ผมขลุกกับการเมืองมาตั้งแต่เล็ก เพราะชอบอ่านข่าวหนังสือพิมพ์ตั้งแต่อยู่ชั้นประถม (เหตุเพราะไม่รู้จะทำอะไร ยูทูบก็ไม่มี มิวสิควีดิโอก็ไม่มี) ไปร่วมชุมนุมวันที่ 13 ตุลาคม 2516 ที่ธรรมศาสตร์ตั้งแต่อยู่ชั้น ป.6 (วันศุกร์ดิบก่อนวันมหาวิปโยค) ยังจำได้ดีถึงภาพข่าวที่ในหลวงทรงมีพระราชดำรัสว่า "...วันนี้คือวันมหาวิปโยค..."
ในช่วงวัยนั้น ผมเองก็เหมือนคนหนุ่มทุกคนที่อยากเห็นบ้านเมืองดีเหมือนดังประเทศทางตะวันตก (ทั้งที่ยังไม่เคยไปมา ไม่เคยมีข้อมูลเชิงลึกด้านประวัติศาสตร์ของประเทศตะวันตก ได้ยินแต่ข่าวด้านดีด้านความเจริญขอประเทศตะวันตกที่เขาส่งมาให้ด้านเดียว) อยากเห็นความเป็นธรรมในทุกเรื่อง (โดยเอาตัวเองเป็นที่ตั้ง) แม้แต่ขณะนั่งในรถเมล์ (ทั้งที่นั่งฟรีไม่เสียเงินเพราะเป็นเด็ก)และต้องจอดนิ่งเพราะเจอขบวนเสด็จ ก็พาลคิดอกุศลว่า "รถติดเพราะขบวนเสด็จ ถาไม่มีขบวนเสด็จรถก็ไม่ติด" (โดยที่ไม่ได้คิดเลยว่า นี่คือระบบความปลอดภัย ไม่ว่าจะปกครองระบอบใด ก็ต้องมีสิ่งนี้ หรือแม้แต่ถ้า "คนอยู่ดูไบ" มาเป็นประธานาธิบดีของสารขัณฑ์ มันก็จะต้องมีระบบนี้อยู่ดี) ความคิดเชิงลบต่อพระราชวงศ์ก็สะสมพอกพูน ยิ่งได้มีโอกาสไปเดินศูนย์หนังสือสนามหลวงในสมัยนั้น (ใต้ต้นมะขามหน้าศาล) ก็ไปพบหนังสือมากมายเกี่ยวกับคดีลอบปลงพระชนม์ (ดูคล้ายเป็นหนังสือลับ หนังสือใต้ดิน ที่เผยแพร่ไม่ได้ ทำให้รู้สึกคล้ายว่าเป็นข้อมูลที่เป็นความจริง) ความคิดเชิงลบก็ยิ่งเตลิดไปใหญ่ ยิ่งประสบกับเรื่องในสมัยก่อนที่มีคนไปทำความผิดโดยไปอวดเบ่งว่าเป็นคนทำงานในรั้วในวังหรือทำงานใกล้ชิด ก็เลยพาลคิดไปถึงว่า "ถ้าไม่มีราชวงศ์ บ้านเมืองคงเจริญกว่านี้"
แต่นั่นคือเด็ก คือคนหนุ่มที่อ่อนต่อโลก คือคนที่มองด้านเดียว คือคนที่ไม่มีข้อมูลรวมทั้งไม่มีความรู้จักคิดในเชิงการเปรียบเทียบโดยเฉพาะอย่างยิ่งการเปรียบเทียบอย่างรอบด้านในเรื่องของ "ช่วงเวลา" และการเปรียบเทียบถึงพัฒนาการของแต่ละประเทศรวมทั้งสิ่งที่สูญเสียที่ผ่านมาของประเทศตะวันตกและสิ่งที่จะต้องสูญเสียในอนาคตของประเทศเหล่านี้ ซึ่งในปัจจุบันเราเห็นภาพเหล่านี้อย่างชัดเจนในวิกฤตการณ์ต่างๆในปัจจุบันซึ่งก็คืออนาคตของอดีตที่ผ่านมา และนี่คือต้นทุนของสิ่งที่เรียกว่า "วิวัฒนาการ"
