กระทู้: รบกวนขออนุญาตอาจารย์คุณหญิงวินิตา ช่วยกรุณาแบ่งปันประสบการณ์ด้านการเขียนค่ะ เริ่มกระทู้โดย: JibbyJ ที่ 26 ต.ค. 22, 19:45 สืบเนื่องจากตัวเองกำลังเขียนนิยายพีเรียดย้อนยุคเรื่องแรกในชีวิต เป็นงานที่ยากที่สุดตั้งแต่เคยทำมาก็ว่าได้ค่ะ
เพราะต้องหาข้อมูลประกอบเพื่อใช้อ้างอิงในการเขียนมากมายมหาศาล ไหนจะต้องระวังเรื่องข้อเท็จจริงทางประวัติศาตร์ และสิ่งที่ยากที่สุดคือเรื่องภาษา เอาง่ายๆ แค่คำว่า อิฉัน ดิฉัน กระไร อะไร... แค่นี้ก็มึนตึ๊บแล้วค่ะ แหะๆ เพราะไม่รู้ว่าภาษาในยุคสมัย ร.6 นั้นเค้าใช้คำไหนกันแน่ เลยอยากจะรบกวนขอความกรุณาอาจารย์ช่วยชี้แนะเป็นแนวทาง บอกเล่าประสบการณ์ในการทำงานเขียนนวนิยายให้ฟังค่ะ ขออนุญาตเตรียมสมุดจด จองที่นั่งหน้าชั้นเรียนคนแรกค่ะ ;D กระทู้: รบกวนขออนุญาตอาจารย์คุณหญิงวินิตา ช่วยกรุณาแบ่งปันประสบการณ์ด้านการเขียนค่ะ เริ่มกระทู้โดย: เทาชมพู ที่ 26 ต.ค. 22, 20:03 ต่อจากกระทู้นี้ค่ะ
http://www.reurnthai.com/index.php?topic=7327.msg182569;topicseen#msg182569 คุณ Anna หายไปไหนคะ รายนี้ไม่เคยขาดเรียนค่ะ ก่อนอื่น อยากถามคุณ JibbyJ ว่าทำไมถึงอยากเขียนนิยายย้อนยุคไปสมัยรัชกาลที่ 6 คะ นักเขียนนิยายมือใหม่หลายคน เริ่มงานชิ้นแรกด้วยการเขียนถึงสิ่งที่ตัวเองรู้จักดี เช่นเอาประวัติตัวเองมาดัดแปลง เอาเรื่องประทับใจของคนใกล้ตัวเช่นชีวิตพ่อแม่ เพื่อนรัก รักแรก หรือเรื่องของท้องถิ่นที่ตัวเองอยู่ตอนเด็กๆ ซึ่งปัจจุบันเปลี่ยนแปลงไปแล้ว ข้อได้เปรียบคืองานเขาจะลื่น เพราะไม่ว่าจะเขียนถึงอะไร หลับตาก็เห็นภาพชัดเจน มือก็จะคล่องตามไปด้วย เขียนบทแล้วบทเล่าได้ลื่นไหล จนจบ ดิฉันไม่ได้หมายความว่าคุณจะเขียนนิยายย้อนยุคไม่ได้นะคะ เพราะนักเขียนทุกคนในปัจจุบันก็เกิดไม่ทันรัชกาลที่ 6 กันทั้งนั้น คุณเขียนได้ค่ะ แต่ประเด็นคือมันคือสาเหตุของความยากค่ะ เพราะไม่ว่าจะลงมือเขียนสักประโยคสองประโยค คำถามก็จะเกิดขึ้นแล้วว่า...เอ! นางเอกจะพูดดิฉัน หรืออิฉัน กับพระเอก งานฉลองเลื่อนยศเขาทำกันที่ไหน ที่บ้านหรือมีโรงแรมให้จัดงานอย่างเดี่ยวนี้ไหม พอติดสิ่งเล็กๆน้อยๆพวกนี้ สมองก็เหมือนถูกกระตุกให้หยุดเป็นระยะๆ ไม่ลื่นไหล คุณก็จะเหนื่อยในการรวบรวมข้อมูล และรวบรวมพลังมาเขียนไปทีละบท แต่ถ้าคุณฝ่าพันไปได้ ไม่ย่อท้อต่อความเหนื่อยยากเหล่านี้ คุณก็จะเขียนจบ แล้วภูมิใจในตัวเองได้มากค่ะ กระทู้: รบกวนขออนุญาตอาจารย์คุณหญิงวินิตา ช่วยกรุณาแบ่งปันประสบการณ์ด้านการเขียนค่ะ เริ่มกระทู้โดย: เทาชมพู ที่ 26 ต.ค. 22, 20:13 ยุคของดิฉันได้เปรียบคนยุคนี้อยู่อย่างหนึ่ง คือสมัยนั้นการเรียนและการสอบในโรงเรียนไม่มีแบบปรนัย มีแต่อัตนัย เด็กประถม 3 อย่างดิฉันเขียนต้องเรียงความเป็นเรื่องเป็นราว 1 หน้ากระดาษสมุดเรียน ส่งครู เราต้องเขียนการบ้าน เขียนข้อสอบยาวๆ ตั้งแต่ประถม ก็เลยรู้จักการเขียนประโยค เขียนทั้งย่อหน้า ทั้งเรื่อง ไม่ได้ทำแต่ติ๊กคำตอบ
เพราะฉะนั้น พวกเราพอขึ้น ม. 1 (สมัยนี้คือประถม 5) เลยแต่งเรื่องอ่านกันได้ พี่ๆม. 2 ม. 3 เขาแต่งเก่งกว่าพวกเราอีก เพื่อนหลายคนก็แต่งนิยายเรื่องสั้นได้ตั้งแต่อายุ 10 กว่าขวบ เสียแต่ว่าพอโตขึ้นไปเอาดีทางอื่นกันหมด ก็เลยเหลือดิฉันอยู่คนเดียว ถ้าคุณจะเจริญรอยตามคนรุ่นก่อน อย่างแรกคืออ่านทุกอย่างที่ขวางหน้า มันจะนำไปสู่การเขียนทุกอย่างที่ขวางหน้าเช่นกัน ยุคนี้ยิ่งสบายมาก มีกูเกิ้ลให้ค้นได้ ไม่ต้องขึ้นรถเมล์ไปหอสมุดอย่างเมื่อก่อน แถมยังต้องไต่บันไดขึ้นไปชั้นสองชั้นสามอีก กว่าจะเจอหนังสือที่ต้องการ บางทีคนอื่นยืมไปแล้วเราก็อด ถ้าทำได้ ขอให้คุณค้นกูเกิ้ลให้มากขึ้น คำตอบที่คุณหาได้จะฝึกทักษะคุณในการหาคำตอบค่ะ แล้วจะทำให้จำแม่นขึ้นด้วยค่ะ กระทู้: รบกวนขออนุญาตอาจารย์คุณหญิงวินิตา ช่วยกรุณาแบ่งปันประสบการณ์ด้านการเขียนค่ะ เริ่มกระทู้โดย: JibbyJ ที่ 26 ต.ค. 22, 20:16 สาเหตุอาจฟังดูค่อนข้างประหลาดอยู่นิดหนึ่งค่ะอาจารย์ (แอบเขินค่ะ...แหะๆ)
คือเกิดจากการเห็นภาพวาดภาพหนึ่งแล้วหลงรักมาก จนได้แรงบันดาลใจอยากนำมาเขียนเป็นนิยายเลยค่ะ ภาพนั้นเป็นผู้หญิงห่มผ้าแถบ มีดอกกุหลาบอยู่ด้านหลัง อยู่ๆ ก็เกิดความคิดว่าอยากจะเขียนย้อนยุคสักเรื่องหนึ่ง โดยตัวเอกมีชื่อเป็นดอกกุหลาบค่ะ ทีนี้เคยมีพล็อตที่วางเอาไว้นานแล้ว... ว่านางเอกเป็นช่างซ่อมหนังสือที่ย้อนเวลาไปในอดีตค่ะ ตอนแรกกะจะให้ย้อนไปในสมัยรัชกาลที่ 5 แต่พอมาศึกษาข้อมูลแล้วพบว่า ยุคทองของวรรณคดีไทยคือสมัยรัชกาลที่ 6 จึงเริ่มหาข้อมูลประกอบการเขียนมานับแต่นั้นค่ะ เห็นด้วยกับอาจารย์เป็นอย่างยิ่งสุดหัวใจเลยค่ะว่า การเขียนเรื่องอะไรที่เราไม่ถนัดและไกลตัวนั้นมันเหน็ดเหนื่อยมากจริงๆ ค่ะ ตอนนี้เริ่มหาข้อมูลและเขียนไปได้ครึ่งทางแล้วค่ะ แต่ยังติดขัดอยู่บ้าง โดยเฉพาะเวลาที่ต้องเล่าเกี่ยวกับวิถีชีวิตความเป็นอยู่ของคนในยุคสมัยนั้น นอกจากซื้อหนังสือที่เกี่ยวข้องในสมัยรัชกาลที่ 6 มาอ่าน และค้นหาข้อมูลประวัติศาสตร์ในอินเทอร์เน็ตแล้ว ก็ได้อาศัยครูพักลักจำการใช้ภาษาจากนิยายเรื่องอื่นๆ มาบ้าง แต่ก็ยังรู้สึกว่าบรรยายบทสนทนาไม่ลื่นไหลอยู่ดีค่ะ ความรู้สึก ณ ตอนนี้ คือแบบ bittersweet ขมปนหวานเวลาที่เขียนทุกทีเลยค่ะอาจารย์ แหะๆ :-[ กระทู้: รบกวนขออนุญาตอาจารย์คุณหญิงวินิตา ช่วยกรุณาแบ่งปันประสบการณ์ด้านการเขียนค่ะ เริ่มกระทู้โดย: JibbyJ ที่ 26 ต.ค. 22, 20:33 ยุคของดิฉันได้เปรียบคนยุคนี้อยู่อย่างหนึ่ง คือสมัยนั้นการเรียนและการสอบในโรงเรียนไม่มีแบบปรนัย มีแต่อัตนัย เด็กประถม 3 อย่างดิฉันเขียนต้องเรียงความเป็นเรื่องเป็นราว 1 หน้ากระดาษสมุดเรียน ส่งครู เราต้องเขียนการบ้าน เขียนข้อสอบยาวๆ ตั้งแต่ประถม ก็เลยรู้จักการเขียนประโยค เขียนทั้งย่อหน้า ทั้งเรื่อง ไม่ได้ทำแต่ติ๊กคำตอบ เพราะฉะนั้น พวกเราพอขึ้น ม. 1 (สมัยนี้คือประถม 5) เลยแต่งเรื่องอ่านกันได้ พี่ๆม. 2 ม. 3 เขาแต่งเก่งกว่าพวกเราอีก เพื่อนหลายคนก็แต่งนิยายเรื่องสั้นได้ตั้งแต่อายุ 10 กว่าขวบ เสียแต่ว่าพอโตขึ้นไปเอาดีทางอื่นกันหมด ก็เลยเหลือดิฉันอยู่คนเดียว ถ้าคุณจะเจริญรอยตามคนรุ่นก่อน อย่างแรกคืออ่านทุกอย่างที่ขวางหน้า มันจะนำไปสู่การเขียนทุกอย่างที่ขวางหน้าเช่นกัน ยุคนี้ยิ่งสบายมาก มีกูเกิ้ลให้ค้นได้ ไม่ต้องขึ้นรถเมล์ไปหอสมุดอย่างเมื่อก่อน แถมยังต้องไต่บันไดขึ้นไปชั้นสองชั้นสามอีก กว่าจะเจอหนังสือที่ต้องการ บางทีคนอื่นยืมไปแล้วเราก็อด ถ้าทำได้ ขอให้คุณค้นกูเกิ้ลให้มากขึ้น คำตอบที่คุณหาได้จะฝึกทักษะคุณในการหาคำตอบค่ะ แล้วจะทำให้จำแม่นขึ้นด้วยค่ะ ต้องขอบคุณที่ยุคนี้มีกูเกิ้ลและอินเทอร์เน็ตให้ค้นข้อมูลจริงๆ ค่ะอาจารย์ ตอนนี้เซฟไฟล์เอาไปใช้ประกอบการเขียนจนเต็มโน้ตบุ๊คแล้วค่ะ แหะๆ แต่พอได้ข้อมูลมากๆ สำหรับตัวหนูเองแล้วประสบปัญหาอย่างหนึ่ง คือการ "ย่อย" ข้อมูลเหล่านั้นนำเอามาใช้ค่ะ เพราะบางทีก็เสียดายข้อมูลที่อุตส่าห์รวบรวมมา เลยพยายามจะยัดใส่ลงไปในนิยาย แต่กลับทำให้ดูเยอะเกินไปจนเหมือนสารคดีไปแทน ต้องแก้รื้อใหม่หลายรอบเลยค่ะ กระทู้: รบกวนขออนุญาตอาจารย์คุณหญิงวินิตา ช่วยกรุณาแบ่งปันประสบการณ์ด้านการเขียนค่ะ เริ่มกระทู้โดย: เทาชมพู ที่ 26 ต.ค. 22, 20:39 ถ้าคุณมีความมานะจะเขียนเรื่องย้อนยุคให้จบ ก็สนับสนุนให้ฝ่าฟันไปได้จนจบค่ะ
