แล้วฝนก็ตกซ่ามาห่าใหญ่
จึงขี้หมูขี้หมาไหลไปรวมถิ่น
ทะลักท่วมเมืองทองนองแผ่นดิน
กระจายกลิ่นเหม็นเน่าเก่าค้างปี
หมู่แมงเม่าเคล้าแสงไฟภายหลังฝน
สายรุ้งหม่นหมองราคินสิ้นราศี
เสียงปี่ครวญพญาโศกวิโยคทวี
กลองกะลีเปล่งเสียงดังวังเวงเอง
พลันน้ำเน่าเนืองนองทั่วร่องสวน
กลิ่นหืนหวนชวนให้ใจโหวงเหวง
สวนที่หมายกำจายหอมพร้อมมนต์เพลง
ยากประเลงดนตรีหวานซาบซ่านใจ
เคยวาดหวังอุทยานมาลย์หลากสี
โน้มฤดีอวลกลิ่นหวานซ่านสดใส
กลายเป็นสวนล้วนหลากมากดอกไม้
แต่หากไร้รสนิยมรมย์นิรันดร์
เจ็ดสิบเก้าปีผ่านลานดอกไม้
กลายเป็นสวน “อธิปไตย”ไร้สีสัน
ด้วยมากมือยื้อยุดฉุดดึงดัน
ออกนอกลู่เลี่ยงจรัลตามครรลอง
ทั้งทั้งที่เทพจากฟ้าประกาศิต
หมายนิมิตชีวิตใหม่มิให้หมอง
สู้ตราบท “ธรรมนูญ”จุดโคมทอง
ให้โชนส่องนำอุเทศประเวศทาง
หลากนิทัศน์ “รัฐธรรมนูญ”ล้วนทูลเกล้าฯ
ก็ถูกเอามาพลิกพับกลับฟื้นร่าง
เยี่ยงตาบอดคลำคชบทเลือนลาง
ต้องคลำพลางเดินพลางยิ่งรางเลือน
จวนลุแปดทศวรรษอันนานเนิ่น
ยังไม่เดินสู่จุดหมายได้แม้นเหมือน
หวังฝนฟ้ามาล้างเลอะรอยเปรอะเยือน
คลับคล้ายเคลื่อนเข้ารกพงกันดาร
ดูราเหล่าประดามือถือกฎหมาย
โปรดขยายยุติธรรมล้ำไพศาล
ให้เคร่งครัดครรลองป้องภัยพาล
ดุจโล่ปกโลกบาลสู่ธารทอง
โปรดขจัดพิบัติร้ายไกลผืนภพ
แลสยบสารพัดพิบัติผอง
เป็น “ประชาธิปไตย”ในครรลอง
ดั่งร้อยกรองหลากสีสันพรรณมาลี
ปรง เจ้าพระยา
คอลัมน์ เจ้าพระยาพาที ใน ไทยโพสต์ ๑๕ พฤษภาคม ๒๕๕๔