เมื่อโตขึ้นมีความอยากที่จะพัฒนาตนเอง ผมก็ต้องพัฒนาการรับรู้รับฟังไม่ยึดติด ผมเองก็เริ่มได้คิด ได้มองอย่างรอบด้าน ไม่หลงกับการโฆษณาชวนเชื่อที่มาจากประเทศตะวันตก ก็เริ่มเห็นว่า แท้ที่จริงแล้ว โลกมีพัฒนาการมานานแสนนานนับแต่สมัยเมโสโปเตเมีย (ระบบการศึกษาของบ้านเราก็สอนแต่คำ "เมโสโปเตเมีย" เพื่อสอบ แต่ไม่เคยอธิบายว่า ที่เรียกเช่นนี้เพราะอยู่ "ระหว่าง" "แม่น้ำ" ซึ่งจะช่วยทำให้เข้าใจและเรียนสนุกขึ้นอีกมาก) สมัยอียิปต์ จีน อิสลาม แต่ฝรั่งชาติตะวันตกก็ฉกฉวยเอาทั้งวิชาการความรู้ปรัชญาไปหาผลประโยชน์ว่าตนเป็นผู้สร้างผู้คิด ก็เลยทำให้คนหนุ่มเทอดทูนบูชาตะวันตก รวมทั้ง "คณะราษฎร์" ยิ่งเมื่อผูกกับความอยากใหญ่อยากโตของตนก็เลยยิ่งทำให้ปัญญาปิดทึบไป
มาถึงวัยนี้ ความคิดของผมต่อระบบกษัตริย์เปลี่ยนไป ผมกลับคิดว่า ที่เมืองไทยดำรงอยู่ได้อย่างปกติสุขมาอย่างยาวนาน (ก่อนที่คนมักใหญ่ใฝ่สูงจะมาสร้างความป่นป่วนในบ้านเมืองเราในช่วง 8-9 ปีที่ผ่านมานั้น) ทั้งที่มีความแตกต่างด้านเชื้อชาติ ชาติพันธ์ ระดับชีวิตความเป็นอยู่ที่แตกต่างกันมาก ก็เพราะเรามีสถาบันพระมหากษัตริย์และมีองค์ในหลวงที่ทรงประเสริฐ เป็นเครื่องยึดเหนี่ยวให้เราอยู่ด้วยกันอย่างรู้จักอภัย
มีผู้รู้หลายท่าน นักวิชาการหลายคนบอกว่า สังคมไทยต้องแก้ไขความเหลื่อมล้ำในการกระจายรายได้ก่อน สังคมไทยจึงจะเดินหน้าต่อได้ ผมจึงเขียนบทความเพื่อแลกเปลี่ยนทัศนะ แต่อยากบอกว่า ความเหลื่อมล้ำในการกระจายรายได้มีในทุกสังคมทั้งในอดีต ปัจจุบัน และต่อไปในอนาคต เราท่านทำงานก็เพื่อมีรายได้มีความมั่นคงมากขึ้น นั่นมิใช่การเปลี่ยน "กลุ่ม" ของเราท่านหรือครับ นั่นก็สะท้อนให้เห็นว่า "กลุ่ม" ของรายได้มีอยู่และจะคงอยู่ตลอดไป ซึ่งมิใช่เรื่องแปลกหรือผิดแผกอะไร ตราบเท่าที่คนมียังช่วยคนจนยังคิดถึงคนจน ยังตระหนักว่าครั้งหนึ่งเราก็เคยจน และเราช่วยคนจนก็เพื่อที่ว่าสักวันหนึ่งคนจนที่เราช่วยจะมั่งมีขึ้นมาและจะยังช่วยคนจนคนอื่นต่อไป (คงไม่สามารถบรรยายรายละเอียดที่เขียนได้ ท่านที่สนใจหาอ่านได้ที่ http://www.manager.co.th/Daily/ViewNews.aspx?NewsID=9530000072783 และที่ http://www.manager.co.th/Daily/ViewNews.aspx?NewsID=9530000037495
ถ้าผิดจริงก็ต้องไม่มีคำว่า "ประเทศพัฒนา" "ประเทศกำลังพัฒนา" ต้องไม่กลุ่ม จี7 จี20