มีข้อหนึ่งที่พอจะช่วยได้ คืออย่าให้เรื่องยาวนัก มันจะบรรเทาความเหนื่อยลงไปถ้าคุณเขียนเป็นนวนิยายขนาดสั้น (novellette) ไม่ใช่ขนาดยาวอย่างของนักเขียนอื่นๆรวมดิฉันด้วย นวนิยายขนาดสั้นจะช่วยลดทอนรายละเอียด ฉาก ตัวละคร เหตุการณ์ ลงไปได้มาก แทนที่จะมีตัวละคร 20 ตัวก็เหลือ 5 ตัว ฉาก 12 ฉากลดเหลือ 4 อะไรทำนองนี้ ข้อสองคือตอนไปสอนหรือไปอบรมนักเขียนหน้าใหม่ จะย้ำว่า ให้หลีกเลี่ยง cliche (อ่านว่าคลิเช่) คำนี้หมายถึงความซ้ำซาก อะไรที่เขารู้ๆกันแล้ว ชินกันแล้ว นักเขียนใหม่ควรแหวกออกไป ไม่งั้นคนอ่านจะรู้สึกว่า เฮ้อ พล็อตนี้อีกแล้ว เช่นพล็อตตบจูบ เสน่หาซาตาน พระเอกนางเอกแต่งงานกันหลอกๆ ฯลฯ ดิฉันดูหนังจีนอยู่ตอนนี้ เพราะอยากรู้ว่ากระแสนิยมของเขาเป็นยังไง พบว่าใน10 เรื่อง มีจอมยุทธเสีย 4 เรื่อง อีก 3 เป็นนางเอกสาวยุคปัจจุบันกลับไปในอดีตสมัยราชวงศ์ เจอพระเอกฮ่องเต้หรือไม่ก็ท่านอ๋อง กับอีก 3 เป็นหนุ่มสาวปัจจุบัน ถ้าคุณจะให้นางเอกกลับไปในอดีต ก็ขอให้คิดว่าทำยังไงจะแหวกไปจากทวิภพ และบุพเพสันนิวาสได้สำเร็จ ไม่งั้นคนอ่านเขาก็จะอ่านและจำได้แต่คุณทมยันตี และรอมแพง นะคะ กระทู้: รบกวนขออนุญาตอาจารย์คุณหญิงวินิตา ช่วยกรุณาแบ่งปันประสบการณ์ด้านการเขียนค่ะ เริ่มกระทู้โดย: เทาชมพู ที่ 26 ต.ค. 22, 20:40 แต่พอได้ข้อมูลมากๆ สำหรับตัวหนูเองแล้วประสบปัญหาอย่างหนึ่ง คือการ "ย่อย" ข้อมูลเหล่านั้นนำเอามาใช้ค่ะ เพราะบางทีก็เสียดายข้อมูลที่อุตส่าห์รวบรวมมา เลยพยายามจะยัดใส่ลงไปในนิยาย แต่กลับทำให้ดูเยอะเกินไปจนเหมือนสารคดีไปแทน ต้องแก้รื้อใหม่หลายรอบเลยค่ะ ตอบสั้นๆ อย่าไปเสียดายค่ะ คนอ่านเขาอยากสนุกกับนิยาย ไม่ได้อยากอ่านข้อมูล กระทู้: รบกวนขออนุญาตอาจารย์คุณหญิงวินิตา ช่วยกรุณาแบ่งปันประสบการณ์ด้านการเขียนค่ะ เริ่มกระทู้โดย: JibbyJ ที่ 26 ต.ค. 22, 20:58 ถ้าคุณมีความมานะจะเขียนเรื่องย้อนยุคให้จบ ก็สนับสนุนให้ฝ่าฟันไปได้จนจบค่ะ มีข้อหนึ่งที่พอจะช่วยได้ คืออย่าให้เรื่องยาวนัก มันจะบรรเทาความเหนื่อยลงไปถ้าคุณเขียนเป็นนวนิยายขนาดสั้น (novellette) ไม่ใช่ขนาดยาวอย่างของนักเขียนอื่นๆรวมดิฉันด้วย นวนิยายขนาดสั้นจะช่วยลดทอนรายละเอียด ฉาก ตัวละคร เหตุการณ์ ลงไปได้มาก แทนที่จะมีตัวละคร 20 ตัวก็เหลือ 5 ตัว ฉาก 12 ฉากลดเหลือ 4 อะไรทำนองนี้ ข้อสองคือตอนไปสอนหรือไปอบรมนักเขียนหน้าใหม่ จะย้ำว่า ให้หลีกเลี่ยง cliche (อ่านว่าคลิเช่) คำนี้หมายถึงความซ้ำซาก อะไรที่เขารู้ๆกันแล้ว ชินกันแล้ว นักเขียนใหม่ควรแหวกออกไป ไม่งั้นคนอ่านจะรู้สึกว่า เฮ้อ พล็อตนี้อีกแล้ว เช่นพล็อตตบจูบ เสน่หาซาตาน พระเอกนางเอกแต่งงานกันหลอกๆ ฯลฯ ดิฉันดูหนังจีนอยู่ตอนนี้ เพราะอยากรู้ว่ากระแสนิยมของเขาเป็นยังไง พบว่าใน10 เรื่อง มีจอมยุทธเสีย 4 เรื่อง อีก 3 เป็นนางเอกสาวยุคปัจจุบันกลับไปในอดีตสมัยราชวงศ์ เจอพระเอกฮ่องเต้หรือไม่ก็ท่านอ๋อง กับอีก 3 เป็นหนุ่มสาวปัจจุบัน ถ้าคุณจะให้นางเอกกลับไปในอดีต ก็ขอให้คิดว่าทำยังไงจะแหวกไปจากทวิภพ และบุพเพสันนิวาสได้สำเร็จ ไม่งั้นคนอ่านเขาก็จะอ่านและจำได้แต่คุณทมยันตี และรอมแพง นะคะ ขอบพระคุณค่ะอาจารย์ เรื่องนี้วางพล็อตไว้นานมากแล้วค่ะ ก่อนที่บุพเพสันนิสวาสจะเป็นกระแสค่ะ พอนิยายและละครดัง มีนิยายแนวนี้ออกมาเพียบเลยค่ะ แอบคิดเหมือนกันว่าถ้าเราเขียนไปมันก็จะไปซ้ำกันกับคนอื่นเขา แต่ในเมื่อลงมือเขียนไปแล้ว ก็ต้องเข็นให้เสร็จกันต่อไปค่ะ ขอบคุณสำหรับคำแนะนำเรื่องจำนวนความยาวด้วยนะคะ คิดว่าจะพยายามให้สั้นลงกว่าเดิมค่ะ แต่ดันวางโครงเรื่องไว้ใหญ่มากนี่ล่ะค่ะ แหะๆ ถ้าหากว่าเข็นจนจบเรื่องจริงๆ แล้ว จะขออนุญาตมาให้อาจารย์ช่วยชี้แนะเป็นแนวทางต่อไปนะคะ กระทู้: รบกวนขออนุญาตอาจารย์คุณหญิงวินิตา ช่วยกรุณาแบ่งปันประสบการณ์ด้านการเขียนค่ะ เริ่มกระทู้โดย: เทาชมพู ที่ 26 ต.ค. 22, 21:01 เขียนเสร็จแล้ว ไม่ต้องส่งให้ดิฉันอ่านค่ะ เดินหน้าต่อ ลงเป็น e book หรือถ้าจะรวมเล่มก็ให้บก.สำนักพิมพ์อ่านไปเลยค่ะ
กระทู้: รบกวนขออนุญาตอาจารย์คุณหญิงวินิตา ช่วยกรุณาแบ่งปันประสบการณ์ด้านการเขียนค่ะ เริ่มกระทู้โดย: JibbyJ ที่ 26 ต.ค. 22, 21:10 ขอบพระคุณค่ะอาจารย์ อาจใช้คำผิดไป
จริงๆ คือตั้งใจว่าจะส่งหนังสือให้อาจารย์ค่ะ (หากได้ตีพิมพ์ค่ะ) กระทู้: รบกวนขออนุญาตอาจารย์คุณหญิงวินิตา ช่วยกรุณาแบ่งปันประสบการณ์ด้านการเขียนค่ะ เริ่มกระทู้โดย: CVT ที่ 27 ต.ค. 22, 07:41 ขอแชร์ประสบการณ์ส่วนตัวครับ
ผมเป็นคนที่สนใจประวัติศาสตร์ถิ่นกำเนิดและประวัติตระกูลซึ่งเฟื่องฟูในสมัยล้นเกล้าฯรัชกาลที่ ๕ ประทับใจกับเรื่องทวิภพของทมยันตี ต่อมามีโอกาสได้ชมและอ่านเรื่องบุพเพสันนิวาสของรอมแพง ผมเลยฟุ้ง นั่งเขียนสิ่งที่ไม่แน่ใจว่าจะเรียกว่านิยายได้หรือเปล่า เพราะผมเขียนเรื่องย้อนยุคทำนองเดียวกับทวิภพและบุพเพสันนิวาสคือคนในยุคอนาคตหลงกลับเข้าไปในอดีต โดยเนื้อหาผมนำเรื่องราวจากเอกสารเก่าทั้งภาษาไทยและอังกฤษที่มีการพูดถึงถิ่นกำเนิดผม ผนวกเข้ากับประวัติตระกูลทั้งจากที่มีบันทึกและจาก oral history ผสมปนเปเข้ากับความรู้ทางการแพทย์ของผม แต่ผมเขียนเป็นเหมือนเรื่องเล่า ไม่เน้นคำพูดครับ กระทู้: รบกวนขออนุญาตอาจารย์คุณหญิงวินิตา ช่วยกรุณาแบ่งปันประสบการณ์ด้านการเขียนค่ะ เริ่มกระทู้โดย: เทาชมพู ที่ 27 ต.ค. 22, 08:12 ขอบพระคุณค่ะอาจารย์ อาจใช้คำผิดไป ขอบคุณค่ะจริงๆ คือตั้งใจว่าจะส่งหนังสือให้อาจารย์ค่ะ (หากได้ตีพิมพ์ค่ะ) กระทู้: รบกวนขออนุญาตอาจารย์คุณหญิงวินิตา ช่วยกรุณาแบ่งปันประสบการณ์ด้านการเขียนค่ะ เริ่มกระทู้โดย: เทาชมพู ที่ 27 ต.ค. 22, 08:14 ขอแชร์ประสบการณ์ส่วนตัวครับ ผมเป็นคนที่สนใจประวัติศาสตร์ถิ่นกำเนิดและประวัติตระกูลซึ่งเฟื่องฟูในสมัยล้นเกล้าฯรัชกาลที่ ๕ ประทับใจกับเรื่องทวิภพของทมยันตี ต่อมามีโอกาสได้ชมและอ่านเรื่องบุพเพสันนิวาสของรอมแพง ผมเลยฟุ้ง นั่งเขียนสิ่งที่ไม่แน่ใจว่าจะเรียกว่านิยายได้หรือเปล่า เพราะผมเขียนเรื่องย้อนยุคทำนองเดียวกับทวิภพและบุพเพสันนิวาสคือคนในยุคอนาคตหลงกลับเข้าไปในอดีต โดยเนื้อหาผมนำเรื่องราวจากเอกสารเก่าทั้งภาษาไทยและอังกฤษที่มีการพูดถึงถิ่นกำเนิดผม ผนวกเข้ากับประวัติตระกูลทั้งจากที่มีบันทึกและจาก oral history ผสมปนเปเข้ากับความรู้ทางการแพทย์ของผม แต่ผมเขียนเป็นเหมือนเรื่องเล่า ไม่เน้นคำพูดครับ จะรออ่านนะคะ อาจารย์หมอ CVT กระทู้: รบกวนขออนุญาตอาจารย์คุณหญิงวินิตา ช่วยกรุณาแบ่งปันประสบการณ์ด้านการเขียนค่ะ เริ่มกระทู้โดย: เทาชมพู ที่ 27 ต.ค. 22, 08:34 ประตูบานต่อไปของความสำเร็จ คือนักเขียนต้องค้นหาตัวเองให้พบ
นักเขียนแต่ละคนมีทักษะ หรือความถนัดประจำตัวไม่เหมือนกัน มันไม่มีแบบพิมพ์เดียวกันสำหรับนักเขียน ถ้าคุณจะเขียนนิยายรัก แล้วคิดว่าต้องเดินไปตามลำดับ 1 , 2, 3,4 เหมือนเห็นจากนิยายดังๆที่อ่านมาก่อน หากทำตามนั้น คุณจะเป็นได้เพียงนักก๊อปปี้ความสำเร็จของคนอื่น เหมือนเอาเสื้อคนอื่นมาใส่ น้อยนักจะเหมาะสมกับตัวเอง ทักษะที่ว่าเกิดจากอะไร มันเกิดจากนิสัยประจำตัว ประสบการณ์ ความสนใจ ความชอบสิ่งต่างๆ เป็นต้น ทั้งหมดนี้เป็นพิมพ์เฉพาะตัว คนที่มีทักษะมากก็จะค้นพบตัวเองเร็ว เช่นบางคนค้นพบว่าตัวเองเป็นคนเฮฮาสนุกสนาน เข้าวงคุยทีไรเพื่อนหัวเราะกันงอหาย ชอบอกชอบใจคารมคมคาย หรือชอบที่หาเรื่องชำมาเล่าได้ ถ้าเขารู้จักถ่ายทอดคุณสมบัตินี้ลงในเรื่องที่เขียน เขาก็เจอทักษะของตัวเองแล้วว่า จูงใจคนอ่านได้ด้วยมุมมองขำๆ และมุกตลกที่นำมาใช้ เรื่องของเขาก็จะไม่ซ้ำกับนักเขียนอื่น กลายเป็นเอกลักษณ์เฉพาะตัว แต่ถ้าเขาไม่รู้ทักษะของตัวเอง อยากจะเป็นนักเขียนเรื่องชีวิตหนัก อาจจะถือว่าเท่ดี หรือเข้าใจว่ามีสิทธิ์คว้ารางวัลได้มากกว่างานเขียนประเภทอื่น ก็ตั้งหน้าตั้งตาเค้นตัวเองให้เขียนเรื่องหนักสมอง ขมขื่น เคียดแค้น ทั้งๆตัวเองในชีวิตไม่เคยทุกข์ยากลำบากอะไรขนาดนั้น ในเมื่อมันขัดกับตัวตนและทักษะที่มีคนละแบบ งานเขาก็จะฝืดฝืน คนอ่านก็จะสัมผัสได้ว่ามันไม่ลำบากจริง หรือเป็นได้ว่าเขาเขียนไปสักพักก็หมดไฟ ไม่อยากเขียนอีก กระทู้: รบกวนขออนุญาตอาจารย์คุณหญิงวินิตา ช่วยกรุณาแบ่งปันประสบการณ์ด้านการเขียนค่ะ เริ่มกระทู้โดย: CVT ที่ 27 ต.ค. 22, 08:41 จะรออ่านนะคะ อาจารย์หมอ CVT ส่งลิงค์มาให้อาจารย์ลองอ่านครับ บล๊อกไม่อนุญาตให้ลงแบบยาว ๆ ผมเลยทำเป็นตอน อ่านจบแต่ละตอนอาจารย์ต้องคลิ๊กลิงค์ตอนต่อไปนะครับ ขอบคุณมากครับ https://panthepblog.wordpress.com/2018/04/12/ล่ามข้ามภพ-ตอนที่-๑/ กระทู้: รบกวนขออนุญาตอาจารย์คุณหญิงวินิตา ช่วยกรุณาแบ่งปันประสบการณ์ด้านการเขียนค่ะ เริ่มกระทู้โดย: เทาชมพู ที่ 27 ต.ค. 22, 08:49 ทีนี้เล่าถึงประสบการณ์ส่วนตัวบ้าง
