อความโลกร้อนนี้ เพื่อยุให้คนที่ชอบลมหนาว ตื่นเช้ามาออกกำลังกายค่ะ

๑. ตอนตื่นลุกขึ้นจากที่นอน ดัดตน ๔ ท่าดังนี้

๑. ยืด (Stretch)
๒.แขม่วท้อง (Pumping)
๓.เตะขึ้น(Kick up)
๔.บดท้อง (Ehuming)

๒. ลุกขึ้นจากที่นอนแล้ว ไปยืนที่หน้าต่างที่เปิดตรงช่องลม หายใจยาวสุดอากาศสดๆ (Fresh Air)
เข้าปอดให้เต็มที่ ๔ ท่าดังนี้

๑.อัดลม (Paching)
๒.หายใจยาวสูดลมเข้าปอดตอนบน (Upper Chest Breathing)
๓.หายใจยาวอัดลมดันให้ท้องโป่งพอง (Abdominal Breathing)
๔.หายใจยาวสูดลมเข้าอกให้ซี่โครงกาง (Bostal Breathing)

ในขณะที่ทำท่าเหล่านี้ควรหลับตา และตั้งใจเป็นสมาธิอยู่ในท่าที่กำลังกระทำอยู่นั้น เมื่อจบท่าแล้ว
จึงลืมตา เวลาลืมตานั้นต้องลืมจริงๆ คือเพ่งมองไป แล้วค่อยๆ หลับกลอกไปกลอกมา ขึ้นข้างบน ลงข้างล่าง
กลอกข้างซ้ายกลอกขวา และกลอกเป็นวงกลมนี่เป็นการบริหารลูกตาอีกส่วนหนึ่งฯ

๓. ดื่มน้ำ ๑ ถ้วยแก้วเต็มๆ น้ำที่จะใช้ดื่มนี้ สำหรับผู้ที่จะมีอายุล่วงเข้าเขตปัจฉิมวัยแล้วไม่ควรดื่มน้ำเย็น
ในตอนตื่นตอนเช้าๆ ท้องว่างๆ ควรดื่มน้ำต้มเดือดแล้วอุ่นๆ ถ้าดื่มน้ำเปล่าๆ ไม่ได้ควรเลือกเจือชานิดหน่อย
พอมีกลิ่นชวนให้ดื่มได้ แต่อย่าให้มากนักเพราะมีธาตุที่ให้โทษแก่ร่างกายอยู่บ้างไม่เหมาะสำหรับดื่ม
ในเวลาท้องว่างตื่นนอนใหม่ๆ ตอนเช้า

๔. ไปถ่ายอุจจาระ ถ้าเราเกรงจะเสียเวลาช้าไป ควรเอาหนังสือติดมือไปอ่านด้วย ต่อไปนี้ลงมือทำงาน
(Work) ได้

๕ เมื่อหยุดงานแล้ว ก่อนรับประทานอาหารควรดัดตน ๓ ท่าดังนี้

๑. ยืนกางแขนบิดตัว เอามือแตะปลายเท้าทีละข้าง (Tickle toe)
๒. เขย่าตัว (Pep hop)
๓. จ้องดาวและบิดคอ (Star Gazer และ Hen peck)

แล้วดื่มน้ำ ๑ ถ้วยแก้วก่อนรับประทานอาหารสัก ๑๕ นาทีเมื่อรับประทานอาหารแล้วใหม่ๆ ไม่ควรอ่าน
หนังสือหรือใช้สมองคิดเลย ควรคุยหรือเดิน หยิบโน่นหยิบนี่นิดๆ หน่อยๆ เป็นดี และไม่ควรดื่มน้ำรอไว้
จนกว่าอาหารย่อยเรียบร้อยจนเบาท้อง แล้วจึงดื่มน้ำให้มากๆ

๖. ก่อนจะอาบน้ำเข้านอนตอนกลางคืน ควรดัดตนอีกครั้งหนึ่ง ๗ ท่า ดังนี้

๑. ยืด (Stretch)
๒.แขม่วท้อง (Pumping)
๓.เตะขึ้น (Kick up)
๔.บดท้อง (Ehuming)
๕.ยืดกางแขนบิดตัวเอามือแตะปลายเท้าทีละข้าง (Tickle toe)
๖.เขย่าตัว (Pep Hop)
๗.จ้องดาวและบิดคอ (Star gazer และ Hen Peck)