หลายคนเรียกร้องระบบประธานาธิบดี (หนึ่งในนั้นคงรวมทั้ง "กัลยาณมิตร" ผู้ยิ่งใหญ่ด้วย) โดยมีคำโฆษณาชวนเชื่อว่า เพราะ "ประชาธิปไตย" ทุกคนต้องสิทธิเท่าเทียมกัน ถามว่า ถ้าคนๆหนึ่งมาเป็นประธานาธิบดีแล้วนำพาประเทศไปสู่ความเสียหายอย่างรุนแรงจน "ล่มสลาย" (อย่าคิดว่า "ไม่มี" เพราะหลายประเทศที่เคยเกิดมาอยู่โลกผืนนี้และก็หายไปจากแผนที่โลก ตัวอย่างที่เห็นชัดเจนเช่น มอญ) แล้วเขาต้องรับผิดชอบอะไรบ้าง คำตอบที่ได้ยินเสมอคือ "คราวหน้าก็ไม่ได้รับเลือกตั้งอีก" นี่ไม่ใช่ความรับผิดชอบ นี่คือการสูญเสียโอกาส เปรียบเสมือนแม่จะยกไฟแช็คและน้ำมันให้ลูกเล็กไปเล่น ข้างบ้านถามว่าไม่กลัวว่าเด็กจะไปเล่นจนไฟไหม้บ้านหรือ แม่บอกว่า ไม่เกิดหรอก ถ้าเกิดล่ะก้อ คราวหลังเด็กจะถูกลงโทษโดยไม่ให้เล่นไฟแช็คกับน้ำมันอีก
อยากจะบอกว่า โดยกลไกของสิ่งที่เรียกว่าประชาธิปไตยแบบ "สาธารณรัฐ" คือการมีประธานาธิบดีนั้น มีโอกาสสูงมากที่ผู้นำจะขึ้นมาเพื่อ "กอบโกย" เพราะตนเองจะต้องลงจากตำแหน่งในที่สุด มี"เวลา"น้อย ดังนั้นต้องดูดซับผละโยชน์เข้า "ตน" อย่างเต็มที่ในรูปแบบต่างๆ
มีบ้างไหมที่ประเทศหนึ่งประเทศใดจะได้ประธานาธิบดีที่ดี คำตอบคือ "มี" แต่นั่นเพราะ "บุคคล" คนนั้น มิใช่ตัวระบบที่ทำให้ได้ผู้นำดี โดยเฉพาะในช่วงที่ประเทศเพิ่งผ่านศึกสงคราม ผ่านความบอบช้ำ ผ่านความสูญเสีย แต่เมื่อประเทศผ่านพ้นช่วงเวลาดังกล่าว "นักบุญ" ก็จะกลายร่างเป็น "ปีศาจ" เพราะกิเลสมันยั่ว ดังเช่นที่เกิดในทุกมุมโลกในขณะนี้ และคาดเดาได้เลยว่า ด้วยระบบนี้จะทำให้สถานการณ์ทั้งภายในประเทศ ระหว่างประเทศ และต่อโลก จะทวีความรุนแรงและเลวร้ายลงไปเรื่อยๆ
แต่ความรับผิดชอบของระบบกษัตริย์นั้นในสมัยอดีตคือ การถูกล้างทั้งราชวงศ์ หรือการไม่ได้เกิดอีกเลย ซึ่งเดิมพันสูงกว่าการไม่ได้รับเลือกมากมาย
แล้วถามว่าระบบกษัตริย์สามารถอยู่คู่กับประชาธิปไตยได้หรือไม่ ตอบว่า ประชาธิปไตยคือ "จุดหมาย" ในขณะที่ระบบกษัตริย์คือ "วิธีการ" เช่นเดียวกับระบบประธานาธิบดีซึ่งก็เป็น "วิธีการ" ดังนั้นไม่มีความขัดแย้งระหว่างระบบกษัตริย์กับประชาธิปไตยโดยสิ้นเชิง แต่ระบบกษัตริย์ย่อมที่จะขัดแย้งกับระบบประธานาธิบดี เพราะต่างก็กลุ่มเดียวกันคือเป็น "วิธีการ" ซึ่งประเทศต้องเลือกวิธีการใดวิธีการหนึ่ง จะเลือกสองวิธีไม่ได้
ที่ผมเขียนมาอย่างยืดยาวก็เพราะเท่าที่อ่านในกระทู้นี้ทำให้ผมตระหนักว่าทุกท่านในที่นี้ เป็นวิญญูชน เป็นคนที่รักบ้านรักเมือง และเป็นปัญญาชน ผมดีใจที่สังคมมีคนอย่างพวกท่าน
อยากขอหยิบท่อนหนึ่งของเพลงที่มีผู้ส่งเข้าประกวด ในการประกวดวีดิทัศน์สั้น เป็นเพลงที่กินใจผมมาก ได้เคยเปิดให้ภรรยาที่บ้านฟังสามครั้ง แกร้องไห้ทั้งสามครั้ง
http://www.รวมใจไทยเป็นหนึ่ง.com/vdo_detail.php?id=110