ดิฉันเติบโตขึ้นมาในครอบครัวที่มีประวัติยาวเหยียด ย้อนหลังไปถึงสมัยต้นรัตนโกสินทร์ พ่อแม่ดิฉันเป็นคนที่จำเรื่องราวเก่าๆได้แม่นยำมาก ชอบเล่าเรื่องเก่าๆสมัยที่ลูกยังเกิดไม่ทันให้ฟังอยู่เสมอ เป็นรายละเอียดที่ไม่มีในตำรา พงศาวดารหรือหนังสือประวัติศาสตร์ มีวันคืนเก่าๆหลังจากอาหารมื้อเย็นจบแล้ว เราพ่อลูกก็นั่งกันอยู่สองคน พ่อก็จะเล่าเรื่องเก่าๆสมัยท่านยังเด็ก เล่าถึงคุณปู่ และบรรพบุรุษที่ท่านเกิดทันให้ฟัง เด็กอายุ 10 ขวบก็นั่งฟัง รู้เรื่องบ้างไม่รู้เรื่องบ้าง แต่มันก็เข้าไปอยู่ในความทรงจำ เรียกออกมาใช้ได้เมื่อโตขึ้น ส่วนแม่ เป็นคนที่ได้ชื่อว่าช่างจดช่างจำที่สุดในบรรดาเครือญาติ เวลาดิฉันถามเรื่องเก่าๆกับคุณป้า(ก็ท่านผู้เป็นที่มาของคุณหญิงลอออร นางเอกของ "มาลัยสามชาย" นั่นแหละค่ะ) คุณป้ามักจะตอบสักพักแล้วก็โยนต่อไปว่า "ถามแม่เขาซี เขาจำเรื่องราวเก่ง") เรื่องเบื้องหลังต่างๆของสังคมในอดีต แม่ก็จำได้เยอะแยะมาก ดังนั้นเมื่อลงมือเขียนเรื่องย้อนยุค อย่าง "สองฝั่งคลอง" ก็เลยลื่นมือมาก มีคุณแม่(ซึ่งยังมีชีวิตอยู่ในตอนนั้น)เป็นคนตอบคำถาม ภาพของทับทิม เจ้าคุณปู่ คุณย่า จึงมีชีวิตเหมือนเดินออกจากอดีตเล่าเรื่องให้ฟังอยู่ตรงหน้า เราก็เพียงแค่จดปากคำของท่านลงไปเท่านั้น กระทู้: รบกวนขออนุญาตอาจารย์คุณหญิงวินิตา ช่วยกรุณาแบ่งปันประสบการณ์ด้านการเขียนค่ะ เริ่มกระทู้โดย: เทาชมพู ที่ 27 ต.ค. 22, 10:21 ข้อนี้ก็เป็นคำตอบว่า ทำไมนักเขียนที่ประสบความสำเร็จแต่ละคน จึงไม่จำเป็นต้องเขียนเนื้อหาเดียวกัน ใครถนัดแนวไหนก็เขียนแนวนั้น ไม่มีชีวิตของคนกลุ่มไหนหรือชนชั้นไหนสำคัญกว่าอีกกลุ่มหรืออีกชนชั้น จนต้องสนใจเขียนเฉพาะกลุ่มนี้ หรือเว้นชนชั้นนั้น ทั้งหมดขึ้นอยู่กับประสบการณ์ส่วนตัวของนักเชียนแต่ละคน
ดิฉันเป็นคนกรุงเทพ จะให้ดิฉันเขียนถึงชีวิตชาวจีนฮกเกี้ยนทางภาคใต้ ดิฉันก็เขียนสู้คุณหมอ CVT ไม่ได้ และอาจจะเขียนถึงภาคใต้ไม่ได้เลยด้วยซ้ำไป เพราะไม่มีพื้นฐานความเข้าใจ แต่ถ้าให้เขียนถึงจังหวัดภาคกลางอย่างนครปฐม ก็เขียนได้ เพราะไปทำงานที่นั่นอยู่นานหลายปี เขียนนวนิยายที่ใช้ฉากในอเมริกาทางรัฐตะวันตกได้ เพราะเคยไปเรียน แต่จะเขียนถึงสวีเดน เดนมาร์ค หรือฟินแลนด์ก็จนปัญญาเพราะไม่เคยไปอยู่ ใช่ค่ะ นักเขียนมีกรอบจำกัดในการสร้างเรื่อง กรอบบางคนก็แคบ บางคนก็กว้าง ขึ้นกับประสบการณ์ ประสบการณ์ในที่นี้ไม่ได้หมายความว่าต้องดูหรือเห็นด้วยตาตัวเอง เป็นประสบการณ์ชั้นสองคืออ่านจากหนังสือ หรือรับฟังคำบอกเล่ามาอีกทีก็ได้ ดิฉันเองเกิดไม่ทันบรรพชนทั้งหลายที่เอาท่านมาเขียน แต่เราอาศัยคำบอกเล่าของผู้รู้เห็น นำมาถ่ายทอดอีกที ก็ไปได้จนจบเรื่องเหมือนกัน กระทู้: รบกวนขออนุญาตอาจารย์คุณหญิงวินิตา ช่วยกรุณาแบ่งปันประสบการณ์ด้านการเขียนค่ะ เริ่มกระทู้โดย: CVT ที่ 27 ต.ค. 22, 10:47 ทีนี้เล่าถึงประสบการณ์ส่วนตัวบ้าง ดิฉันเติบโตขึ้นมาในครอบครัวที่มีประวัติยาวเหยียด ย้อนหลังไปถึงสมัยต้นรัตนโกสินทร์ พ่อแม่ดิฉันเป็นคนที่จำเรื่องราวเก่าๆได้แม่นยำมาก ชอบเล่าเรื่องเก่าๆสมัยที่ลูกยังเกิดไม่ทันให้ฟังอยู่เสมอ เป็นรายละเอียดที่ไม่มีในตำรา พงศาวดารหรือหนังสือประวัติศาสตร์ มีวันคืนเก่าๆหลังจากอาหารมื้อเย็นจบแล้ว เราพ่อลูกก็นั่งกันอยู่สองคน พ่อก็จะเล่าเรื่องเก่าๆสมัยท่านยังเด็ก เล่าถึงคุณปู่ และบรรพบุรุษที่ท่านเกิดทันให้ฟัง เด็กอายุ 10 ขวบก็นั่งฟัง รู้เรื่องบ้างไม่รู้เรื่องบ้าง แต่มันก็เข้าไปอยู่ในความทรงจำ เรียกออกมาใช้ได้เมื่อโตขึ้น ส่วนแม่ เป็นคนที่ได้ชื่อว่าช่างจดช่างจำที่สุดในบรรดาเครือญาติ เวลาดิฉันถามเรื่องเก่าๆกับคุณป้า(ก็ท่านผู้เป็นที่มาของคุณหญิงลอออร นางเอกของ "มาลัยสามชาย" นั่นแหละค่ะ) คุณป้ามักจะตอบสักพักแล้วก็โยนต่อไปว่า "ถามแม่เขาซี เขาจำเรื่องราวเก่ง") เรื่องเบื้องหลังต่างๆของสังคมในอดีต แม่ก็จำได้เยอะแยะมาก ดังนั้นเมื่อลงมือเขียนเรื่องย้อนยุค อย่าง "สองฝั่งคลอง" ก็เลยลื่นมือมาก มีคุณแม่(ซึ่งยังมีชีวิตอยู่ในตอนนั้น)เป็นคนตอบคำถาม ภาพของทับทิม เจ้าคุณปู่ คุณย่า จึงมีชีวิตเหมือนเดินออกจากอดีตเล่าเรื่องให้ฟังอยู่ตรงหน้า เราก็เพียงแค่จดปากคำของท่านลงไปเท่านั้น สุดยอดมากเลยครับ กระทู้: รบกวนขออนุญาตอาจารย์คุณหญิงวินิตา ช่วยกรุณาแบ่งปันประสบการณ์ด้านการเขียนค่ะ เริ่มกระทู้โดย: เทาชมพู ที่ 27 ต.ค. 22, 15:33 คุณป้าตอนสาว สวยสมกับที่บรรยายไว้ถึงคุณหญิงลอออร ไหมคะ
กระทู้: รบกวนขออนุญาตอาจารย์คุณหญิงวินิตา ช่วยกรุณาแบ่งปันประสบการณ์ด้านการเขียนค่ะ เริ่มกระทู้โดย: เทาชมพู ที่ 27 ต.ค. 22, 15:48 เอกลักษณ์ของนักเขียน
คนทุกอาชีพที่ประสบผลสำเร็จ ย่อมสามารถจะเปล่งประกายเฉพาะตัว ไม่ซ้ำกับคนอื่นๆในอาชีพเดียวกัน เอลวิส เพรสลีย์ มาริลีน มอนโร แม้ว่าตายไปแล้ว ก็ยังไม่มีใครมาเป็นตัวแทนของเขาและเธอได้ ทั้งๆยุคเอลวิสก็มีนักร้องร็อคแอนด์โรลเกิดขึ้นมากมาย ล้วนแต่ดังๆทั้งนั้น ดาราสาวเซกซี่ยุคเดียวกับมาริลีนก็มีเต็มไปหมดในฮอลลีวู้ด แต่ตายไปแล้วก็ตายไปเลย ไม่มีใครเป็นที่จดจำเท่ากับเธอ นักเขียนก็เหมือนกัน ไม่มีใครซ้ำแบบกับยาขอบ ดอกไม้สด ศรีบูรพา ป.อินทรปาลิต พนมเทียน ทมยันตี จนบัดนี้ ถ้าอยากประสบผลสำเร็จมากๆ ย้ำว่ามากๆ ก็ควรแสวงหาเอกลักษณ์ของตัวเองให้พบ อย่าไปตามรอยคนอื่น แต่ถ้าไม่อยากเป็นก็อีกเรื่องหนึ่งค่ะ แบบนั้นคือเขียนได้แค่ไหนก็พอใจแค่นั้น ไม่ยุ่งยาก ดิฉันรู้ตัวดีว่า ถ้าให้เขียนเพชรพระอุมาอย่างคุณพนมเทียน ก็คงจอดสนิทตั้งแต่หน้าแรก ไม่ถึงจบบทแรกด้วยซ้ำ คนเกิดมาไม่เคยเข้าป่าเลยสักครั้ง จะให้นึกภาพการเดินทางในไพรมหากาฬออกได้อย่างไร ไม่ต้องพูดถึงนิทรานครหรือมรกตนครซึ่งยากหนักเข้าไปอีก แต่ดิฉันก็ค้นพบสิ่งที่ตัวเองมี และมีมากเสียด้วย คือเรื่องราวในอดีตที่พ่อแม่ถ่ายทอดให้ฟังครั้งแล้วครั้งเล่าตั้งแต่ยังเยาว์วัย ดิฉันได้เรียนรู้ว่าต้นตระกูลฝ่ายพ่อมาจากเมืองจีนตั้งแต่ต้นรัตนโกสินทร์ แต่แปลกจากตระกูลจีนอื่นๆที่เราอ่านพบกันโดยมาก คือเป็นจีนที่กลายมาเป็นไทยเต็มตัว ไม่ค้าขายแต่รับราชการกันสืบมาทุกชั่วคน ไม่ได้เก็บขนบธรรมเนียมประเพณีจีนให้ลูกหลานสืบทอดอีกเลย พ่อดิฉันเองก็ไม่รู้ว่าบรรพบุรุษเดิมแซ่อะไรด้วยซ้ำ ถ้าคุณทวดไม่บันทึกไว้ ดิฉันก็ไม่รู้ ท่านเปลี่ยนมารับธรรมเนียมไทย ทำบุญแบบไทยๆมาโดยตลอด ความเป็นไทย มี 3 อย่างที่พวกท่านยึดถือเหนียวแน่น คือชาติ ศาสนา และพระมหากษัตริย์ สิ่งนี้กลายมาเป็นนิยาย "รัตนโกสินทร์" ส่วนบรรพบุรุษทางแม่เป็นไทยแท้ ย้อนขึ้นไปจนจนสมัยธนบุรีก็เป็นคนไทย ไม่มีจีนหรือแขก หรือชาติอื่นปน รับราชการกันมาทุกชั่วคนแบบเดียวกับทางพ่อ และยังมีความผูกพันกับราชสำนักมากกว่า เพราะหนึ่งในบรรพสตรีทางฝ่ายแม่ เป็นเจ้าจอมมารดาของสมเด็จพระนางเจ้าโสมนัสวัฒนาวดี พระอัครมเหสีพระองค์แรกในพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ทุกวันนี้เวลาทำบุญประจำปีให้ญาติผู้ใหญ่ที่ล่วงลับไปแล้ว ญาติๆฝ่ายแม่ก็ไปทำกันที่วัดโสมนัส ถือว่าเป็นวัดประจำสกุล นี่คือที่มาของ "สองฝั่งคลอง" ก็ไม่รู้ว่าคนรุ่นหลังจะรู้ไหมว่า การที่คนจีนไปตั้งถิ่นฐานอยู่บนแผ่นดินอื่นนั้นไม่ใช่เข้าไปอยู่ได้ง่ายๆ ดินแดนหลายแห่งเขาก็ไม่ต้อนรับคนต่างแดน บางแห่งก็ตั้งข้อรังเกียจเอามากๆ บางแห่งก็กีดกันไม่โดยทางตรงก็ทางอ้อม น้อยนักจะเปิดโอกาสให้เข้ามาได้อย่างสะดวก หยิบยื่นที่ทำมาหากินให้ ยินยอมยกลูกสาวให้ ได้เป็นเขยในครอบครัวเขาได้ จนกลายเป็นเจ้าของถิ่นไปด้วยกัน อย่างที่พระเจ้าแผ่นดินสยามทรงเปิดโอกาสให้แต่แรก ดิฉันจึงถูกปลูกฝังมาว่า พระมหากษัตริย์ทุกรัชกาลทรงมีพระมหากรุณาธิคุณ ให้บรรพบุรุษได้อยู่เป็นสุขบนผืนแผ่นดินมาทุกชั่วคน เราก็ต้องสำนึกในพระมหากรุณา ไม่กระทำการสิ่งใดที่จะเป็นอกตัญญูต่อผู้ที่หยิบยื่นโอกาสให้ปู่ย่าตาทวดของเรามาโดยตลอด ด้วยเหตุนี้ งานหลายชิ้นของดิฉันจึงเป็นเรื่องของอดีต แสดงจุดยืนข้อนี้ คือความจงรักภักดีต่อสถาบันพระมหากษัตริย์มาโดยตลอด กลายเป็นเอกลักษณ์ของงานของว.วินิจฉัยกุล ไปในที่สุด ใครจะยกมือซักถาม หรือออกความเห็นเพิ่มเติมก็ยินดีนะคะ กระทู้: รบกวนขออนุญาตอาจารย์คุณหญิงวินิตา ช่วยกรุณาแบ่งปันประสบการณ์ด้านการเขียนค่ะ เริ่มกระทู้โดย: เพ็ญชมพู ที่ 27 ต.ค. 22, 19:45 อยากทราบทึ่มาของนิยายภายใต้นาม "แก้วเก้า"
