เรือนไทย

            ดาวอีกดวงล่วงลับดับแสง  คุณปู่ Christopher Lee(เกิดปี 1922) จากฟากฟ้าไป
ด้วยวัย 93 ปี เมื่อวันที่ 7 มิ.ย. นี้

             คุณปู่เป็นชาวอังกฤษ, ได้รับบรรดาศักดิ์เป็นท่านเซอร์, โด่งดังจากหนังเขย่าขวัญเกรดบี
ของบริษัท  Hammer Films ด้วยบท Count Dracula
        
             หนังเรื่องแรกของคุณปู่คือ The Curse of Frankenstein(1957) คุณปู่ซึ่งมีความสูง
กว่า 190 ซ.ม.รับบทเป็นสิ่งมีชีวิตประดิษฐ์โดย Baron Victor Frankenstein ที่ Peter Cushing
(1913 – 1994) เป็นผู้รับบท
             ทั้งสองกลายเป็นเพื่อนรัก มีผลงานหนังแนวนี้ร่วมกันต่อมาจนกลายเป็นคู่(หูเขย่า)ขวัญ

จำไม่ได้ว่าเคยดูผลงานของคุณปู่ทั้งสองหรือไม่ แต่รู้จักคุณปู่จากภาพและหนังตัวอย่าง

          หลังจากรับแต่บทนำในหนังเขย่าขวัญจนถึงปี 1977 คุณปู่ก็ตัดสินใจขยับขยายย้ายไป
โลกใหม่ - อเมริกา เพื่อแสวงหาบทบาทใหม่
          ที่นี่คุณปู่มีผลงานหนังดัง, มีบทบาทที่จดจำได้(แต่ก็ไม่พ้นบทตัวร้าย) เช่น
                หนังใหญ่โด่งดังสุดๆ(เพราะมาถ่ายทำ) ในบ้านเรา นั่นคือ เจมส์ บอนด์ ตอน The Man
with the Golden Gun(1974)

          อีกสองหนังใหญ่ ได้แก่ Star Wars และ The Lord of the Rings เรื่องหลังนี้
รับบท Saruman

^ จากข้อความในรูปข้างบนกล่าวถึงผลงานเพลง, คุณปู่ออกอัลบั้มเพลงแนว heavy metal
ชื่อชุด Charlemagne: By the Sword and the Cross เล่าเรื่องราวของพระเจ้า Charlemagne
จักรพรรดิองค์แรกแห่งจักรวรรดิโรมันศักดิ์สิทธิ์ ในปี 2010 แล้วตามมาด้วยชุด Charlemagne:The Omens
of Death ในปี 2013

ตอนหนุ่มๆคุณทวดหล่อไม่แพ้นิโคลัส เคจ   แต่ไม่ยักรุ่งในฐานะพระเอก  กลับไปดังระเบิดในบทผู้ร้าย

ฉากเคานต์แดร็คคิวล่าสิ้นชีพ ในหนัง Dracula  นำแสดงโดยคุณทวดและดาราคู่หู ปีเตอร์ คุชชิง

 (http://www.youtube.com/watch?v=ssvgMHCa45s[/url)

หนังสยองขวัญอีกเรื่องของคุณทวด   The Gorgon 



กอร์กอน เป็นชื่อของนางอสูรในเทพนิยายของกรีก  ที่ใครมองหน้าแล้วจะต้องกลายเป็นหิน     ถูกปราบโดยวีรบุรุษเพอร์ซิอุสที่ใช้โล่ขัดมันสะท้อนเงาของนางแทนมองตรงๆ แล้วฟันคอขาดไป (http://www.youtube.com/watch?v=C9NdlDp9Hjg[/url)

บทที่ไม่มีใครนึกถึงว่าจะตกมาถึงมือคุณทวด คือบทไมครอฟต์   พี่ชายของเชอร์ล็อค โฮล์มส์ ในหนังThe Private Life of Sherlock Holmes หนังของผู้กำกับมือทอง   Billy Wilder  เพราะในหนังสือที่คนรู้จักกันทั่วโลก  ไมครอฟต์ โฮล์มส์ เป็นชายวัยกลางคนร่างอ้วนพุงพลุ้ย  มีมันสมองที่ปราดเปรื่องยิ่งกว่าน้องชาย แฝงอยู่ในบุคลิกอืดอาดอุ้ยอ้าย และเก็บตัวลึกลับ  (เซอร์อาเธอร์แย้มๆว่าเขาเป็นเจ้าหน้าที่ระดับสูงของกรมประมวลข่าวกลาง  หรือกรมสืบราชการลับในสมัยวิคตอเรียน)



แต่คุณทวดก็ได้รับคำชมว่าเล่นบทนี้ได้อย่างไว้ฝีมือมาก  (http://www.youtube.com/watch?v=eRuUnXjMxZ0[/url)

Tribute to Christopher Lee



 (http://www.youtube.com/watch?v=SMSu0EW-et4[/url)

Christopher Lee ~ This Is Your Life

 (http://www.youtube.com/watch?v=8TjuKIg6Tx0[/url)

ไปดูเรื่องนี้กับพี่สาว ลงโรงที่ศาลาเฉลิมไทย ชื่อเรื่องภาษาไทยว่า "แดร็กคูล่าอาละวาด" ทราบซึ้งคำว่าเขย่าขวัญก็เรื่องนี้แหละ ดนตรีแบ็คกราวด์ปูมาก่อน พอนาทีที่ท่านเคาท์ปรากฏร่างทำเอาถึงสะดุ้ง ตอนนั้นเป็นอะไรที่น่ากลัวมาก พี่สาวเอาไปอำอยู่หลายวัน แล้วภาพลักษณ์ของลุงคริสโตเฟอร์ลี ที่ร่างโย่งๆหน้าเสี้ยมๆที่ติดเป็นมโนอยู่ เป็นอื่นไปไม่ได้แล้วนอกจากผีดิบดูดเลือด ขอท่านเซอร์จงไปสู่สุคติๆ 8)

ดาวดวงใหญ่ในยุคปลาย 1960s ต่อมาถึง 1970s  ดับแสงไปอีกดวงหนึ่งแล้ว
โอมาร์  ชารีฟ  หนุ่มชาวอียิปต์   ที่ดังเป็นพลุแตกจาก  Doctor Zhivago, Funny Girl และ Lawrence of  Arabia   
จากไปด้วยโรคหัวใจล้มเหลวในวัย 83 ปี ที่กรุงไคโร ประเทศอียิปต์

ฉากเปิดตัวโอมาร์ได้สง่างามสุดๆ  ขโมยซีนพระเอก ปีเตอร์ โอทูล ไปได้เลย

 (http://www.youtube.com/watch?v=ud1zpHW3ito[/url)

 (http://www.youtube.com/watch?v=OL_nKw1Q6PY[/url)

                    Omar Sharif(10 เม.ย. 1932 – 10 ก.ค. 2015)

             โตไม่ทันดูผลงานชิ้นเอกของคุณลุง(- ลอว์เรนซ์ แห่งอาระเบีย และ ดร.ชิวาโก) ในโรงใหญ่,
น่าเสียดาย

              หนังเรื่องลอว์เรนซ์ แห่งอาระเบีย เปิดตัวคุณลุง ที่ขอบฟ้าจรดทรายแลเห็นประกายพยับแดด
เต้นระยิบระยับ จากนั้นเงามืดของคุณลุงจึงค่อยๆ ปรากฏโผล่พ้นเส้นขอบฟ้าควบม้ามุ่งตรงมาหาผู้ชม
ซีนนี้คือหนึ่งในซีนเปิดตัวละครที่แสนคลาสสิคเหนือกาลเวลา
              คุณลุงได้รับการเสนอชื่อเข้าชิงออสการ์จากบทสมทบนี้ และมีผลงานเด่นดังต่อมาโดยผู้กำกับ
คนเดิม นั่นคือ ท่านเซอร์ เดวิด ลีน คราวนี้คุณลุงได้เป็นพระเอกเต็มตัวในดร.ชิวาโก

          ก่อนเสียชีวิตด้วยอาการหัวใจวาย คุณลุงเริ่มมีอาการอัลไซเมอร์ ซึ่งนับว่าน่าเสียดายเพราะ
คุณลุงเล่นไพ่บริดจ์ได้ดีมีระดับ

               ด้วยใบหน้าคม, ดวงตาเข้ม ตามเชื้อสายชาวอียิปต์ คุณลุงจึงมักถูกเลือกให้สวมบท
เป็นชายต่างชาติหรือชายเชื้อชาติผสม

                ในหนังใหญ่ หนังดัง Funny Girl ซึ่งสร้างจากละครเพลงอิงชีวประวัติของนักร้อง,
นักแสดง Fanny Brice รับบทโดยป้าบาร์บ(Barbra Streisand) คุณลุงรับบทเป็นสามี
นักพนันชาวอเมริกันเชื้อสายเยอรมัน-ยิว ระหว่างการถ่ายทำคุณลุงได้รับแรงกดดันจากสงคราม
อียิปต์-อิสราเอลในช่วงนั้น ต่อมาคุณลุงกลับมารับบทเดิมอีกครั้งในภาคต่อ Funny Lady

             ชอบลุคนี้ของคุณลุงจากเรื่อง More than a Miracle คู่กับโซเฟีย ลอเรน เจ้าของ
ดวงตาที่คุณลุงบอกว่างามที่สุดเท่าที่เคยพบมา

           คุณลุงเป็นหนึ่งในนักแสดงในหนังรวมดาว The Yellow Rolls Royce หนังเล่าเรื่องราวรถยนต์
สีเหลืองคันนี้ที่ได้รับใช้หลากหลายชีวิตซึ่งผ่านมาและผ่านไป
           ชอบตอนที่คุณลุงแสดงกับนักแสดงใหญ่ อินกริด เบิร์กแมน ซึ่งรับบทม่ายสาวชาวอเมริกันขับรถ
ท่องยุโรปในช่วงนาซีเริ่มแผ่ขยายแสนยานุภาพมาถึงยูโกสลาเวีย คุณลุงรับบทชายหนุ่มกู้ชาติขออาศัย
ติดรถแอบเข้ายูโกฯ เป็นตอนที่โรแมนติค, สนุกสนาน และตื่นเต้น

             อีกเรื่องโรแมนติคประทับใจ คือ  The Tamarind Seed นำแสดงคู่กับ จูลี่ แอนดรูวส์
คุณลุงกลับไปรับบทเป็นชาวรัสเซียอีก

          ในเรื่อง Mayerling คราวนี้คุณลุงเป็นเจ้าชายรัชทายาท Rudolf แห่ง Austria โอรสใน
จักรพรรดิ Franz Joseph I ที่มีสัมพันธ์รักนอกอภิเษกสมรสกับ Baroness Maria Vetsera
ซึ่งรับบทโดยเจ้าป้างามหยด Catherine Deneuve ทั้งสองจบชีวิตรักต้องห้ามที่ตำหนักในหมู่บ้าน
Mayerling

          ส่วนเรื่องนี้ ที่โด่งดังเป็นตำนานบ้านเราเพราะเข้าฉายยืนโรงอยู่นานหลายเดือนในสมัยนั้น
ที่หนังเข้าฉายเพียงโรงเดียว เป็นหนังแอ๊คชั่นตะวันตกที่สนุกถูกใจใครต่อใครจนต้องบอกต่อ นั่นคือ
Mackenna’s Gold คุณลุงรับบทเป็นโจร ส่วนพระเอกคือ Gregory Peck รับบทนายอำเภอแต่
ถูกผู้ร้ายจับตัวบังคับให้นำทางไปตามหาขุมทอง  
        เนื้อเรื่องสนุกตื่นเต้นผจญภัย เพลงก็ไพเราะ(Old Turkey Bazzard) โลเคชั่นแถบตะวันตก
ตื่นตา  ระบบเสียงก้องสะท้อนรอบทิศทาง

             เคยส่องแสง แรงเจิดจ้า ดาราหนุ่ม       ปลายคางบุ๋ม มาดเท่ หนวดเก๋ไก๋

       แต่คืนนี้ ดาวมืดดับ ลับฟ้าไป                    คงเหลือไว้ เพียงภาพงาม ความทรงจำ

นึกแล้วว่าคุณหมอ SILA จะมารำลึกถึงพระเอกอียิปต์คนนี้
ตอนหนุ่มๆคุณลุงแกหล่อได้หล่อดี    ดาราตะวันออกน้อยคนนักจะแหวกวงพระเอกฮอลลีวู้ดได้อย่างแก

จากเรื่อง Genghis Khan (1965)

 (http://www.youtube.com/watch?v=P7Q1lDPQS50[/url)

Omar Sharif /Julie Andrews - The Tamarind Seed (1974)
เปิดฉากขึ้นมา  ก็เห็นป้าจูลี่นุ่งบิกินีให้ดูด้วย   ไม่เคยนึก   เพราะเรื่องไหนๆเธอก็แต่งกายมิดชิดตลอด

 (http://www.youtube.com/watch?v=mC_QK7-9N50[/url)

เพลง Old Turkey Buzzard  เป็นเพลง theme ของหนัง Mackenna’s Gold หรือชื่อไทยว่า ขุมทองแม็คเคนน่า  ฉายที่ลิโด   เป็นหนังดัง คนไทยแห่ไปดูกันล้นหลาม
เปิดตัวขึ้นมาในฉากแรก เห็นแร้งบินอยู่เหนือหุบเขาแกรนด์แคนยอน   กล้องจับภาพแบบ bird's eye view  ก็ให้ความสง่างามไม่ซ้ำแบบใคร   เป็นหนังจอกว้าง ยิ่งดูอลังการ  โดยไม่ต้องลงทุนสร้างฉาก  ธรรมชาติสร้างให้เสร็จแล้ว

เพลงนี้ เป็นเพลงแรกและเพลงเดียว(มั้ง) ที่มีแร้งเป็นตัวเอก  แล้วฮิทระเบิด กลายเป็นเพลงคลาสสิคของเพลงประจำหนัง



เดี๋ยวคุณเพ็ญชมพูคงจะเข้ามาบอกเองว่า turkey buzzard เป็นแร้งหรืออะไรกันแน่    ดิฉันคิดว่ามันเป็นแร้งประเภทหนึ่งนะคะ  (http://www.youtube.com/watch?v=h7mVLWcMm-U[/url)

          คลิปนี้เป็นเสียงของ José Feliciano ต้นฉบับจากหนัง ครับ
       
              http://www.youtube.com/watch?v=G6TlYnRITxg (http://www.youtube.com/watch?v=G6TlYnRITxg)

        และนี่คือ ตอนเปิดเรื่องในหุบเขา ฉากตื่นเต้นยิงกัน, ตื่นตาธรรมชาติ และ ตื่นหูด้วยเสียง
สะท้อนก้องกำธร ซ้ายขวาหน้าหลังรอบตัวผู้ชมในโรง
            http://www.youtube.com/watch?v=tI0o-zkH4JI (http://www.youtube.com/watch?v=tI0o-zkH4JI)

แร้งในโลกนี้แบ่งเป็น ๒ พวกใหญ๋ ๆ คือ แร้งโลกเก่า มีอยู่แถวแอฟริกา เอเซีย และยุโรป กับ แร้งโลกใหม่ อยู่เฉพาะในทวีปอเมริกา

turkey buzzard ชื่อวิทยาศาสตร์คือ Cathartes aura เป็นแร้งโลกใหม่ ชื่อของมันได้มาจากส่วนหัวซึ่งมีสีแดงเหมือนไก่งวง ท่าร่อนดูมีสง่าแต่สายตาไม่ค่อยดีเหมือนพวกแร้งโลกเก่า มันจะใช้ประสาทในการดมกลิ่นหาอาหารมากกว่า

          เชื่อว่า ผู้ที่ได้มีโอกาสชมภาพยนตร์ฝรั่งเศสเรื่องดังที่กวาดทั้งรางวัลและรายได้ - The Artist(2011)
คงจะต้องประทับใจจำ "ตัวแสดง" ในบทผู้ช่วยพระเอก ได้ดี,ไม่มีเว้น
ภาพจาก flavonline-en.blog.hu

            The Artist เป็นหนังฝรั่งเศสที่ประสบความสำเร็จอย่างสูงเป็นปรากฏการณ์ในฝั่งอเมริกา
เมื่อคว้าถึง 5 รางวัลออสการ์ โดยที่ 3 ใน 5 รางวัลนั้นคือรางวัลใหญ่ ได้แก่ หนัง,ผู้กำกับ และนักแสดง
นำชาย ยอดเยี่ยม
telegraph.co.uk

           Uggie สุนัขพันธุ์  Jack Russell Terrier ผู้ช่วยพระเอกจอมขโมยซีนในหนัง โด่งดัง
เป็นที่รักไปทั่วโลกด้วยบทบาทสุนัขแสนรู้ เพื่อนคู่ทุกข์คู่ยากของพระเอก แฟนคลับบางคนถึงกับ
เสนอให้อั๊กกี้ได้รับการเสนอชื่อเข้าชิงรางวัลนักแสดงสมทบ

ลองหาความหมายของชื่อนี้ มีที่หนึ่งอธิบายว่า Uggie - Unpleasant or repulsive, esp. in appearance.
น่าจะเป็นชื่อเรียกอย่างเอ็นดูแบบว่า น่ารัก น่าชัง
จาก gifsmile.com

          อั๊กกี้ เกิดที่แคลิฟอร์เนียเมื่อปี 2002 ผ่านการเลี้ยงดูโดยเจ้าของสองรายที่ทนพฤติกรรม
"เลี้ยงไม่เชื่อง" ไม่ไหว จนในที่สุดต้องส่งไปยังสถานจัดการสุนัขเมื่ออายุได้เพียง 9 เดือน แต่อั๊กกี้
โชคดีที่เพื่อนของ Omar von Muller นักฝึกสุนัขเพื่อการแสดงได้ตามเขาให้มาช่วยรับไปเลี่ยงไว้
อักกี้เลยรอดตาย
          มูลเลอร์มองเห็นแววดาราในตัวอั๊กกี้จึงเริ่มทำการฝึกฝนจนกระทั่งอั๊กกี้แสดง(หนัง)ได้ โดยเริ่ม
จากหนังโฆษณาก่อนแล้วตามมาด้วยหนังใหญ่
จาก zimbio.com

           อั๊กกี้ตัวนี้ เก่งกล้าสามารถ ไม่กลัวแสงและเสียงขณะถ่ายทำ ทำงานหนักแบบลืมเหนื่อย
ผลงานในหนัง The Artist นั้นเป็นหลักฐานประจักษ์ชัดเจน

คลิปจากหนังโดย The Weinstein Company 
     
http://www.youtube.com/watch?v=KvfvyuKlEhA (http://www.youtube.com/watch?v=KvfvyuKlEhA)

           นอกจากการยืน,เดินสองขา ท่าล้มลงแกล้งตายเมื่อโดนยิง อีกหนึ่งทริคท่าเก่งของอั๊กกี้ คือ
ท่าซุกหน้าอายม้วนต้วน
จาก img.washingtonpost.com

           เมื่อหนัง The Artist ออกฉาย อั๊กกี้ได้ร่วมออกตระเวนโพรโมทหนังไปยังสถานที่ต่างๆ และ
ครั้นถึงตอนกลางปี 2012 อั๊กกี้ที่วัย 10 ปีก็ได้มีแผ่นป้ายชื่อพร้อมรอยเท้าฝากไว้บนถนน Hollywood
Walk of Fame เป็นอนุสรณ์ก่อนเกษียณจากวงการ
จาก critterfiles.com

          จากนั้นผ่านไป 3 ปี เมื่อเดือนที่แล้ว อั๊กกี้ซึ่งมีอายุได้ 13 ปี ก็ได้จากฟากฟ้าดาราไป ด้วยการให้ยา
เพื่อให้หลับสบายพ้นจากโรคร้ายคุกคามทรมาน(มะเร็งต่อมลูกหมาก)

          นักแสดงสาว Reese Witherspoon โพสท์ใน IG ไว้อาลัยอั๊กกี้ที่เคยร่วมงานกันในหนังใหญ่เรื่อง
Water for Elephants

           ส่งท้ายด้วย ฉากประทับใจในหนัง The Artist ตอนไคลแมกซ์ของเรื่อง เมื่อ"หนังเงียบ"
เรื่องนี้ใช้การนำเสนอภาพที่ปราศจากเสียงประกอบนอกจากเสียงดนตรีเร่งเร้าเย้าหยอกหลอกล่อ
คนดูที่กำลังลุ้นอยู่ว่า นางเอก-ดาวรุ่งหนังเสียง จะขับรถมาช่วยพระเอก-ดาวตกหนังเงียบ ซึ่งกำลัง
จะยิงตัวตาย ได้ทันหรือไม่นั้น นั่นคือภาพแทนเสียงนี้ที่ปรากฏบนจอ
จาก candlerblog.com

เรื่องราวจะลงเอยเช่นไร อยากให้ไปหามาดูกัน ครับ

พาเพื่อนร่วมเผ่าพันธ์ของอั๊กกี้มาให้ดูกันในกระทู้นี้  ล้วนแต่ดารานำแสดง ชนิดเป็นชื่อของ TV series เลยทีเดียว
ตัวแรกคือ Rin Tin Tin   เล่นในหนังชุดทางทีวีที่สมาชิกเรือนไทยส่วนใหญ่ยังอยู่ในชาติก่อน
เจอแต่เวอร์ชั่นภาษาสเปน(์?) ในยูทูปค่ะ



 (http://www.youtube.com/watch?v=Y8jaksXan0I[/url)

