ดิฉันไม่ทราบว่าหลังแผ่นดินไหวเมื่อเกิดซึนามิครั้งก่อน ราชการได้ตรวจสอบความแข็งแรงของอาคารใหญ่น้อยบ้างหรือไม่ เอาในกรุงเทพก่อน ใครเคยอ่านพบข่าวบ้างคะ.....
“ภัยพิบัติมีความรุนแรง โดยเฉพาะแผ่นดินไหว ไทยจะรอให้เกิดเหตุการณ์แล้วมาตามแก้ไขทีหลังคงต้องสูญเสียงบประมาณจำนวนมาก” เป็นเสียงจากดร.เป็นหนึ่ง วานิชชัย ประธานคณะอนุกรรมการสาขาผลกระทบจากแผ่นดินไหวและแรงลมหลังสมาคมวิศวกรรมสถานแห่งประเทศไทย (วสท.)
เขาบอกว่าหลังจากที่ประเทศไทยต้องเผชิญกับปัญหาอุทกภัยและแผ่นดินไหวบ่อยครั้ง ถึงเวลาแล้วที่จะต้องมีแผนการรับมือ เริ่มต้นด้วยการจัดทำแผนที่เสี่ยงภัย ไม่ว่าจะเป็นภัยแผ่นดินไหว น้ำท่วม ดินถล่ม และต้องเป็นข้อมูลที่ลงรายละเอียดถึงระดับพื้นที่ ตั้งแต่จังหวัดลงไป ซึ่งหากเริ่มเก็บรวมรวมข้อมูลแต่ละด้านอย่างจริงจังตั้งแต่วันนี้ และมีงบประมาณสนับสนุนเพียงพอ ก็อาจใช้เวลา 2 ปีที่ประเทศไทยจะมีแผนที่เสี่ยงภัย เพื่อนำไปใช้จัดทำมาตรฐานความปลอดภัยรองรับทั้งด้านการวางผังเมืองและก่อสร้าง
นี่แหละครับ การขาดความเข้าใจ สำนึกและละเลยในคำที่เรียกว่า Mitigation ของภาครัฐ
ที่เรียกกันว่าแผนที่เสี่ยงภัยนั้นมีการทำโดยกรมทรัพยากรธรณี ทั้งแผ่นดินไหว รอยเลื่อนมีพลัง และดินโคลนถล่ม มีเอกสารให้รายละเอียดของความเสี่ยงลงลึกไปถึงตำบลเลยทีเดียว น่าเสียดายที่มีการเผยแพร่น้อยมาก หรือไม่ได้รับงบประมาณสำหรับการพิมพ์แจกจ่ายไปให้กับทุก อบต. ดีไม่ดีต้องซื้ออีกด้วย
ดูดีนะครับ ให้ภาพกว้างๆสำหรับประชาชนได้รับรู้ว่าที่อยู่อาศัยของตนนั้นเสี่ยงในเรื่องอะไรบ้าง แต่....
แผนที่เหล่านี้ มิใช่แผนที่เสี่ยงภัย (Risk map) ทั้งในเชิงของตัวแผนที่เองและในเชิงของงานวิศวกรรม วิศวกรบอกว่าแผนที่ที่กรมทรัพยากรธรณีทำนี้ใช้ไม่ได้ ไม่ถูกต้อง ต้องเป็นตัวเลขที่ใช้งานได้ในเชิงของการเอามาคำนวณ (แต่ตนเองไม่ทำเอง)
ยกตัวอย่าง แผนที่เสี่ยงภัยแผ่นดินไหวของกรมทรัพยากรธรณ๊ที่คุณเทาชมพูเอามาแสดง
แผนที่นี้แสดงพื้นที่ๆมีโอกาสที่จะเกิดความรุนแรงในระดับต่างๆ และคาดว่าด้วยความรุนแรงในระดับนั้นๆจะเกิดความเสียหายอะไรบ้าง แต่ในทางวิศวกรรมนั้น วิศวกรต้องการค่าอัตราเร่งของพื้นดินเพื่อจะได้เอาไปคำนวณ Safety factor ที่เหมาะสมสำหรับสิ่งปลูกสร้างต่างๆ ความต้องการนี้อยู่พื้นที่สีเทาว่าเป็นหน้าที่ของใคร วิศวกรมีความเข้าใจในเรื่องนี้ดีมากกว่านักธรณ๊แต่ก็ขาดความเข้าใจอย่างลึกซึ้งในเรื่องของแผ่นดินไหว งานนี้จึงเป็นงานของความร่วมมือ จะว่าใครงี่เง่ากว่าใครไม่ได้ (ดังเช่นที่พวกเราถูกดูถูกกันอยู่ในปัจจุบัน)