กระทู้: รบกวนขออนุญาตอาจารย์คุณหญิงวินิตา ช่วยกรุณาแบ่งปันประสบการณ์ด้านการเขียนค่ะ เริ่มกระทู้โดย: เทาชมพู ที่ 27 ต.ค. 22, 20:00 นิยายในนามปากกา "แก้วเก้า" จัดอยู่ในประเภทจินตนิยาย (Fantasy) ซึ่งรวมสารพัดชนิดไม่ว่าเรื่องผี มนุษย์ต่างดาว เดินทางทะลุจักรวาล เดินทางย้อนอดีตหรือไปอนาคต สรุปว่าเรื่องอะไรที่ไม่ขึ้นอยู่กับความเป็นจริงในสังคม แต่ขึ้นกับจินตนาการล้วนๆ มีสังกัดอยู่ในประเภทจินตนิยาย
ดิฉันชอบจินตนิยายมาตั้งแต่เด็กแล้ว ตอนเล็กๆก็ชอบนิทาน โตขึ้นชอบอ่านเรื่องผี เรื่องมนุษย์ต่างดาว เรื่องมิติที่ 4 สวรรค์นรก รู้สึกว่าเรื่องประเภทนี้ไม่ถูกจำกัดด้วยข้อเท็จจริง จินตนาการของเราเป็นอิสระมากกว่า จะโลดแล่นไปถึงไหนก็ได้ ตอนเป็นนักเขียนใหม่ของสกุลไทย ใช้นามปากกา ว.วินิจฉัยกุล แต่ด้วยไฟแรงอยากจะเขียนอีกเรื่อง แนวไม่ซ้ำกัน ก็เลยเสนอ "แก้วราหู" ให้บก.สกุลไทยพิจารณา เป็นจินตนิยายย้อนยุคผสมประวัติศาสตร์สมัยสุโขทัย ตอนเตรียมเขียน หาชั่วโมงว่างไปนั่งฟังเลกเชอร์ของผู้เชี่ยวชาญทางประวัติศาสตร์แลัโบราณคดี ชื่ออาจารย์พิเศษ เจียจันทร์พงษ์ในห้องเรียนร่วมกับนักศึกษา เพื่อจะรู้เรื่องราวของพญาไสสงครามและพญางั่วนำถม ซึ่งไม่เคยรู้มาก่อน อาจารย์สอนได้น่าสนใจมากค่ะ พอจะลงในสกุลไทย บก.บอกว่าต้องใช้คนละนามปากกา ไม่งั้นจะกลายเป็นว.วินิจฉัยกุลลง 2 เรื่องซ้อน ซึ่งเขาไม่ทำกัน นามปากกา "แก้วเก้า" จึงอุบัติขึ้นมาในฐานะนักเขียนใหม่ที่ซุ่มซ่อนตัว ไม่มีใครรู้ว่าเป็นเจ้าของเดียวกับคนเขียน "ไร้เสน่หา" ปิดเป็นความลับอยู่ 10 ปีกว่า คนอ่านถึงค่อยๆรู้กัน " แก้วราหู" เป็นม้ามืดที่ได้รับการตอบรับด้วยดี เพราะในสกุลไทยไม่มีใครเขียนแนวนี้ พอจบเรื่องนี้ บก.ก็ตกลงให้เขียนเรื่องที่ 2 ต่อ ในนามปากกานี้ "นางทิพย์" ก็ตามมา ตกลงว่า "แก้วเก้า" ก็จะเขียนแต่จินตนิยายเท่านั้น กระทู้: รบกวนขออนุญาตอาจารย์คุณหญิงวินิตา ช่วยกรุณาแบ่งปันประสบการณ์ด้านการเขียนค่ะ เริ่มกระทู้โดย: เทาชมพู ที่ 27 ต.ค. 22, 20:13 ทศวรรษที่ 70s เป็นยุคที่อเมริกาให้ความสนใจกับประสาทสัมผัสที่ 6 หรือ sixth sense ตอนนั้นเรียกว่า extra-sensory perception เป็นช่วงที่ไปเรียนต่อพอดี เข้าห้องสมุดของมหาวิทยาลัยทั้งวันๆ อ่านตำราจนเบื่อก็ไปค้นหนังสืออย่างอื่นมาอ่านบ้าง ก็เลยรู้เรื่องพวกนี้ เป็นเรื่องที่ยังไม่ได้เล่นกันในวงการวรรณกรรมของประเทศไทยในยุคนั้น จึงตื่นตาตื่นใจมาก
sixth sense สามารถตอบโจทย์การสร้างจินตนิยายได้หลายเรื่อง มันแตกแขนงไปสู่จินตนาการด้านอื่นด้วย เช่นเอกภพคู่ขนาน (parallel universe) เรื่องนี้คุณเพ็ญชมพูคงรู้จักเพราะเคยเอ่ยถึงมาแล้ว เป็นแฟนตาซีแนววิทยาศาสตร์เรื่องเดียวที่ทดลองเขียน เพราะอยากลองเขียนแนววิทยาศาสตร์ดูบ้างว่าคนจบอักษรฯจะทำได้ไหม ผลปรากฏว่าทำได้ แต่ทำได้จบ 1 เรื่อง แล้วไม่ได้สนใจจะเขียนแนวนี้อีก เรื่องนี้ก็ไม่เลวนักหรอก ประสบความสำเร็จ ได้รับคัดเลือกเป็น 1 ใน 100 นิยายวิทยาศาสตร์ (จำชื่อเต็มๆ ไม่ได้แล้วและหาไม่พบในกูเกิ้ล คุณเพ็ญชมพูจำได้ก็ช่วยบอกด้วยค่ะ) พูดถึงความสำเร็จ คนอ่านชอบ "แก้วเก้า" มากกว่า ว.วินิจฉัยกุล แต่ ว.วินิจฉัยกุล ได้รางวัลเยอะกว่า ต่างกันตรงนี้ค่ะ ถ้าคุณเพ็ญชมพูถามว่ายังเขียนในนามปากกา "แก้วเก้า" อยู่ไหม คำตอบคือยังเขียนอยู่ค่ะ กระทู้: รบกวนขออนุญาตอาจารย์คุณหญิงวินิตา ช่วยกรุณาแบ่งปันประสบการณ์ด้านการเขียนค่ะ เริ่มกระทู้โดย: Anna ที่ 27 ต.ค. 22, 20:21 ต่อจากกระทู้นี้ค่ะ http://www.reurnthai.com/index.php?topic=7327.msg182569;topicseen#msg182569 คุณ Anna หายไปไหนคะ รายนี้ไม่เคยขาดเรียนค่ะ ลงทะเบียนตั้งแต่เมื่อวานแล้วค่ะ ตอนนี้นั่งหลบมุมอยู่หลังห้อง กลัวโดนอาจารย์ทวงการบ้านที่ค้างส่งมานานนนนนนมากแล้วค่ะ :-[ แต่ถึงแม้จะเป็นนร.ที่แย่มาก เหลวไหลไม่ส่งงาน ทว่าตั้งใจเรียนสุดๆเลยนะคะ ;D กระทู้: รบกวนขออนุญาตอาจารย์คุณหญิงวินิตา ช่วยกรุณาแบ่งปันประสบการณ์ด้านการเขียนค่ะ เริ่มกระทู้โดย: เพ็ญชมพู ที่ 27 ต.ค. 22, 20:50 เรื่องนี้ก็ไม่เลวนักหรอก ประสบความสำเร็จ ได้รับคัดเลือกเป็น 1 ใน 100 นิยายวิทยาศาสตร์ (จำชื่อเต็มๆ ไม่ได้แล้วและหาไม่พบในกูเกิ้ล คุณเพ็ญชมพูจำได้ก็ช่วยบอกด้วยค่ะ) คงเป็นเรื่อง "แดนดาว" นั่นแล ;D ถ้าเป็นเรื่องหลงมิติไปอยู่ใน โลกคู่ขนาน หรือ เอกภพคู่ขนาน (parallel universe) คุณแก้วเก้าน่าจะเป็นผู้บุกเบิกคนแรกด้วยการเขียนเรื่อง "แดนดาว" (https://writer.dek-d.com/cammy/story/viewlongc.php?id=1398590&chapter=220) ๑ ใน ๘๘ หนังสือดีวิทยาศาสตร์ประเภทบันเทิงคดีจำนวน ๒๙ เล่ม (https://th.m.wikipedia.org/wiki/88_หนังสือดีวิทยาศาสตร์ไทย)(พร้อมกับ "เมืองนิมิตร" ของ ม.ร.ว.นิมิตรมงคล นวรัตน) กระทู้: รบกวนขออนุญาตอาจารย์คุณหญิงวินิตา ช่วยกรุณาแบ่งปันประสบการณ์ด้านการเขียนค่ะ เริ่มกระทู้โดย: เทาชมพู ที่ 27 ต.ค. 22, 21:12 ขอบคุณค่ะ นึกแล้วว่าคุณเพ็ญชมพูต้องหาเจอ
งั้นขอแก้ไขใหม่ เรื่องนี้ก็ไม่เลวนักหรอก ประสบความสำเร็จ ได้รับคัดเลือกเป็น 1 ใน 29 หนังสือดีวิทยาศาสตร์ ประเภทบันเทิงคดี จากหนังสือดีวิทยาศาสตร์ทั้งหมด 88 เล่ม ตัดสินโดยคณะวิจัยในโครงการวิจัยหนังสือดีวิทยาศาสตร์ ภายใต้การสนับสนุนของ สำนักงานกองทุนสนับสนุนการวิจัย (สกว.) และกรมวิชาการ กระทรวงศึกษาธิการ เมื่อพ.ศ. 2544 คุณแอนนาไม่ต้องกลัวโดนทวงการบ้านค่ะ มาให้เห็นก็ดีใจแล้วค่ะ กระทู้: รบกวนขออนุญาตอาจารย์คุณหญิงวินิตา ช่วยกรุณาแบ่งปันประสบการณ์ด้านการเขียนค่ะ เริ่มกระทู้โดย: เทาชมพู ที่ 28 ต.ค. 22, 09:06 ก่อนยุคของอินเทอร์เน็ตและสมาร์ตโฟน พื้นที่ปูพรมแดงสำหรับนักเขียนคือนิตยสารต่างๆ วางแผงอยู่มากมายหลายสิบฉบับ ดึงดูดคนอ่านด้วยนวนิยายเรื่องยาวลงเป็นตอนๆ
นักเขียนน้อยคนนักจะเขียนเสร็จแล้วพิมพ์รวมเล่มขายเลย แล้วขายดีโดยไม่ผ่านตาคนอ่านมาก่อน ส่วนใหญ่ก็คือเรื่องที่ได้รางวัลเช่นรางวัลซีไรต์ หรือรางวัลงานสัปดาห์หนังสือแห่งชาติ เรื่องยาวที่ลงเป็นตอนๆ ได้เปรียบตรงที่เรียกความสนใจคนอ่านจำนวนนับแสนๆคนที่เป็นขาประจำของนิตยสารได้ จะเตะตาผู้ทำหนังและผู้จัดละครทีวี จะหาสำนักพิมพ์มารวมเล่มได้ง่าย ค่าเรื่องก็เท่ากับได้ 3 เท่าคือได้จากนิตยสาร ได้จากผู้จัดละครและได้จากสำนักพิมพ์ นักเขียนหน้าใหม่จึงพุ่งความสนใจไปที่นิตยสารมากกว่าจะเขียนเองพิมพ์เอง ดิฉันเคยเขียนลงในนิตยสารเก่าแก่ที่หลายคนในเรือนไทยเกิดไม่ทัน หรือทันก็ยังเด็กมาก เช่นศรีสัปดาห์และสตรีสาร แต่ที่มาเขียนเป็นชิ้นเป็นอันคือสกุลไทย เขียน 2 เรื่องควบต่อสัปดาห์ บางปีไฟแรงก็แปลนิยายลงอีกเรื่อง เป็น 3 นอกจากนี้ยังลงในนิตยสารหญิงไทยรายปักษ์ ซึ่งอยู่เครือเดียวกับสกุลไทย สรุปว่ามือเป็นระวิงทีเดียว ตอนนั้นก็ยังรับราชการอยู่ และเลี้ยงลูกอีก 2 คนซึ่งยังเล็ก ย้อนกลับไปดูก็อัศจรรย์ใจเหมือนกันว่าเราอุตส่าห์ผ่านมาได้ กระทู้: รบกวนขออนุญาตอาจารย์คุณหญิงวินิตา ช่วยกรุณาแบ่งปันประสบการณ์ด้านการเขียนค่ะ เริ่มกระทู้โดย: เทาชมพู ที่ 28 ต.ค. 22, 09:13 สิ่งสำคัญทีทำให้ดำรงอาชีพมาได้ตลอดรอดฝั่ง คือ "วินัย"