รินตินติน

           อีกหนึ่งสุนัขจากฟากตะวันตกที่โด่งดังอย่างยาวนาน ชาวเรือนไทยน่าจะเคยคุ้นกันดี
นั่นคือ Lassie สุนัขพันธุ์ collie ที่เดินออกจากหน้าหนังสือมาสู่จอเงินในปี 1943 แล้วได้รับ
ความนิยมจนมีการสร้างต่อเนื่องตามมา ก่อนที่จะก้าวลงสู่จอแก้วในปี 1954 มาเป็นซีรี่ส์ที่ออก
อากาศยาวนานถึง 19 ปี แล้วหลังจากนั้นก็ยังมีตามมาอีกแบบประปรายทั้งในจอเงินและจอแก้ว
จนข้ามมาถึงศตวรรษนี้      

           แลซซี่ เรื่องแรก Lassie Come Home สร้างออกฉายในปี 1943 นำแสดงโดย Roddy
McDowall และสมทบด้วยดาราเด็กสาวที่ต่อมาเติบใหญ่เป็นนักแสดงหญิงในตำนาน นั่นคือ Elizabeth
Taylor

แลสซี่ น่าจะเป็นดาราที่แสดงในหลายเรื่อง ทั้งหนังจอใหญ่และทีวี   ในช่วงเวลายาวนานมาก  จนดาราเด็กกลายเป็นหนุ่มสาว
ทำให้สงสัยว่ามีหลายตัวเล่นกันในเรื่องต่างๆ  แม้แต่เรื่องเดียวกันก็อาจจะเล่นสลับกันหลายตัวด้วย  
ต้องถามคุณหมอ SILA ค่ะ

เรื่องที่จำได้คือหนังชุดขาวดำ  Lassie   ฉายทางวิกช่อง 4 วังบางขุนพรหม เริ่มเมื่อพ.ศ. 2497  ฉายต่อมาอีกสองหรือสามปี
จำได้ 2 อย่างคือเจ้าของแลสซี่เป็นเด็กผู้ชาย  และอีกข้อหนึ่งดูไปตั้งนานถึงได้รู้ว่าแลสซี่เป็นตัวเมีย  เพราะมีตอนหนึ่งพูดว่ามันมีลูก  แต่พ่ออยู่ไหนไม่มีใครเฉลย

มีคำตอบเรื่องเพศของแลซซี่ในคห.ต่อๆ ไป ครับ

               อีก 3 ปีต่อมา ลิซพบกับแลซซี่อีกครั้งในหนังเรื่อง Courage of Lassie(1946)
ภาพปกดีวีดีชุดแลซซี่

           ตัวแลซซี่ในนิยายนั้นเป็นสาวแต่ในหนังรับบทโดยหนุ่มๆ ประเดิมเริ่มด้วย Pal
สุนัขที่เจ้าของระอากับพฤติกรรมชอบเห่าไม่ยอมหยุดและชอบวิ่งไล่ตามมอเตอร์ไซค์ จนต้อง
นำตัวมาส่งให้ได้รับการฝึกกับนักฝึกสุนัข Rudd Weatherwax จนดีขึ้นคือ หยุดเห่าแต่ยังไม่
หยุดวิ่งไล่มอไซค์ ในที่สุดเจ้าของจึงยกแพลให้รัดด์ไปแทนค่าฝึกสอน
            เมื่อรัดด์ได้ข่าวว่าสตูดิโอ MGM จะสร้างหนังเรื่องแลซซี่ เขาจึงฝึกฝนและพาแพลไป
ออดิทแต่ตกรอบ เพราะเป็นเพศผู้และมีรูปลักษณ์ใบหน้าไม่ต้องตา ส่วนรัดด์ได้รับเลือกให้เป็น
ครูฝึกสุนัขที่ได้รับการคัดเลือกมา เป็นสาวสวยระดับผ่านการประกวดชนะรางวัล แต่แล้วโชคชะตา
กลับพลิกผัน
             ระหว่างถ่ายทำ สาวเจ้าไม่ยอมเล่นฉากน้ำท่วม รัดด์จึงเสนอให้แพลลงน้ำแทน แล้วแพลก็
ไม่พลาดคว้าโอกาสที่ได้มาสำแดงบทบาทได้อย่างวิเศษเกินคาด แพลว่ายข้ามกระแสน้ำเชี่ยวจนถึงฝั่ง
แล้วก็แกล้งพยายามตะเกียกตะกายพาร่างขึ้นไปนอนพักแบบหมดเรี่ยวแรง ผู้กำกับประทับใจฝีมือการ
แสดงของแพลจนถึงกับน้ำตาคลอ
ภาพจากวิกี้

          เมื่อ Lassie Come Home ออกฉาย หนังก็ประสบความสำเร็จอย่างงามจนมีการสร้างต่อ
ตามมาโดยมีแพลรับบทนำต่อเนื่องนับได้อีก 6 เรื่องๆ สุดท้ายคือ The Painted Hills(1951)
ภาพจาก unseenfilms.blogspot.com

            ส่วน Lassie (1954) TV Series นั้นก็ประสบความสำเร็จด้วยดีจนมีการสร้างออกอากาศ
ติดต่อกันยาวนานจนถึงปี 1973 ทำสถิติซีรี่ส์ช่วงไพรไทม์ที่ลากยาวเป็นอันดับที่ 4 ของอเมริกา(ตาม
หลังอันดับ 1,2,3 ได้แก่ - การ์ตูน The Simpsons, ซีรี่ส์ตะวันตก Gunsmoke < เรื่องนี้ชาวเรือน
ยุคทีวีขาวดำคงจำกันได้ และ ซีรี่ส์สืบสวน Law & Order)
           แลซซี่ ในทีวีซีรี่ส์มาราธอนนี้ สองตอนแรกนำร่อง(pilot) รับบทโดยแพล จากนั้นจึงรับช่วงต่อ
โดยซีรี่ส์ลูก,หลาน 5 หนุ่มของแพล(ซึ่งเกษียณและจากไปในปี 1958 ด้วยวัย 18 ปี) สืบต่อเนื่องกันไป
ในขณะที่นักแสดงนำนั้นก็ย่อมมีการเปลี่ยนแปลงเช่นกัน
จากวิกกี้ ทีมนักแสดง 1957

         และ แน่นอน, ระดับตำนานอย่างแลซซี่ก็ย่อมมีดาวของตัวเองที่ Hollywood Walk of Fame
อยู่ใกล้เคียงกับดาวของอดีตนักแสดงและประธานาธิบดี (บางเว็บให้ข้อมูลว่าดาวแลซซี่มีมาแต่ปี 1960)

 (http://www.youtube.com/watch?v=lXquPCNsPzM[/url)

 (http://www.youtube.com/watch?v=vG8Ase8F8mo[/url)

Lassie Come Home   ปี 1943
ใครอยากดูลิซ เทย์เลอร์ตอนเด็กๆ  เชิญดูได้เลยค่ะ

 (http://www.youtube.com/watch?v=2H7XknY3PMA[/url)

หมาแสนรู้ เป็นขวัญใจยอดนิยมของเด็กๆทุกยุคทุกสมัย     แต่สัตว์อื่นก็ใช่ว่าจะน้อยหน้า    บางเรื่องคนฝึกฝึกเก่งเสียจนเจ้าสัตว์แสนรู้ตัวเอกในเรื่อง มีคุณสมบัติล้ำหน้าคนไปมาก   อย่างหนังทีวีชุด Mr.Ed  ที่เอาม้ามาเป็นดารานำ    ชื่อภาษาไทยในยุคทีวีขาวดำ ตั้งได้เท่มาก ว่า "คุณอัศว์" 

คุณอัศว์ในเรื่องเป็นเจ้าม้าแก่ตัวหนึ่ง  เป็นของแถมในคอกม้าหลังบ้านเดิมที่ถูกขายมาให้สามีภรรยาหนุ่มสาว   ในเรื่องไม่ได้บอกว่าเหตุใดเจ้าเอ๊ดถึงได้พูดได้ และฉลาดเฉลียวขี้เล่นเกินหน้าม้าทั้งหลายรวมทั้งคนทุกคนในเรื่องด้วย      จนเหมือนกับเป็นมนุษย์ในร่างม้า มากกว่าม้าพูดได้เฉยๆ
มุกตลกของเจ้าเอ๊ด  บวกกับฝีมือเขียนบท และการเลือกตัวแสดง ทำให้หนังตลกชุดนี้ได้รับความนิยมมากในอเมริกา  Mr.Ed เป็นหนังชุดยาวนานถึง 5 ปี จาก 1961-1966   จนเจ้าเอ๊ดเกษียณจากงานและตายไปในปี 1970

ตอนแรก

 (http://www.youtube.com/watch?v=R3_QnVYbtns[/url)

คุณอัศว์ พูด

 (http://www.youtube.com/watch?v=H2sVCCqfUFI[/url)

แบ่งๆกันไปก็ได้ค่ะคุณหมอเพ็ญ

          ม้าที่รับบทคุณเอ็ด - อัศว์นี้มีชื่อว่า Bamboo Harvester(1949-1970)
ทริคที่ทำให้คุณเอ็ดขยับปาก(เหมือน)พูดนั้น เริ่มจากการนำเส้นไนลอนเข้าไปไว้ในปากคุณเอ็ด
ต่อมาจึงเปลี่ยนเป็นการให้คิวขยับปากโดยผู้ฝึกแตะที่กีบ และในที่สุดเมื่อเวลาผ่านไปไม่นานนัก
คุณเอ็ดก็เริ่มเรียนรู้คิวได้เอง เมื่อวิลเบอร์, พระเอกของเรื่องพูดจบลง คุณเอ็ดก็ขยับปากเองโดย
ไม่ต้องให้สัญญาณอะไร
           Alan Young ผู้รับบทวิลเบอร์เคยให้สัมภาษณ์กุวิธีทำให้คุณเอ็ดพูดได้ว่า โดยการป้าย
peanut butter ไว้ใต้ริมฝีปาก

            เมื่อคุณเอ็ดแก่ตัวลง, Alan Young ได้ให้สัมภาษณ์ว่า, คุณเอ็ดมีปัญหาเรื่องน้ำหนักตัวมาก
แต่มีขาที่เล็กจึงทำให้ลุกยืนลำบาก คนเฝ้าเกิดเข้าใจผิดคิดว่าคุณเอ็ดมีอาการกระตุกจึงให้ยาฉีดซึ่งเป็น
ยานอนหลับอย่างอ่อนๆ และยานี้เองอาจจะเป็นสาเหตุให้คุณเอ็ดเสียชีวิตลงเนื่องจากคุณเอ็ดไม่เคยคุ้น
กับตัวยานี้

(จาก fruitlesspursuits.com) Clint Eastwood ซึ่งนำแสดงซีรี่ส์ Rawhide เคยรับเชิญมาปรากฏ
ตัวในคุณอัศว์ปีสอง

           ในซีรี่ส์, คุณเอ็ดจะไม่ยอมพูดกับใครอื่นใดเลย :-X นอกจากวิลเบอร์คนเดียว แต่ในบางตอน
คุณเอ็ดก็พูดกับเด็กๆ ด้วย คุณเอ็ดให้เหตุผลว่า ใครจะไปเชื่อเมื่อเด็กบอกว่าม้าพูดได้
นอกจากนี้ คุณเอ็ดก็ยังใช้โทรศัพท์ได้ด้วย (ภาพจาก youtube)

เสียงไทยของคุณอัศว์ พากษ์โดยคุณสมจินต์ ธรรมทัต

           ดาราสี่ขาโฮ่งๆ อีกหนึ่งซึ่งโด่งดังตามหลังแลซซี่มาอย่างห่างๆ มีผลงานประปรายเป็นระยะๆ
เริ่มต้นเมื่อราว 40 ปี(!) ก่อน, ชาวเรือนบางรุ่นน่าจะคุ้นเคยเช่นกัน, นั่นคือ Benji

           สุนัขพันธุ์ทาง จากหนังชื่อเดียวกันในปี 1974 ผลงานการสร้างสรรค์และกำกับของ Joe Camp
(ภาพ moviesdvdnewreleases.com)

            เบนจี้ตัวแรก รับบทโดยสุนัขจากบ้านพักพิงชื่อ Higgins(1957 – 1975) เป็นสุนัขพันธุ์ทาง
ส่วนผสมปะปนระหว่าง Miniature Poodle, Cocker Spaniel และ Schnauzer ฮิกกิ้นส์ถูกค้นพบ
และพาเข้าวงการโดยนักฝึกสัตว์ Frank Inn ผู้มีผลงานการฝึกสัตว์อื่นๆ เพื่อแสดงในหนังและทีวีซีรี่ส์ต่างๆ
ที่ฮิกกิ้นส์ได้เคยไปสำแดงผลงานมาแล้ว
            แฟรงค์ ชื่นชมฮิกกิ้นส์เป็นอย่างมากและยกย่องให้เป็นสุนัขที่เก่ง,ฉลาดที่สุดเท่าที่เขาเคยฝึกมา
ด้วยคุณสมบัติโดดเด่น นั่นคือ ความสามารถในการแสดงอารมณ์ต่างๆ ทางสีหน้า,สายตาได้ นอกจากนี้ยัง
สามารถจดจำทริกต่างๆ ที่เคยสอนไว้ได้ไม่ลืม
จาก npr.org

           เบนจี้ - สุนัขไร้เจ้าของอาศัยอยู่ในบ้านร้าง เป็นที่คุ้นเคยและรักของชาวบ้านในละแวก
โดยเฉพาะสองพี่น้อง ด.ช. ด.ญ. ซึ่งอยากจะรับเลี้ยงไว้ในบ้านแต่พ่อไม่อนุญาต จนเมื่อเกิดเหตุ
การณ์พลิกผันให้เบนจี้เป็นฮีโร่ประกอบวีรกรรมช่วยเด็กทั้งสองไว้ เรื่องราวจึงจบลงด้วยความสุข 

ฉากประทับใจตอนเบนจี้วิ่งสุดชีวิตเพื่อ'ผู้เป็นที่รัก'ทั้ง 2 คน + 1 ตัวที่โดนทำร้าย

คลิปตอนประทับใจจาก youtube โดย severe weather
(เพลงบรรเลงประกอบ I Feel Love)

      http://www.youtube.com/watch?v=XIQZ3jXvq6g (http://www.youtube.com/watch?v=XIQZ3jXvq6g)

           นอกจากตัวหนังเรื่อง Benji จะได้รับประสบความสำเร็จแล้วเพลงประกอบหนังก็ยังได้รับ
ความนิยมอย่างมาก
            I Feel Love โดย Charlie Rich
คลิปโดย Premiosdecine

      http://www.youtube.com/watch?v=8en_0oRv8w8 (http://www.youtube.com/watch?v=8en_0oRv8w8)

.            

            หลังจากที่ฮิกกิ้นส์จากไป ลูกสาวนามว่า Benjean ที่ได้รับการเทรนโดยแฟรงค์เช่นกัน
ก็รับช่วงการแสดงในผลงานต่อๆ ไปอีกหลายเรื่อง เริ่มด้วย  For the Love of Benji(1977)
ภาพ โปสเตอร์เบนจี้ของไทยประกอบบทความเว็บฝรั่ง this film is better than you... deal with it

พอคุณหมอศิลาเอ่ยถึงเบนจี้    ดิฉันก็นึกถึงอีก "เบน" หนึ่งขึ้นมาได้     เป็นหนังปี 1972  ยุคนั้น สัตว์สยองขวัญกำลังโกยเงินอยู่ในโรงหนัง
เจ้าเบนตัวนี้เป็นหนู rat ไม่ใช่ mouse    (ต้องฝากถามคุณหมอเพ็ญชมพูว่าสองอย่างนี้มันต่างกันยังไง  และภาษาไทยเรียกแยกกันยังไงระหว่าง mouse กับ rat นะคะ)  ไม่ใช่หนูธรรมดา แต่เป็นหนูหัวโจกของหนูจำนวนนับไม่ถ้วนในเมือง   สามารถติดต่อสื่อสารเข้าใจกับมนุษย์ได้  โดยเฉพาะเด็กน้อยที่มันนับเป็นเพื่อนรัก
เมื่อเจ้าเบนคุมพรรคพวกออกอาละวาด   เรื่องสยองขวัญก็เกิดขึ้น

 (http://www.youtube.com/watch?v=nqnTeQFKWo0[url/)

ดาราหนูที่เล่นเป็นเบน  เป็นอะไร  มีความเป็นมาอย่างไร ยังค้นหาไม่เจอ   รู้แต่ว่ามันเป็นดารานำ ที่ไม่ซ้ำกับดาราสัตว์ตัวอื่นๆ   มีเกียรติขนาดชื่อมันเป็นชื่อเรื่องของหนัง     ที่พิเศษกว่านี้คือเพลง Ben  ที่หนูน้อยไมเคิล แจ๊คสันข้บร้อง พุ่งขึ้นอันดับหนึ่งของบิลบอร์ด   อัลบั้มเพลงชุดชื่อเดียวกัน ก็ได้รางวัลลูกโลกทอง  เกือบจะได้ออสคาร์แต่ถูกเฉือนไปในรอบสุดท้ายอย่างหวุดหวิด

ทำนองเพลง Ben ฟังหวานใสไร้เดียงสา  คนละโทนกับบรรยากาศของหนัง    เป็นมิตรภาพอันแสนบริสุทธิ์ของเด็กน้อยกับหนูที่มีหัวใจของมนุษย์

 (http://www.youtube.com/watch?v=g40WCBaUXR4[/url)

rat กับ mouse อยู่คนละสกุลกัน rat อยู่ในสกุล Rattus ที่รู้จักกันดีคือ Rattus norvegicus - หนูบ้าน ตัวใหญ่อย่างเจ้าเบนนี่แหละ ส่วน mouse อยู่ในสกุล Mus ที่รู้จักกันดีคือ Mus musculus - หนูหริ่งบ้าน หรือบางคนเรียกว่าหนูถีบจักร ตัวเล็กน่ารักกว่า

งานทดลองทางวิทยาศาสตร์ใช้หนูทั้งสองชนิดนี้ ชื่อเรียกกันในวงการนักวิทยาศาสตร์เขาใช้ว่า หนูแร็ท กับ หนูไมซ์ ดูจะคุ้นปากมากกว่า  ;D

นึกแล้วว่าคำตอบจะต้องมารวดเร็วกว่ากามนิตหนุ่ม

ดิสนีย์เป็นคนหนึ่งที่นิยมใช้งาน mouse  ไม่ใช่ rat     ไม่เฉพาะมิคกี้ มินนี่ และหลานๆ   ในเรื่องอื่นๆก็หนูตัวเล็กเหมือนกัน
อย่างใน Cinderella 
น่าเสียดายว่า พอจบการ์ตูนเรื่องนี้  เจ้าหนูดาราประกอบทั้งหมดก็ตกงาน    ไม่ได้รับจ๊อบในการ์ตูนเรื่องอื่นๆอีกเลยตั้งหลายสิบปีต่อมา

          Ben(1972) เป็นภาคต่อจาก Willard(1971) - ขบวนการหนูผี หนังแสยงขวัญที่ฮิท
จนมีภาคต่อมาตามที่ได้ทิ้งท้ายเปิดทางไว้ให้สร้างโดยมีหนูผีที่ชื่อ เบ็น เดินเรื่องต่อ
          ที่จำได้อย่างหวาดๆ คือภาพของ คุณอา Ernest Borgnine จากซีรี่ส์ ทหารเรือมาแล้ว
ตอนถูกฝูงหนูรุม
radziwill.us

         ตัวเบ็นนี้ เว็บคนรักหนู(- หนูเป็นสัตว์เลี้ยง,น่ารัก) บอกว่าเป็น giant African pouched rat
Lee Montgomery รับบทแดนนี่ 'เจ้าหนู' ที่มี 'หนู' เป็น'เพื่อน(เป็น)ฝูง'   
blackholereviews.blogspot.com

ส่งท้ายหนังโฮ่งๆ ด้วยเรื่องนี้ เพราะชอบเพลงรักจากหนัง ครับ

             หลังจากเบนจี้ราว 20 ปี มีอีกหนึ่งสี่ขา โฮ่งๆ ตามมาทีหลังและดังเช่นกัน นั่นคือ Beethoven(1992)
สุนัขพันธุ์ St. Bernard ที่ถูกลักออกมาจากร้านจำหน่ายสัตว์เลี้ยงแล้วหลบหนีขโมยเข้าไปอาศัยอยู่ในบ้าน
หลังหนึ่ง ซึ่งประกอบด้วยพ่อ,แม่ และแน่นอนลูกๆ
lifeandstylemag.com

            สุนัขพร้อมนิยามว่า หมาใหญ่ใจดี นี้ที่มีชื่อเสียงด้านความฉลาด ความสามารถช่วยชีวิตผู้คน
บนยอดเขาในแถบยุโรป เมื่อมาแสดงหนังจึงต้องมีฉากฮีโร่
childstarlets.com

          หนังประสบความสำเร็จทางด้านรายได้เกินคาดจึงมีภาคต่อตามมาเป็น  Beethoven's 2nd
นำแสดงโดยทีมเดิมจากภาคแรก ออกฉายในโรงใหญ่ปี 1993 ส่วนภาคต่อหลังจากนั้นเป็นหนังจำหน่าย
สำหรับฉายในบ้าน
           สุนัขที่รับบทเบโธเฟนทั้งสองภาคนี้ ชื่อ Chris ได้รับการฝึกโดยนักฝึกสัตว์ผู้โด่งดัง Karl Lewis
Miller เจ้าของผลงานการฝึกสัตว์อื่นๆ เช่น K-9 และ

            หนังภาคแรกใช้เพลงเก่าประพันธ์โดย Chuck Berry นั่นคือ Roll Over Beethoven
ที่หลายคนคงคุ้นเคยได้ยินช่วงอินโทร ในหนังร้องนำโดย Paul Shaffer
           แต่เพลงที่นำมาฝากในกระทู้นี้ เลือกเพลงรัก The Day I Fall in Love จาก Beethoven's 2nd
เป็นเพลงคู่จากเสียงร้องโดยนักร้องสองแนว R&B และ Country นั่นคือ James Ingram และ Dolly Parton
คลิปโดย Time Light Pictures

      http://www.youtube.com/watch?v=mWFsRKA3R20 (http://www.youtube.com/watch?v=mWFsRKA3R20)