การทำแผนที่ที่เรียกว่า Risk map สำหรับกรณ๊แผ่นดินไหวนั้น มันเริ่มต้นที่เรื่องของ the most Likely hood ว่า จุดกำเนิดของแผ่นดินไหวที่จะส่งผลกระทบให้เิกิดความเสียหายในลักษณะของหายนะต่อเรานั้นอยู่ที่ใดบ้าง ที่ใหนที่จะส่งผลรุนแรงที่สุด และพฤติกรรมของแผ่นดินไหวนั้นๆมั้นเป็นอย่างไร (ทิศทางการเคลื่อนตัวของรอยเลื่อน ลักษณะของแรงที่เกิดขึ้นและการส่งผล (Stress Strain ellipsoid)) เรื่องนี้เป็นเรื่องที่นักธรณีฯรู้ดีกว่าวิศวกร ความเสียหายที่เกิดจากแผ่นดินไหวในอดีตและในประวัติศาสตร์ที่กระทบเรา ทำการประเมินความเสียหายในลักษณะของ Intensity scale บนฐานของโครงสร้าง สิ่งก่อสร้างและภูมิปัญญาของคนในสมัยนั้นๆที่เขาได้ปรับตัวให้อยู่รอดในสภาพสิ่งแวดล้อมที่ Vulnerable นั้นๆ แล้วแปลงจากเรื่อง Intensity ไปเป็นเรื่องของอัตราเร่งที่น่าจะส่งผลให้เกิดความเสียหายในระดับนั้นๆ เรื่องนี้เป็นเรื่องที่ต้องทำงานร่วมมือกันระหว่างนักธรณีฯกับวิศวกร และโดยการใช้ความรู้และข้อมูลของนัก...ที่เป็นผู้อ่านผู้แปลกราฟจากเครื่องมือวัดแผ่นดินไหว (พฤติกรรมของคลื่นแผ่นดินไหวแถบนั้นๆ__Period, Amplitude) ผลที่ได้ออกมา คือ อัตราเร่งของพื้นดินในบริเวณต่างๆ ซึ่งจะต่างกันไป ขึ้นอยู่กับระยะทางและลักษณะพื้นดิน (หินแข็ง ที่ลุ่ม ที่ดอน แอ่ง ฯลฯ) จากตรงนี้เมื่อเอาไปผนวกกับสิ่งก่อสร้างต่างๆที่สร้างมาต่างยุคต่างสมัยกัน ต่างข้อกำหนดทางวิศวกรรมกัน เราจึงจะได้แผนที่แสดงพื้นที่เสียงภัยจากแผ่นดินไหวตัวจริงที่รัฐจะเอาไปใช้ในการทำงานในเรื่องของ Mitigation ที่เหมาะสมกับสภาพจริง ฝ่ายเมืองก็จะลงลึกลงไปถึงระดับว่าอาคารใดเสี่ยงต่อความหายนะมากน้อยเพียงใด เสี่ยงต่อความสูญเสียชีวิตมากน้อยเพียงใด ณ.ช่วงเวลาใด
(ของเรา Mitigation ซึ่งอยู่ในบริบทของ Prevention ถูกกำหนดให้มุ่้งไปในเรื่องของ Salvation ซึ่งอยู่ในบริบทของ Rescue)
เล่ามายืดยาวอีกแล้ว วิชาการมากไปหน่อย (แล้วก็ใช้ภาษาอังกฤษมากๆปหน่อย) เพียงเพื่อให้รู้ว่า เรามักจะละเลยและปัดสวะหน้าที่ความรับผิดชอบ ขาดการสนับสนุนจากภาครัฐทั้งเชิงนโยบายและงบประมาณสำหรับงานพื้นฐานอย่างจริงจัง งานในลักษณะนี้ไม่ส่งผลให้เกิด Output Outcome ในลักษณะของ KPI ที่วัดได้อย่างเป็นรูปธรรมที่ประเมินกันเป็นประจำทุกๆปี
สำหรับกรณีที่คุณเทาชมพูสงสัยว่่ามีการไปตรวจสอบหลังเกิดเหตุการณ์ต่างๆหรือไม่นั้น มีครับ ทั้งในลักษณะ (กลัว) สิ่งที่ตนคำนวณและออกแบบนั้นถูกผิดอย่างไร และในลักษณะความรับผิดชอบในเชิงวิชาชีพ แต่เห็นมีแต่รายงานที่เป็นข่าวตามสื่อว่า OK และก็ไม่เห็นว่ามีอะำไรที่ไม่ OK บ้างเลย ในต่างประเทศบางประเทศเขาบังคับให้ต้องมีรายงานอย่างเป็นกิจลักษณะเผยแพร่ต่อสาธาณะเลยทีเดียวทั้งผู้รับผิดชอบที่ได้ลงนามกันไปและหน่วยงานของรัฐที่กำกับดูแล