ทุกวันศุกร์ต้องส่งต้นฉบับให้สกุลไทย อย่างช้าสุดคือวันจันทร์ สมัยที่ยังไม่มีอินเทอร์เน็ต ต้องส่งไปรษณีย์ภายในพฤหัสบดี เพื่อให้ถึงสกุลไทยในวันรุ่งขึ้น ก็ต้องอดหลับอดนอนปั่นต้นฉบับให้เสร็จ ก่อนจะไปทำงาน วินัย แปลว่าต้องบังคับตัวเองให้ได้ ไม่มีคำว่า " ไม่มีอารมณ์จะเขียน" "เหนื่อยจะตาย ขอพักสักอาทิตย์" " ช่วงนี้ยุ่งมาก ไม่มีเวลาจริงๆ" ถ้าหากว่าใช้แม้แต่ 1 ใน 3 บ่อยๆ ก็คือปิดฉากอาชีพนี้ได้เลย ไม่มีบก.คนไหนให้อภัยคุณ เพราะการเขียนเป็นศิลปะก็จริง แต่การทำนิตยสารเป็นธุรกิจในวงเงินหลายร้อยล้าน เขาจะมาสะดุดเพราะคุณคนเดียวไม่ได้ เขาไล่คุณออกง่ายกว่า เพราะฉะนั้น ถ้าจะเป็นนักเขียนอาชีพ คุณจะไม่สามารถมีข้อแก้ตัวให้ตัวเองได้เลย ในการเอาอารมณ์ขึ้นมาเหนือวินัย ดิฉันเคยป่วยด้วยโรคอาหารเป็นพิษ ต้องเข้าไปนอนในโรงพยาบาล ยังต้องสั่งเด็กในบ้านให้ไปเอาคอมโน้ตบุ๊คมาที่ห้องคนไข้ แล้วก็นั่งจิ้มคีบอร์ดไปทั้งๆอีกแขนยังให้น้ำเกลือ เพื่อจะเขียนต้นฉบับให้เสร็จทันส่ง อ่านมาถึงตรงนี้ หลายคนคงอยากถามว่าทำไมคุณถึงต้องทรมานทรกรรมตัวเองขนาดนั้น ก็ขอตอบว่าเพราะดิฉันตระหนักว่าอาชีพนี้มีขึ้นมีลง ขึ้นอยู่กับหลายอย่างเช่นสังขารคนเขียน ค่านิยมในสังคมที่เปลี่ยนไป คลื่นจากนวัตกรรมใหม่ๆซัดเข้ามา ทุกอย่างผันแปรง่ายมาก บทจะเปลี่ยนมันพลิกผัน 180 องศาได้ง่ายๆ ในวัยที่เรารู้ว่าเรากำลังถึงจุดพีคของอาชีพ เราก็ใช้โอกาสนั้นให้เต็มที่ เมื่อมันผ่านไปแล้วจะได้ไม่มีความเสียใจว่า "รู้ยังงี้ ฉันก็คง..." หรือว่า "เสียดายที่ไม่ได้..." ทุกวันนี้ดิฉันก็รู้สึกว่าเราได้ใช้เวลาในชีวิตคุ้มค่าแล้ว ที่เหลืออยู่ตอนนี้และในอนาคต คือทำอะไรตามสบาย อยากทำก็ทำ ไม่อยากทำก็ไม่ทำ อย่างมาเขียนอะไรๆในเรือนไทยนี่ก็คืออยากทำ มีคุณม้าแอดมินเป็นคนช่วยให้เว็บไซต์นี้อยู่ยงคงกระพันมา 23 ปี โดยไม่มีสปอนเซอร์ ทุกครั้งที่มีใครบอกมาว่า ได้ความรู้จากเว็บนี้ ดิฉันก็เหมือนได้ค่าตอบแทนที่มีค่าสูงสุดค่ะ ต่อไปจะเล่าถึงการสร้างวินัย กระทู้: รบกวนขออนุญาตอาจารย์คุณหญิงวินิตา ช่วยกรุณาแบ่งปันประสบการณ์ด้านการเขียนค่ะ เริ่มกระทู้โดย: SILA ที่ 28 ต.ค. 22, 12:04 คั่นสั้นๆ ครับ
เคย อ่าน ผลงาน ของอ. (ทั้งนิยายและเรื่องแปล) จากสกุลไทยที่เพื่อนร่วมงานรุ่นพี่ซื้อประจำ ต่อจากนั้นแล้ว จะเป็นการดู ผลงานที่สร้างเป็นละครออกอากาศต่อเนื่องยาวนาน,มากมายนับสิบๆ จนถึงยุคนี้ที่มีการนำกลับมารีเมคกันอีก วิกกี้ว่า - เรื่องแปล ใช้นามปากกา วัสสิกา, รักร้อย, ปารมิตา แต่เมื่อรวมเล่มแล้วจึงเปลี่ยนมาเป็น ว.วินิจฉัยกุล ยกเว้นเรื่อง จันทรคราส ที่ยังคงใช้ ปารมิตา กระทู้: รบกวนขออนุญาตอาจารย์คุณหญิงวินิตา ช่วยกรุณาแบ่งปันประสบการณ์ด้านการเขียนค่ะ เริ่มกระทู้โดย: CVT ที่ 28 ต.ค. 22, 13:12 สิ่งสำคัญทีทำให้ดำรงอาชีพมาได้ตลอดรอดฝั่ง คือ "วินัย" ทุกวันศุกร์ต้องส่งต้นฉบับให้สกุลไทย อย่างช้าสุดคือวันจันทร์ สมัยที่ยังไม่มีอินเทอร์เน็ต ต้องส่งไปรษณีย์ภายในพฤหัสบดี เพื่อให้ถึงสกุลไทยในวันรุ่งขึ้น ก็ต้องอดหลับอดนอนปั่นต้นฉบับให้เสร็จ ก่อนจะไปทำงาน วินัย แปลว่าต้องบังคับตัวเองให้ได้ ไม่มีคำว่า " ไม่มีอารมณ์จะเขียน" "เหนื่อยจะตาย ขอพักสักอาทิตย์" " ช่วงนี้ยุ่งมาก ไม่มีเวลาจริงๆ" ถ้าหากว่าใช้แม้แต่ 1 ใน 3 บ่อยๆ ก็คือปิดฉากอาชีพนี้ได้เลย ไม่มีบก.คนไหนให้อภัยคุณ เพราะการเขียนเป็นศิลปะก็จริง แต่การทำนิตยสารเป็นธุรกิจในวงเงินหลายร้อยล้าน เขาจะมาสะดุดเพราะคุณคนเดียวไม่ได้ เขาไล่คุณออกง่ายกว่า เพราะฉะนั้น ถ้าจะเป็นนักเขียนอาชีพ คุณจะไม่สามารถมีข้อแก้ตัวให้ตัวเองได้เลย ในการเอาอารมณ์ขึ้นมาเหนือวินัย ดิฉันเคยป่วยด้วยโรคอาหารเป็นพิษ ต้องเข้าไปนอนในโรงพยาบาล ยังต้องสั่งเด็กในบ้านให้ไปเอาคอมโน้ตบุ๊คมาที่ห้องคนไข้ แล้วก็นั่งจิ้มคีบอร์ดไปทั้งๆอีกแขนยังให้น้ำเกลือ เพื่อจะเขียนต้นฉบับให้เสร็จทันส่ง อ่านมาถึงตรงนี้ หลายคนคงอยากถามว่าทำไมคุณถึงต้องทรมานทรกรรมตัวเองขนาดนั้น ก็ขอตอบว่าเพราะดิฉันตระหนักว่าอาชีพนี้มีขึ้นมีลง ขึ้นอยู่กับหลายอย่างเช่นสังขารคนเขียน ค่านิยมในสังคมที่เปลี่ยนไป คลื่นจากนวัตกรรมใหม่ๆซัดเข้ามา ทุกอย่างผันแปรง่ายมาก บทจะเปลี่ยนมันพลิกผัน 180 องศาได้ง่ายๆ ในวัยที่เรารู้ว่าเรากำลังถึงจุดพีคของอาชีพ เราก็ใช้โอกาสนั้นให้เต็มที่ เมื่อมันผ่านไปแล้วจะได้ไม่มีความเสียใจว่า "รู้ยังงี้ ฉันก็คง..." หรือว่า "เสียดายที่ไม่ได้..." ทุกวันนี้ดิฉันก็รู้สึกว่าเราได้ใช้เวลาในชีวิตคุ้มค่าแล้ว ที่เหลืออยู่ตอนนี้และในอนาคต คือทำอะไรตามสบาย อยากทำก็ทำ ไม่อยากทำก็ไม่ทำ อย่างมาเขียนอะไรๆในเรือนไทยนี่ก็คืออยากทำ มีคุณม้าแอดมินเป็นคนช่วยให้เว็บไซต์นี้อยู่ยงคงกระพันมา 23 ปี โดยไม่มีสปอนเซอร์ ทุกครั้งที่มีใครบอกมาว่า ได้ความรู้จากเว็บนี้ ดิฉันก็เหมือนได้ค่าตอบแทนที่มีค่าสูงสุดค่ะ ต่อไปจะเล่าถึงการสร้างวินัย สิ่งสำคัญอีกเรื่องคือ จินตนาการครับ ผมทึ่งมากกับการที่นักเขียนมีจินตนาการได้ต่อเนื่อง กระทู้: รบกวนขออนุญาตอาจารย์คุณหญิงวินิตา ช่วยกรุณาแบ่งปันประสบการณ์ด้านการเขียนค่ะ เริ่มกระทู้โดย: เทาชมพู ที่ 28 ต.ค. 22, 16:51 ผลงานที่สร้างเป็นละครออกอากาศต่อเนื่องยาวนาน,มากมายนับสิบๆ จนถึงยุคนี้ที่มีการนำกลับมารีเมคกันอีก วิกกี้ว่า - เรื่องแปล ใช้นามปากกา วัสสิกา, รักร้อย, ปารมิตา แต่เมื่อรวมเล่มแล้วจึงเปลี่ยนมาเป็น ว.วินิจฉัยกุล ยกเว้นเรื่อง จันทรคราส ที่ยังคงใช้ ปารมิตา นิยายที่ทำละครทีวีไปแล้ว มี 53 เรื่องค่ะ อยู่ในคิวตอนนี้ประมาณ 8 เรื่อง บางเรื่องทำซ้ำ อย่างเศรษฐีตีนเปล่า กับปัญญาชนก้นครัว 4 ครั้ง แต่ปางก่อน 3 ครั้ง ไร้เสน่หา 2 ครั้ง ภาพยนตร์ 1 ครั้ง หนุ่มทิพย์ 2 ครั้ง วิมานมะพร้าว ละคร 2 ครั้ง หนัง 1 อะไรอีกจำไม่ได้แล้ว นามปากกาที่ใช้อย่างอื่นในเรื่องแปลก็ด้วยเหตุผลเดียวกันคือ นโยบายนิตยสารให้ตั้งนามปากกาหลากหลายกันไป ไม่ให้ลงซ้ำกัน แต่พอรวมเล่ม สนพ.กลัวขายไม่ออกเพราะคนอ่านไม่รู้ว่าเป็นใคร เลยต้องใช้ ว.วินิจฉัยกุล รอดไปได้เรื่องเดียวคือ จันทรคราส เพราะสนพ.ไม่ขัดข้อง ค่ะ กระทู้: รบกวนขออนุญาตอาจารย์คุณหญิงวินิตา ช่วยกรุณาแบ่งปันประสบการณ์ด้านการเขียนค่ะ เริ่มกระทู้โดย: เทาชมพู ที่ 28 ต.ค. 22, 16:59 สิ่งสำคัญอีกเรื่องคือ จินตนาการครับ ผมทึ่งมากกับการที่นักเขียนมีจินตนาการได้ต่อเนื่อง จินตนาการเป็นสิ่งจำเป็นสำหรับนักเขียน เหมือนร่างกายที่สูงและแข็งแกร่ง จำเป็นสำหรับนักกีฬา ถ้าพูดด้วยภาษาพระ จินตนาการคือ "ภาพนิมิต" ประเภทหนึ่ง นักเขียนมองเห็นได้ชัดเจนเป็นเรื่องเป็นราวมากกว่าคนธรรมดาทั่วไป เหมือนม.ร.ว.คึกฤทธิ์ ปราโมชเขียนว่าตอนท่านเขียนสี่แผ่นดิน ท่านก็เห็นเรื่องราวชัดเจนเหมือนตัวละครมากระซิบบอกอยู่ใกล้ๆ ภาพนิมิตยิ่งชัดเท่าไหร่ เรื่องก็ออกมาโน้มน้าวอารมณ์คนอ่านได้มากเท่านั้น โดยมีสื่อที่สำคัญอย่างยิ่งอีกอย่าง คือ "ภาษา" ถ้าถ่ายทอดไม่ดี ภาพนิมิตก็พร่าหรือสับสน เพราะฉะนั้นนักเขียนต้องอ่านหนังสือมากๆ เพื่อจะคล่องเรื่องภาษา และต้องหาหนังสือที่ใช้ภาษาดีๆมาอ่านด้วย อย่าอ่านแต่แชท ภาษาที่ใช้คุยกัน เอาไปเป็นพรรณนาโวหารและบรรยายโวหารไม่ได้ค่ะ กระทู้: รบกวนขออนุญาตอาจารย์คุณหญิงวินิตา ช่วยกรุณาแบ่งปันประสบการณ์ด้านการเขียนค่ะ เริ่มกระทู้โดย: NT ที่ 28 ต.ค. 22, 21:33 คุณป้าตอนสาว สวยสมกับที่บรรยายไว้ถึงคุณหญิงลอออร ไหมคะ คุณป้าของอาจารย์เทาชมพู งามมากครับ สมกับที่บรรยายไว้ในมาลัยสามชาย หลายปีก่อน ผมเคยเข้าใจผิด คิดว่าต้นแบบของคุณหญิงลอออร คือคุณหญิง มณี สิริวรสาร ครับ กระทู้: รบกวนขออนุญาตอาจารย์คุณหญิงวินิตา ช่วยกรุณาแบ่งปันประสบการณ์ด้านการเขียนค่ะ เริ่มกระทู้โดย: เทาชมพู ที่ 29 ต.ค. 22, 08:21 หลายคนก็เข้าใจผิดแบบนั้นค่ะ ความจริง ขอยืมมานิดหน่อย คือให้พระเอกคนที่สามเป็นแพทย์ เหมือนสามีคุณหญิงมณี แทนที่จะเป็นวิศวกรอย่างในความเป็นจริง