           ภาคสองนี้เบโธเฟนมีคนรักและได้เป็นคุณพ่อลูกสี่

หลายท่านในเรือนไทยคงเคยประทับใจกับหนังทีวีเรื่องนี้ "โลมาเพื่อนแก้ว"  

โฆษณาเมื่อ พ.ศ. ๒๕๐๙ เกือบ ๕๐ ปีมาแล้ว  ;D

         เป็นอีกหนึ่งซีรี่ส์ในความทรงจำ ออกอากาศทางช่องเจ็ดขาวดำ - ช่องห้า ปัจจุบัน
คุณลุง Brian Kelly ผู้รับบทพ่อม่าย,ลูกชายสอง จากไปแล้วเมื่อสิบปีก่อน
(sitcomsonline.com)

หนังทีวีสร้างเมื่อ พ.ศ. ๒๕๐๗-๒๕๐๙ หลังจากความสำเร็จของหนังโรงชื่อเดียวกันคือ Flipper (พ.ศ. ๒๕๐๖) ซึ่งนำแสดงโดย Chuck Connors (ผู้โด่งดังจากหนังทีวีเรื่อง สุภาพบุรุษปืนยาว - The Rifleman) ตัวเอกของเรื่องคือ โลมาปากขวด (bottlenose dolphin) นาม  Flipper ซึ่งเป็นสัตว์เลี้ยงของพ่อมายลูกสองที่คุณศิลาแนะนำไว้ข้างบน  เนื้อเรื่องก็เกี่ยวกับการผจญภัยในทะเลอย่างที่ว่าไว้ในโฆษณา

http://www.youtube.com/watch?v=8arN4JhaPWc#ws (http://www.youtube.com/watch?v=8arN4JhaPWc#ws)

ยังจำฟลิปเปอร์ได้ค่ะ   เจ้าโลมาแสนรู้ มักจะมีฉากโผล่มาร้องกรี๊ดๆ โชว์ครึ่งตัวเหนือน้ำในตอนจบของแต่ละตอน

 (http://www.youtube.com/watch?v=wTfOeHOuOcQ[/url)

ฟลิปเปอร์แสดงโดยโลมาตัวเมีย ๕ ตัว ที่เด่น ๆ คือ Kathy และ Susie อีก ๓ ตัวคือ Patty  Scotty และ Squirt ที่ไม่ใช่ตัวผู้เพราะตัวเมียไม่ก้าวร้าว ทำให้ผิวพรรณสวยงามไร้ร่องรอยที่เกิดจากการต่อสู้กับโลมาตัวอื่น ยกเว้นฉากโปรดของคุณเทาชมพูที่โผล่มาโชว์ลีลาเดินถอยหลังด้วยหางใช้โลมาตัวผู้ชื่อ Clown ส่วนเสียงร้องของฟลิปเปอร์ใช้เสียงของนก kookaburra

          เคยสงสัย, โลมาในภาษาอ. มีทั้ง dolphin & porpoise
(http://oceanservice.noaa.gov (http://oceanservice.noaa.gov))

จุดเด่นที่ porpoise ต่างจาก dolphin คือหัวและหน้า ตัวแรกจะหน้าทู่ ๆ ส่วนตัวหลังจะหน้ายาว

ในเมืองไทยมี porpoise อยู่ ๑ ชนิดคือ โลมาหัวบาตรหลังเรียบ Finless porpoise Neophocaena phocaenoides

http://www.youtube.com/watch?v=Q-UYrywY5Jw#ws (http://www.youtube.com/watch?v=Q-UYrywY5Jw#ws)

ผู้อยู่เบื้องหลังความสำเร็จคือ Richard "Ric" O’Barry  (https://en.wikipedia.org/wiki/Ric_O%27Barry) ผู้ฝึกสอนโลมาทุกตัวที่แสดงในหนังเรื่องนี้ ใน พ.ศ. ๒๕๑๓ จุดเปลี่ยนชีวิตของ "ริก" มาถึงเมื่อ "เคธี" ซึ่งปลดเกษียณจากการแสดงถูกขังเดี่ยวอยู่ในถังน้ำขนาดใหญ่ที่ฟลอริดา เคธีมีอาการเซื่องซึมเนื่องจากความเดียวดาย เมื่อริกมาเยี่ยม เคธีโผเข้าสู่อ้อมกอดของริก และตัดสินใจ "ฆ่าตัวตาย" โดยกลั้นลมหายใจ ร่างของเคธีจมสู่ก้นของถังน้ำเบื้องล่าง ภาพที่เห็นเบื้องหน้าทำให้ใจของริกแทบสลาย

สองวันต่อมาริกถูกจับข้อหาพยายามปล่อยโลมาตัวอื่น ๆ สู่อิสรภาพ หลังจากเขาถูกปล่อยตัว ริกเลิกการฝึกโลมาและใช้ชีวิตที่เหลือเพื่อต่อสู้เพื่อสิทธิของโลมา เขาออกโรงต่อต้านธุรกิจที่ใช้โลมาเพื่อการบันเทิงทุกรูปแบบ รวมท้งการใช้โลมาทำงานอันตรายเช่นการค้นหาระเบิด

ภาพของ ริก และ เคธี ในวันชื่นคืนสุข ก่อนโศกนาฏกรรม  :'(

ตัวอย่างปฏิบัติการของริกในการพิทักษ์โลมา อยู่ในภาพยนตร์สารคดีเรื่อง "The Cove" (https://en.wikipedia.org/wiki/The_Cove_(film)) (พ.ศ. ๒๕๕๒) เป็นการเปิดเผยการล่า และ "สังหารหมู่" โลมาในญี่ปุ่น  ภาพยนตร์เรื่องนี้ได้รับรางวัลออสการ์สาขาสารคดียอดเยี่ยม

http://www.youtube.com/watch?v=3K-a2W3V_p0#ws (http://www.youtube.com/watch?v=3K-a2W3V_p0#ws)

       :'( ซึมเศร้าจนฆ่าตัวตาย วาฬและโลมา เป็นสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนมที่แสนรู้,ฉลาดสมกับขนาดของสมอง  
(news.discovery.com)

[/u]

ทำไมใช้เสียงนกแทนเสียงปลาคะ ???  หรือว่าจริงๆแล้วปลาโลมาส่งเสียงไม่ได้ คนสร้างหนังแค่เติมสีสันให้เจ้าปลาตัวนี้เท่านั้น

๑. ทำไมใช้เสียงนกแทนเสียงปลาคะ ???

ก่อนอื่นขอทำความเข้าใจใหม่ว่า โลมา ไม่ใช่ "ปลา" แต่เป็น "สัตว์เลี้ยงลูกด้วยนม"

๒. หรือว่าจริงๆแล้วปลาโลมาส่งเสียงไม่ได้

โลมาส่งเสียงได้ และนี่คือเสียงของโลมา

http://www.youtube.com/watch?v=39SYLteQnGg#ws (http://www.youtube.com/watch?v=39SYLteQnGg#ws)

๓. คนสร้างหนังแค่เติมสีสันให้เจ้าปลาตัวนี้เท่านั้น

เสียงของนก kookaburra มีสีสันกว่าเสียงของโลมาอย่างที่คุณแอนนาว่า  ;D

http://www.youtube.com/watch?v=S0ZbykXlg6Q#ws (http://www.youtube.com/watch?v=S0ZbykXlg6Q#ws)

ขอบพระคุณค่ะอาจารย์ ที่ให้ความกระจ่าง อันที่จริงเสียงของโลมา(ต่อไปนี้จะไม่เติมคำว่า'ปลา'นำหน้าอีกแล้ว)ก็น่ารักดีนะคะ เพียงแต่ไม่สมกับขนาดของตัว ส่วนเจ้านกก็เสียงใหญ่เกินตัวหลายเท่านัก  ;D

          ทั้งโลมาและวาฬมีฟัน สามารถส่งคลื่นเสียงความถี่สูง(แล้ว)สะท้อนกลับรับรู้ข้อมูลภูมิประเทศ
ของท้องทะเล,ชายฝั่ง และฝูงสัตว์อื่นในน้ำ เพื่อใช้ในการล่าและ การนำทาง แบบคลื่นโซนาร์ของเรือดำน้ำ
ในขณะที่ วาฬหลังค่อมและวาฬน้ำเงินส่งเสียงที่เรียกกันว่า 'เพลง' เพื่อสื่อสาร,นำทางและเตือนภัย
          โดยทั่วไปแล้ว เสียงที่เปล่งออกมาด้วยความถี่สูงจะได้ยินเหมือนเสียงผิวปากและเสียงฟังดังคลิก
ความถี่ของคลื่นเสียงปกติที่คนเราได้ยินคือช่วง 20 Hz - 20 kHz โลมาส่งคลื่นเสียงนำทางในช่วงความถี่
18 - 23 kHz ในขณะที่วาฬบางชนิดสามารถส่งคลื่นความถี่ได้ถึง 175 kHz ส่วนวาฬหลังค่อมสามารถส่ง
เสียงความถี่ต่ำได้ที่ 30 Hz 

ภาพจาก scienceinthenews.org.uk

หลังจากความสำเร็จของหนังทีวีเรื่อง Flipper เมื่อ ๕๐ ปีก่อน   มีภาพยนตร์อีกเรื่องหนึ่งออกฉายครั้งแรกเมื่อ ๒๕ ปีก่อนชื่อว่า Free Willy เป็นเรื่องเกี่ยวกับเพื่อนต่างสายพันธุ์ เด็กกำพร้ากับวาฬเพชฌฆาต (orca) หลงฝูงที่ถูกจับมาอยู่ในสวนสนุก สุดท้ายเด็กน้อยและผองเพื่อนก็ช่วยปล่อยวิลลีเป็นอิสระ ภาพยนตร์เรื่องนี้ประสบความสำเร็จจนมีภาคต่อมาอีกถึง ๓ ภาค  

http://www.youtube.com/watch?v=Y6bSTWtAo0U#ws (http://www.youtube.com/watch?v=Y6bSTWtAo0U#ws)

ภาพประทับใจที่สุดของภาพยนตร์เรื่องนี้อยู่ในโปสเตอร์ข้างล่าง เป็นตอนจบของเรื่องเมื่อวิลลีกระโดดข้ามแนวหินสู่อิสรภาพ  ;D

วาฬเพชฌฆาตที่แสดงเป็นวิลลีเป็นตัวผู้ ชื่อ Keiko เป็นภาษาญี่ปุ่น 恵子 แปลว่า เด็กผู้มีโชค ซึ่งปรกติเป็นชื่อสำหรับเด็กผู้หญิง เคโกะถูกจับมาเมื่อ พ.ศ. ๒๕๒๒ ใกล้ ๆ กับไอซ์แลนด์ และถูกขายให้สวนสนุกหลายแห่ง จนในที่สุดได้แสดงภาพยนตร์จนมีชื่อเสียง จึงมีเสียงเรียกร้องให้ปล่อยเคโกะสู่ธรรมชาติ

เคโกะจบชีวิตลงด้วยโรคปอดบวมเมื่อ ๑๒ ธันวาคม พ.ศ. ๒๕๔๖ ด้วยอายุประมาณ ๒๖ ปี ในทะเลใกล้แหลมในประเทศนอรเวย์ มีการจัดพิธีรำลึกถึงเคโกะมีคนเข้าร่วมกว่า ๗๐๐ คน บริเวณที่ฝังเคโกะมีกองหินเด่นเป็นจุดหมาย

การเดินทางไกลของเคโกะ

http://www.youtube.com/watch?v=YYyU3USJ-8E#ws (http://www.youtube.com/watch?v=YYyU3USJ-8E#ws)

              จากวาฬและโลมาน่ารัก ขอเปลี่ยนแนวมาชมหนังเก่าปี 1977 เรื่อง

                          Orca: The Killer Whale แค้นออร์ก้า ปลาวาฬเพชฌฆาต

โปสเตอร์(จาก reginalds.tumblr.com) พร้อมคำโปรยคุณสมบัติแค้นต้องชำระของออร์ก้า

           หนังตื่นเต้น แสยงขวัญของผอ.เจ้าพ่อหนังเกรดบีชาวอิตาเลียน Dino De Laurentiis
นำแสดงโดย Richard Harris และ Charlotte Rampling(รับบทนักวิทยาศาสตร์ผู้เชี่ยวชาญ
เรื่องวาฬ)

(zebradelic.blogspot.com)

           ออกฉายลงโรงหลังหนังเผชิญภัยจากทะเลเรื่องดัง - Jaws สองปี ผลลัพธ์คือหนังประสบ
ความล้มเหลวทั้งรายได้และคำวิจารณ์ แต่ปัจจุบันกลับเป็นที่กล่าวขวัญในหมู่ผู้นิยมหนัง cult*
           ลุงแฮริสรับบทกัปตันเรือล่าวาฬในย่าน Newfoundland

* วิกี้อธิบายว่า ภาพยนตร์เกินวิสัย (cult film) คือภาพยนตร์ที่เป็นที่ชื่นชอบในหมู่ผู้ชมกลุ่มเล็ก ๆ
มักไม่เป็นที่รู้จักในวงกว้าง หน้าหนังจะเป็นแนวสยองขวัญ,ทุนต่ำต้อย,ด้อยคุณภาพ มีความดิบ,เถื่อน,
ประหลาด,หลุดโลก และมีการเล่าเรื่อง,เทคนิคทีไม่ธรรมดา

(epoleart.canalblog.com)

             ลุงพลาดไปจับได้วาฬเพศเมียท้องแก่ที่แท้งลูกน้อยออกมาตอนที่ร่างของนางถูกยกขึ้นเรือ
เหตุการณ์ทั้งหมดนี้บันทึกผ่านสายตาของวาฬตัวผู้(และจำติดตาคนดู เช่นกัน)

(epoleart.canalblog.com)

เมื่อภาพยนตร์เรื่องนี้เข้ามาฉายในเมืองไทย มีการประชาสัมพันธ์โดยการประกวดนางงาม  ;D

             ;D 'ธิดาปลาวาฬ' คนซ้ายสุดในภาพคือคุณดา หทัยรัตน์

คุณศิลา พูดถึงวาฬ นึกถึงประโยคฮิตนี้

http://www.youtube.com/watch?v=xAmwgT8_Kzg (http://www.youtube.com/watch?v=xAmwgT8_Kzg)

^ เชิญคุณ visitna วิสัชนาเรื่องวาฬคลาสสิค(Moby Dick) หลังจบออร์ก้า

            สมฐานะหนังแสยงด้วยการเสนอภาพทารกออร์ก้าที่แท้งตายออกมา ลุงแฮริสเห็นแล้ว
เกิดอาการคลื่นไส้, ไม่รอช้านำสายฉีดน้ำดันร่างทารกตกลงทะเล

(horrorretrospective.blogspot.com)

น้ำ(ทะเลผสมน้ำ) ตาออร์ก้าเพศผู้

ภาพจาก youtube

        หลังจากนั้น, หนังก็ทวีความเข้มข้นมากขึ้น เมื่อปฏิบัติการจองเวรของออร์ก้าตัวผู้งวดลงทุกที
หลังความตายของหลายคนที่เกี่ยวข้อง

(thecinemologists.com)

           หนึ่งในลูกเรือของลุงรับบทโดยสาวสวยที่ได้คะแนนเต็ม 10 - Bo Derek รายนี้เกือบไป
           Orca เป็นผลงานชิ้นแรกของเธอ และเธอก็ได้แสดงบทบาทพอสมควร ไม่ใช่เพียงยืนประดับ
ฉากเฉยๆ เธอเป็นคนที่บอกได้ว่า ลุงยิงพลาดไปถูกออร์ก้าเพศเมีย และตั้งข้อสังเกตตอนที่นางว่ายเข้า
หาใบพัดเรือว่านั่นเป็นการพยายามฆ่าตัวตาย

(thisislandrod.blogspot.com)

            ในที่สุดความแค้นส่วนตัวที่ต้องชำระก็มาถึงบทสุดท้าย เมื่อลุงถูกต้อนให้ไปเผชิญหน้ากับ
ออร์ก้าในทะเลน้ำแข็ง

(gatedimension.com)

            ตาต่อตา, ออร์ก้ามองมนุษย์ผู้ล่าที่ตอนนี้กลับกลายเป็นผู้ถูกล่า

(thecinemologists.com)

และ

(thecinemologists.com)

แล้ว

(epoleart.canalblog.com)

            สำหรับผู้สนใจ Orca full movie 1977, highrollen1 นำเสนอให้ชมทาง youtube

 http://www.youtube.com/watch?t=1185&v=bH-PrW5LT5M (http://www.youtube.com/watch?t=1185&v=bH-PrW5LT5M)

(thisislandrod.blogspot.com)

ยุค 1970s ต้นๆ  สัตว์กลายเป็นตัวนำในภาพยนตร์    ยกขบวนกันมาเป็นพระเอกมั่ง ผู้ร้ายมั่ง   ตั้งแต่เจ้าฉลามมหึมาใน Jaws    จนกระทั่งสัตว์เล็กสัตว์น้อย อย่าง Ben ที่เล่ามาแล้ว
ไม่ทราบว่าคุณหมอ  SILA  เคยดู Frogs ปี 1972  หรือเปล่าคะ      สัตว์รอบๆตัวเราที่ดูไร้พิษภัยแถมยังเอามาทอดกระเทียมกินได้ด้วย อย่างกบน้อย   กลายเป็นศัตรูตัวฉกาจที่เล่นงานมนุษย์เสียอยู่หมัด

 (http://www.youtube.com/watch?v=9OTaIzBPxtk[/url)

เชิญดูกบสยองได้ค่ะ

http://www.youtube.com/watch?v=kwkxvjQUlVQ

              ^ เหมือนว่าจะเคยผ่านหู, ผ่านตา ครับ

            ก่อนออร์ก้าหนึ่งปี ผอ. Dino De Laurentiis ได้นำหนังคลาสสิคปี 1933 มาสร้างใหม่
เป็นหนังใหญ่แห่งปี นั่นคือ King Kong(1976)

bronxbanterblog.com เสนอภาพโฆษณาหนังเรื่องนี้ที่ย่าน Times Square (จาก New York Times tumblr site)

            นำแสดงโดยดาราหนุ่ม Jeff Bridges กับ Charles Grodin และ
            ดาราสาวดวงใหม่ที่หวังแจ้งเกิดจากหนังเรื่องนี้แต่ถูกนักวิจารณ์บางคนดับฝัน จนต้องกลับหลังหัน
ไปเล่าเรียนการแสดงก่อนที่จะกลับมาใหม่กลายเป็นนักแสดงคุณภาพระดับออสการ์ในเวลาต่อมา เธอคือ
Jessica Lange

(dvdbeaver.com)

            หนังประสบความสำเร็จด้านรายได้ในขณะที่เสียงวิจารณ์ก้ำกึ่ง มีทั้งชอบและไม่ชอบ

             เนื้อเรื่องก็เช่นที่เคยคุ้น ทีมสำรวจบริษัทน้ำมันล่องเรือไปยังเกาะลึกลับในม่านเมฆที่คาดว่าน่า
จะมีแหล่งน้ำมันมากโข พระเอกเป็นนักวิทยาศาสตร์ที่แอบขึ้นเรือมา ส่วนนางเอกลอยเรือยางมาจากเรือ
ยอชท์ที่เกิดอุบัติเหตุอัปปาง
             เมื่อยกทีมกันขึ้นเกาะแล้วจึงได้พบกับชาวเกาะและเจ้าเกาะที่พวกเขาเรียกขานกันว่า คอง

(monsterkidclassichorrorforum.yuku.com)

(movieboozer.com)

เบื้องหลังการถ่ายทำ

(emmaroseproductions.com)

ดิฉันชอบ King Kong (2005) มากกว่าค่ะ   
ชอบNaomi watts นางเอกเรื่องนี้ว่าเธอเป็นมนุษย์มหัศจรรย์ยิ่งกว่า wonder woman   เนื้อตัวเหมือนหล่อจากเหล็กกล้า  ถูกจับถูกล่าม ถูกฉุดกระชากลากถู  วิ่งเท้าเปล่าตลุยป่าดึกดำบรรพ์ไดโนเสาร์ไล่มาทั้งฝูง ก็ไม่มีแม้แต่รอยขีดข่วน หรือฟกช้ำดำเขียว    มีแต่มอมแมมนิดหน่อย    เสื้อผ้าที่เป็นชุดชั้นในบางๆก็ทนทายาดไม่ฉีกไม่ขาด
เสียงร้องกรี๊ดๆ ก็ 80 กว่าเดซิเบล  ไม่มีตก

เจ้าคองลิงยักษ์ในเรื่องนี้ก็เป็นพระเอกแสนงอน  น่ารักน่าเอ็นดู   ดีกว่าพระเอกตัวประกอบในเรื่องเสียอีก   ช่วยนางเอกพ้นจากไดโนเสาร์มาได้ด้วย

 (http://www.youtube.com/watch?v=ZYJtNbMgga0[/url)

มีฉาก "จำเลยรัก" ระหว่างนางเอกกับเจ้าคองด้วย  เมื่อนางเอกตกเป็นเชลยของพระเอก (http://www.youtube.com/watch?v=EB10MaFTMa4[/url)