ท่าดัดตนเหล่านี้ ถ้าทำให้มากเกินไปก็ให้โทษหรือไม่ให้คุณ ที่จะให้คุณจริงๆ คือพอควรอยู่ระหว่าง
กลาง ไม่ไปทางที่สุดโด่งทั้งสองข้าง


กระทู้: โลกร้อน
เริ่มกระทู้โดย: ช้าง ที่ 31 ต.ค. 07, 22:11
 :'(รู้สึกอายมากๆที่ตัวผมเองหายไปจากเรือนไทยหลายเดือนแล้ว กลับมาเปิดเจอกระทู้โลกร้อน ซึ่งตนเองก็มีส่วนในการช่วยแก้ปัญหาเรื่องนี้แต่กลับตกข่าว การเป็นเจ้าหน้าของรัฐในช่วงใกล้สิ้นปีงบประมาณและเริ่มปีงบประมาณใหม่เป็นสิ่งทำให้ไม่ค่อยมีรอยยิ้มและสนใจข่าวสารเอาเสียเลยในช่วงนี้ ี้พอว่างๆเลยแวะเข้าิมาดูก็เลยรู้ว่าตัวเองน่าจะให้ข้อมูลอะไรกับญาติๆในเรือนไทยได้ ในเบื้องต้นเอาเป็นว่า นาย ก. ที่ว่านี้เป็นนักการเมืองก็เลยทำอะไรให้เป็นที่น่าสนใจเอาไว้ก่อน (ขอใช้ค่าว่า "เว่อร์ไปหน่อย" ) สารคดีของเขาเยิ่นเย้อเอามากๆ ไม่ค่อยได้สาระเท่าไร และหลายเรื่องก็มีการคาดการไว้ตามข้อมูลตามหลักวิชาการที่น่าเชื่อถือกว่าสารคดีนาย ก. เยอะแยะ และที่สำคัญผมมีความเห็นเหมือนกระทู้แรกๆว่าเขาก็ไม่สามารถทำให้คนอเมริกันตระหนักรู้คุณค่าในการใช้พลังงาน แถมยังทำตัวเป็นตัวรวบตลาดน้ำมัน ส่งผลให้ราคาน้ำมันดิบสูงกว่าความเป็นจริง เอาส่วนต่างกลับไปให้คนอเมริกันได้ใช้น้ำมันถูกๆถลุงพลังงานของโลกกันเพลิน เฉพาะทวีปอเมริกาใช้น้ำมันไป 1 ใน 3 ของโลกแต่ อเมริกาไม่ยอมลงนามลดการปลดปล่อยก๊าซเรือนกระจกตั้งแต่ปี 1997 อ้างว่าจะทำให้เศรษฐกิจอเมริกาถดถอยอย่างรุนแรง GDP จะลดฮวบฮาบให้เหตุผลเหมือนพี่ยุ่นเป๊ะ อย่างนี้ก็หมายความว่าประเทศไหนรวย คือ GDP มีมูลค่าสูงมากก็มีสิทธิปลดปล่อยก๊าซเรือนกระจกได้มากสร้างความโกลาหลให้โลกได้มากทุกเรื่องจริงๆ วันนี้ตอนนี้ผมง่วงนอนมากๆ เอาไว้ว่างๆจะหาวิธีแก้โลกร้อนมาให้ชวนคิดชวนลงมือทำกันครับ ต้องลงมือทำครับถึงจะได้ผล ปรัชญาการอนุรักษ์พลังงาน คือตระหนักว่าในทุกที่ทุกเวลานั้น ่มนุษย์มีความต้องการใช้พลังงานอยู่เสมอจึงต้องคิดทุกครั้งก่อนใช้ ้ขนาดตอนนอนยังต้องเอาธาตุลมเข้าไปจุดไฟชีวิตในการฟอกเลือดให้มีชีวิตอยู่เลยครับ วันนี้ขอตัวไปนอนก่อนละครับ