กระทู้: รบกวนขออนุญาตอาจารย์คุณหญิงวินิตา ช่วยกรุณาแบ่งปันประสบการณ์ด้านการเขียนค่ะ เริ่มกระทู้โดย: Jalito ที่ 29 ต.ค. 22, 18:49 กระทู้นี้ดีจังครับ ผู้ที่คิดจะเข้าสู่แวดวงการประพันธ์ไม่ควรพลาด ทำให้ได้รู้จัก ว.วินิจฉัยกุล แก้วเก้า ฯ มากขึ้น ซึ่งก็ไม่ทราบว่าท่านได้เคยให้สัมภาษณ์ทำนองนี้แก่นิตยสารหรือรายการใดหรือไม่ สำหรับอาจารย์เทาชมพูนั้น ผมมีความรู้สึกคุ้นเคย เพราะท่านเป็นเจ้าเรือนนี้ ยังเคยถูกท่านปราม(สุภาพมาก)เมื่อเห็นผมเริ่มจะออกนอกลู่ มีความรู้สึกว่าท่านใช้ภาษาได้อย่าง”นายภาษา” ส่วนอาจารย์คุณหญิงวินิตา ได้พบท่านแบบไม่คาดฝันมาก่อนที่งานหนังสือฯเมื่อหลายปีมาแล้ว ท่านกรุณาเซ็นชื่อทีปกหนังสือให้ด้วย ปลื้มมากจนถึงบัดนี้ กระทู้: รบกวนขออนุญาตอาจารย์คุณหญิงวินิตา ช่วยกรุณาแบ่งปันประสบการณ์ด้านการเขียนค่ะ เริ่มกระทู้โดย: ninpaat ที่ 29 ต.ค. 22, 19:03 กระทู้นี้ดีจังครับ ผู้ที่คิดจะเข้าสู่แวดวงการประพันธ์ไม่ควรพลาด ทำให้ได้รู้จัก ว.วินิจฉัยกุล แก้วเก้า ฯ มากขึ้น ซึ่งก็ไม่ทราบว่าท่านได้เคยให้สัมภาษณ์ทำนองนี้แก่นิตยสารหรือรายการใดหรือไม่ สำหรับอาจารย์เทาชมพูนั้น ผมมีความรู้สึกคุ้นเคย เพราะท่านเป็นเจ้าเรือนนี้ ยังเคยถูกท่านปราม(สุภาพมาก)เมื่อเห็นผมเริ่มจะออกนอกลู่ มีความรู้สึกว่าท่านใช้ภาษาได้อย่าง”นายภาษา” ส่วนอาจารย์คุณหญิงวินิตา ได้พบท่านแบบไม่คาดฝันมาก่อนที่งานหนังสือฯเมื่อหลายปีมาแล้ว ท่านกรุณาเซ็นชื่อทีปกหนังสือให้ด้วย ปลื้มมากจนถึงบัดนี้ . ผมเห็นด้วยเลยครับ .....กระทู้นี้ มีชีวิตชีวา มีสีสรรค์เป็นอย่างยิ่ง....... ... กระทู้: รบกวนขออนุญาตอาจารย์คุณหญิงวินิตา ช่วยกรุณาแบ่งปันประสบการณ์ด้านการเขียนค่ะ เริ่มกระทู้โดย: เทาชมพู ที่ 29 ต.ค. 22, 19:07 กำลังรอว่าเมื่อไรคุณ Jalito จะยกมือขึ้นพูดเสียทีค่ะ แต่เรื่องเข้ามานั่ง น่าจะเข้ามาแบบเงียบๆสักพักแล้ว ;D
เคยให้สัมภาษณ์เหมือนกัน เล่าตรงนั้นบ้างตรงนี้บ้าง ต่างกรรมต่างวาระ ค่ะ รวบรวมเอามาเล่ารวดเดียวเลยในกระทู้นี้ วิธีสร้างวินัยอีกอย่างหนึ่งคือกำหนดปริมาณงานไว้เลยว่า ต้องทำวันละเท่าใด เช่น ภายใน 7 วันต้องส่ง 1 บท ถ้าความยาวคือ 7 หน้า ต้องเขียนให้ได้วันละ 1 หน้า ถึงจะเข้านอนได้ วันไหนไม่ได้เขียนเพราะมีเหตุอะไรก็ตาม วันรุ่งขึ้นต้องเขียน 2 หน้า งานก็จะเสร็จทันกำหนดเวลา วิธีนี้ เฮมิงเวย์ก็ใช้เหมือนกันค่ะ ย้อนไปสมัยยังรับราชการ ต้องทำผลงานเพื่อขอตำแหน่งทางวิชาการ ตอนนั้นเลือกแปลหนังสือ 1 เล่มคือความพยาบาทฉบับสมบูรณ์ แปลจาก Vendetta! ของ Marie Corelli นับจาก "แม่วัน" หรือพระยาสุรินทราชาแปลเรื่องนี้เป็นนวนิยายแปลเรื่องแรกของไทย ในรัชกาลที่ 5 แล้วยังไม่มีใครแปลอีก เจ้าคุณท่านแปลแบบรวบรัด หลายบทถูกตัดออกไป เมื่อมาแปลให้ครบเรื่องพร้อมกับทำวิจัยไปด้วย ก็เอาจำนวนหน้าหนังสือตั้งขึ้น หารด้วย 365 เพราะงานต้องเสร็จใน 1 ปี พบว่าต้องแปลให้ได้วันละ 7 หน้า ไม่ว่าฝนจะตกแดดจะไม่ออกยังไงก็ต้องให้ได้ 7 หน้า วันไหนทำได้มากกว่านั้นก็เท่ากับงานที่รออยู่ข้างหน้าจะเบาลง ผลก็คือทำงานเสร็จทันเวลา กระทู้: รบกวนขออนุญาตอาจารย์คุณหญิงวินิตา ช่วยกรุณาแบ่งปันประสบการณ์ด้านการเขียนค่ะ เริ่มกระทู้โดย: เทาชมพู ที่ 29 ต.ค. 22, 19:15 วิธีทำงานให้ได้มากในเวลาจำกัด คือบอกตัวเองว่า การเขียนหนังสือเป็นสิ่งยากอยู่แล้ว ไม่ควรสร้างเงื่อนไขต่างๆกับตัวเอง ให้ทำงานได้ยากเข้าไปอีก เช่น จะต้องเดินทางไปพักริมทะเล หรือบนภูเขาถึงจะเขียนได้ลื่น ต้องรอให้ทุกคนในบ้านเข้านอนเสียก่อน บ้านเงียบดีถึงจะลงมือเขียน ต้องเขียนเฉพาะวันหยุดเท่านั้น ฯลฯ
ถ้าอยากทำเช่นนั้น ต้องใช้วิธีเขียนให้จบก่อนแล้วค่อยส่งนิตยสาร หรือส่งรวมเล่มกับสำนักพิมพ์เลย ซึ่งไม่จำกัดเวลาเขียน จะกี่ปีก็ได้ แต่ถ้าต้องส่งต้นฉบับทุก 7 วันหรือ 14 วัน จะทำไม่ได้ เพราะฉะนั้น ผลพลอยได้ของการฝึกตัวเองให้เขียนได้ทุกสถานที่และโอกาส ทำให้ทำงานได้มาก เมื่อทำงานได้มากก็ไม่เครียด เมื่อไม่เครียด ความคิดก็ไม่สะดุด งานก็เสร็จทันเวลา ถ้าเป็นคนมีครอบครัวแล้ว ไม่แนะนำให้มีห้องทำงานส่วนตัว เพราะถ้ามี เราจะถูกงานทำให้ห่างครอบครัวตั้งแต่ตอนเย็นไปจนดึก ไม่ได้อยู่กับพร้อมหน้ากันพ่อแม่ลูก ถ้านั่งอยู่แค่ในมุมหนึ่งของห้องแล้วทำงานไป ลูกก็อยู่ในสายตา เขาขอให้ช่วยเรื่องการบ้านก็สอนเขาได้ พฤติกรรมของเขาเราก็เห็นโดยตลอดตั้งแต่เล็กจนโต ส่วนเขาก็เห็นแม่ทำงาน ไม่ได้นั่งๆนอนๆอยู่เฉยๆ เท่ากับสอนเขาในตัวให้เห็นคุณค่าของการทำงานค่ะ กระทู้: รบกวนขออนุญาตอาจารย์คุณหญิงวินิตา ช่วยกรุณาแบ่งปันประสบการณ์ด้านการเขียนค่ะ เริ่มกระทู้โดย: เทาชมพู ที่ 30 ต.ค. 22, 12:29 พูดเรื่องจินตนาการต่อ
จินตนาการของนักเขียนแต่ละคนไม่เหมือนกัน นอกจากไม่เหมือนกัน ยังไม่เท่ากันด้วย พวกที่มีจินตนาการน้อยไม่ควรเอาดีคิดจะประกอบอาชีพนี้ แม้แต่สารคดีก็ต้องใช้จินตนาการในการบรรยายเรื่องให้เห็นภาพ แต่ถ้าทำเป็นงานอดิเรกก็ไม่เป็นไร อาจจะเพลินๆไปได้เป็นปีหรือหลายปี ต่อมาคือพวกที่มีปานกลาง พวกนี้เขียนได้ แต่นานเข้าอาจพบว่ามาถึงทางตัน ทำให้ผลตอบรับไม่ดีเท่าที่หวัง จากนั้นเมื่อมีอาชีพอื่นที่มั่นคงกว่าผ่านเข้ามา หรือมีภาระอย่างอื่นต้องดูแล ก็จะหันเหไปทำอย่างอื่นที่เหมาะกับตัวเองมากกว่า ก็เหลือแต่พวกจินตนาการสูง ซึ่งมีไม่มากนัก คนที่เป็นนักเขียนอาชีพได้จนตลอดรอดฝั่ง ในประเทศไทยมีจำนวนน้อยกว่าคนจบปริญญาเอก นักเขียนไม่ว่ามีจินตนาการมากน้อยแค่ไหน ถ้าเป็นคนที่สามารถลำดับจินตนาการได้ตั้งแต่ต้นจนจบก่อนลงมือเขียน จะเขียนเรื่องได้คล่องกว่าคนที่คิดไม่ค่อยออก เลยใช้วิธีเขียนไปคิดไป จบยังไงค่อยรู้กันตอนจบ ถ้าเปรียบ ก็เหมือนขับรถโดยไม่รู้จุดหมายปลายทาง แต่ขับไปเรื่อยๆตามถนน มีทางให้ตรงก็ตรง ให้เลี้ยวก็เลี้ยว เลี้ยวไปเลี้ยวมาเลยหลงทางได้ง่าย โอกาสที่เดาสุ่มต่อไปจนถึงจุดหมายปลายทาง มีน้อยมาก หรือไม่ก็เหมือนคนสร้างบ้านแบบไม่มีพิมพ์เขียว คืออยากต่อห้องตรงไหนก็ต่อ บ้านถึงเสร็จ ก็จะออกมาไม่ได้รูปทรงสวยงามเท่าที่ควร ดีไม่ดีส่วนที่ต่อเติมเข้าไปอาจจะพังครืนล้มลงมา ทำให้บ้านทั้งหลังเสียหายไปด้วยค่ะ กระทู้: รบกวนขออนุญาตอาจารย์คุณหญิงวินิตา ช่วยกรุณาแบ่งปันประสบการณ์ด้านการเขียนค่ะ เริ่มกระทู้โดย: เทาชมพู ที่ 30 ต.ค. 22, 15:33 คุณ JibbyJ คนตั้งกระทู้ หายไปเลยนะคะ
จะมาต่อเรื่อง "ภาษา" ค่ะ กระทู้: รบกวนขออนุญาตอาจารย์คุณหญิงวินิตา ช่วยกรุณาแบ่งปันประสบการณ์ด้านการเขียนค่ะ เริ่มกระทู้โดย: เทาชมพู ที่ 30 ต.ค. 22, 19:05 กุญแจอีกดอกที่ไขไปสู่ความสำเร็จของนักเขียน คือภาษา
นักเขียนที่ดีต้องรู้จักใช้ภาษาได้ดี เรื่องนี้จะเรียกว่าข้อบังคับก็ได้ ยังไม่เคยเห็นนักเขียนคนไหนประสบความสำเร็จด้วยการใช้ภาษาผิดๆถูกๆ ภาษาที่แข็งกระด้าง ภาษาที่ไม่สื่อความหมาย และภาษาที่ " ไม่..." อะไรอีกหลายๆอย่าง รวมความว่าเป็นภาษาที่อ่านไม่รู้เรื่องหรือถึงรู้เรื่องก็ไม่กระทบใจคนอ่าน ขอให้สังเกตความแตกต่างของภาษาใน 2 ประโยคข้างล่างนี้ เสียงปืนถูกยิงดังปังๆๆติดต่อกัน เสียงปืนกัมปนาทขึ้นอย่างหูดับตับไหม้ ความหมายเดียวกัน แต่การใช้ภาษาเป็นคนละระดับเลยทีเดียว ประโยคแรกเขียนตรงๆทื่อๆ ไม่ให้อารมณ์ใดๆ บอกแต่ข้อเท็จจริง ว่ามีเสียงปืนยิงซ้ำๆกันหลายนัด ประโยคที่สองมีการเลือกใช้โวหารที่เน้นให้เห็นอานุภาพของเสียงปืนดังสนั่น รัวถี่ยิบจนหูอื้อ เร้าอารมณ์คนอ่านให้ตื่นเต้นว่า จะต้องมีเรื่องคอขาดบาดตายเกิดขึ้นแน่ๆ รองเท้าของวีระเริ่มกัดจนเขาเดินไม่ถนัด แต่ก็ต้องทน เดินไปก็ด่าไป วีระกัดฟันลากเท้าเดินกระโผลกกระเผลก ด้วยฤทธิ์ของรองเท้าเจ้ากรรม เขาแช่งด่ามันเสียไม่นับทั้งๆรู้ว่าช่วยอะไรไม่ได้ แบบแรก บอกเล่าเฉยๆถึงภาพที่เห็น แบบที่สอง นอกจากเห็นภาพ คนอ่านจะสัมผัสถึงความเจ็บปวดของวีระ ตลอดจนอารมณ์เสียที่จำต้องทนสถานการณ์นี้โดยไม่มีทางเลือกอื่น ทั้งหมดนี้คือตัวอย่างภาษาที่นักเขียนนวนิยายควรฝึกฝนให้มี อันได้แก่ภาษาที่มีสำนวนโวหาร สร้างอารมณ์ให้คนอ่านได้ ฝนตกลงมาเล็กน้อย กับ สายฝนโปรยปรายลงมาเบาๆ ให้อารมณ์ที่แตกต่างกัน ทั้งๆความหมายเดียวกัน อย่างที่สองนุ่มนวลกว่า ให้บรรยากาศที่สวยงามมากกว่า กระทู้: รบกวนขออนุญาตอาจารย์คุณหญิงวินิตา ช่วยกรุณาแบ่งปันประสบการณ์ด้านการเขียนค่ะ เริ่มกระทู้โดย: SILA ที่ 31 ต.ค. 22, 10:59 สำหรับคนจินตนาการไม่บรรเจิด น้ำหอมกลิ่นนี้อาจช่วย"บิ๊ว" ในการแต่งนิยายแนวภูตวิญญาณได้ แต่ ระดับ"แก้วเก้า" แล้ว คงไม่ต้องใช้ตัวช่วยแบบนี้กระมัง,ครับ อีกอย่างคือ ระหว่างแต่งเคยเกิด เหตุการณ์แปลกๆ อะไรขึ้นบ้าง เหมือนอย่างที่ ทมยันตี เคยเล่าตอนแต่งเรื่อง พิษสวาท (กลายเป็น คำถามข้ามไปอีกกระทู้จนได้ :) กระทู้: รบกวนขออนุญาตอาจารย์คุณหญิงวินิตา ช่วยกรุณาแบ่งปันประสบการณ์ด้านการเขียนค่ะ เริ่มกระทู้โดย: เทาชมพู ที่ 31 ต.ค. 22, 18:55 ตอบคุณหมอ SILA