ฉากประทับใจที่สุดของคิงคอง ไม่ว่าเวอร์ชั่นไหน  คือฉากที่มันปีนตึกเอมไพร์สเตทขึ้นไปพบจุดจบจากเครื่องบินประจัญบาน    ก่อนมันหล่นร่วงลงสู่พื้นดิน
แต่เจ้าคองก็ไม่ยอมให้ถูกรังแกฝ่ายเดียวง่ายๆ  จะต้องมีฉากหนึ่งที่มันคว้าเครื่องบินลำหนึ่งเอาไว้ได้   ตบเป็นชิ้นๆ ร่วงลงไปให้สะใจคนดู



 (http://www.youtube.com/watch?v=NoD85qZhkWY[/url)

เจ้าลิงยักษ์ตัวนี้เป็นดาราขายดีมาตั้งแต่ยุคหนังขาวดำ  ปี 1933 โน่น  (จะมีก่อนหน้านี้รึเปล่าไม่แน่ใจ  ต้องถามคุณหมอ SILA )   
ดาราตายกันไปหลายยุคแล้ว  แต่คิงคองก็ยังอยู่


  (http://www.youtube.com/watch?v=H0WpKl2A_2k[/url)

ฉากปีนตึกอมตะนี้ก็เหมือนกันค่ะ
ในยุคนั้น ตึกเอมไพร์สเตทเป็นตึกระฟ้าสูงสุดของนิวยอร์ค และของโลก    จึงได้รับเลือกเป็นฉากสำคัญรองรับวาระสุดท้ายของลิงที่ตัวโตเกือบเท่าความกว้างของตึก
แม้ว่าหลังจากนั้นมีตึกอื่นๆมาแรงแซงตึกเอมไพร์สเตทขึ้นไป  แต่ตึกนี้เลอค่าอมตะไปแล้ว  จึงต้องอยู่คู่ฉากสุดท้ายของคิงคองเสมอ   จะไปปีนตึกอื่นให้เสียคะแนนไม่ได้

 (http://www.youtube.com/watch?v=CuRQH_hLcTw[/url)

King Kong 1933-2005

 (http://www.youtube.com/watch?v=C39H14iTzr0[/url)

          วิกกี้บอกว่า คิง คอง เปิดตัวเป็นครั้งแรกในหนังปี 1933 เป็นผลงานการสร้างสรรค์ของนักบิน
(ร่วมรบในสงครามโลกทั้งสองครั้ง), นักผจญภัย และ คนทำหนัง(เขียนบท,กำกับและอำนวยการสร้าง)
ชาวอเมริกันนามว่า Merian C. Cooper(1893 – 1973)
         ในเรื่องคิง คอง นี้เขาร่วมแสดงด้วยโดยรับบทเป็นนักบินของเครื่องบินที่สังหารคอง

(allynscura.blogspot.com)

            ในหนังเวอร์ชั่นต้นแบบและล่าสุด คองไต่ตึก Empire State ส่วนเวอร์ชั่น 76 นี้เปลี่ยนเป็น
ตึก World Trade Center  

          เมื่อน้ำมันที่มีไม่คุ้มค่าลงทุน หัวหน้าทีมตัดสินใจไม่กลับบริษัทมือเปล่า หากแต่จับคองมาด้วย
เพื่อนำมาช่วยออกงานประชาสัมพันธ์บริษัท
          หลังจากนั้นก็คือ คืนอันยาวนานในย่านตึกระฟ้า World Trade Center ของมหานคร นิว ยอร์ค

(screeninsults.com)

Beauty and the Beast @ the Top of the World

(screeninsults.com)

            แม้เวอร์ชั่นล่าสุดจะให้ภาพป่าดึกดำบรรพ์และป่าคอนกรีตของมหานคร นิว ยอร์ค ที่ตื่นตา
สมยุคดิจิตอล แต่เวอร์ชั่น 76 นี้ก็มีดีที่ตอนจบซึ่งทั้งสะเทือนอารมณ์และสะท้อนใจ

(wtcinmovies.tripod.com)

           สะเทือนอารมณ์กับการจากไปของคองที่นางเอกสาวรู้สึกผูกพันเหมือนเพื่อน, พี่ตัวใหญ่
big brother ผู้พิทักษ์ปกป้อง นางลงมาทันลมหายใจสุดท้ายของคอง

(the-haunted-closet.blogspot.com)

           สะท้อนใจกับความกระหายของสื่อที่รุมล้อมเดินเหยียบย่ำไปบนร่างและกองเลือดของคอง

(the-haunted-closet.blogspot.com)

         เพื่อแย่งกันทำข่าวใหญ่โดยไม่สนใจความรู้สึกของเธอที่บัดนี้ได้กลายเป็นคนดังอย่างเศร้าๆ มึนๆ
ตั้งตัวไม่ทัน ในขณะที่ชายคนรักผู้ร่วมผจญภัยผ่านความตายมาด้วยกัน, ผู้ที่เธอต้องการให้มาอยู่เคียงข้าง
ในยามนี้ กลับถูกฝูงนักข่าวและผู้คนเบียดกั้นออกไปให้รู้สึกห่างไกลเกินเอื้อมถึง

(screeninsults.com)

          Ryan Dragon นำเสนอ King Kong (1976) Movies ทาง Youtube

http://www.youtube.com/watch?v=lCgiiXk2XEY (http://www.youtube.com/watch?v=lCgiiXk2XEY)

          จากคอง ลิง Gorilla ยักษ์ย่อลงมาดูลิง Chimpanzee น้อยน่ารัก ที่ชาวเรือนต่างต้องคุ้น
เคยกันดี นั่นคือ  Cheetah ลิงน้อยข้างตัวเจ้าป่า ทาร์ซาน

           เจ้าลิงชิมป์ตัวนี้ไม่มีในนิยายต้นฉบับ แต่ได้โผล่มาปรากฏตัวในหนังทาร์ซานช่วงทศวรรษ
1930s–1960s จากนั้นแล้วยังข้ามจากจอเงินมาต่อจอแก้วในซีรี่ส์ทาร์ซาน(1966–1968)

           ชีตาห์ตัวแรกรับบทโดย Jiggs ประเดิมในหนังทาร์ซานที่รับบทโดย Johnny Weissmuller
เรื่อง Tarzan the Ape Man ในปี 1932 จากนั้นก็มีตัวอื่นๆ ตามมาในทาร์ซานตอนอื่นๆ
           แคแรคเตอร์ที่วางไว้ให้เป็นลิงเพศผู้ แต่เหล่าวานรที่มารับบทชีตาห์นี้มีทั้งสองเพศแล้วแต่
ความสามารถของแต่ละตัว

(telegraph.co.uk)

            จิ๊กส์แสดงหนังอยู่ 7 ปี แล้วจึงได้จากไปด้วยวัย 9 ขวบในปี 1938 ด้วยโรคปอดติดเชื้อ
แต่ในปี 2011 มีข่าวจาก Florida primate sanctuary เสนอว่าจิ๊กส์ได้จากไปด้วยวัย 80 ปี
สร้างความกังขาแปลกใจไม่น้อย เนื่องจากอายุขัยโดยทั่วไปของลิงชิมป์ในสวนสัตว์จะอยู่ที่ 35 -
45 ปี ในที่สุดจึงได้มีผู้สรุปความว่า เป็นคนตัวละจิ๊กส์กัน

จิ๊กส์กับนางเอกสาว Dorothy Lamour ในกองถ่ายหนังเรื่อง Her Jungle Love(1938)
ซึ่งเป็นผลงานชิ้นสุดท้ายของจิ๊กส์
(mnn.com)

          ส่วนชิมป์ชีตาห์ตัวนี้ ชาวเรือนหลายคนน่าจะทันได้ชมจากซีรี่ส์ฮิททางทีวีช่องสี่
ในช่วงปี 1966 – 1968

(NBC)

ไปตอบอีกกระทู้หนึ่ง มีชีต้าอยู่ในนั้นก็เลยยกมาให้ดูในนี้ เป็นชีต้ายุคหนังขาวดำ  ปี 1933 ค่ะ

          ทาร์ซานรับบทโดย Ron Ely(เกิด 1938) นักกีฬาชาวมะกันที่ผันมามีผลงานละครเพลง
รอนถูกเรียกตัวมารับบทแทนตัวจริงที่ถูกลิงกัดจนขากรรไกรเปิด, สติเตลิดแล้วถอนตัวไป และ
          แน่นอน, รอนกับการถ่ายทำหนังผจญภัยในป่าของยุคนั้นก็คือการผจญภยันตรายที่มีความเสี่ยงสูง
ต่อการบาดเจ็บและอาจเสียชีวิต รอนต้องรับมือ(เปล่า) กับสัตว์ป่าที่ไม่ได้ผ่านการฝึกมาก่อนอย่างเสือ
หลังจากที่เขารอดตายจากฉากนั้นมาได้เขาก็กลายเป็นฮีโร่ทั้งในกองถ่ายและในจอ

quintadimension.com

          ชิมป์ที่มาแสดงเป็นชีตาห์นี้ ไม่มีข้อมูลประวัติ ในบทสัมภาษณ์ย้อนอดีต รอนเรียกชิมป์ว่า ชีตาห์
และกล่าวว่า มีชิมป์รับบทนี้ประจำตัวเดียวส่วนที่เหลือเป็นตัวสำรองเผื่อไว้ ทั้งสองสปีชี่ส์มีความสัมพันธ์
อันดีต่อกันทั้งเบื้องหน้าและหลังกล้อง ชีตาห์มักจะมานั่งเคียงข้าง, บางครั้งก็โดดมานั่งตักเขา

facebook

          ซีรี่ส์ทาร์ซานได้รับความนิยมอย่างดี บางตอนมีนักแสดงรับเชิญอย่าง Diana Ross และ
The Supremes ด้วย

ส่งท้ายด้วยลุงรอนรูปนี้ จาก facebook, imdb ไม่ระบุปีค.ศ.

            ระหว่างการท่องเน็ทหาชีตาห์ ทำให้ได้พบด้วยว่า ทาร์ซานเคยมาเมืองไทย
      
            ไม่เคยได้เห็น,ได้ยินหนังทาร์ซานเรื่องนี้ในปี 1963 มาก่อน - Tarzan's Three Challenges
(manapop.com)

           ทาร์ซานตอนนี้มีเรื่องราวเกิดขึ้นในประเทศแถบเอเชียซึ่งตามพล็อตแล้วน่าจะเป็นแถบทิเบต
ยามนั้นทีมงานคงไม่สามารถยกกองไปถ่ายทำที่นั่นได้ และเมืองไทยได้รับเลือกให้เป็นสถานที่ถ่ายทำ
ดังปรากฏภาพในหนังเป็นที่ ตลาดน้ำ สมัยนั้นน่าจะเป็นตลาดน้ำวัดไทร, ถ้ำเขาหลวง เพชรบุรี,

พระพุทธบาท สระบุรี,

วัดสวนดอก และ
(manapop.com)

ออบหลวง เชียงใหม่
(manapop.com)

          งานนี้ ทาร์ซานรับจ็อบมาเป็นผู้พิทักษ์ยุพราชน้อยที่ถูกเสด็จอาหมายชิงบัลลังก์

พระนอน ถ้ำเขาหลวง 
(Morbius19 @ Flickr)

ตามไปถาม คุณกุ๊ก  (https://en.wikipedia.org/wiki/Tarzan%27s_Three_Challenges) เกี่ยวกับทาร์ซานเวอร์ชันนี้ ในหนังบอกว่าเกิดที่ประเทศในเอเซียไม่ได้ระบุว่าเป็นประเทศใด

ตัวแสดงที่เป็นทาร์ซานในเรื่องนี้คือ Jock Mahoney (https://en.wikipedia.org/wiki/Jock_Mahoney) ขณะนั้นอายุ ๔๔ ปีนับเป็นตัวแสดงทาร์ซานที่มีอายุมากที่สุดเท่าที่เคยมีมา ระหว่างถ่ายทำเรื่องนี้ในเมืองไทย มาโฮนีป่วยด้วยหลายโรคทั้งท้องเสีย ไข้เลือดออก และปอดบวม น้ำหนักลดจาก ๑๐๐ กก. เหลือ ๗๙ กก. จนบางฉากต้องใช้ตัวแสดง

จำได้ว่าจ๊อค มาโฮนี่เป็นพระเอกหนังชุดทางทีวี เรื่องอะไรสักเรื่องที่ฉายทางช่อง 4 วิกบางขุนพรหม     ภาพลักษณ์เป็นคาวบอยเต็มตัว
ไม่รู้ว่ามาเป็นทาร์ซานกับเขาด้วย

             ทาร์ซานต้องต่อสู้ประลองฝีมือและกำลังสามอย่าง(Three Challenges) แทนองค์ยุพราช
ก่อนการขึ้นครองบัลลังก์

สงสัยว่ากองถ่ายอาจจ่ายค่าตัวไม่ถึงจึงได้เห็นเหล่าตัวประกอบในทรงกะลาครอบ :)
(manapop.com)

           ทาร์ซานเจ้าป่า(Jock Mahoney) มาเจอเชื้อโรคเมืองไทยเข้าก็ป่วยหนักดังว่า ซึ่งว่ากันว่า
มาจากการเข้าฉากว่ายน้ำในแม่น้ำแล้วคุณเจ้าป่าอยากจะโชว์พาวว่ายข้ามฝั่ง ทั้งๆ ที่ได้รับการเตือน
แล้วว่าแม่น้ำนั้นแสนสกปรก
           หลังการป่วยหนัก น.น.เจ้าป่าหายไปถึง 40 กิโล. จนซูบลงอย่างเห็นได้ชัดและทำท่าจะหมดแรง
ในฉากแอ็คชั่นบางตอน
           จ็อคต้องใช้เวลาฟื้นฟูสมรรถภาพร่างกายเป็นเวลานานกว่า 18 เดือน ถึงกระนั้นก็ยังไม่ฟิตเหมือนเดิม

(Morbius19 @ Flickr)

คลิปเทรลเลอร์จากยูทูบ ครับ

http://www.youtube.com/watch?v=a02Lz1e2xpA (http://www.youtube.com/watch?v=a02Lz1e2xpA)

ทาร์ซานในเรื่องนี้ ไม่มีทั้งเจนและชีต้า ด้วยค่ะ

ตั้งแต่หนังทาร์ซานเรื่องแรกในปี 1918  เป็นหนังเงียบขาวดำ  มาถึงปัจจุบัน มีดาราเล่นเป็นทาร์ซานนับไม่ถ้วน
ใครอยากดูพัฒนาการของทาร์ซานยุคแรกจนปัจจุบัน เข้าไปดูในเว็บนี้ได้ค่ะ

http://hubpages.com/entertainment/Actors_Who_Have_Played_Tarzan (http://hubpages.com/entertainment/Actors_Who_Have_Played_Tarzan)

คนแรกคือเอลโม ลินคอล์น   ออกจะหุ่นเป็นพระเอกหนังอินเดียรุ่นเก่าอยู่สักหน่อย   ไม่น่าโหนเชือกได้เลย

ทาร์ซานคนแรกใน Tarzan of The Apes

 (http://www.youtube.com/watch?v=DWTA8pnyPiI[/url)

Tarzan of the Apes (1918)เรื่องเต็ม

 (http://www.youtube.com/watch?v=IrAbUqNU2Ng[/url)

ขอลงจากต้นไม้มาเข้าคฤหาสน์ผู้ดีอังกฤษกัน  ในลำดับต่อไปค่ะ
เพิ่งรู้ว่าดาราชายดวงใหญ่ ในหนังทีวียุค 1960 ปลายๆ เพิ่งลาลับไปอีกดวงเมื่อ วันที่25 มิถุนายน ค.ศ.2015, ผ่านมาหยกๆนี้เอง    เขาเป็นดารานำฝ่ายชายในหนังทีวียอดนิยมของอังกฤษชุด The Avengers  ซึ่งทำหนังใหญ่มาแล้ว แต่ไม่ดังเท่าหนังชุดเมื่อสี่ทศวรรษก่อน
คือหนังทีวีชุดที่เรียกในพากย์ไทยว่า ขวัญใจสายลับ     พระเอกในเรื่องชื่อ John Steed   มาดเป็นผู้ดีอังกฤษสวมหมวกโบว์เลอร์ ถือร่ม  ฟาดฟันกับผู้ร้าย
คู่กับดาราสาวสวยหลายราย   ที่เด่นที่สุดคือ Diana Rigg  ผู้ได้เป็น Dame คือคุณหญิงของอังกฤษ เมื่อปี 1994



 (http://www.youtube.com/watch?v=o-GmH8eFJFU&list=PL8ZbalyuoPyNw19WtNZQOqJTzbgPXB-qg[/url)

แพ็ทริค แมคนี อายุยืนยาวมาจนถึง 93 ปีถึงลาโลกไป   

           ขวัญใจสายลับ เป็นหนึ่งในซีรี่ส์ที่ชอบมากที่สุด ติดตามดูจนรู้สึกผูกพันกับคุณสตี๊ด,คุณนายพีลและ
ต่อเนื่องไปถึงทาร่า
           ภาพคุณสตี๊ดในมาดสุภาพบุรุษอังกฤษ สวมหมวก, ถือร่มซึ่งใช้เป็นอาวุธประจำตัวด้วย ดูเท่และ
มีเสน่ห์แต่แบบว่ามีขัดใจ เพราะคุณสตี๊ดเล่นยกให้ฝ่ายหญิงเป็นคนถือปืนและพะบู๊กับผู้ร้าย
           ข้อมูลบอกว่า ลุงแพ็ทเป็นฝ่ายปฏิเสธผอ.การสร้างว่าจะไม่ถือปืนในซีรี่ส์นี้ เพราะช่วงเวลา 5 ปี
ในสมรภูมิสงครามโลกครั้งที่สองนั้น ได้เห็นภาพเพื่อนทหารถูกยิงกระจุยไปหลายคนจนไม่ขอจับปืนอีกแล้ว

theguardian.com

ขนาดแก่ ยังดูหล่ออยู่เลยค่ะ

ลุงแพ็ทกับบรรดานางเอกที่เรียงหน้ากันเข้ามาเล่นเป็นตัวเอกใน The Avengers   คนหนึ่งจากไป ผู้สร้างหนังก็หาอีกคนเข้ามาแทน
ส่วนพระเอกคือคุณจอห์น สตี๊ด ยืนโรงอยู่อย่างเหนียวแน่นคงกระพัน

จากซ้าย  คนแรกคือ Honor Blackman เล่นเป็น  Mrs.Cathy Gale  สาวเก่งคนแรกของสตี๊ด    ก่อนจะอำลาไปเล่นจอใหญ่เป็นสาวของเจมส์ บอนด์     คนขวา สาวดังที่สุดของขวัญใจสายลับ Dame Diana Rigg  เล่นเป็น Mrs.Emma Peel  
เมื่อไดอาน่าอำลาจอทีวีไปโด่งดังในหนัง   ก็มี Linda Thorson   (ขวาล่าง) เข้ามาแทนในบทของ Tara King  
เมื่อทาร่าอำลาจอไป  Joanna Lumley(ซ้ายล่าง)  เข้ามาแทนเป็น Purdey ขวัญใจคนสุดท้าย

            หลังจากเหตุการณ์ปารีสระทึกระทมเมื่อคืนศุกร์ 13 พ.ย. ผ่านไป คืนเสาร์ 14 พ.ย. ที่
ผ่านมา,หลายสถานที่ในหลายประเทศได้เปิดไฟสามสี(น้ำเงิน,ขาวและแดง - liberty, equality
และ fraternity) ของธงชาติฝรั่งเศสฉาบฉายอาคารสถานที่สำคัญเพื่อร่วมแสดงความเสียใจและ
ให้กำลังใจแด่มิตรประเทศในยามวิกฤต

themalaysianinsider.com

      ชวนให้นึกถึง หนังไตรภาคสามสี,เสียงพูดฝรั่งเศส  The Three Colors trilogy - Blue, White & Red
งานชิ้นสุดท้ายจากผู้กำกับชั้นครูชาวโปแลนด์ฝากไว้ก่อนจากไป Krzysztof Kieslowski(1941 – 1996)
blu-raydefinition.com

           ได้มีโอกาสดูหนังทั้งสามเรื่องทางวิดีโอ(แน่นอนว่าหนังไม่ได้เข้าโรงฉายในบ้านเรา) และถูกใจ
หนังเรื่องแรกมากที่สุด นั่นคือ สีน้ำเงิน Blue(1993) เนื่องด้วยเรื่องราวในแนวดรามาที่ชอบและบทบาท
การแสดงอันยอดเยี่ยมของนักแสดงคนโปรดมากฝีมือแห่งฝรั่งเศส - Juliette Binoche

          และช่างเป็นการบังเอิญที่หนังตอนนี้มีเรื่องราวหม่นหมองบลูเศร้าเข้ากับความเป็นไปในปารีสยามนี้
พล็อตหนังมีน้อยนิดและตรงไปตรงมา เล่าเรื่องราวหญิงสาวผู้สูญเสีย ความรู้สึกนึกคิดการดำเนินชีวิตหลัง
การสูญเสีย, การจมดิ่งลงในห้วงแห่งความทุกข์ และการลุกขึ้นกลับมายืนคืนคงแล้วก้าวต่อไป

          บทบาท,บทหนัง,การกำกับภาพ,กำกับการแสดง ถ่ายทอดภาพของหญิงสาวเศร้าระทมอย่างได้
อารมณ์จนคนดูร่วมรับรู้สึกไปด้วยกันกับนักแสดงนำเดี่ยว(นักแสดงสมทบมีไม่กี่คน) การันตีโดยจิตแพทย์
แล้วว่า นำเสนอได้อย่างสมจริง นักแสดงนำ(สวมบทได้เหมือน)ป่วยจริง