กระทู้: โลกร้อน
เริ่มกระทู้โดย: pakun2k1d ที่ 11 พ.ย. 07, 22:42
วันนี้ดิฉันได้ดูรายการ"ย้อนรอย" ทางTITV เป็นเรื่อง  ธุรกิจการแยกขยะ  และทำให้ขยะมีราคาและคุณค่าของวงษ์พานิช  ดูแล้วมีแรงบันดาลใจอยากรณรงค์ให้ทุกบ้านเริ่มต้นแยกขยะอย่างง่าย ๆ ค่ะ โดยในรายการเขาจะแสดงให้เห็นว่าขยะเมื่อมีการคัดแยกแล้ว  มันมีคุณค่าและราคาทั้งสิ้น  ดิฉันเพิ่งรู้ว่า  แม้แต่น้ำมันทอดอาหารที่ใช้แล้ว ไขมันที่ตักออกมาจากถังดักไขมัน  ก็ขายได้ ปรัชญาของกิจการนี้คือ  ขวดน้ำที่เป็นพลาสติคสีขาวขุ่นขายได้ราคาดีกว่าขวดพลาสติคใส  บนโลกใบนี้ไม่มีขยะ  ดังนั้นเขาจึงรับซื้อทุกอย่างยกเว้นของผิดกฎหมาย เช่น สายไฟ สายโทรศัพท์  ยกเว้นแต่จะพิสูจน์ได้ว่าคุณไม่ได้ไปตัดสายไฟบ้านใครมา 

ดิฉันเข้าใจดีว่าการแยกขยะเป็นเรื่องยุ่งยากในชีวิตเพราะเราไม่เคยชิน  แต่การแยกขยะตั้งแต่ต้นจะลดต้นทุนในกระบวนการrecycleลง  ลดความสิ้นเปลืองพลังงาน และน้ำเพื่อทำความสะอาด ดิฉันจึงคิดว่าถ้าแต่ละบ้านเริ่มต้นง่าย ๆ โดยแยกขยะเป็น 2 ประเภทคือ  ขยะสะอาด  กับขยะสกปรก  ก็ช่วยได้เยอะแล้วค่ะ

ขยะสะอาดคือขยะที่แม้ว่าเราจะนำมารวมกันไว้เป็นเวลานานก็จะไม่เกิดการเน่าเหม็น  ขยะแบบนี้ถ้าคัดแยก  และรวบรวมให้มีปริมาณพอสมควรก็มีราคาทั้งนั้นค่ะ  ซึ่งถ้าเราประสงค์ในราคา  เราก็คัดแยกแล้วรวบรวมให้มีปริมาณเพียงพอต่อการชั่งตวงวัด  แต่ถ้าเราไม่ประสงค์ในราคาเราก็ยกให้คนเก็บของเก่า  หรือคนเก็บขยะโดยบอกเขาว่าเราแยกให้แล้ว  การยกให้คนเก็บขยะเราจะได้อนิสงฆ์ผลบุญในโลกนี้เลย เช่น  เวลาเรามีขยะชิ้นใหญ่อย่างเช่นกิ่งไม้  หรือเศษอิฐเศษปูน ซึ่งปกติรถขยะมักจะไม่เก็บให้  เราก็อาจจะขอให้เขาช่วยเก็บไปหน่อย  เขาก็จะทำให้ค่ะ   

ส่วนขยะสกปรกเราก็ทิ้งให้รถเก็บมาเก็บไปตามปกติ  วิธีนี้ปริมาณขยะของบ้านเราก็ลดลง  รถเก็บขยะของกทม ก็ไม่ต้องวิ่งเยอะ  เปลืองน้ำมัน

ดิฉันว่านี่ก็เป็นความดีงามเล็ก ๆ อีกอย่างหนึ่งที่เราทำถวายพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวฯ ได้  ผลกุศลอันนี้เราอาจจะไม่ทันได้รับ  แต่รุ่นลูกเราได้แน่ ๆ ค่ะ  แล้วถ้าเราไม่ได้ทำสิ่งอันเป็นกุศล  บริโภคและทิ้งขยะแบบไม่ยั้งคิด  ก็รุ่นลูกเราเช่นกันที่จะได้รับผลกรรมนี้ไป

เชิญชวน (กึ่งสาปแช่งหรือเปล่านี่)


กระทู้: โลกร้อน
เริ่มกระทู้โดย: elvisbhu ที่ 12 พ.ย. 07, 22:14
ฝรั่งก็เงี้ยครับ ให้คะแนนpresentation มากกว่าจะดูที่การกระทำ ถ้าโนเบลมีสาขาพีอาร์โลกร้อน นายนี่ก็น่าได้