อย่างที่เล่าไปข้างต้นกระทู้นี้แล้วว่า จินตนาการของนักเขียนก็คือภาพนิมิตประเภทหนึ่ง เพราะฉะนั้นสิ่งที่ดิฉันต้องระวังมาก ก็คือต้องมีสติเตือนตัวเองอยู่ทุกเวลาว่า สิ่งที่เราเห็นนั้น เราเห็นจริง แต่ตัวของมันเองนั้น-ไม่จริง หรือต่อให้มันเป็นเรื่องจริง มันก็ไม่ได้นำไปสู่เส้นทางของพุทธศาสนา ไม่ใช่ มรรค ซึ่งเป็น 1 ในอริยสัจจ์ 4 แต่อย่างใด กล่าวคือไม่ใช่เส้นทางของการหลุดพ้นจากทุกข์ แต่อาจทำให้เพลิดเพลินได้ชั่วคราว ถึงกระนั้น ในความเพลิดเพลินที่ว่า จะต้องใช้สติกำกับอยู่เสมอ ไม่งั้น 'หลุด' เข้าไปในวังวนได้ง่าย เนื่องจากจินตนาการยิ่งแรงเท่าไร ความเพลิดเพลินก็จะมากเท่านั้น บางทีก็เพลิดเพลินจนรู้สึกว่าตัวเองอยู่เหนือโลก เป็นแรงดึงดูดมหาศาลให้เข้าไปแล้วติดใจจนไม่อยากกลับออกมา ผลคือหลงเข้ารกเข้าพงไปทางไหนก็ไม่รู้ มันน่ากลัวสำหรับตัวเองและครอบครัวมากค่ะ ตอนนี้ยังพูดคุยกับสมาชิกเรือนไทยรู้เรื่องอยู่ค่ะ คุณหมอไม่ต้องห่วง กระทู้: รบกวนขออนุญาตอาจารย์คุณหญิงวินิตา ช่วยกรุณาแบ่งปันประสบการณ์ด้านการเขียนค่ะ เริ่มกระทู้โดย: เทาชมพู ที่ 01 พ.ย. 22, 19:42 ตั้งแต่เริ่มลงมือเขียนเป็นอาชีพ ก็รู้สึกเสมอว่าอาชีพนี้เหมือนเดินอยู่บนถนนสายยาว ที่ทอดผ่านกาลเวลามานานนับร้อยปี ก็คงจะทอดยาวไปอีกนับชั่วหลานเหลน ใครจะไปนึกว่า วันดีคืนดี คลื่นลูกใหม่ที่เรียกว่า "สมาร์ตโฟน" ซัดเข้ามาให้โครมเดียว ถนนทั้งสายหายไปในพริบตา
นิตยสารทั้งหลายปิดตัวลงเกือบ 100% ในเวลารวดเร็วน่าใจหาย มองไม่เห็นแผงหนังสือตามตลาดอีกแล้ว สำนักพิมพ์ก็ทยอยปิด หน้ากระดาษและหมึกพิมพ์ที่คุ้นเคยหายไปอีกเช่นกัน มีแต่ตัวหนังสือให้อ่านผ่านหน้าจอ นักเขียนกลายเป็นคนยืนงง ถ้าหมุนตัวตามโลกดิจิทัลไม่ทัน ก็จะถูกคลื่นซัดหายไปในพริบตา นักเขียนยุคใหม่ที่เกิดมาพร้อมกับโทรศัพท์มือถือ จิ้มคีบอร์ดอย่างชำนาญ พากันมายืนแทนที่นักเขียนยุคเก่าที่เกิดมาพร้อมกับกระดาษและปากกา นิยายยุคดิจิทัลอย่าง นิยายอีบุ๊ค นิยายไลน์ และอะไรต่อมิอะไรอีกหลายอย่างพรั่งพรูออกมาสู่หน้าจอ แล้ว "แก้าเก้า" ทำอย่างไร โชคดีหน่อยที่ดิฉันเคยชินกับคอมพิวเตอร์มาตั้งแต่พ.ศ. 2535 ตัวที่ใช้พิมพ์หนังสือ ในตอนนั้นเขาเรียกว่า word processor มีโปรแกรมให้เลือกพิมพ์ต้นฉบับ 2 แบบ คือ เวิร์ดราชวิถีกับเวิร์ดจุฬา ส่งต้นฉบับโดยไม่ต้องใส่ซองอย่างเมื่อก่อน แต่ส่งด้วย Fax Modem (เดี๋ยวนี้น่าจะอยู่ในพิพิธภัณฑ์ไปแล้ว) เมื่ออินเทอร์เน็ตมาถึงกรุงเทพและปริมณฑล อีเมลก็ยิ่งทำให้ส่งต้นฉบับสะดวกกว่าแฟกซ์โมเด็ม ดิฉันเริ่มใช้อินเทอร์เน็ตเป็นตั้งแต่พ.ศ. 2542 จำค.ศ. ง่ายกว่าคือปี 1999 ช่วยได้มากในการค้นข้อมูลต่างๆ แม้ว่าตอนนั้นมีแต่ yahoo ก็ถือว่าใช้การได้ดีกว่าไต่บันไดห้องสมุดหลายเท่า การใช้อินเทอร์เน็ตเป็นทำให้รอดตัว ไม่ตกเทรนด์ มาสัก 2 ทศวรรษได้ แต่มาถึงพ.ศ. 2565 ก็ต้องยอมรับว่า app มันเพิ่มมากมายเหลือเกินจนตามไม่ทัน โลกไม่ใช่ที่อยู่ของคนยุค Baby Boomers อีกแล้ว ว่ายตามกระแสเขาไม่ไหว แต่ก็ยังดีหน่อย เมื่อว่ายตามไม่ไหวก็ไม่ต้องว่าย ยังมีชายฝั่งให้หายใจได้อีกมาก นั่นคือการบันทึกภาพสังคมที่หมดไปแล้วในความเป็นจริง แต่ยังดำรงอยู่ในความทรงจำ คนจำนวนมากแม้พอใจกับปัจจุบัน แต่ก็ยังอยากรู้จักอดีตที่พวกเขาเกิดไม่ทัน เราก็ทำหน้าที่กระจกเงาให้เขาเห็น มันเป็นความได้เปรียบของคนที่เกิดมาก่อน เพราะยังเข้าใจวัฒนธรรมและค่านิยมต่างๆในอดีตที่ปัจจุบันกลายเป็นของหายากไปแล้ว อย่างเช่น มาลัยสามชาย และ เพชรกลางไฟ เป็นต้น กระทู้: รบกวนขออนุญาตอาจารย์คุณหญิงวินิตา ช่วยกรุณาแบ่งปันประสบการณ์ด้านการเขียนค่ะ เริ่มกระทู้โดย: CVT ที่ 02 พ.ย. 22, 08:24 ยังพับเพียบเรียบร้อย นั่งฟังการบรรยายอย่างเงียบ ๆ ครับ
อาจารย์ทำให้ผมคิดถึงความหลังเมื่อครั้งใช้คอมพิวเตอร์ ๘ บิท ใช้เวิร์ดราชวิถีและเวิร์ดจุฬาเลยครับ กระทู้: รบกวนขออนุญาตอาจารย์คุณหญิงวินิตา ช่วยกรุณาแบ่งปันประสบการณ์ด้านการเขียนค่ะ เริ่มกระทู้โดย: เทาชมพู ที่ 02 พ.ย. 22, 08:55 @ อาจารย์หมอ CVT
ตอนใช้เวิร์ดราชวิถีรู้สึกว่ามันง่ายกว่าพิมพ์ดีดไฟฟ้า ตรงที่ลบและแก้ไขข้อความง่ายกว่ามาก แต่พอมาใช้ window ต่างๆ มันยิ่งง่ายขึ้นอีกค่ะ จนบัดนี้เปลี่ยน window มานับไม่ถ้วนแล้ว เสียดาย Window XP ว่าง่ายสุด ใช้อยู่หลายปีกว่าเขาจะยกเลิก เมื่อเทียบกับ window 7 กับ 10 ซึ่งไม่ชอบเลย แต่ก็ต้องใช้เพราะไม่มีทางเลือก ทำให้ยังไม่อยากเปลี่ยนเป็น 11 เกรงว่ามันจะยากกว่า 10 ต้องมาจำวิธีใช้กันใหม่อีกค่ะ กลับมาเรื่องปัจจุบัน หลังจากคลื่นดิจิทัลซัดระบบกระดาษล่มไปเป็นจำนวนมากแล้ว นักเขียนอย่างดิฉันก็ต้องปรับตัวเข้าสู่สังคมใหม่ ตื่นขึ้นมาวันหนึ่งพบว่า ไม่มีสกุลไทยให้ต้องส่งต้นฉบับทุกวันศุกร์อีกแล้ว นิตยสารอื่นๆที่เคยส่งงานให้อย่างพลอยแกมเพชรก็ปิดตัวไปเช่นกัน ผลอย่างแรกคือรู้สึกสบายมาก ได้มีชีวิตเรื่อยๆ อยู่แบบพักผ่อนตามสบายเป็นครั้งแรก จะเขียนก็ได้ไม่เขียนก็ได้ ไม่มีใครโทรมาทวงต้นฉบับให้สะดุ้งผวาอย่างเมื่อก่อน ลูกๆก็โตจนทำงานไปแล้ว หมดห่วง แต่พออยู่ไปสักพัก ความเคยชินว่าไม่เคยอยู่เปล่าๆ ทำให้ชักอยู่ไม่สบายอีก คงจะจริงอย่างที่โหรโสรัจจะเคยทำนายไว้ กล่าวคือนานหลายปีมาแล้ว ดิฉันนัดรับประทานอาหารมื้อเที่ยงกับพี่ "มนันยา" นักเขียนและนักแปลชื่อดัง ปรากฏว่าคุณโสรัจจะ นวลอยู่ มาร่วมวงด้วยในฐานะลูกศิษย์เก่าของพี่มนันยา นึกสนุกเลยขอให้ดูหมอให้ โหรโสรัจจึงทำนายว่า " ชีวิตอาจารย์ อะไรๆก็ดี เสียแต่ว่าในชีวิตต้องเหนื่อยมาก เรียกว่าไม่มีวันไหนเลยที่ตื่นขึ้นมาแล้วรู้สึกสบายๆ ไม่มีอะไรทำ จะเหนื่อยไปจนวันสุดท้ายของชีวิต" คำทำนายของคุณโสรัจจะน่าจะถุกต้อง หลังจากนั้นอีกไม่นานดิฉันก็ได้รู้จัก e book เข้ามาแทนนิตยสารเล่ม เจ้าของเว็บ e book ตกลงจะนำผลงานไปลงพิมพ์ให้อ่านกันทางหน้าจอ ในเมื่อพิมพ์ต้นฉบับด้วยไฟล์เวิร์ดอยู่แล้วก็ง่ายมากที่จะส่งอีเมลไปให้ เขาก็นำลงพิมพ์ได้เลย เราก็วนกลับไปสู่ลูปเดิม คือก้มหน้าก้มตาทำงานต่อไป กระทู้: รบกวนขออนุญาตอาจารย์คุณหญิงวินิตา ช่วยกรุณาแบ่งปันประสบการณ์ด้านการเขียนค่ะ เริ่มกระทู้โดย: เทาชมพู ที่ 02 พ.ย. 22, 15:27 นึกไม่ออกว่าจะเล่าอะไรอีกต่อไปแล้วค่ะ ใครอยากทราบอะไรก็ถามมาดีกว่า
ถ้าไม่มี จะได้จบกระทู้นี้เสียทีค่ะ กระทู้: รบกวนขออนุญาตอาจารย์คุณหญิงวินิตา ช่วยกรุณาแบ่งปันประสบการณ์ด้านการเขียนค่ะ เริ่มกระทู้โดย: Anna ที่ 02 พ.ย. 22, 21:25 ขอเสริมนิดนะคะ ลีลาการเล่าเรื่องก็สำคัญค่ะ
ในฐานะนักอ่าน ที่เป็นFC 'ว. วินิจฉัยกุล' กับ 'แก้วเก้า' ก็เพราะติดใจลีลาการเล่าเรื่องนี่ล่ะค่ะ ขอยกตัวอย่างเรื่อง 'รัตนโกสินทร์' ทั้งที่มีเนื้อหาที่เป็นข้อเท็จจริงทางประวัติศาสตร์หนักๆ มีความรู้สอดแทรกอยู่เพียบ แต่เพราะลีลาการเล่าเรื่องที่สนุก ทำให้ไม่รู้สึกว่าหนักหรือน่าเบื่อเหมือนกำลังอ่านตำราเลยค่ะ กระทู้: รบกวนขออนุญาตอาจารย์คุณหญิงวินิตา ช่วยกรุณาแบ่งปันประสบการณ์ด้านการเขียนค่ะ เริ่มกระทู้โดย: เทาชมพู ที่ 03 พ.ย. 22, 07:52 ลีลา หรือ style หมายถึงวิธีการสร้างผลงานที่ดูแล้วเฉพาะตัว เป็นเสน่ห์สำคัญของศิลปินทุกสาขา