หมายเหตุ หนังต้องห้ามสำหรับคอหนังแอ๊คชั่น,ตื่นเต้น,ตลก และคอหนังดรามาที่ง่วงนอน

           เมื่อวันจันทร์ที่ 9 พ.ย.นี้ กูเกิ้ลได้นำเสนอภาพวาดลายเส้น(google doodle) เนื่องใน
วาระวันครบ 101 ปีชาตกาลของนักแสดงหญิงระดับตำนานแห่งฮอลลีวู้ด นามว่า
                   
                       เฮดี้ ลามาร์ Hedy Lamarr(9 พ.ย. 1914 - 19 ม.ค. 2000)

            http://www.youtube.com/watch?v=Z0gu2QhV1dc (http://www.youtube.com/watch?v=Z0gu2QhV1dc)

           พร้อมคลิปบอกกล่าวเรื่องราวที่มาแห่งคุณค่าควรยกย่อง นั่นคือ สองบทบาทของคุณย่า
หนึ่งในฐานะนักแสดงชื่อดังซึ่งเป็นที่รับรู้กันอยู่แล้ว กับอีกบทบาทสำคัญ - ผู้สร้างสรรค์คิดค้นผลงาน
ที่เป็นทางผ่านสู่โลกสื่อสารยุคปัจจุบัน แต่ แทบไม่มีใครได้ล่วงรู้

            หนึ่งในผลงานการแสดงของคุณย่าที่ชาวเรือนไทยบางคนคงคุ้นเคยก็คือหนังดัง
จากฮอลลีวู้ดในปี 1949 เรื่อง Samson and Delilah
(pinterest)

             แต่ก่อนจะข้ามน้ำข้ามทะเลมาโด่งดังในสหรัฐอเมริกา  คุณย่าซึ่งเป็นชาวออสเตรียเชื้อสายยิว
ชื่อเดิม Hedwig Eva Maria Kiesler เคยมีผลงานหนังเยอรมันและเช็คซึ่งหนึ่งในนั้นคือหนังอื้อฉาว
เรื่อง Ecstasy(1933) หนังติดเรทแรง(ในสมัยนั้น)จนถูกห้ามฉายในหลายแห่ง ตัวคุณย่าเองตอนนั้น
เพิ่งจะแรกแย้มเป็นสาวสวยด้วยวัยเพียง 18 ปี
             และ ในปีเดียวกันนี้เองคุณย่าก็ได้แต่งงานกับมหาเศรษฐีพ่อค้าอาวุธสงครามชาวออสเตรียแล้ว
ดำเนินชีวิตหรูหราดุจนกน้อยในกรงทองฝังเพชรบนปราสาทในนคร  Salzburg
(google)

          คุณย่าได้มีโอกาสติดตามสามีไปประดับงานเลี้ยงเพื่อธุรกิจและได้พบปะบรรดานักวิทยาศาสตร์
และบุคคลในแวดวงเทคโนอาวุธยุทโธปกรณ์หลายครั้ง,หลายคน ทำให้คุณย่าเกิดความสนใจและได้พื้นฐาน
ความรู้ในเรื่องราวสายวิทย์
          ครั้นถึงปี 1937 คุณย่าก็หมดความอดทนจนตัดสินใจที่จะโบยบินสู่ฟากฟ้าเสรีหลบหนีออกจาก
กรงทองมาอยู่ปารีส(หนึ่งเว็บว่าลอนดอน) ที่นั่นคุณย่าได้พบกับเจ้าพ่อแห่งสตูดิโอ MGM(Louis B. Mayer)
ที่ข้ามมหาสมุทรมาหานักแสดงแห่งฝั่งยุโรป คุณย่าได้เซ็นสัญญาเป็นนักแสดงในสังกัด,เปลี่ยนชื่อใหม่
แล้วข้ามมามีผลงานที่อเมริกา - โลกใหม่ในช่วงปลายทศวรรษ 1930s - 1950s

จากเวียนนาวู้ดสู่ฮอลลีวู้ด(flickr classic film)

กูเกิ้ลให้เกียรติคุณย่าคนสวยมากขนาดนี้เชียวหรือ  ดีใจ
ชอบความสวยบาดตาบาดใจของเฮดี้ ลามาร์มานานแล้วค่ะ   เคยดูหนังเก่าๆของเธอใน Turner Classic  สวยจริงๆ   ปัจจุบันนี้หาใครสวยแบบนี้และเท่านี้ไม่ได้อีกแล้ว

ยกเว้นดาราคนเดียว ที่มีคนตั้งข้อสังเกตว่า เหมือนเฮดี้ราวกับฝาแฝด  
คนนั้นคือ วิเวียน ลีห์  สคาเลต โอฮาร่า แห่ง Gone with the Wind  วิมานลอย
http://www.youtube.com/watch?v=8DWS_tmSCFU (http://www.youtube.com/watch?v=8DWS_tmSCFU)

จาก vivienleigh-official.blogspot ครับ

          ด้วยความงามล้ำเหลือเฟือเมื่ออยู่หน้ากล้องจนถึงขึ้นจอ คุณย่าได้ครองสมญาว่าหญิงงามที่สุด
ในโลกสมตามที่ทางต้นสังกัดโพรโมทไว้ คุณย่าฝากผลงานการแสดงด้วยบทบาทที่ตามติดตัวไปตลอด
นั่นคือ สาวสวยรวยเสน่ห์เล่ห์ลวง
          เมื่อคุณย่าออกจาก MGM แล้ว คุณย่าก็มีงานชิ้นเอกในปี 1949 ผลงานการกำกับของบรมครู
Cecil B. DeMille เรื่อง  Samson and Delilah หนังประสบความสำเร็จทำรายได้สูงสุดแห่งปีนั้น
          แต่เมื่อย่างเข้าสู่ทศวรรษที่ 1960s มนต์เสน่ห์ของคุณย่าก็เริ่มเสื่อมคลาย คุณย่ามีผลงาน
ประปรายก่อนจะจางหายไปจากฟากฟ้าดาราราย

จากหนังเรื่อง Lady of the Tropics(1939) คุณย่ารับบทสาวเลือดผสมแห่งไซ่ง่อน
(posterlounge.co.uk)

            แม้ว่าคุณย่าจะมีชื่อลือเลื่องทรัพย์เฟื่องฟูอยู่บนฟากฟ้า ทว่าสองสิ่งนี้กลับไม่ใช่,ไม่อาจสนอง
ความพึงพอในใจให้คุณย่าผู้ช่างคิด,ช่างสงสัย,สนใจที่จะเรียนรู้ คุณย่ามองดูโลกแล้วตั้งคำถามเสมอว่า
จะปรับปรุง, ซ่อมแซมสิ่งนั้นสิ่งนี้ได้อย่างไร  
            ดังนั้น,ควบคู่ไปกับบทบาทนางเอกร้ายบนจอเงิน,คุณย่าก็สวมอีกบทบาทหนึ่งซึ่งไม่ค่อยมีใครได้รู้
นั่นคือ บทนางเอกสาวนักประดิษฐ์คิดค้น คุณย่าใช้เวลาหลังเลิกงานหน้ากล้องมาเก็บตัวอยู่ในห้องทำงาน
ส่วนตัวที่เปรียบเสมือนโลกอีกใบหนึ่ง
            บนโต๊ะปฏิบัติการเรียงรายด้วยเครื่องไม้เครื่องมือครบครัน ผนังห้องอุทิศให้กับตู้หนังสือวิชาการ
ในห้องนี้เองที่คุณย่าทดลอง,คิด,ประดิษฐ์สิ่งใหม่ๆ เช่น สัญญาณไฟจราจรแบบใหม่,กล่องคลีเนกซ์แบบใหม่
และเม็ดละลายน้ำแล้วกลายเป็นเครื่องดื่มน้ำอัดลม

The woman with beauty and brains
(britneyspears.ac/physics)

           ครั้นเมื่อสงครามโลกครั้งที่สองอุบัติขึ้น คุณย่าซึ่งเคยผ่านหูผ่านตาเรื่องอาวุธสงครามเมื่อครั้ง
อยู่ที่ยุโรปก็เกิดแนวคิดจิตอาสาร่วมด้วยช่วยรบจากแนวหลัง เมื่อคุณย่าได้มีโอกาสรู้จักกับนักประพันธ์
เพลงแนวล้ำยุค George Antheil ผู้แต่งเพลงแหวกแนวใช้เปียโน 16 หลัง บรรเลงเพลงประสานส่ง
โน้ตกระโดดข้ามไป จึงเกิดเป็นไอเดียว่า ทำไมเราไม่ส่งสัญญาณคลื่นวิทยุกระโดดบ้าง     
           ด้วยแนวคิดนี้จึงเป็นที่มาของการหาวิธีส่งคลื่นวิทยุนำวิถีตอร์ปิโดที่จะไม่ถูกรบกวนหรือแทรกแซงได้ 
โดยการตั้งค่าความถี่ที่ทั้งเครื่องส่งและเครื่องรับคลื่นให้กระโดดเปลี่ยนความถี่ไปพร้อมๆ กัน ทำให้ฝ่ายตรง
ข้ามไม่สามารถจับได้ไล่ทันคลื่นนั้นแล้วเข้าแทรกแซง

(HL GA people.seas.harvard.edu)

              ทั้งสองได้ช่วยกันคิดค้นเทคโนโลยีนี้ที่เรียกว่า frequency hopping ซึ่งสามารถป้องกัน
การแทรกแซง(jamming) คลื่นจากฝ่ายอักษะ
(nipaporn6.blogspot.com)

           แล้วนำเสนอต่อสภานักประดิษฐ์แห่งชาติ(National Inventor's Council) ในเดือนธ.ค.
ปี 1940 และได้จดสิทธิบัตรระบบการสื่อสารลับ(Secret Communication System) นี้ในปี 1942
ในนาม(สกุล)ของคุณย่า(ซึ่งแต่งงานใหม่ในตอนนั้นว่า) Hedy Kiesler(นามสกุลออสเตรียเดิม) Markey
(britneyspears.ac/physics)

สุดยอด

           แต่ผลงานการคิดค้นที่น่าจะ'เวิร์ค' นี้ ฝ่ายกองทัพเรือกลับมองว่าเป็นงานคิดจากนักแสดง
และนักดนตรีที่ไม่'เวิร์ค' และให้คำแนะนำว่า ทั้งสองควรไปคิดวิธีจัดงานหาทุนสนับสนุนสงครามจะ
ดีกว่า ซึ่งคุณย่าก็ปฏิบัติตามจนสามารถระดมเงินเพื่อพันธบัตรสงครามได้เป็นจำนวนถึง 7 ล้านเหรียญ

คุณย่าเดินสายขายพันธบัตรสงคราม
(hedylamarr.tumblr.com)

           หนังสือพิมพ์นำเสนอข่าวในปี 1945 คุณย่าให้สัมภาษณ์อย่างถ่อมตัว
(moviepilot.com)

           ถึงแม้ว่ากองทัพเรือสหรัฐจะไม่ได้เลือกเทคโนโลยีนี้ไปใช้ในการสงครามโลกคราวนั้น แต่ครั้น
เวลาผ่านไปได้ 20 ปี, แนวคิดระบบสื่อสารลับนี้ก็ได้ถูกกองทัพนำไปใช้ในคราววิกฤตขีปนาวุธคิวบา
(Cuban Missile Crisis) ในปี 1962 และต่อไปในระบบสื่อสารผ่านดาวเทียมทางการทหารในปัจจุบัน
ที่สำคัญวิธีการกระโดดเปลี่ยนคลื่นนี้ก็ยังได้เป็นพื้นฐานแนวทางให้กับระบบสื่อสารไร้สายของยุคปัจจุบัน
(Wi-Fi,GPS และ Bluetooth)
           เรียกกันว่า Frequency Hopping Spread Spectrum ซึ่งแนวคิดเช่นนี้ได้มีมาแล้วตั้งแต่
ต้นศตวรรษที่ 20 ในเยอรมัน,โปแลนด์และที่สหรัฐ แต่ผลงานการคิดค้นของคุณย่าและคุณยอร์ชได้รับ
การชื่นชมอย่างกว้างขวางกว่า
(slideshare.net)

           เนื่องจากอายุสิทธิบัตรของคุณย่าได้หมดไปแล้วตั้งแต่ปี 1959 คุณย่าและเพื่อนจึงไม่ได้รับ
ผลประโยชน์หรือค่าตอบแทนใดๆ เลยแม้แต่เพนนีเดียว
คงเป็นเพียงการระลึกและบันทึกไว้ในปูมประวัติการสื่อสารไร้สาย
(slideshare.net)

            และ กว่าที่ผลงานการคิดค้นของคุณย่า(และเพื่อน) จะได้รับการยกย่องอย่างเป็นทางการโดย
Electronic Frontier Foundation ให้รับรางวัล Pioneer Award ในปี 1997 คุณย่าก็เข้าสู่ช่วง
บั้นปลายชีวิตแล้ว

            ลูกชายของคุณย่า(Anthony Loder) ไปรับรางวัลแทนคุณย่าซึ่งได้ฝากข้อความ(ดังปรากฏในเน็ท)
ว่า It's about time

           ในที่สุด กว่าที่ชื่อของคุณย่า(และคุณจอร์จ) จะได้รับการบันทึกไว้ในหอเกียรติยศของนักประดิษฐ์
แห่งชาติก็เมื่อข้ามเข้าสู่ศตวรรษใหม่ในปี 2014 หลังจากที่คุณย่าได้เสียชีวิตไปแล้ว 4 ปี

           แม้ว่าจะสายมากไปแต่ก็ยังดีกว่าไม่ทำอะไรบ้างเลย ที่บ้านเกิดกรุงเวียนนา ถนนสายหนึ่งใน 12th
district ได้รับการเปลี่ยนชื่อเป็น Hedy Lamarr Way และ ตั้งแต่ปี 2010 เป็นต้นมา สถาบัน Academy
of Sciences ก็ได้จัดให้มีการบรรยาย Hedy Lamarr Lecture ขึ้นเป็นประจำทุกปี
(beta.theaus3n.com)

         คุณย่าแต่งงาน 6 ครั้งในช่วงระหว่างปี 1933 และ 1965 และในปี 1966 คุณย่าก็ขึ้น
หน้าหนึ่งเป็นข่าวว่าถูกจับด้วยข้อหาขโมยของในห้างที่ Los Angeles และอีกครั้งในปี 1991
ที่ Florida
         ช่วงบั้นปลายชีวิต คุณย่าผู้ซึ่งเคยได้ชื่อว่าเป็นหญิงงามที่สุดในโลกได้สูญเสียความงามไป
ตามกาลโดยที่ศัลยกรรมไม่อาจหยุดยั้งได้แต่ดึงรั้งไว้ และสิ่งที่ลดลงไปพร้อมกันนั้นก็คือความมั่นใจ
ในตัวเอง

           คุณย่าใช้ชีวิตอย่างเงียบๆ แยกตัวจากสังคมจนกระทั่งจากไปในปี 2000 ด้วยวัย 86 ปี
ที่บ้านพำนักใน Florida คุณย่าได้สั่งเสียไว้ว่าให้นำเถ้าธุลีไปโปรยปรายในป่าเวียนนาตรงบริเวณ
ถิ่นฐานบ้านเกิดของคุณย่า
           ต่อมาในปี 2014 รัฐบาลออสเตรียได้จัดพื้นที่ส่วนหนึ่งของสุสานกลางกรุงเวียนนา(Vienna
Central Cemetery) ให้เป็นหลุมศพเกียรติยศของคุณย่า
(wiki & findagrave.com)

           พื้นที่เกียรติยศของคุณย่าในสุสานนั้นปกคลุมไปด้วยหญ้าและมีเพียงเครื่องหมายป้ายปัก
บอกชื่อเท่านั้น ลูกชายของคุณย่าจึงได้คิดโครงการรับบริจาคเงินเพื่อนำไปจัดสร้างงานศิลปะประดับ
หลุมศพที่จะบ่งบอกและสื่อถึงความงาม และ ที่สำคัญยิ่งกว่านั้นคือมันสมองของคุณย่า
           งานศิลป์ชิ้นนี้ออกแบบโดยศิลปินเวียนนา ใช้เหล็กสเตนเลส 88 แท่งแทนจำนวน 88 ความถี่
คลื่นกระโดดของคุณย่า ส่วบนของแท่งเหล็กติดวัตถุรูปทรงกลมต่างขนาดเรียงรายสร้างรูปใบหน้าของ
คุณย่าปรากฏให้เห็นเมื่อยืนมองตรงไปจากด้านหน้าของงานศิลป์ชิ้นนี้

www.generosity.com/fundraisers/honoring-actress-inventor-hedy-lamarr--2 (http://www.generosity.com/fundraisers/honoring-actress-inventor-hedy-lamarr--2)

บางสิ่งที่เหลือไว้คือ ภาพถ่ายและความทรงจำ
(คุณย่าในวัยหกขวบ จาก flickr vintage-stars)

          อ่านคอลัมน์ประจำของคุณเนาวรัตน์ พงษ์ไพบูลย์ ในมติชนสุดสัปดาห์ฉบับ 9 ตค. นี้ เป็น
การคุยเรื่อง "การแสดงการแสดง" แล้วชวนให้นำมาเสนอสืบเนื่องต่อจากกระทู้เก่าเล่าเรื่องหนัง  

          หัวข้อเรื่องนี้คุณเนาว หมายถึง การแสดงของดาราไทยในละครที่ เป็น การแสดง"การแสดง"
นั่นคือ การแสดงออกทางสีหน้า ท่าทาง การพูด,การฟังอย่างเต็มที่ โดยไม่คำนึงถึงความสมจริง หรือ
สมบทจนเห็นได้ชัดเจนว่านั่นเป็นการแสดง

           แล้วคุณเนาวก็ยกตัวอย่างเปรียบเทียบกับฉากหนึ่งจากหนังนอกกระแสเรื่อง The Road Home

(อ่านกระทู้เก่าเล่าถึงหนังประทับใจเรื่องนี้ได้ที่
   http://www.reurnthai.com/index.php?topic=4255.810 (http://www.reurnthai.com/index.php?topic=4255.810))

        ฉากนั้นเป็นตอนที่แม่(ของนางเอก) เรียกช่างให้มาซ่อมชามแตก ช่างบอกว่า ค่าซ่อมนั้นแพงกว่า
ราคาชามใบนี้ แสดงว่าชามใบนี้ต้องมีความสำคัญหรือไม่งั้นคนที่เคยใช้ชามนี้ก็ต้องเป็นคนสำคัญ
(cbseuropa.eu/droga-do-domu)

          เสียงของแม่ตอบมาจากในห้องให้ได้ยินว่า คนที่ใช้ชามใบนี้ได้จากไปโดยได้นำหัวใจของลูกสาว
ไปด้วย
          ฉากนี้ "น้อย" มาก ด้วยว่ามีตัวละครเห็นๆ เพียงคนเดียวกับเสียงของแม่จากในห้อง แต่แค่นี้ก็ทำให้
คนดู(ที่ได้รับรู้เรื่องราวเกี่ยวกับชามใบนี้*) ร้องไห้ได้

คลิปร้อยเรียง"เส้นทาง"แห่งความรักของเขาและเธอตั้งแต่ วันแรกเห็นเป็นรักแรกพบประสบตาแล้ว
ประสานสายสัมพันธ์จนถึงวันพลัดพรากแล้วกลับคืนมาบนเส้นทางสายรัก

        http://www.youtube.com/watch?v=_ZrevOz7YW8 (http://www.youtube.com/watch?v=_ZrevOz7YW8)

           *ชามใบนี้นางเอก(ตี้) ใช้ใส่อาหารที่เธอบรรจงปรุงเพื่อให้เขา(คุณครูคนใหม่) รับประทาน ตั้งแต่
เมื่อแรกเริ่มที่ชายหนุ่มในหมู่บ้านช่วยกันสร้างโรงเรียน, ตี้และสาวๆ  จะทำอาหารใส่ชามไปวางไว้ให้ครูและ
ผู้ชายคนอื่นๆ หยิบไปรับประทานตอนพักเที่ยง ตี้เฝ้ารอลุ้นว่าเมื่อไรครูจะหยิบชามของเธอไปสักวัน
           จนกระทั่งถึงวันสำคัญที่รอคอยคือ วันที่ครูจะมารับประทานอาหารเย็นที่บ้านเธอ และ วันที่ครูจากไป
เธอก็ได้เตรียมอาหารใส่ชามนี้เพื่อไปมอบให้แต่ไม่ทัน ซ้ำร้ายเธอยังทำจานตกแตกเป็นเสี่ยง
(paulinawnuk.com)

           ในฉากนี้คนดูจะได้พบกับเสน่ห์ของภาพซึ่งแสดงกรรมวิธีขบวนการประกอบชามที่แตกเป็นเสี่ยงๆ
ขึ้นรูปกลับเป็นชามใบเดิมที่ด้านนอกมีลวดตรึงชิ้นส่วนไว้ ส่วนด้านในนั้นต่อกันเรียบสนิท

           นับเป็นฉากที่แสดงให้เห็นถึงศิลปะของการเขียนบท, การกำกับการแสดงที่ให้ภาพซึ่งไม่ยัดเยียด
ความรู้สึกและอารมณ์ แต่กลับสร้างอารมณ์และความรู้สึกได้อย่างเต็มที่
(goshencommons.org)

รับชมคลิปฉากน้อยนิดแต่พิชิตใจเกินร้อย

      http://www.youtube.com/watch?v=wi141UW86mY (http://www.youtube.com/watch?v=wi141UW86mY)

ลับจากฟากฟ้าเวหาหาวไปอีกดาวดวงหนึ่ง

             David Bowie (1947 – 10 January 2016) ศิลปินนักร้อง,นักแสดงแห่งอังกฤษ
จากไปด้วยวัย 69 ปีหลังจากป่วยด้วยมะเร็งมานานหนึ่งปีกว่า