กระทู้: โลกร้อน
เริ่มกระทู้โดย: เทาชมพู ที่ 13 พ.ย. 07, 09:57
ชอบรายการย้อนรอยค่ะ ได้ดูพอดีเลย  เห็นจะต้องแยกขยะตามนี้เสียแล้ว

คุณภูตั้งชื่อรางวัลได้เก๋จริงๆ  นั่นสิ โลกยังไม่ลดความร้อนซักองศาเดียว  พี่กอไก่ได้รางวัลไปแล้ว 
ถ้าโลกยิ่งปียิ่งร้อน   พี่เขาจะคืนรางวัลมั้ยเนี่ย


กระทู้: โลกร้อน
เริ่มกระทู้โดย: elvisbhu ที่ 14 พ.ย. 07, 22:14
ฝรั่งอเมริกันขี้โอ่ ชอบโชว์รางวัล ถ้วย และอื่นๆ โนเบลนี่รับบิชครับ คนสวีดิชไม่น่าเป็นงี้



กระทู้: โลกร้อน
เริ่มกระทู้โดย: agree ที่ 24 พ.ย. 07, 20:14
สิ่งที่ทำให้โลกร้อนคือ

มนุษย์ -> สมอง -> ความเห็นแก่ตัว -> ตัดไม้ทำลายป่า  -> โลกร้อน

                                                             -> โคลนถล่ม
                                                           
                                                             -> ฝนไม่ตกตามฤดูกาล

                                                             -> ฯลฯ

การจะดับต้องดับที่ต้นเหตุ สิ่งที่ควรจะเปลี่ยนแปลงคือความเห็นแก่ตัว ถ้าดับความคิดที่เห็นแก่ตัวได้ ทุกสิ่งก็จะดีตามไปด้วย  >:(


กระทู้: โลกร้อน
เริ่มกระทู้โดย: pakun2k1d ที่ 01 ก.พ. 08, 00:43
ตอนนี้กระแสไปทางศิลปะ และประวัติศาสตร์  เลยขอดึงเรื่องนี้มาเกาะกระแสไปด้วยคนค่ะ  วันนี้ชาวเรือนไทยได้ทำอะไรเพื่อการลดความร้อนของโลกหรือยังค่ะ  เชิญชวนค่ะ 

วันนี้ดิฉันชวนแยกขยะง่าย ๆ ค่ะ  อย่างถุงพลาสติคที่ใส่ของมา  ขวดน้ำ  กล่องของสินค้า กระดาษต่าง ๆ ลองมองหาว่าเราจะแยกเจ้าขยะพวกนี้ใส่อะไรไว้ดี  กล่องกระดาษใบย่อม ๆ  ถัง หรือตะกร้า ถ้าไม่มีอะไรก็ถุงดำ หรือถุงพลาสติคใบใหญ่ ๆ หน่อยก็ได้ค่ะ  แล้วจะวางไว้ตรงไหนดีน่า  ตรงไหนก็ได้ค่ะที่ไม่เกะกะ  แล้วก็ไม่ทำให้บ้านดูไม่สวยงาม  แต่ต้องไม่โดนน้ำ  แล้วไม่อยู่ห่างจนไม่สะดวก  ในบ้านหนึ่งถ้ามีที่รวมขยะประเภทนี้(แล้วแต่ ๆ ละท่านจะกำหนด)ไว้ 1 ที่  ทุกครั้งที่มีขยะประเภทนี้ก็เดินมาทิ้งในที่ที่กำหนดไว้  เดินมา 1 ครั้งก็เป็นการออกกำลังไปด้วย ไม่ต้องหาเวลาไปออกกำลังกายเลยนะคะ  ไม่ต้องไปเสียสตังค์เขาฟิตเนสด้วย

แล้วถ้าวันนี้ยังมองหาภาชนะที่จะใช้แยกขยะไม่ได้  ก็ลองมองหาตำแหน่งที่จะไว้ก่อนก็ได้ค่ะ  แล้วพรุ่งนี้ก็ลองไปหาภาชนะจากที่ทำงาน  หรืออาจจะลงทุนซื้อตะกร้า หรือถังพลาสติค หรือถ้าใครผ่านร้านขายของเก่าอย่างวงษ์พานิช  ลองแวะเข้าไปดูซิค่ะ  อาจจะเจอภาชนะหน้าตาเก๋ ๆ เอามาใช้แยกขยะก็ได้นะคะ