ไม่ว่าศิลปินสาขาไหน คนที่มี style จะโดดเด่นกว่าคนที่ไม่มี เหมือนคนแต่งตัวแบบมี style คนอื่นๆมองก็จะสะดุดตาว่าคนแต่งตัวธรรมดาๆกลืนไปกับคนเดินถนนคนอื่นๆ เรื่อง style หรือลีลา เป็นเรื่องสอนกันไม่ได้ ต้องหัดพัฒนากันเอง บางคนคิดว่าการก๊อปลีลาของศิลปินดังๆจะทำให้ตัวเองพลอยขายออกไปด้วย แต่ขอให้นึกถึงตัวอย่าง อย่างไมเคิล แจ๊กสัน สมัยโด่งดัง ลีลาท่าเต้นของเขามีนักร้องใหม่ๆ ทั้งมืออาชีพและมือสมัครเล่นเลียนแบบกันนับไม่ถ้วน แต่ก็ไม่มีใครก้าวขึ้นสู่แถวหน้าได้สักคน ทุกวันนี้ก็คนเหล่านี้ก็หายไปหมด เมื่อไม่มีกระแสอีกแล้ว ลีลาของศิลปินแต่ละคนอาจเปลี่ยนไปตามยุคสมัย หรือตามวัย แต่ถ้าเขามี "ลีลา" จริง เวลาโชว์ผลงานก็จะเห็น "ลีลา" ของเขาเสมอ ยกตัวอย่างคุณสุรชัย สมบัติเจริญ ตอนหนุ่มกับตอนสูงวัยแล้ว ร้องเพลงเดียวกันแต่ไม่เหมือนกัน แต่ที่มีสม่ำเสมอคือมีลีลาที่มีเสน่ห์โดดเด่น นั่นคือ style https://www.youtube.com/watch?v=KXKOGmLwya8 กระทู้: รบกวนขออนุญาตอาจารย์คุณหญิงวินิตา ช่วยกรุณาแบ่งปันประสบการณ์ด้านการเขียนค่ะ เริ่มกระทู้โดย: เทาชมพู ที่ 04 พ.ย. 22, 09:15 ลีลาการเขียนไม่มีแบบแผนตายตัว เป็นเรื่องเฉพาะตัวที่จะต้องพัฒนาขึ้นมาเอง บางคนเริ่มด้วยการเลียนแบบสำนวนภาษาของนักเขียนคนโปรด บางคนก็คิดประดิษฐ์แนวทางขึ้นมาเอง จะสำเร็จหรือไม่ คนอ่านจะเป็นผู้ตัดสินให้เอง เพราะคนอ่านคือกรรมการตัดสินอาชีพนักเขียนว่าจะอยู่ยงคงกระพันในอาชีพนี้หรือไม่
พูดถึงคนอ่าน ก็ได้ประสบการณ์มาอย่างหนึ่ง ว่าคนอ่านไทยกับคนอ่านฝรั่งไม่เหมือนกัน วัฒนธรรมเขากับเรามาจากคนละพื้นฐานกัน อะไรที่ฝรั่งยกย่อง คนไทยอาจจะไม่ชอบเลยก็ได้ ในทำนองเดียวกัน อะไรที่คนไทยนิยมชมชอบ ฝรั่งก็เห็นว่าไม่น่าสนใจเลยก็มี ส่วนชาติอื่นเช่นจีน ญี่ปุ่น เกาหลีนั้นดิฉันไม่รู้ เพราะไม่เคยศึกษา ตั้งแต่สมัยเรียน เคยอ่าน "ความพยาบาท" พระยาสุรินทราชา แปลจาก Vendetta ของ Marie Corelli เธอเป็นนักเขียนเบสเซลเลอร์ของอังกฤษ โด่งดังในช่วงที่เจ้าคุณสุรินทรฯ ไปศึกษาต่อที่นั่น ท่านก็คงอ่านแล้วชอบจึงนำกลับมาแล้วแปลลงในวารสารที่ออกใหม่ในยุคปลายรัชกาลที่ 5 กลายเป็นหนังสือสำคัญในวงวรรณกรรมไทย เพราะเป็นนิยายแปลเรื่องแรก และเป็นนิยายเรื่องแรกของไทยด้วย ตอนเรียนปี 1 คณะมีอาจารย์อังกฤษจบใหม่ๆจาก Oxford มาสอน ดิฉันอยากรู้ผลงานของคอเรลลีมากกว่านี้เลยไปถามอาจารย์หลังชม.เรียน อาจารย์งง ไม่รู้จัก ไม่เคยได้ยินชื่อ ผ่านมากว่าครึ่งศตวรรษ เจออาจารย์อีกในเฟซบุ๊ค เกษียณมานมนานแล้ว ดีใจมากที่ได้เจอบรรดาศิษย์ชาวไทยอีก ก็ทบทวนความหลังกัน ปรากฏว่าจนบัดนี้อาจารย์ก็ยังไม่เคยได้ยินชื่อคอเรลลี ผิดกับนักอ่านไทย โดยเฉพาะนักอ่านชาวอักษรศาสตร์ ไม่มีใครไม่รู้จักคอเรลลี เพราะแปลกันแพร่หลาย ก็มารู้ทีหลังว่า วงวรรณกรรมอังกฤษถือว่าคอเรลลีเป็นนักเขียนเกรด B พูดกันเหยียดๆว่า เอาไว้อ่านสำหรับชาวอาณานิคม พวกผู้ดีมีความรู้ไม่อ่านกัน พอมาถึงยุคอินเทอร์เน็ต งานของคอเรลลีหมดลิขสิทธิ์แล้ว นำลงในเว็บไซต์ต่างๆกันหลายเว็บด้วยกัน บางเว็บเปิดช่องให้ออกความเห็นได้ ก็มีคนอ่านไปออกความเห็นเป็นเสียงเดียวกันว่าอ่านสนุกมาก พวกเขาตัดสินจากความรู้สึก ไม่ใช่จากตำรา กระทู้: รบกวนขออนุญาตอาจารย์คุณหญิงวินิตา ช่วยกรุณาแบ่งปันประสบการณ์ด้านการเขียนค่ะ เริ่มกระทู้โดย: SILA ที่ 04 พ.ย. 22, 10:21 อาจารย์งง ไม่รู้จัก ไม่เคยได้ยินชื่อ ผ่านมากว่าครึ่งศตวรรษปรากฏว่าจนบัดนี้อาจารย์ก็ยังไม่เคยได้ยินชื่อคอเรลลี ได้รู้จัก คอเรลลี จาก ดรรชนีนาง ของอิงอรที่นางเอกอ้างถึง เต็ลมา จนไปหาอ่านฉบับซิมพลิฟายด์ในห้องสมุดสมัยมัธยม บางคนคงโฟกัส ความสนใจเฉพาะเรื่องที่สนใจ,ที่ชอบจริงๆ ซึ่งก็มีมากมายจนไม่มีเวลาไปหาทำเรื่องอื่น (แต่ก็อดคิดไม่ได้ว่า น่าจะผ่านตา,ผ่านหูมาบ้าง) กระทู้: รบกวนขออนุญาตอาจารย์คุณหญิงวินิตา ช่วยกรุณาแบ่งปันประสบการณ์ด้านการเขียนค่ะ เริ่มกระทู้โดย: เพ็ญชมพู ที่ 04 พ.ย. 22, 11:15 นักเขียนที่ชื่นชมผลงานของคอเรลลี (แต่ไม่เปิดเผย) จนถึงนำมาเป็นต้นฉบับแต่งนิยาย 'เงา' และ 'พิษสวาท' จนโด่งดัง คือ โรสลาเรน หรือ ทมยันตี
ดังที่คุณหญิงวินิตาเขียนวิจารณ์ไว้ในตอนท้ายและบทสรุปของบทความเรื่อง มารี คอเรลลี กับนวนิยายและเรื่องสั้นของไทย (https://so04.tci-thaijo.org/index.php/jasu/article/download/250505/170090/) กระทู้: รบกวนขออนุญาตอาจารย์คุณหญิงวินิตา ช่วยกรุณาแบ่งปันประสบการณ์ด้านการเขียนค่ะ เริ่มกระทู้โดย: เทาชมพู ที่ 04 พ.ย. 22, 12:31 ได้รู้จัก คอเรลลี จาก ดรรชนีนาง ของอิงอรที่นางเอกอ้างถึง เต็ลมา จนไปหาอ่านฉบับซิมพลิฟายด์ในห้องสมุดสมัยมัธยม บางคนคงโฟกัส ความสนใจเฉพาะเรื่องที่สนใจ,ที่ชอบจริงๆ ซึ่งก็มีมากมายจนไม่มีเวลาไปหาทำเรื่องอื่น (แต่ก็อดคิดไม่ได้ว่า น่าจะผ่านตา,ผ่านหูมาบ้าง) นักอ่านไทยรู้จักมารี คอเรลลีมากกว่านักอ่านอังกฤษ รวมทั้งอาจารย์สอนวรรณคดีอังกฤษด้วยค่ะ อาจารย์อเมริกันของดิฉันที่สอนวรรณคดีอังกฤษก็ไม่รู้จักเธอค่ะ แต่โชคดีอาจารย์หัวหน้าภาควิชา ทำวิทยานิพนธ์ปริญญาเอกเรื่องงานของคอเรลลี อาจารย์ยกหนังสือของคอเรลลีที่ใช้ในการค้นคว้าให้ห้องสมุดของมหาวิทยาลัย ดิฉันก็เลยมีโอกาสได้อ่านงานชิ้นอื่นๆของเธอด้วย ไม่มีขายในไทย นักแปลที่แปลงานของคอเรลลีมากที่สุดคือคุณ "อมราวดี" ผู้ล่วงลับไปนานแล้ว อีกท่านคือดร.กิ่งแก้ว อัตถากร ท่านหลังนี้ ตอนดิฉันไปเยี่ยมชมบ้านของคอเรลลี่ที่ Stratford-upon-Avon ขากลับผ่านร้านหนังสือเก่าเลยแวะซื้อมาฝาก ปรากฏว่าเก่าสมชื่อ กระดาษกรอบจับทีแทบจะหลุดติดมือ กระทู้: รบกวนขออนุญาตอาจารย์คุณหญิงวินิตา ช่วยกรุณาแบ่งปันประสบการณ์ด้านการเขียนค่ะ เริ่มกระทู้โดย: เทาชมพู ที่ 04 พ.ย. 22, 12:57 งานของคอเรลลีไม่ถูกจริตของนักวิชาการและนักวิจารณ์ แต่ไปถูกจริตของคน 2 ชนชั้นด้วยกันคือ ราชสำนัก กับคนชั้นกลาง FC ตัวยงของคอเรลลีคือพระราชินีนาถวิคตอเรีย โปรดให้นางข้าหลวงอ่านถวายก่อนบรรทมทุกคืน ถ้ามีเรื่องใหม่พิมพ์ออกมาสู่ท้องตลาดเมื่อไรก็ต้องมีคนในวังมาซื้อไปถวายทันที นอกจากนี้ กษัตริย์ที่เป็นพระญาติพระวงศ์ชั้นผู้ใหญ่ ก็โปรดปรานงานของคอเรลลีเช่นกัน อีกกลุ่มหนึ่งคือชนชั้นกลาง ได้แก่พวกพ่อค้าฐานะดี มีกำลังซื้อสูง
ทั้งสองกลุ่มนี้ชอบงานสอนใจ ประเภททำดีได้ดี ทำชั่วได้ชั่ว ซึ่งนักวิชาการอังกฤษไม่ชอบ เห็นว่าตีกรอบวรรณกรรมเกินไป อีกข้อคืองานของคอเรลลีมักจะเกี่ยวกับอะไรที่เหนือธรรมชาติ บรรดานักปราชญ์ราชบัณฑิตก็ดูถูกอีกนั่นแหละว่าเป็นงานชั้นต่ำ เหมาะกับคนระดับล่าง ยิ่งบางเรื่องอย่าง Barabbas คอเรลลีดึงเนื้อเรื่องมาจากเหตุการณ์ในพระคัมภีร์ แล้วมาตีความตามที่ตัวเองคิด ไม่ได้อิงหลักทางพระคัมภีร์ ก็ยิ่งถูกมองว่าตื้นเขิน หรือไม่ก็ดราม่าเกินไป แต่อะไรที่พวกนักวรรณคดีไม่ชอบ คนทั่วไปชอบ คนไทยเองก็ชอบ เพราะคนไทยอ่านเอาสนุก ไม่ได้อ่านเพื่อยกระดับสมองหรือเพื่อแสวงหาอุดมการณ์ในชีวิต งานของคอเรลลีจึงถูกใจคนอ่านไทย เห็นว่าแสดงคุณค่าของชีวิต มีหลักการที่คนไทยเข้าใจได้ กระทู้: รบกวนขออนุญาตอาจารย์คุณหญิงวินิตา ช่วยกรุณาแบ่งปันประสบการณ์ด้านการเขียนค่ะ เริ่มกระทู้โดย: เทาชมพู ที่ 06 พ.ย. 22, 09:09 ถอยหลังไปเมื่อครั้งนิตยสารและหนังสือเล่มยังเป็นสนามการอ่านที่สำคัญสุด พื้นที่ให้นักเขียนยืนนับว่าจำกัดและยากมาก เพราะจะต้องผ่านการกลั่นกรองจากบรรณาธิการ ไม่ว่านิตยสารหรือหนังสือเล่ม ก็ต้องมีบรรณาธิการชี้ขาดว่าเรื่องไหนพิมพ์ได้ เรื่องไหนลงตะกร้าไป นักเขียนใหม่แทบไม่มีโอกาส เว้นแต่จะได้รางวัลใดรางวัลหนึ่งก็เหมือนถูกล็อตเตอรี่โดยไม่คาดฝัน
แต่เมื่ออินเทอร์เน็ตเข้ามา ขยายพื้นที่ให้กว้างขวางได้ไม่จำกัด ผลงานนักเขียนหน้าใหม่ก็ออกมาสู่สายตาได้ง่ายขึ้น ต่อมาสมาร์ตโฟนเข้ามาแทนที่คอมพิวเตอร์ตั้งโต๊ะ และโน้ตบุ๊ค จนยุคนี้ที่ทุกคนมีสมาร์ตโฟน ก็พอกล่าวได้ว่าใครๆก็เป็นนักเขียนได้ถ้าอยากเป็น เพราะพื้นที่มีเหลือเฟือ จะสร้างบล็อคของตัวเอง จะเอาลง FB จะสร้างเว็บ จะทำ e book ฯลฯ ได้ทั้งนั้น เขียนอะไรก็ได้ ไม่มีใครมากลั่นกรองว่าใช้ได้หรือไม่ได้ แม้แต่เขียนๆไปเกิดเบื่อขึ้นมา หยุดเขียนกลางเรื่อง ก็ทำได้ อาจจะโดนคนอ่านต่อว่านิดหน่อย แล้วก็จบกันไป ผิดกับยุคก่อนที่คุณมีหน้าที่ต้องเขียนจนจบเรื่อง ทิ้งกลางคันไม่ได้ ไม่งั้นบก.จะไม่รับผลงานคุณอีกต่อไป นักเขียนใหม่มีเหมือนกันที่แจ้งเกิดในอินเทอร์เน็ต เขียนเองเอาลงเอง แมวมองมาเห็นเข้า เอาไปรวมเล่มขาย หรือซื้อทำละครทีวี ก็เหมือนถูกล็อตเตอรี่รางวัลใหญ่ไปเลย เมื่อมาถึงตรงนี้ก็ขอสรุปว่า คุณ JibbyJ โชคดีมากที่เกิดมาในยุคนี้ ทบทวนตัวเองอีกทีแล้วรู้สึกว่าคำแนะนำของดิฉันเห็นจะไม่เป็นประโยชน์เท่าใดนัก เพราะเราเป็นนักเขียนคนละยุคเสียแล้ว |