ขอบคุณมากค่ะ คุณ นกข ที่ช่วยให้เค้ามูลความเป็นไปได้ของที่มา ทำให้ได้แง่คิดได้อีกอย่างหนึ่ง
ดาราศาสตร์ของตะวันออกกับตะวันตกนั้น ต่างกันตรงที่เอาดวงจันทร์ หรือ ดวงอาทิตย์มาเป็นตัวชี้(pointer) หรือตัวกำหนดเวลาในปฏิทินค่ะ (อ่านเพิ่มเติมได้ที่กระทู้ห้องเด็กวิทย์ เรื่อง ราศีไทย ราศีฝรั่งนะคะ
http://www.vcharkarn.com/snippets/board/show_message.php?dtn=dtn20&ID=CS604)' target='_blank'>
http://www.vcharkarn.com/snippets/board/show_message.php?dtn=dtn20&ID=CS604)
คือเอาตำแหน่งที่พระอาทิตย์หรือพระจันทร์ขึ้น ว่าไปพ้องกับกลุ่มดาวกลุ่มใด แล้วอาศัยกลุ่มดาวนั้นๆ มาหมายเวลาปฏิทินน่ะค่ะ แต่การหมุนของโลกรอบตัวเอง และรอบดวงอาทิตย์ กับการหมุนของดวงจันทร์รอบตัวเอง และรอบโลก(ซึ่งตามโลกไปรอบดวงอาทิตย์อีกทีหนึ่ง) ทำให้วงจรต่างกัน คือถ้าอาศัยรอบที่พระจันทร์มืด-สว่างมาสัมพัธท์กับรอบเดือน มันจะคลาดเคลื่อนกับตำแหน่งกลุ่มดาวที่พระจันทร์ไปพ้องได้ คือพระจันทร์ขึ้นช้ากว่าเดิมวันละร่วมชั่วโมง หรือแม้แต่การเอาตำแหน่งที่พระอาทิตย์ขึ้นตกมากำหนด เมื่อสัมพัทธ์กับกลุ่มดาวแล้ว จะดูเหมือนว่า ดาวขึ้นลงเร็วกว่าเดิมวันละ ๔ นาทีกว่าๆ ทั้งนี้ก็เพราะโลกโคจรรอบดวงอาทิตย์ไปเรื่อยๆพร้อมกับที่หมุนรอบตัวเอง และดวงจันทร์ที่ตามโลกไปโคจรรอบดวงอาทิตย์ ก็หมุนรอบตัวเองด้วยเหมือนกัน แต่ดาวที่อยู่ไกลมากๆๆ ตำแหน่งของมันก็เหมือนกับอยู่กับที่ไม่มีการเคลื่อนไหว กระทู้ราศึไทย-ราศีฝรั่งก็พยายามอธิบายตรงนี้ไว้แล้วค่ะ แต่อาจจะอ่านไม่รู้เรื่องก็ได้ค่ะ เหอๆๆ
ปฏิทินทางตะวันออกนั้น ใช้ดวงจันทร์มากำหนด จะเป็นการคิดค้นของชาวจีนหรืออินเดีย ก็ไม่ปรากฏแจ่มชัดนัก แต่ใจดิฉันมีความเอนเอียงไปในทางที่ว่า จีนได้มาจากอินเดียค่ะ
การเอาพระจันทร์มาเป็นตัวชี้ มันเป็นไปโดยธรรมชาติ เพราะจะเห็นกลุ่มดาวได้ชัดก่อนพระจันทร์ขึ้น ไปรอก่อนพระจันทร์ขึ้นนิดเดียวก็จะรู้ได้ว่าคืนนั้นพระจันทร์จะ "เสวยฤกษ์" กลุ่มดาว หรือนักษัตรไหน คนโบราณจึงเริ่มพัฒนาด้วยระบบจันทรคติมาก่อน
แต่การใช้ระบบสุริยคตินั้น ออกจะซับซ้อนอยู่สักหน่อย เพราะเก่อนหลังพระอาทิตย์ขึ้น-ตกนั้น ท้องฟ้ายังสว่างเกินไปที่จะดูดาวได้เห็น ก็เลยต้องมีการหมายตำแหน่งขึ้นลงของดวงอาทิตย์ไว้ก่อน พอฟ้ามืดพอควรแล้วจึงออกไปดูดาวอีกที ในเขตละติจูดสูงๆนั้น พระอาทิตย์ขึ้นลงอ้อยอิ่งใช้เวลานานกว่าใกล้ศูนย์สูตรมากเลยค่ะ ดิฉันเคยไปที่ละติจูด ๕๕ องศาตอนหน้าร้อนทีงี้ เห็นๆว่าพระอาทิตย์จะตกแล้ว นู่น กว่าฟ้าจะมืดก็สองสามชั่วโมงโน่นแน่ะค่ะ ใครที่อยู่ละติจูดสูงๆคงยืนยันให้ได้นะคะ