กระทู้: โลกร้อน
เริ่มกระทู้โดย: ติบอ ที่ 01 ก.พ. 08, 03:25
ถ้าผมมาชวนเรื่องวิธีลดการผลิต.... จะมีใครว่ามั้ยเนี่ยะ



เอาง่ายๆ 2 เรื่องก่อน

เรื่องแรก โลกร้อนเพราะคนชอบโหลดข้อมูลในอินเตอร์เนตครับ
เปิดคอมพ์ทีนึงก็ไมได้เปิดแค่ตัวคอมพ์
ต้องเปิดหน้าจอ เปิดไฟ เผลอๆเปิดแอร์ด้วยอ่ะ

วิธีแก้ ให้สถานที่ทำงาน หรือ สถานศึกษาตั้งเวบบอร์ดเล็กๆ
หรือกระดานข่าวแชร์ไฟล์ก็ได้ครับ
กระดานแบบนี้ทำหน้าที่เป็นสื่อกลางให้คนในสถานที่เดียวกันมาแชร์ไฟล์กันเอง
ดูดข้อมูลกันเองไปเลยทีเดียว ได้เร็วกว่าเห็นๆ
ส่วนมากสถานศึกษาแต่ละที่ก็มีห้องสมุดที่มีคอมพิวเตอร์ตั้งอยู่
หรือไม่ก็ห้องคอมพิวเตอร์ส่วนกลางอยู่แล้วนี่ครับ

สมมุติว่าถ้าเราเสียเวลาเปิดคอมพ์น้อยลงอีกเพลงละ 20 นาที
โหลดเพลงใหม่ๆกันคนละ 3 เพลงต่อวัน
เอาเพลงมาแลกกันเอง 24 คน ก็ลดเวลาเปิดคอมพ์ไปวันนึงละ
แถมเป็นการสร้างสัมพันธไมตรีให้คนใกล้ตัวรู้จักกันมากขึ้น
หรือคนที่ชอบฟังเพลงแนวเดียวกันได้เจอะเจอกันอีกตะหาก



เรื่องที่ 2 อาหารแช่แข็งเป็นสิ่งที่ทำให้โลกร้อนมากกกกกกกกกกกกก
เพราะเป็นกรรมวิธีที่โง่งี่เง่าที่สุดในการผลิตก็ว่าได้ มีอย่างเรอะ จะกินอะไรซักที
ต้องเอาพลังงานมาทำให้อาหารสุก สุกเสร็จก็ต้องเอาพลังงานมาทำให้มันเย็นจนแข็ง
ไม่พอนะ ยังต้องเอาพลังงานมาอุ่นให้มันร้อนจนเหมือนทำสุกใหม่ๆอีกตะหาก
ทำอะไรกลับไปกลับมาแบบนี้ เหมือนไปโรงเรียน กลับมาบ้านเอาตำรา
แล้วไปโรงเรียนอีกรอบยังไงยังงั้น..... มันเสียพลังงานมากเกินไปหรือเปล่า ???

วิธีการแก้ปัญหาง่ายๆ ก็.... เลิกซื้ออาหารแช่แข็งมากักตุนไว้ซะ
จะมีก็แค่มีนิดหน่อยเผื่อหิวในยามวิกาล หรือจำเป็นต้องกินจริงๆก็พอแล้ว

แต่ถ้ามากขึ้นมาหน่อย ภาครัฐควรจะเข้ามามีบทบาทตรงนี้ด้วย
ไหนๆเขาก็พึงใจจะทำโลกร้อนแล้ว ก็เก็บภาษีทั้งคนกินคนขายขึ้นอีกหน่อย
เขาคงไม่ว่าอะไรหรอกน่า.... รัฐก็เอาเงินไปใช้ดีๆแล้วกันเนาะ

เพราะถ้ารัฐไม่ช่วย ชาวบ้านก็ทำอะไรไม่ได้หรอกครับ
อาหารแดกด่วนทั่วโลกทุกวันนี้มันแช่แข็งซะเกือบหมดนี่ครับ
ทำไงดีล่ะว๊า......


