เมื่อวานนี้ผมไปจบลงที่เรื่องการหาแหล่งน้ำบาดาล ก็เพื่อจะแยกเข้าซอยไปจบกระทู้ที่เรื่องภัยแล้งที่คุณเทาชมพูปรารภ
เพิ่งหมดข่าวซีนามิไปหมาดๆ คนไทยก็หันมากังวลกับภัยแล้ง และน้ำหลาก ในเวลาเดียวกัน
ให้ได้อย่างนี้ซี ประเทศไทย
คำว่าภัยแล้งในภาษาไทยนี้ ไม่ทราบว่าตรงกับคำภาษาอังกฤษว่าอย่างไร ความแห้งแล้งที่จัดเป็นภัยพิบัตินั้นผมคิดว่าตรงกับคำว่า Drought คือฝนไม่ตกตามฤดูกาล (หรือตกมาน้อยมาก) และเป็นมาอย่างต่อเนื่องหลายปีจนกระทั่งไม่สามารถดำรงชีวิตได้อย่างปรกติสุขอันพึงมี คือ ขาดน้ำกินน้ำใช้สำหรับคนและสัตว์ และไม่มีน้ำเพื่อการทำเกษตรกรรมและกสิกรรม โดยนัยก็คือ ไม่เป็นในลักษณะของ seasonal drought แต่เป็นในลักษณะของภูมิอากาศที่เปลี่ยนแปลงไปจากปรกติ
ที่เรียกว่าภัยแล้งของไทยเรานั้น ในสมัยก่อนนั้นอาจจะจัดได้ว่าเป็นภัยจริง โดยเฉพาะในภาคอีสาน คือ ขาดทั้งน้ำกินน้ำใช้ และน้ำสำหรับการเกษตรกรรมและกสิกรรม แต่อย่างไรก็ตามก็ยังอยู่ในลักษณะของการที่ฝนตกไม่ตรงตามฤดูกาล หรือตกน้อยในบางพื้นที่ในช่วงระยะเวลาที่ควรจะเป็น ทั้งๆที่ปริมาณฝนตกเฉลี่ยทั้งภาคทั้งปียังอยู่ในเกณฑ์ปริมาณเหมือนเดิม
หลังจากที่ภาครัฐได้พยายามแก้ไขปัญหาพื้นฐาน ซึ่งเิริ่มต้นด้วยการทำให้ชาวบ้านมีน้ำกินและน้ำใช้ด้วยการเจาะนำน้ำบาดาลขึ้นมาใช้ตลอดระยะเวลาหลายสิบปีที่ผ่านมา ผนวกด้วยสร้างฝายและอ่างเก็บน้ำ พัฒนาต่อมาจากมีกินมีใช้พอเพียงไม่ตายไปสู่การมีกินมีใช้อย่างอยู่ดีกินดี จนกระทั่งในปัจจุบันนี้แทบจะกล่าวได้ว่าชาวบ้านก็สามารถจะมีน้ำใช้ในปริมาณเฉลี่ยเกือบเท่ากับคนในเมืองที่ใช้กันต่อคนต่อวัน
สรุปว่าตลอดทั้งปีคนไทยเกือบทั้งหมดมีน้ำกินน้ำใช้พอเพียงสำหรับแต่ละบุคคลในแต่ละวัน ที่เรียกว่าแล้งนั้นก็คือ ไม่สามารถมาถทำเกษตรกรรมได้เท่าเทียมกับพื้นที่ที่อยู่ในเขตชลประทาน (ซึ่งสามารถทำการเกษตรได้ตลอดทั้งปี) ในเชิงของภาครัฐและรัฐบาลก็ใช้ประโยชน์จากเรื่องของความแล้งนี้ไปในเชิงของงบประมาณและฐานเสียงทางการเมือง จึงยังคงมีพื้นที่ภัยแล้งซ้ำซากอยู่ตลอดมา
เมื่อฝนตกมาน้ำก็หลากท่วม ภัยแล้งก็หมดไปกลายเป็นภัยน้ำท่วมทับซ้อนอยู่ในพื้นที่เดียวกัน ในหลายๆพื้นที่ชาวบ้านได้ประโยชน์จากการที่พื้นที่ถูกน้ำท่วม เขาอยู่กับมันมาชั่วชีวิต ปรับตัวอยู่ได้กลายเป็นวิถีของชีวิตประจำปี เมื่อน้ำลด ปลาก็จะถอยร่นเข้าไปรวมอยู่ในปลัก เก็บเกี่ยวกันมาทำเป็นสินค้า เช่น ปลาร้า ปลาแห้ง น้ำปลา ฯลฯ กลายเป็นรายได้หลักที่เป็นกอบเป็นกำประจำปีอีกอย่างหนึ่ง ภาครัฐก็ใช้ประโยชน์จากการเรื่องน้ำท่วม คิดเป็นความเสียหาย คิดให้ ทำให้ เออเองไปหมด ได้ทั้งงบประมาณ ผลงาน และฐานเสียง
เอาละครับ ในเชิงวิชาการคิดได้อย่างไรบ้าง
น้ำบาดาลก็คือน้ำที่กักเก็บอยู่ในช่องว่างระหว่างเม็ดกรวดเม็ดทรายที่อยู่ใต้ผิวดิน เป็นไปได้ใหมครับว่า เมื่อน้ำมากก็เอาไปเก็บไว้ในชั้นทรายใต้ดิน เมื่อขาดน้ำก็สูบนำออกมาใช้
คิดได้แล้วทำจริงได้ใหม
ทำได้ครับ มีเป็นสิบวิธีที่ปฎิบัติกันในโลก แต่จะไม่เล่านะครับ จะยกมาเพียง 2 ตัวอย่าง คือ Rain harvesting และ Artificial recharge