ตามพระเวทเก่าๆซึ่งหาได้ยากนั้น หลักฐานชิ้นแรกปรากฏเมื่อ ๔๕๐๐ ปีมาแล้ว โดยเอาดวงจันทร์มาเป็นตัวกำหนด คือเป็นปฏิทินตามจันทรคติ คือเอาตำแหน่งพระจันทร์ขึ้นมากำหนด ตามตำราพระเวทก็ว่า พระจันทร์เสวยฤกษ์นักษัตรอะไรน่ะค่ะ นักษัตรนี้ก็คือกลุ่มดาวนั่นเอง แต่ตามที่ทราบกันแล้วว่า ปฏิทินจันทรคตินี้คลาดเคลื่อนมากต้องมาปรับเวลากันทีละเป็นเดือน
ต่อมาเมื่อพระเจ้าอเล็กซานเด้อร์เข้ามามีอิทธิพลในอินเดีย ก็นำวิทยาการของตะวันตกเข้ามาเผยแพร่ด้วย ที่สำคัญที่สุดก็คือการใช้ปฏิทินตามสุริยคติ ซึ่งชาวกรีกได้มาจากชาวอียิปต์ ชาวอียิปต์ก็ได้มาจากบาบิโลเนียอีกต่อหนึ่ง
ที่เราเรียกว่า พระอาทิตย์เสวยฤกษ์ในจักรราศี และการจัดระบบโดยจักรราศีทั้งปวง ก็เป็นวิทยาการตะวันตกคือกรีกค่ะ ในภายหลัง พวกพราห์มก็เริ่มรับระบบสุริยคติเข้ามาปนกับจันทรคติของเดิม คือแม้จะดูเดือนตามจักรราศี แต่ก็ยังไม่ทิ้งระบบนักษัตรไปเลย ฤษีครคยา(อาจจะสะกดผิดนะคะ)ได้รวบรวมพระเวทขึ้นราวๆสองพันกว่าปีก่อน และผสานสุริยคติเข้าด้วยกันกับจันทรคติค่ะ
จากการสันนิษฐานของดิฉันเอง คิดว่า จีนรับระบบจันทรคติไปจากอินเดีย แล้วการถ่ายทอดวัฒนธรรมจากจีนสู่อินเดีย "คงจะ" หยุดไปเมื่อจีนเองก็มีพัฒนาการของตัวเอง จีนจึงไม่ได้ใช้ระบบจักรราศีค่ะ
ก็เป็นไปได้่ด้วยค่ะ ว่าเราเอาศัพท์มาจากพราหมเรื่องสี่ฤดู เพราะต้นตำรับการจัดสี่ฤดูตามจักรราศีนั้น มาจากแหล่งอารยธรรมในตะวันออกกลาง บาบิโลเนียนั้น ก็ร่วมละติจูด ๓๕ องศาแล้วค่ะ ลุ่มน้ำไนล์ก็สามสิบกว่าองศา กรีกนั้นก็ถึง ๔๐ องศาทีเดียว เค้ามีสี่ฤดูแน่นอนค่ะ
ทางอินเดียนั้น ดิฉันเดาๆเอานะคะ ว่าเนื่องจากในภายหลังได้รับถ่ายทอดการจัดปฏิทินด้วยสุริยคติมาในภายหลัง ก็อาจจะนำการแบ่งสี่ฤดูนี้มาตั้งแต่สมัยพราหมณ์แล้วมังคะ
แต่ไม่ว่าจะเป็นคนอินเดียคิดศัพท์นี้มาก่อน หรือเรามาตั้งกันทีหลัง ที่พอจะเห็นได้ชัดสักหน่อยก็คือ มันไม่ตรงกับความหมายเดิมเท่าไหร่ แต่การไหลถ่ายเทความเข้าใจไปหลายต่อหลายต่อนั้น คลาดเคลื่อนกันได้ง่ายๆค่ะ
ต้องขออภัยที่อาจจะทำให้งง ดิฉันเองก็ยังเรียบเรียงความคิดได้ไม่ดีนัก วันหลังมีเวลาจะนั่งลงใช้สมาธิมากกว่านี้สักหน่อยคิดว่าจะวาดรูปประกอบอย่างไรให้เข้าใจได้ง่ายกว่านี้สักหน่อยค่ะ และจะหาอ่านเพิ่มเติมให้ปะติดปะต่อเรื่องราวได้มากสักหน่อย แต่หลักฐานพวกนี้หายากมากค่ะ คนตะวันออกไม่ค่อยจะมีแหล่งกลางที่สะสมตำราเก่าๆ และการจดบันทึกก็ไม่สมบูรณ์ การค้นหาอะไรย้อนหลังไปนานๆนี่ทำได้ยากมากเลยค่ะ