แฟนคลับมาวางดอกไม้ไว้อาลัยที่ด้านนอกอพาร์ทเมนท์ของคุณเดฟในนิว ยอร์ค

30 กว่าปีก่อน คุณเดฟมาแสดงคอนเสิร์ทในบ้านเรา อย่างเท่และติดดิน

          ด้วยดนตรีและลีลาที่ ล้ำและล้น จนไม่ได้'ติด'ตามผลงานเพลงของคุณเดฟ หากแต่จะสนใจ
ในผลงานการแสดงมากกว่า

         คุณเดฟประสบความสำเร็จรับบทนำเป็นเอเลี่ยนในเรื่อง The Man Who Fell to Earth(1976)
ได้รับคำชื่นชม
         ในเรื่อง The Hunger (1983) หนังสวยสยองแนว vampire คุณเดฟแสดงร่วมกับนักแสดงหญิง
มีชื่อ Catherine Deneuve และ Susan Sarandon (ตอนยังสาว)
         ส่วนหนังผลงานกำกับของนักเขียนในตำนานชาวญี่ปุ่น Nagisa Oshima เรื่อง Merry Christmas,
Mr. Lawrence คุณเดฟรับบทเชลยในค่ายทหารญี่ปุ่นช่วงสงครามโลกครั้งที่สอง
(cinema-v.com)

            เพลงประกอบหนังฟังไพเราะเป็นผลงานของ Ryuichi Sakamoto (ผู้โด่งดังสุดจาก
ผลงานรางวัลออสการ์ดนตรีประกอบ The Last Emperor) ที่ร่วมแสดงนำด้วย

http://www.youtube.com/watch?v=WiBDwHlsX4c (http://www.youtube.com/watch?v=WiBDwHlsX4c)

            ในหนังเรื่อง Labyrinth คุณเดฟทั้งแสดงและร้องเพลง As The World Falls Down

http://www.youtube.com/watch?v=VppuD1St8Ec (http://www.youtube.com/watch?v=VppuD1St8Ec) 

นางเอกของเรื่อง Jennifer Connelly ในครานั้นยังเป็นเด็กสาวงามสะพรั่งครองใจคนไทย
(rsuntop.blog)

           เพลงสุดท้ายแต่เป็นเพลงที่ชอบที่สุดของคุณเดฟคือเพลงเก่าร้องใหม่ในอัลบั้มเพลงหนังดัง
เรื่อง Moulin Rouge(2001) - Nature Boy

      http://www.youtube.com/watch?v=I3WHZ5vcyWo (http://www.youtube.com/watch?v=I3WHZ5vcyWo)

RIP David Bowie

 (http://www.youtube.com/watch?v=CUKbE2dP73c[/url)

จำคุณลุงได้จาก มหัศจรรย์เขาวงกต  ตอนนั้นยังหล่อแฟนตาซีสมบทบาทเจ้าแห่งภูติ     ส่วนนางเอกวัยรุ่นก็สวยบาดใจ
สร้างสีสันให้เรื่องนี้มาก  แม้ว่าระหว่างแกกับนางเอกจะมองไม่เห็นเคมีระหว่างกันเลยก็ตามค่ะ

 (http://www.youtube.com/watch?v=ZvyNOg4jSRg
[/url)

มะเร็งดับดาวลับไปอีกดวง

               Alan Rickman(1946 – 14 January 2016) อีกหนึ่งนักแสดงชาวอังกฤษเหมือนกับ
คุณโบวี่และจากไปที่วัย 69 ปีเท่ากันด้วยโรคมะเร็งเช่นกัน

             คุณอลันมีผลงานดังจากหนังสร้างจากนิยายก้องโลก Harry Potter เป็น Severus Snape
เจ้าของเพียงคำเดียวแต่ซึ้งกินใจ - Always
(dnaindia.com)

            ประทับใจจำคุณอลันได้จากผลงานเด่นเมื่อรับบทเป็นตัวร้ายกาจ ใน Die Hard(1988)
(imdb.com)

            เป็นหนึ่งในหนังรวมดาวปี 2003 เรื่อง Love Actually คุณอลันจับคู่กับนักแสดงหญิง
คนเก่งของอังกฤษ Emma Thompson
(metro.co.uk)

          คุณอลันมีผลงานหนังต่อเนื่องเรื่อยมาทุกปีไม่มีขาดจนถึงปี 2015 ผลงานสุดท้ายคุณอลัน
ฝากเพียงเสียงไว้ในหนังเรือง Alice Through the Looking Glass ซึ่งจะนำออกฉายในปีนี้

ภาพนี้จากหนังเรื่อง The Butler(2013) เล่าเรื่องราวของบัทเลอร์เชื้อสาย African American
ในทำเนียบขาว โดยมี Jane Fonda และ Alan Rickman รับบท Nancy & Ronald Reagan
(thegaurdian.com)

อนิจจา    ไปเสียแล้ว
ยังจำลุงท่านในบทครูคู่แค้นของแฮรี่ พ็อตเตอร์ได้ค่ะ   หน้าแกตายสนิทดีจัง

ดาวดวงสวยตั้งแต่เป็นดาวรุ่ง จนเป็นดาวค้างฟ้า ลับตาไปเสียอีกดวงหนึ่งแล้ว
ไม่รู้ว่าคุณ SILA และท่านอื่นๆที่เป็นแฟนดาราฮอลลีวู้ดจำเธอได้หรือเปล่า Patty Duke  เป็นอดีตดาราตุ๊กตาทองวัยเยาว์ที่สุด  ได้ออสคาร์เมื่ออายุเพียง 16 ปี จาก The Miracle Worker  หนังทำจากชีวิตจริงของเฮเลน เคลเลอร์  ยอดหญิงอ้จฉริยะผู้ตาบอด หูหนวกและเป็นใบ้  แต่สามารถเรียนจบมหาวิทยาลัย เขียนหนังสือออกมาได้หลายเล่ม 
แพตตี้กลายเป็นขวัญใจวัยรุ่นในยุค 1960s    แล้วหายกลายเป็นดาราวัยกลางคนและสูงวัยตามลำดับ  จนจากไปในวัย 69 ปี

The Patty Duke Show 1963 หนังชุดทางทีวี  ที่ส่งให้แพตตี้กลายเป็นขวัญใจวัยรุ่น
เธอเล่นเป็นเด็กสาวสองคนลูกพี่ลูกน้อง นิสัยแตกต่าง แต่หน้าตาเหมือนกันราวกับฝาแฝด    ทำให้เกิดเหตุอลวนขึ้นหลายครั้งหลายคราว

 (http://www.youtube.com/watch?v=dIzGzFmCVqM[/url)

ตอนนี้มีดาราผิวสีคนดัง แซมมี่ เดวิส จูเนียร์เป็นดารารับเชิญ

 (http://www.youtube.com/watch?v=nqhAYxIKWyM&ebc=ANyPxKpLr84_Dz4hK1GKHwoLkfJS4WjLo6gewlLsJMLPccZ740pD3gW1unWjrJ89ySrwfmzASXkH3GMdvtWnxEg_CVH2-UAmng[/url)

 (http://www.youtube.com/watch?v=c6At5OuqaIM[/url)

        รู้สึกใจหายครับ กับข่าวการจากไปของคุณป้าแพ็ตตี้ Anna Marie "Patty" Duke
(December 14, 1946 – March 29, 2016) ด้วยวัย 69 ปี จากภาวะติดเชื้อในกระแสเลือด
เนื่องจากลำไส้แตกทะลุ

         รู้จักคุณป้าจากซีรีส์ The Patty Duke Show(1963 - 1966) คุณป้ารับบทแฝดสาว
ส่วนผลงานจอเงินที่สร้างชื่อให้คุณป้ามากที่สุดด้วยรางวัลออสการ์นักแสดงสมทบยอดเยี่ยมคือ
The Miracle Worker(1962) ซึ่งไม่ได้ดู
อ.เทาชมพูเล่าถึงคุณป้ากับหนังเรื่องนี้ไว้ที่

  http://www.reurnthai.com/index.php?topic=2320.msg43371;topicseen#msg43371 (http://www.reurnthai.com/index.php?topic=2320.msg43371;topicseen#msg43371)

คุณป้ากับลูกชายและดาวที่ Hollywood Walk of Fame(2004)
(ZIMBIO)

           ที่ทันได้ดูคือ อีกหนึ่งบทบาทเด่นของคุณป้าใน Valley of the Dolls(1967)
กระทู้เก่าเล่าเรื่องนี้ที่

       http://www.reurnthai.com/index.php?topic=4255.255 (http://www.reurnthai.com/index.php?topic=4255.255)

คุณป้ามีความสามารถทางการร้องเพลงด้วย,Come Live With Me เพลงประทับใจจาก Valley of the Dolls

http://www.youtube.com/watch?v=adX14O6CBUs (http://www.youtube.com/watch?v=adX14O6CBUs)

       คุณป้ามีปัญหาทางด้านจิตใจได้รับการวินิจฉัยว่าเป็นไบโพลาร์ในปี 1982 แทนที่จะปกปิดคุณป้า
กลับเป็นคนดังคนแรกที่ออกมายอมรับว่าป่วยด้วยโรคนี้และได้ร่วมงานกับองค์กรเพื่อรณรงค์ให้ประชาชน
สนใจใส่ใจในปัญหาสภาวะจิตใจนี้

คุณป้าเขียนหนังสือเล่าเรื่องไบโพลาร์(Manic Depressive Illness)
(amazon.com)

         หนึ่งในลูกสามคนของคุณป้า(คนขวาในรูปด้านบน) เดินตามรอยเป็นนักแสดง
Sean Astin ในผลงานเรื่อง Lord of the Rings
(actoroscar.blogspot)

The Patty Duke Show  กลับมาฉายตอนพิเศษเป็นหนังสองช.ม.สำหรับฉายทางทีวีในปี 1999  ชื่อ The Patty Duke Show: Still Rockin' in Brooklyn Heights
รวบรวมดาราชุดเดิมในยุค 1960s  มาเล่นกันใหม่ในบทเดิม  เพื่อให้แฟนคลับที่แก่ลงไปพร้อมกับดาราได้เห็นว่า ตัวละครเก่าๆเหล่านี้ยังมีชีวิตอยู่ในเมืองเดิม    เติบโตเป็นผู้ใหญ่ จนแก่ตัวลง  มีเส้นทางชีวิตอย่างไรบ้าง
ในเรื่องสาวน้อยแพตตี้กลายเป็นย่าคนไปแล้ว   ส่วนสาวน้อยแคธีก็เป็นแม่ม่ายลูกติด 1 คน

เสียดายหาหนังมาให้ดูทางยูทูปไม่ได้ น่าจะติดเรื่องลิขสิทธิ์  แต่มีโฆษณาประกันสังคมที่เอาดาราชุดนี้มาเล่น  
สุขภาพของแพตตี้ ดุ๊คน่าจะเสื่อมโทรมลงมาก   เธอดูแก่พอๆกับ  William Schallert ที่เล่นเป็นพ่อของเธอมาตั้งแต่ต้น
http://www.youtube.com/watch?v=dgUkBE-LXvM (http://www.youtube.com/watch?v=dgUkBE-LXvM)

http://www.youtube.com/watch?v=RbebD653agE (http://www.youtube.com/watch?v=RbebD653agE)

               ฉากสุขสมเมื่อบุษบาหน้าตลาดสามารถสลัดสำเนียงค็อกนีย์หลุดไปได้ใน My Fair Lady  

http://www.youtube.com/watch?v=vR51YrUXQUM (http://www.youtube.com/watch?v=vR51YrUXQUM)

และ          ฉากแสนเศร้าประทับจับใจในตอนจบของหนังเรื่อง West Side Story

               สองนางเอกแสนงามในตำนานจากไปนานแล้วแต่เจ้าของเสียงเพลง I could have danced all night
และ Somewhere รวมทั้งเพลงอื่นๆ ของนางเอกในหนังทั้งสองเรื่องนี้เพิ่งจากไปเมื่อไม่กี่วันก่อน

              ดาวดับลับจากฟากฟ้า คุณย่า Marni Nixon (February 22, 1930 – July 24, 2016)
จากไปที่วัย 86 ปีด้วยโรคมะเร็งเต้านม

(seattletimes.com)

            คุณย่ามานีร้องเพลงในกลุ่มคอรัสมาแต่เด็กจากนั้นจึงได้ไปเรียนร้องเพลงและอุปรากร ต่อมาคุณย่าได้เข้าวงการและ
ฝากผลงานเสียงร้องแทนนางเอกในหนังฮอลลีวู้ดระดับคลาสสิคหลายเรื่องในช่วงปลาย 1940s ต่อ 1950s -1960s
โดยที่ไม่มีเครดิทขึ้นชื่อให้ในไตเติ้ลท้ายเรื่อง

ผลงานเสียงร้องของคุณย่าในหนังช่วงนั้นจาก imbd

           นอกจากสามเรื่องเด่นดังในรูปข้างล่างนี้แล้ว คุณย่ายังมีผลงานเสียงร้องแสนไพเราะแทน Deborah Kerr(อีกครั้ง)
ใน An Affair to Remember และร้องโน้ตตัวสูงแทน Marilyn Monroe ในเพลง Diamonds Are a Girl's Best
Friend (Gentlemen Prefer Blondes)

           คุณย่าเล่าว่า สตูดิโอยักษ์ใหญ่ขู่คุณย่าให้เก็บเรื่องที่คุณย่าเป็นคนให้เสียงร้องแทนนี้เป็นความลับ มิเช่นนั้นคุณย่าจะ
ไม่มีที่พสุธาอาศัยทำมาหากินในถิ่นนี้

(nytimes.com)

            ผลงานหนังของคุณย่านอกจากผลงานเสียง คงมีเพียงเรื่อง The Sound of Music ที่คุณย่ามานีได้มีบทบาท
ปรากฏกายบนจอเงินให้เห็นตัวเป็นๆ ชัดๆ

(newdaily.com)

          คุณย่าได้รับสมญาจากนิตยสาร Time ว่า "The Ghostess with the Mostest" ซึ่งคุณย่าบอกว่า
Bad rhyme, but that sort of stuck

(npr.org)

         ย้อนกลับไปดูคลิป I could have dance คห. 221 ปรากฏว่าเป็นเสียงร้องของคุณย่า Audrey เอง
(คุณย่าออดรีย์ไม่สามารถขึ้นสูงตอน dance..dance..dance ได้) ส่วนคลิปนี้เป็นของคุณย่ามานี

http://www.youtube.com/watch?v=7Ezy50aY6Bg (http://www.youtube.com/watch?v=7Ezy50aY6Bg)

เพิ่งรู้จักคุณย่าเสียงทองวันนี้เองค่ะ

           นักแสดงจากมนต์รักเพลงสวรรค์  "The Sound of Music" ตามคุณย่าเสียงทองไปเบื้องบนแล้ว

           Charmian Carr ผู้รับบทลูกสาวคนโตของกัปตัน von Trapp จากไปด้วยวัย 73 ปีเมื่อวันเสาร์ที่ 17 นี้
จากโรคแทรกซ้อนของภาวะสมองเสื่อม(dementia) 

ขอให้คุณย่าไปสู่สุคติ
ยังจำฉากประทับใจของเธอใน The Sound of Music ได้ค่ะ  :'( :'( :'(

http://www.youtube.com/watch?v=hwK_WOXjfc0 (http://www.youtube.com/watch?v=hwK_WOXjfc0)

            นักแสดงนำจากมนต์รักเพลงสวรรค์ที่จากไปก่อนหน้านี้ในปี 2013 คือ Eleanor Parker
ผู้รับบท the baroness(ชุดเหลือง,ซ้ายมือในภาพจากฉากเพลง So Long Farewell), ส่วนน้องๆ คนอื่นในหนังยังอยู่

เวลาช่างผ่านไปเร็วมากค่ะ

^ 15.51  :)

          คุณย่าชาร์เมียนมีงานประจำเป็น interior designer ที่ประสบความสำเร็จ และออกงาน
sing-a-long Sound of Music เป็นงานเสริม

พี่น้องในหนังต่างรักใคร่กันดี ภาพนี้เป็นรียูเนียนที่ Salzburg ในปี 2000

เจ็ดพี่น้อง  ทุกวันนี้  
เข้าไปคลิกดูทีละคนได้ค่ะ

http://www.hollywoodreporter.com/gallery/sound-music-cast-are-they-778637/6-charmian-carr-now

ภาพประทับใจจากฉากเปิดตัวเจ็ดพี่น้อง

ในยุคที่ทีวีไทยยังเป็นภาพขาวดำ   เคยดูหนังชุดทางทีวีรอบเช้าสำหรับเด็ก เรื่อง The Green Hornet  พากย์ภาษาไทยว่า "หน้ากากแตน"
พระเอกอยู่ในสไตล์เดียวกับ Batman มนุษย์ค้างคาว  ตัวจริงเป็นเศรษฐีหนุ่มรูปหล่อ เจ้าของหนังสือพิมพ์ยักษ์ใหญ่   แต่มีงานอดิเรกลึกลับคือชอบสวมหน้ากากออกมาปราบโจร เวลาเกิดเหตุร้ายที่ตำรวจทำอะไรไม่ได้  เรียกตัวเองว่า แตนเขียว
ในหนังชุดนี้มีดาราประจำสองคนคือ แวน วิลเลียมส์  รับบท แตนเขียว หรือหน้ากากแตน  ไปไหนมาไหนด้วยรถสีดำคันใหญ่  มีคนรถหนุ่มชาวจีนชื่อเคโต้  ซึ่งฝึกวิชากังฟูอันเป็นของใหม่ไม่มีใครรู้จักในยุคนั้น   ออกสู้กับผู้ร้าย
ต่อมาหนุ่มชาวจีนคนนี้ดังระเบิดด้วยวิชากังฟู     แม้ตายไปหลายสิบปีแล้ว คอหนังก็ยังจำชื่อ บรูซ ลี ได้

ดูอยู่ไม่ถึงปี  หนังชุดนี้ก็จบตอนไป    นานหลายสิบปีต่อมา เมื่อมีกูเกิ้ลและยูทูป ก็ได้พบเพื่อนเก่าทั้งสองอีกครั้งหนึ่งค่ะ
ได้ฟื้นความหลังขึ้นมาอีกครั้ง ดูหนังในยุคซิกส์ตี้ ในยุคสองพันสิบหก  ก็สนุกดี

https://www.youtube.com/watch?v=1AHHtrl6se8

 พร้อมกันนั้นก็ได้พบว่า แวน วิลเลียมส์พระเอกรูปหล่อในยุคนั้น ผู้ซึ่งอำลาวงการมายาไปนานแล้ว  ถึงแก่กรรมในวัย 82 ปี

แวน วิลเลียมส์ กับบรูซ ลี

          The Green Hornet ถูกนำมาสร้างใหม่เป็นหนังใหญ่และลงโรงในปี 2011 นำแสดง
โดย Seth Rogen(ไม่เคยคุ้น) และเคโต้รับบทโดย  Jay Chou นักร้อง,นักแสดงชื่อดังจาก
ไต้หวัน(เคยดูรู้จักจากหนังเรื่อง Curse of the Golden Flower ของผกก.ชื่อดัง จางอี้โหมว)             
              

เรื่องนี้ทำออกมาเป็นหน้งบู๊ปนตลก     หน้ากากแตนกลายเป็นพระเอกตลกคล้ายๆเอ็ดดี้ เมอร์ฟี่   ส่วนเคโต้เด่นกว่าพระเอก   สไตล์คล้ายเฉินหลงค่ะ 

https://www.youtube.com/watch?v=r1fR4JfojCQ

          ฮอลลีวู้ดส่งท้ายปีนี้ด้วยการปิดม่านอีกหนึ่งตำนาน(นานจริง) ที่ระบายสีสรรค์ให้เมืองมายา
มาหลายทศวรรษ

          Zsa Zsa Gabor จากไปเมื่อวันอาทิตย์ที่ผ่านมาด้วยวัย 99 ปีเนื่องจากอาการหัวใจวาย
ที่บ้านของคุณทวดแวดล้อมด้วยสามี(คนปัจจุบัน-คนที่เก้า) ญาติๆและเพื่อนรัก

          คุณทวดเกิดและโตทีี่ฮังการี (February 6, 1917) เมื่อเป็นสาวก็ได้รับตำแหน่งมิสฮังการี
ก่อนที่จะข้ามมาเป็นดาวจรัสแสงในฮอลลีวู้ด

          ไม่ทันดูหนังเก่าๆ ของคุณทวด อย่างเรื่อง Moulin Rouge,  Lili แต่ทันเห็นคุณทวดในซีรีส์
ทางทีวี เห็นแล้วก็ติดตาด้วยมาดสาวสวยรวยหรูดูแพงสำแดงความยั่วยวน จำได้ว่าเรื่องการใช้สามีเปลือง
ของคุณทวดถูกนำมาแซวผ่านบทพูดของตัวละครในบางเรื่องด้วย

สาวผมบลอนด์ประดับเครื่องเพชรห่มเฟอร์ - ซิกเนเจอร์ของคุณทวด

           นอกจากจะเป็นดาราแล้ว,คุณทวดยังจัดได้ว่าเป็น เซเลบ - คนดังของสังคม รุ่นบุกเบิก
นำทางมาก่อนเซเลบรุ่นหลานเหลนทั้งปวง อย่าง Paris Hilton ก็เป็นเหลนเธอจากสายสัมพันธ์
ทางสามีของคุณทวด

           ชีวิตของคุณทวดแต่งแต้มด้วยสีสรรพ์ฉูดฉาดจนถึงช่วงบั้นปลายก็กลายสีหม่น คุณทวดใน
วัยชราก็มีปัญหาพยาธิต่างๆ นานา ในปี 2002 หลังประสบอุบัติเหตุทางรถยนต์คุณทวดต้องพึ่งพา
อาศัยรถเข็นวีลแชร์ตลอดมา ตามด้วยโรคหลอดเลือดสมองในปี  2005, ผ่าตัดเปลี่ยนข้อสะโพกใน
ปี 2010, ตัดขาขวาบางส่วนเนื่องจากภาวะเนื้อตายในปี 2011. คุณทวดเข้าๆ ออกๆ โรงพยาบาล
เป็นระยะๆ จนกระทั่งวาระสุดท้าย