กระทู้: โลกร้อน
เริ่มกระทู้โดย: pakun2k1d ที่ 01 ก.พ. 08, 22:46
หนึ่งวันกับหนึ่งวิธีลดความร้อนโลกค่ะ

คุณติบอลดการผลิต  วันนี้ดิฉันขอเสนอลดการใช้ซึ่งจะนำไปสู่การลดการผลิตด้วยค่ะ

ในรถของครอบครัวเราจะมีกล่องพลาสติคสำหรับใส่อาหารติดรถไว้เสมอค่ะ  เวลาเราไปซื้ออาหารสำเร็จรูปกลับมาทานที่บ้าน  เราก็จะให้เขาจัดใส่กล่องที่เราเตรียมไว้เสมอนี่แหละค่ะ  เมื่อก่อนจะมีหลายร้านปฎิเสธเราต้องขยั้นขยอให้เขาใช้  อันนี้ขอบอกเล่าแสดงความชื่นชมค่ะ  วิธีนี้ดิฉันใช้แม้แต่ร้านอาหารอย่างS&Pซึ่งน่ารักมากทุกสาขาที่ดิฉันไปไม่เคยปฏิเสธการใช้วิธีของดิฉันเลย  แถมจัดให้อย่างดี  ปัจจุบันเกือบทุกร้านรับกล่องพลาสติกของเราอย่างยินดี  แม้กระทั่งพวกเครื่องปรุงต่าง ๆ ที่เราไม่ใช้เราก็บอกที่ร้านว่าไม่เอา  หยิบใส่มาให้ก็หยิบออก  เมื่อก่อนหลาย ๆ ร้านจะรู้สึกเหมือนเรารังเกียจของ ๆ เขา  ต้องคอยบอกว่าเราไม่กินหวาน อะไรอย่างนี้  เดี๋ยวนี้ไม่ค่อยต้องอธิบายแล้วค่ะ  พอบอกว่าไม่เอา ที่ร้านจะบอกขอบคุณด้วย  แสดงว่าปัจจุบันทุกร้านเริ่มเห็นคุณค่าของการใช้เท่าที่จำเป็น  การประหยัด  การลดต้นทุนจากสิ่งเล็ก ๆ น้อย ๆ

วันนี้ขอเชิญชวนชาวเรือนไทยนำกล่องพลาสติกติดรถไว้บ้างนะคะ  กล่องพลาสติกใช้แล้วล้าง  น้ำที่ใช้ล้างภาชนะต่าง ๆ ก็สามารถนำมารดต้นไม้ได้  เป็นปุ๋ยธรรมชาติ  ประหยัดน้ำเรา และลดน้ำเสียที่ไหลไปลงคูคลองด้วยค่ะ  แล้วอย่าลืมนำกล่องกลับไปใส่ไว้ที่รถอย่างเดิมด้วยนะคะ(บางทีเราก็ลืมเหมือนกันค่ะ)


กระทู้: โลกร้อน
เริ่มกระทู้โดย: pakun2k1d ที่ 03 ก.พ. 08, 21:18
ไปเก็บกำไร และดอกผลความรู้ประเด็นทางประวัติศาสตร์ศิลป์แล้ว  ขอเรื่องโลกร้อนติดกระแสด้วยนะค่ะ

วันนี้ดิฉันมาชวนทำเรื่องเล็ก ๆ น้อย ๆ ค่ะ  ดิฉันสังเกตว่า  กล่องหรือหีบห่อต่าง ๆ ของสินค้าต่าง ๆ ที่เราซื้อมา เช่น กล่องกาแฟ กล่องขนม กล่องนม กล่องยาสีฟัน กล่องสบู่ฯ เมื่อเรานำของในกล่องออก  เรามักจะทิ้งเจ้าบรรจุภัณฑ์เหล่านี้ไปทั้งที่ยังอยู่ในสภาพเป็นกล่อง ๆ  ปัญหาเล็ก ๆ คือมันกินพื้นที่ในถังขยะของเรา หรือถ้าเราแยกขยะมันก็กินพื้นที่ที่เราเก็บ  ใช้เวลากับเจ้ากล่องพวกนี้อีกนิดก่อนทิ้ง หรือแยกนะคะ  ทำให้มันแบน หรือเล็กที่สุด เพื่อมันจะได้ใช้พื้นที่เก็บน้อยค่ะ  เวลาขนส่งต่อ ๆ ไปก็ใช้พื้นที่น้อยเป็นการประหยัดพลังงานในการขนส่งค่ะ  แล้วการที่เราใช้เวลากับเจ้ากล่องพวกนี้อีกนิดก็เป็นการลดพลังงานที่จะสะสมในตัวเราได้อีกนิดหน่อยนะคะ