คุณทวดถูกนำตัวส่งโรงพยาบาลด้วยอาการหายใจลำบากหลังวันเกิดเมื่อต้นปีนี้
radaronline.com

ซาซาเป็นสัญลักษณ์ของ สวย รวย หรู เริ่ด ของดาราฺฮอลลีวู้ด  ยุคหลังสงครามโลกใหม่ๆ

https://www.youtube.com/watch?v=tpvXpYrFLNA

ซาซามีน้องสาวคนหนึ่ง เหมือนกันราวกับฝาแฝด  เป็นดาวฮอลลีวู้ดเหมือนกันด้วย  ชื่อ อีวา การ์เบอร์
ถึงแก่กรรมไปตั้งแต่ปี 2538

และ
        ก่อนที่ปีเก่าจะสิ้นสุดลงในไม่กี่วัน กาลเวลาก็ได้พรากดาวอีกสองดวงไปจากนครเทวา Los Angeles

         Carrie Fisher นักแสดงชื่อดังผู้รับบทเจ้าหญิง Leia ในภาพยนตร์ชุด Star Wars
จากไปด้วยวัย ๖๐ ปีเมื่อวันที่ ๒๗ ธ.ค. ที่ผ่านมาเนื่องจากอาการหัวใจวายขณะโดยสารเครื่องบินกลับมาจาก
อังกฤษ

         แคร์รี่ เป็นธิดาของสองสามีภรรยานักร้อง,นักแสดงชื่อดัง  Eddie Fisher และ Debbie Reynolds
โดยมีคุณย่าลิซในตำนานเป็นแม่ทูนหัวและแม่เลี้ยงในกาลต่อมา
         บทบาทเจ้าหญิงเลอา ในหนังที่โด่งดังเป็นปรากฏการณ์นี้ได้ตามติดตัวแคร์รี่ไปตลอดชีวิตจนกลบลบ
บทเล็กบทน้อยในหนังเรื่องอื่นๆ ของเธอที่มิอาจจะเทียบเคียงบทเจ้าหญิงนี้ได้เลย

www.pinterest.com

        นอกจากงานการแสดงแล้วเธอยังมีผลงานด้านการเขียน ชิ้นที่โด่งดังที่สุดคือนิยายกึ่งอัตชีวประวัติ
ของตัวเธอเองเรื่อง Postcards from the Edge ที่ต่อมาได้ถูกถ่ายทอดไปเป็นหนังโดยเธอเป็นผู้เขียน
บทเองด้วย
        ทว่า สิ่งที่มาพร้อมกับความเป็นคนดังดั่งต้องคำสาป ก็คือ ปัญหาเรื่องการดื่ม,สารเสพติด และสภาวะ
ทางจิตใจ แคร์รี่ก็เป็นอีกหนึ่งดาวที่ไม่อาจหลุดพ้นไปจากวงโคจรวิบัตินี้ได้จนต้องเข้ารับการบำบัดรักษา

www.10tv.com

และ
            หลังการเสียชีวิตของเธอได้เพียงหนึ่งวันดาวแม่ Debbie Reynolds ก็จากไปเนื่องจาก
โรคหลอดเลือดในสมองด้วยวัย ๘๔ ปี

ภาพจากงานประกาศรางวัล 21st Annual Screen Actors Guild Awards ที่ The Shrine Auditorium
เมื่อ January 25, 2015 Los Angeles, California.(Photo by Ethan Miller/Getty Images)

"I love you."
"I know."

ใครเคยดู "เอ็มไพร์ สไตร้ค์ส แบ๊ค" หรือ "สตาร์วอรส์ ๕" คงรู้จักดีว่า ประโยคสั้น ๆ ๒ ประโยคข้างต้น เป็นหนึ่งในฉากที่มีชื่อเสียงที่สุดของหนังชุดสตาร์วอรส์ทั้งหมด หลายคนถือว่า นี่เป็นช่วงที่มีลักษณะนุ่มนวลและมีความเป็นมนุษย์มากที่สุดของหนังทั้งซีรีส์ ในฉากนั้น "ฮัน โซโล" กำลังจะถูก "แช่แข็ง" และอาจจะไม่รอด เจ้าหญิง "เลอา" ได้สารภาพความรู้สึกของเธอต่อ "โซโล" เป็นครั้งแรกในที่สุด "I love you." (ฉันรักคุณ) ซึ่ง "โซโล" ตอบว่า "I know." (ผมรู้)

https://youtu.be/sO-KR-14uXM

ใครที่ติดตามเรื่องราวเบื้องหน้าเบื้องหลังเกี่ยวกับ "สตาร์วอรส์" คงพอรู้ว่า เพิ่งเดือนพฤศจิกายนนี้เอง แครี่ ฟิชเชอร์ ผู้เล่นเป็น "เลอา" ได้ตีพิมพ์หนังสือความทรงจำ Princess Diarist (เจ้าหญิงผู้บันทึกไดอารี่) ซึ่งนำมาจากไดอารี่ที่เธอเขียนสมัยเธอถ่ายทำสตาร์วอรส์ เมื่อประมาณ ๔๐ ปีก่อน

ในหนังสือดังกล่าว ฟิชเชอร์ ได้เปิดเผยเป็นครั้งแรกว่า ระหว่างถ่ายทำ "สตาร์วอรส์: อะ นิว โฮ้ป" เธอกับ แฮริสัน ฟอร์ด ผู้เล่นเป็น "ฮัน โซโล" มีความสัมพันธ์แบบคนรัก (affair) กันอย่างเข้มข้น เป็นเวลาประมาณ ๓ เดือน ตอนนั้น ฟิชเชอร์เป็นเพียง "ทีนเอจ" อายุ ๑๙ ขณะที่ฟอร์ด อายุ ๓๓ (ห่างกัน ๑๔ ปี) และกำลังแต่งงานกับ แมรี่ มาร์คว้อดต์ (ผู้เป็นแฟนกับฟอร์ดตั้งแต่สมัยไฮด์สคูล) และมีลูก ๒ คน (อ่านส่วนของหนังสือที่ฟิชเชอร์เล่าเรื่องนี้ พร้อมบทรายงาน-สัมภาษณ์ของฟิชเชอร์ ได้ที่นี่ goo.gl/X41kqL (http://goo.gl/X41kqL) ส่วนของหนังสืออยู่ตอนท้ายรายงาน ฟอร์ดซึ่งเป็นคนที่รักษาความเป็นส่วนตัวสูงมาก ไม่แฮ้ปปี้นักที่ฟิชเชอร์เปิดเผยเรื่องราวเมื่อ ๔๐ ปีก่อนของพวกเขา)

หลังจากมีความสัมพันธ์ลับ ๆ ระหว่างถ่ายทำ "สตาร์วอรส์" กับฟิชเชอร์ไม่นาน ฟอร์ดหย่ากับภรรยาในปี ๑๙๗๙ (ก่อน "เอ็มไพร์ สไตร้ค์ส แบ๊ค" ออกฉาย ๑ ปี) แล้วแต่งงานกับ เมลิซ่า แมตทิสัน ผู้เขียนบท "อีที" ซึ่งเป็นเพื่อนสนิทของฟิชเชอร์ ต่อมาก็หย่ากับแมตทิสัน แล้วแต่งงานกับ คาลิต้า ฟล็อคฮาร์ต (นางเอกหนังทีวีเรื่อง "อัลลี่ แม็คบีล" - สมัยเด็ก ๆ ผมติดดูเรื่องนี้อยู่ ปัจจุบันเธอเป็นตัวประกอบหนังทีวี "ซุปเปอร์เกิร์ล") จนทุกวันนี้

ตัวฟิชเชอร์เอง ต่อมาแต่งงานกับ "พอล ไซม่อน" นักร้องชื่อดัง แต่เพียงปีเดียวก็หย่า หลังจากนั้น เคยมีแฟนอีกหนึ่งคนเป็นเวลาสั้น ๆ แล้วเป็นโสดมาโดยตลอดหลายสิบปีมานี้

ในการเปิดเผยเรื่องนี้ในหนังสือเมื่อเดือนที่แล้ว ฟิชเชอร์กล่าวว่า เธอยังคงรู้สึกบางอย่างกับฟอร์ดอยู่เสมอ แต่ความสัมพันธ์ระหว่างเธอกับฟอร์ดในตอนนั้น ทั้งคู่มีความแตกต่างกันอย่างมาก นอกจากอายุที่ห่างกันมาก ในขณะที่เธอรู้สึกอย่างเข้มข้นต่อฟอร์ด เธอคิดว่าสำหรับฟอร์ด ความสัมพันธ์กับเธอไม่ใช่เรื่องสำคัญ (priority) ลำดับต้น ๆ ไม่เหมือนกรณีเธอ .....

.............

ประโยค I love you. / I know. ได้กลายเป็นตำนานของหนังชุดสตาร์วอร์สไป หลายคนเชื่อว่า ประโยคดังกล่าว โดยเฉพาะคำของ "โซโล" (I know.) เป็นการที่ฟอร์ด พูดขึ้นมาเองแบบสด ๆ ไม่ได้อยู่ในสคริปต์ (improvise) ความจริงไม่ใช่

หนังสือ "เบื้องหลังการถ่ายทำ สตาร์วอรส์ เอ็มไพร์ สไตร้ค์ส แบ๊ค" ได้เปิดเผยว่า เออวิน เคิร์ชเนอร์ ผู้กำกับ "เอ็มไพร์" กับฟอร์ด ได้ถกกันเรื่องสคริปต์ ที่เขียนโดย ลอเรนซ์ กาสดาน

สคริปต์เดิมของกาสดาน มีดังนี้

เลอา: "I love you. I couldn’t tell you before, but it’s true." (ฉันรักเธอ. ฉันไม่สามารถบอกเธอก่อนหน้านี้, แต่นี่เป็นความจริง)

โซโล: "Just remember that, ‘cause I’ll be back." (ผมขอให้คุณแค่จำไว้ เพราะผมจะกลับมา")

เคิร์ชเนอร์ได้ถกเรื่องการเปลี่ยนสคริปต์ตอนนี้กับฟอร์ด ซึ่งฟอร์ดเสนอว่า คำของ "เลอา" ควรตัดให้เหลือเพียงแค่ "I love you." แล้วฟอร์ดเองได้แก้ประโยคของ "โซโล" ที่เขาต้องพูดเป็น "I know."

(อ่านรายงานเรื่องนี้ได้ที่นี่ goo.gl/WxkvUC  (http://goo.gl/WxkvUC)กาสดาน คนเขียนบท ไม่ค่อยแฮ้ปปี้กับการเปลี่ยนแปลงดังกล่าว เขายืนยันว่า ประโยคเดิมที่เขาเขียนไว้ดีกว่า)

...........

แครี่ ฟิชเชอร์ กล่าวเมื่อเดือนก่อน ตอนโปรโมทหนังสือความทรงจำของเธอว่า เมื่อ "เลอา" พูดประโยค I love you. และ "โซโล" ตอบว่า I know ทั้งคู่พูดโดยมีแบ๊กกราวน์ที่เคยมีความสัมพันธ์ลับจริงๆอยู่ เป็นการพูดของตัวฟิชเชอร์และตัวฟอร์ดเอง มากยิ่งกว่าการพูดของ "เลอา" และ "โซโล"

..........

แครี่ ฟิชเชอร์ ถึงแก่กรรมจากอาการหัวใจวาย เมื่อวานนี้ อายุ ๖๐ ปี ๒ เดือน

นาน ๆ ที สศจ. จะวิจารณ์ภาพยนตร์ ข้อมูลแน่นปึ้ก  ;D

https://www.facebook.com/somsakjeam/posts/1183038435082767

เดบบี้ เรย์โนลด์ แม่ของ แครี่ ฟิชเชอร์ ("เจ้าหญิงเลอา") ถึงแก่กรรม ๑ วันหลังลูกสาว

ตอนแรกที่เห็น ผมไม่แน่ใจ นึกว่าอาจจะเป็นข่าวปลอม แต่เช็คแล้ว ทุกสำนักข่าวใหญ่รายงานหมด น่าจะจริง

http://www.bbc.com/news/entertainment-arts-38455777

เดบบี้ เป็นอดีตดาราดังคนหนึ่ง เคยได้รับการเสนอชื่อชิงตุ๊กตาทอง ความสัมพันธ์ระหว่างเธอกับแครี่ลูกสาว มีลักษณะยุ่งเหยิงซับซ้อนอยู่ แครี่เคยเขียนเป็นหนังสือกึ่งนิยาย เล่าเรื่องความสัมพันธ์ดังกล่าว ชื่อ Postcards from the Edge (โป๊สการ์ดจากริมขอบ) ซึ่งได้รับการสร้างเป็นหนัง นำแสดงโดย เมอริล สตรีพ เป็นหนังที่ดูสนุก ขำ ๆ แบบเจ็บ ๆ ดีทีเดียว (แครี่มีนิสัยชอบเล่าเรื่องส่วนตัว หรือ confessional ดังที่ผมเขียนถึงเมื่อวาน ที่เธอเล่าความสัมพันธ์ลับระหว่างเธอกับฟอร์ด สมัยถ่ายทำ "สตาร์วอรส์" โดยที่ฟอร์ดไม่แฮ้ปปี้นัก - แครี่ส่งข่าวบอกฟอร์ดก่อนว่าจะเล่า ก่อนจะตีพิมพ์ - เป็นไปตามลักษณะนิสัยส่วนตัวนี้ของเธอ ใน Postcards from the Edge นอกจากเล่าเรื่องความสัมพันธ์ยุ่งเหยิงกับเดบบี้แม่ของเธอแล้ว ยังเล่าเรื่องที่เธอต่อสู้กับอาการติดยาเสพติดด้วย)

หนึ่งในข้อความสุดท้ายในชีวิตของ เดบบี้ เรย์โนลด์ คือข้อความที่เธอโพสต์เมื่อวันอังคารเมื่อแครี่ ลูกสาวเธอเสียชีวิต

"Thank you to everyone who has embraced the gifts and talents of my beloved and amazing daughter. I am grateful for your thoughts and prayers that are now guiding her to her next stop."

(แปลแบบคร่าว ๆ :"ขอบคุณทุกท่านที่แสดงความรักอาลัยต่อลูกสาวที่รักและมหัศจรรย์ของฉัน. ฉันรู้สึกขอบคุณต่อความคิดและการสวดภาวนาของพวกท่าน ที่จะเป็นเครื่องนำทางให้กับแครี่ในจุดหมายปลายทางต่อไปของเธอ")

https://www.facebook.com/somsakjeam/posts/1183824681670809

ใจหายค่ะคุณหมอ    ความที่เคยดูหนังของเดบบี้มาตั้งแต่ยังเด็ก   จำเธอได้ในยอดหนังเพลง Singin' in the Rain

https://www.youtube.com/watch?v=KaEJQ2hD3KE

ความสำเร็จจากบทของเจ้าหญิงเลอาในอภิมหากาพย์ Star Wars ทั้ง 3 ภาค   กลายเป็นคำสาปสำหรับแครี่ ฟิชเชอร์อย่างที่ดาราฮอลลีวู้ดหลายคนโดนมาเหมือนกัน       เพราะพอหนังชุดนี้จบ ไม่มีภาค 4 ก็มีแฮริสัน ฟอร์ดคนเดียวประสบความสำเร็จในหนังเรื่องอื่นๆ เรื่อยมาจนเข้าวัยชรา
ส่วนสาวน้อยแครี่  ต่อมาเล่นเรื่องไหนก็ไม่อาจกลบรัศมีเจ้าหญิงเลอาในความทรงจำของผู้คนได้      จะย้อนกลับไปเล่นบทเดิม หนังก็จบเป็นตำนานไปแล้ว    เธอก็เลยหรี่แสงลงเรื่อยๆ   เหมือนดาราวัยรุ่นจำนวนมากที่ดับหายไปจากฟากฟ้า  เมื่อเข้าสู่วัยหนุ่มใหญ่สาวใหญ่แล้วไม่น่ารักน่าเอ็นดูเหมือนเมื่อก่อน
ความสำเร็จ มีทั้งคุณอนันต์และโทษมหันต์   คุณอนันต์คือชื่อเสียงและเงินทอง   ส่วนโทษมหันต์คือยาเสพติด      ทำให้ร่างกายทรุดโทรม  ประสาทเสีย  ชีวิตส่วนตัวพัง   บางคนก็กู้ชีวิตคืนมาได้ บางคนก็ไม่ได้   น่าเศร้าใจจริงๆ

            เดือนแรกของปียังไม่ทันจะผ่านพ้นไป ดาวก็ดับอับแสงไปอีกหนึ่งดวง

            Mary Tyler Moore (December 29, 1936 – January 25, 2017)
จากไปด้วยวัย 80 ปี วิกกี้ระบุถึงสาเหตุว่าเป็นจากการติดเชื้อที่ปอด
            แต่เป็นที่รู้กันอยู่แล้วว่าคุณย่ามีโรคประจำตัวคือ เบาหวาน ชนิดที่ 1 ต้องพึ่งการฉีดอินซูลิน
มานานหลายสิบปี(ตั้งแต่อายุ 33) ก่อให้เกิดโรคแทรกซ้อนรุนแรงสารพัด เคยมีข่าวจริงหรือเท็จ? ว่า
คุณย่าต้องถูกตัดขาเมื่อหลายปีก่อน และในช่วงบั้นปลายชีวิตเพื่อนของคุณย่าบอกว่า คุณย่ามีอาการ
มองไม่เห็น ซึ่งเป็นผลแทรกซ้อนของเบาหวานนานปี

(huffingtonpost)

          คุณย่ามีผลงานโด่งดังระดับตำนานทีวีมาก่อนใน The Dick Van Dyke Show ตามด้วย
The Mary Tyler Moore Show ที่ได้รับความนิยมมากมายในช่วง 1970s

           นอกจากจอแก้วแล้วคุณย่ายังมีผลงานบนจอเงินในหนังดังเรื่อง Thoroughly Modern Millie
ที่นำแสดงโดย Julie Andrews ในปี 1967 และ Ordinary People ในปี 1980 เรื่องหลังนี้เป็นผลงาน
กำกับระดับรางวัลออสการ์ของ Robert Redford ส่วนตัวคุณย่าได้รับการเสนอเข้าชิงในสาขานักแสดงนำ

คุณย่ารับบทหนักเป็นแม่ผู้สูญเสียลูกไปใน Ordinary People

อนิจจา   จากไปเสียแล้ว  ยังจำความสาวความสวยได้อยู่เลย
ไม่ทราบว่าเธอดังหรือเปล่าในไทย  แต่ในวงการทีวี  โดยเฉพาะหนังชุดฉายทางทีวีทุกสัปดาห์  ในยุค 1970  แมรี่ดังมากค่ะ

https://www.youtube.com/watch?v=ahbyDt2qdXc

          ที่บ้านเขาคุณย่าเป็นทั้ง legend,เป็น icon ในบ้านเราไม่ค่อยเป็นที่รู้จักครับ
เว็บไทยที่รายงานข่าว,พูดถึงคุณย่ามีน้อยมาก 

คุณย่าที่หน้า Nicollet Mall Minneapolis,MN

          อีกไม่กี่วันเดือนแรกของปีก็จะผ่านพ้น แต่เวลาวารีที่ไม่เคยรั้งรอใครก็พรากดาวดับลับฟ้าไป
อีกดวง คราวนี้ข้ามฟากจากอเมริกามาเกาะอังกฤษ

          ท่านเซอร์  John Hurt (22 January 1940 – 25 January 2017) จากไปด้วยวัย 77 ปี
หลังจากป่วยเป็นโรคมะเร็งตับอ่อนได้ไม่กี่ปี

บทบาทท่านเซอร์ใน Harry Potter, 1984, Alien และ The Elephant Man
(kentlive.news)

            ท่านเซอร์สนใจฝักใฝ่การแสดงมาแต่วัยเยาว์จนได้เข้าเรียนใน Royal Academy of Dramatic Art
ณ ลอนดอน
            ฝากผลงานบทบาทโดดเด่นจนได้รับการเสนอชื่อชิง(แต่ไม่ได้) ออสการ์สองครั้ง จากเรื่อง Midnight
Express ในปี 1978 และตามมาด้วยงานสำคัญชิ้นต่อมาคือ The Elephant Man ในปี 1980
            เรื่องนี้ท่านเซอร์รับบทมนุษย์ช้างร่วมงานกับนักแสดงมากฝีมือ ท่านเซอร์  Anthony Hopkins ผู้รับบท
เป็นคุณหมอผู้เมตตา

Train Station Scene ที่สะเทือนอารมณ์ "I Am Not An Animal"

https://www.youtube.com/watch?v=sF19L00KbAI

           ผลงานชิ้นโดดเด่นต่อมาที่แม้ว่าจะปรากฏบทบาทบนจอไม่นานแต่ก็หลอนติดตาคนดูทั้งโรง
นั่นคือ Alien (1979) ภาคแรก

Alien Chestburster scene อันโด่งดังติดตา

https://www.youtube.com/watch?v=7wsmc0n8JcY

            ท่านเซอร์มีผลงานการแสดงออกมาเรื่อยๆ มากมาย รวมทั้งหนังรวมดาวชาวอังกฤษอย่าง  
Harry Potter and the Philosopher's Stone(2001)

อดใจหายไม่ได้เพราะไม่กี่วันก่อนเพิ่งเกิดจะนึกถึงท่านเซอร์แล้วเลยค้นหาดูหนังเก่าของท่านเซอร์ใน
กูเกิ้ล, ไม่คิดว่าวันต่อมาจะได้ข่าวนี้

ดาวขนาดกลางๆ แต่อายุงานบนฟ้ายาวนานถึง 6 ทศวรรษ ลับฟ้าไปอีกดวงแล้ว    จากไปในวัยสุกงอมเต็มที่ คือ 91 ปี 
Mike Connors
ซีรี่ส์ดังของเขาคือ Mannix (1967 ถึง 1975) นักสิบจอมบู๊ดุเดือด   ที่ทำให้เขาได้รางวัลลูกโลกทองมาครอบครอง   แมนนิกซ์เองก็ได้ชื่อว่าเป็นนักสืบยอดนิยมติดสิบอันดับแรกของหนังทีวี

https://www.youtube.com/watch?v=6w4BLzo2FgA

ย้อนหลังไปสมัยวิกช่อง 4 บางขุนพรหม  คุณจำนง รังสิกุลสั่งหนังทีวีชั้นดียอดฮิทเข้ามาให้ดูกันเป็นประจำ   หนึ่งในนั้นชื่อ Tightrope  ชื่อไทยว่าอะไรจำไม่ได้แล้ว
จำได้แต่ว่าพระเอกรูปหล่อ หน้าเข้ม สวมสูทประจำทุกฉาก    เล่นเป็นสายลับตำรวจ    ฉากตอนจบมักจะเป็นพระเอกเดินโดดเดี่ยวเดียวดายอยู่ใน
ฝูงชน 

ยูทูปช่วยให้อดีตกลับมาเป็นปัจจุบันอีกครั้งค่ะ

https://www.youtube.com/watch?v=rvSgYXCOcxI

          ชื่อคุ้นๆ หน้าตาคลับคล้ายคลับคลาแต่นึกภาพในหนังไม่ออกครับ อาจจะเป็นซีรีส์โปรดเรื่องนี้
ที่จะรวมนักแสดงจากอดีตมากมายมาสวมบทบาทในแต่ละตอน

Love Boat ตอน A Model Marriage(1981) แสดงคู่กับ Elke Sommer นักแสดงสาวสวยชาวเยอรมัน
ที่มีผลงานหนังในฮอลลีวู้ดหลายเรื่องและบ้านเราคุ้นเคยจากงานโฆษณาสบู่ลักซ์ ปัจจุบันอายุ 76 ปีและยังมี
ชีวิตอยู่ใน Los Angeles, California

           ก่อนกุมภาจะสิ้น กาลเวลาก็ดับดาวลับอีกหนึ่งดวง  Bill Paxton นักแสดงเจ้าของบทบาทจาก
หนังดังอย่าง Apollo 13, Twister, Aliens และ Titanic จากไปด้วยวัย 61 ปี จากภาวะแทรกซ้อน
หลังการผ่าตัดหัวใจเมื่อวันที่ 25 กุมภาพันธ์นี้

           พี่บิลเกิดในปี 1955 ที่ Texas และได้กลายเป็นคนดังตั้งแต่ครั้งยังมีอายุเพียง  8 ขวบ
เมื่อด.ช.บิลปรากฏตัวโดดเด่นเหนือผู้คนที่มารอดูและฟัง President John F. Kennedy ที่หน้า
โรงแรม Fort Worth ในคราวที่ท่าน President เดินทางมา Dallas เมื่อวันที่ 22 พ.ย. ปี 1963
           คือหนึ่งในภาพวันสังหารท่านประธานาธิบดีที่โด่งดัง ปัจจุบันจัดแสดงอยู่ที่พิพิธภัณฑ์ในเท็กซัส
 
Supreme Court Judge Don Willett แห่งเท็กซัสได้โพสท์รูปนี้พร้อมคำอาลัย

ภาพพี่บิลเมื่อวันที่ 18 ม.ค. นี้เองที่งาน People's Choice Awards 2017  ใน LA, California
(reuters.com)

คุ้นๆหน้า   แต่จำบทบาทน้องบิลล์ไม่ได้จริงๆค่ะ
ขอให้ไปสู่สุคติ

     
           ในหนังระดับตำนานฮอลลีวู้ด Titanic "น้องบิลล์" รับบทนักล่าสมบัติจากเรือที่อับปางจมลงในทะเล
ที่คุณย่าโรสได้ร่วมออกเรือล่าสมบัติและเล่าเรื่่องราวย้อนรำลึกถึงโศกนาฏกรรมโลกต้องจารึกครั้งนั้นครับ

    ในบรรดาหนังเก่าของTMC   ปีสองปีก่อน ช่องนี้เคยนำหนังเพลงไพเราะระบำงามตาของฮอลลีวู้ดมาฉายหลายเรื่อง    เป็นหนังเพลงยุคก่อนและหลังสงครามโลกเล็กน้อย   หนึ่งในดาราประจำชื่อ June Allyson  ทีแรกคิดว่าเธอยังมีชีวิตอยู่  เพิ่งรู้ว่าดับแสงไป 10 ปีก่อนเมื่อค.ศ. 2006
    ค้นชื่อในเรือนไทย ไม่เจอ ก็เลยคิดว่ายังไม่ได้นำมาลงค่ะ   เดี๋ยวคุณหมอ SILA คงจะมาบอกเองว่าเคยนำเธอมาพบหรือยัง

   คลิปข้างล่างนี้มาจากหนัง Little Women ทำจากวรรณกรรมสำหรับเด็กระดับคลาสสิคของอเมริกา  จูนเล่นเป็นสาวน้อย โจ ตัวเอกของเรื่อง คู่กับปีเตอร์ ลอร์ฟอร์ดที่ยุคนั้นหล่อมาก แต่ไม่ยักใช่พระเอก พระเอกคือรอสซาโน บราสซี่ โผล่ออกมาตอนครึ่งหลังของเรื่อง
https://www.youtube.com/watch?v=N9yAvyf30Qo

เพลงไพเราะ ระบำงามตา  ขาดแต่ไม่ได้แอบหลังต้นไม้กับวิ่งข้ามภูเขาเท่านั้นค่ะ

https://www.youtube.com/watch?v=3KJG_puVVk0

ระลึก(ชาติ) แลัวไม่คุ้นว่าเคยเห็นมาก่อนในกระทู้ ครับ

หมายเหตุ เวลาของเรือนไทยเร็วไป ๑ ช.ม. (ขณะพิมพ์เป็น ๑๒.๕๒ แต่ขึ้นเวลาเป็น ๑๓.๕๒) ตามเมืองนอก
ปรับเวลาออมแสงกระมัง

จากหนังเรื่อง  Words and Music  ปี 1948

https://www.youtube.com/watch?v=HHmmS6XquYA

           สัปดาห์ก่อนโน้น มีบทความเล่าถึงหนังไทยเรื่องแรกแห่งสยาม "นางสาวสุวรรณ" อันอุดมด้วยข้อมูล
มากกว่าเคย 
   
           แปลกแต่จริง! หนังไทยเรื่องแรกสร้างโดยบริษัทยูนิเวอร์แซล! เข้าใจผิดจะมาถ่ายป่า เจอสิ่งดีกว่า
เลยเขียนสคริปท์สด!

โรม บุนนาค

จากเว็บ http://www.manager.co.th/OnlineSection/ViewNews.aspx?NewsID=9600000019209

           ขอนำเนื้อหาบางส่วนมาตัดต่อเรียบเรียงเสนอดังนี้ (ก่อนที่จะเข้าเรื่องที่เกี่ยวเนื่องต่อไป)

           “นางสาวสุวรรณ” ภาพยนตร์ไทยเรื่องแรกสร้างขึ้นใน พ.ศ. ๒๔๖๖ สมัยร.๖ โดยทีมงานยูนิเวอร์แซล
แห่งฮอลลีวูด นำโดยนายเฮนรี่ เอ แมคเร ยกกองถ่ายมาด้วยข้อมูลว่า สยามเป็นบ้านป่าเหมือนอาฟริกา หมายมา
ถ่ายสารคดี แต่เมื่อมาถึงจึงได้รู้ว่าเข้าใจผิดและเปลี่ยนแผนเป็นถ่ายทำภาพยนตร์เรื่องยาว โดยได้รับพระบรมราชา
นุญาต ทั้งยังโปรดให้กรมรถไฟหลวงซึ่งมีแผนกภาพยนตร์และกรมมหรสพหลวงร่วมงานกับนายแมคเรด้วย

        นางเอกนั้น,นายแมคเรเล็งไปที่นักแสดงของกรมมหรสพหลวง คือนางสาวเสงี่ยม นาวีเสถียร วัย ๑๘ ปี
ส่วนพระเอกได้ ขุนรามภรตศาสตร์ ตัวโขนพระรามของกรมมหรสพหลวง
        ใช้เวลาถ่ายทำ ๓ เดือน ในระบบ ๓๕ มม.ขาว-ดำ เป็นหนังเงียบ ล้างฟิล์ม ตัดต่อ พิมพ์ฟิล์ม ทำคำบรรยาย
ไทยที่กองภาพยนตร์ของกรมรถไฟหลวง ยูนิเวอร์แซลมอบลิขสิทธิ์ในสยามให้กรมรถไฟหลวงนำออกฉายเป็นครั้งแรก
ที่โรงภาพยนตร์พัฒนากร โรงภาพยนตร์บางลำพู และโรงภาพยนตร์ฮ่องกง(อยู่ไหน?) ในวันที่ ๒๓ มิถุนายน ๒๔๖๖
เก็บเงินบำรุงกาชาดสยาม
         นายเฮนรี เอ แมคเร ได้นำ“นางสาวสุวรรณ” ไปเผยแพร่ในนาม “Kingdom of Heaven” ซึ่งรู้จักกันทั่วไปใน
นาม “Suvarna of Siam” ได้รับความสำเร็จอย่างสูงในอเมริกา          
         ฟิล์มภาพยนตร์หายสาบสูญสิ้นไม่มีเหลือ คงแต่เพียงบางภาพถ่ายเท่านั้น

วิกกี้มีข้อมูลระบุว่า โรงภาพยนตร์ ฮ่องกง / 2460 (ประวัติระบุว่า ตั้งอยู่ตรงข้ามโรงหนัง สาธร)

             เข้าเรื่องที่เกี่ยวเนื่อง จากเนื้อเรื่องของ "นางสาวสุวรรณ" นั้นมีอยู่ว่า

         แมคเรพล็อตเรื่องสดๆ ให้พระเอกเป็นข้าราชการเล็กๆ ไปเจอนางเอกลูกคนมีเงินตกน้ำเลยโดด
ลงไปช่วย แทนที่พ่อนางเอกจะขอบใจกลับไม่พอใจที่เห็นพระเอกกอดลูกสาวไว้แนบอก
         จากนั้น พระเอกก็เฝ้าแต่คิดถึงนางเอกจนได้พบกันอีกในงานวัดพระแก้ว แต่ผู้ร้ายกับพ่อนางเอกกีด
กันทั้งยังดูถูก พ่อบุญธรรมของพระเอกเลยเปิดเผยความจริงว่า พระเอกนั้นเป็นลูกผู้ดีมีตระกูลของเมืองเหนือ
พ่อแม่พามาเที่ยวกรุงเทพฯ ตอนเป็นเด็กแต่เกิดตายกะทันหันตนจึงเก็บมาเลี้ยง
         ผู้ร้ายวางแผนให้คนชวนพระเอกกับพ่อบุญธรรมไปทำงานที่เชียงใหม่ แล้วให้ลูกน้องฆ่าเสีย แต่ฆ่าผิดตัว
เลยโยนความผิดให้พระเอกจนถูกจับ พ่อบุญธรรมนำข่าวนี้มาบอกนางเอกๆ เลยรีบบินไปช่วย พร้อมพ่อบุญธรรม
มอบเสมาทองคำที่พระเอกห้อยคอตั้งแต่เด็กไปด้วย
          เศรษฐีเชียงใหม่คนหนึ่งเห็นเสมาทองคำก็รู้ว่าพระเอกคือหลานชายของตัว ทั้งฆาตกรตัวจริงก็รับสารภาพ
ผู้ร้ายผู้วางแผนเลยโดนจับ พ่อนางเอกตามขึ้นไปรู้ความจริง ก็เลยยอมยกลูกสาวให้พระเอก เรื่องเลยแฮปปี้เอนดิ้ง
      
        ดูเนื้อเรื่องแล้วจะเห็นว่า นายแมคเร ศึกษาวิถีชีวิตและขนบธรรมเนียมของคนไทยได้รวดเร็วมาก และ

        ไม่เพียงแต่สร้างประวัติศาสตร์ทำหนังเรื่องแรกของไทยไว้เท่านั้น ยังสร้างแบบฉบับ“หนังน้ำเน่า” ให้
หนังไทยในยุคต่อมาด้วย

           เมื่อมองย้อนกลับไปดูหนังไทยเก่าๆ จะเห็นได้ว่า พล็อต ลูกท่านหลานเธอพลัดพรากมาตกยากนี้
เป็นที่นิยมอย่างมากในหนังไทย ตัวลูกท่านหลานเธอนั้นอาจจะเป็นพระเอก(จำได้ว่าเรื่องหนึ่งนั้นพระเอกชื่อ
บุญทิ้ง) ไม่ก็นางเอก โดยมีเครื่องหมายให้ระลึกชาติกำเนิดติดตัวมาเป็นสิ่งของ เช่น สร้อยคอห้อยล็อคเก็ท,
พระ หรือปานบนร่างกาย
           เรื่องหนึ่งที่ทำให้ถึงกับทึ่งปนอึ้งในตอนจบก็คือ พระเอก(มิตร ชัยบัญชา ซึ่งประวัติเดิมเริ่มแรกเรียกกัน
ว่า บุญทิ้ง เนื่องจากพ่อแม่แยกทางกัน) ที่เป็นลูกบุญธรรมตกยากสามารถเอาชนะใจบิดานางเอกเพราะเสี่ยงชีวิต
ช่วยนางเอกพ้นมือผู้ร้ายมาได้ เรื่องจึงจบลงอย่างแฮปปี้ แต่
           เท่านี้ยังไม่พอคนเขียนบทยังเติมเต็มความสุขสมให้คนดูด้วยการให้เพื่อนพ่อบุญธรรมพระเอกโผล่มา
ก่อนจบ มาแสดงความยินดีพร้อมมอบเสื้อตัวใหม่ให้พระเอกใส่ในทันที ขณะที่พระเอกเปลี่ยนเสื้อเพื่อนพ่อก็ได้
เห็นปานบนร่างกายจึงจำได้ว่าพระเอกคือลูกของตนที่พลัดพรากไปแต่แบเบาะ.....

          พล็อต  "ลูกท่านหลานเธอพลัดพรากมาตกยาก" ที่ว่านำเข้ามาโดยฝรั่งนี้ เมื่อลองคิดย้อนไปถึงวรรณกรรม
ตะวันตกแล้ว มีปรากฏในวรรณกรรมเก่าแก่มานานมาก เท่าที่นึกออกก็คือ Oliver Twist ของ Charles Dickens
ออกตีพิมพ์เป็นตอนๆ ในช่วงปี 1837–39(พ.ศ. ๒๓๘๐ - ๒๓๘๒)  เล่าเรื่องหนูน้อยโอลิเวอร์ที่เป็นกำพร้ามารดา
คลอดแล้วเสียชีวิต เติบโตเป็นเด็กชายน่ารักในสถานสงเคราะห์ ต่อมาได้หนีออกมาเผชิญโชค(ร้ายปลายดี) ใน
มหานครลอนดอน ได้พบกับคุณตา(ลุงของมารดา) ที่รับอุปการะโอลิเวอร์ไว้โดยที่ยังไม่ทราบว่าเป็นหลาน

คุณตาพินิจหน้าโอลิเวอร์ที่แลละม้ายหลานสาวซึ่งหนีออกจากเคหาสน์ไปหลังจากที่ถูกคนรักได้แล้วเท(ทิ้ง)

            ความจริงแห่งชาติกำเนิดของโอลิเวอร์ได้รับการเปิดเผยเมื่อผู้ดูแลสถานสงเคราะห์นำสร้อยล็อคเก็ท
ของมารดาโอลิเวอร์มาสำแดงต่อคุณตาด้วยหวังรางวัลก้อนโต

ภาพทั้งสองจากหนังเพลงระดับออสการ์สร้างจากละครเพลงออกฉายในปี 1968 -  Oliver! รับบทโดย
ดาราเด็กหน้าตาน่ารักน่าสงสาร Mark Lester ที่แจ้งเกิดเป็นดาราเด็กโด่งดัง
        ฉากประทับใจนี้ที่หลายคนคงชื่นชอบด้วยบรรยากาศสดชื่นยามเช้าเคล้าเสียงเพลงไพเราะ "Who Will Buy?"
เมื่อหนูน้อยได้กินอิ่มหลับสบายแล้วตื่นขึ้นมาอย่างมีความสุขในเคหาสน์อบอุ่นไอรัก

https://www.youtube.com/watch?v=11x9V1OyKpg

            ดาราเด็กโดดเด่นอีกคนจากโอลิเวอร์เวอร์ชั่นนี้คือ Jack Wild รับบทยอดนักล้วง(กระเป๋า) รุ่นเยาว์
แสดงดีจนได้รับการเสนอชื่อเข้าชิงรางวัลทั้งฝั่งอังกฤษและเมกา

            มาร์คและแจ็คยังได้ร่วมแสดงนำในหนังดังในบ้านเราและญี่ปุ่น(แต่ล้มเหลวในอังกฤษและอเมริกา)
เรื่อง  Melody (1971)
            เฉกเช่นดาราเด็กที่มีพรสวรรค์พ่วงคำสาป แจ็คติดเหล้าและเป็นป่วยเป็นเบาหวานด้วยวัยเพียง 21 ปี
ผลจากการติดเหล้าทำร้ายสุขภาพและงานการตลอดจนชีวิตครอบครัว แจ็คเข้ารับการบำบัดแล้วเริ่มกลับมาทำงาน
บันเทิงในละครเวทีและหนังบางเรื่อง
            ด้วยวัย 48 ปี หลังจากการสูบและดื่มอย่างหนัก แจ็คป่วยด้วยมะเร็งในช่องปากในปี 2000 และเสียชีวิต
ในปี 2006

ได้เห็นหน้าคนเดียวและได้ขึ้นชื่อเป็นคนแรกบนใบปิด

             วรรณกรรมอังกฤษอีกเรื่องหนึ่งที่มีพล็อตแบบนี้ที่นึกได้คือ บทละครเรื่อง The Importance of
Being Earnest ของนักเขียน Oscar Wilde จัดแสดงเป็นครั้งแรกในปี 1895(พ.ศ. ๒๔๓๘)

            พล็อตแนวลูกท่านหลานเธอถูกพรากแต่เรื่องนี้ไม่ตกยาก เพราะพระเอกได้รับการอุปการะในครอบครัวที่
มีฐานะดี แต่ก็ยังไม่พอสำหรับการยอมรับจากสังคมผู้ดีอังกฤษ
            ทว่าในที่สุดเรื่องราวอุปสรรคของความรักก็สามารถจบลงอย่างสมหวัง เมื่อพระเอกมีหลักฐานชาติกำเนิด
เป็นกระเป๋าใส่ตัวเขาในวัยทารกนำมาแสดงต่อพยาบาลเลี้ยงเด็กของครอบครัวที่ได้นำไปลืมทิ้งไว้ในสถานีรถไฟ
เลดี้ว่าที่แม่ยายจึงจำได้ว่าเขาคือลูกชายคนโตของน้องสาวที่ตายจากไปและยอมให้หมั้นหมายกับลูกสาวได้

            เช่นเดียวกับโอลิเวอร์ วรรณกรรมเรื่องนี้ได้ถูกนำมาสร้างเป็นหนังหลายครั้ง ภาพนี้จากเวอร์ชันที่น่าสนใจ
ปี 2002 นำแสดงโดยนักแสดงโดดเด่นมากมายทั้ง Colin Firth, Reese Witherspoon และ Dame Judi Dench

เมโลดี้ที่รัก หนังโรงในดวงใจเมื่อวัยรุ่น  ;D

https://youtu.be/BcztTjiYKB0

เพลงนี้ฟังแล้วซึ้งมากในวัยนั้น...สาวน้อยใบหน้าเปื้อนน้ำตาคนนั้นคือใครหนอ

Melody Fair

https://youtu.be/RaZrJzJlKMc

 ไม่ได้ดู Melody ค่ะ   แต่รู้จัก Mark Lester   หนุ่มน้อยชาวอังกฤษวัยแปดขวบ หน้าหวานไร้เดียงสา เป็นขวัญใจผู้หญิงทั่วโลกจากหนังเพลง Oliver! เมื่อหลายทศวรรษก่อน
 มาร์คดังระเบิดเถิดเทิงจากเรื่องนี้   ภาพเขาเดินท่าทางประหม่าไปขอเติมอาหาร ด้วยคำว่า "Please Sir, I want some more" เป็นฉากอมตะและประโยคอมตะ   คนเรียนวรรณคดีอังกฤษจำแม่นพอๆกับคนอเมริกันจำโดโรธี จาก  Wizard of Oz พูดคำว่า " Toto, I've a feeling we're not in Kansas anymore."
เอามาให้ดูในรูปซ้าย  ส่วนรูปขวาคือปัจจุบัน

เลสเตอร์อำลาวงการมายาไปตั้งแต่อายุ 19 เพราะหาบทดีๆเล่นไม่ได้    เล่นอีกหลายเรื่องก็ไม่ประสบผลสำเร็จ  เลยหันไปเอาดีทางประกอบอาชีพ เป็นแพทย์แผนออสทีโอพาธี  คุณหมอศิลาคงอธิบายได้ดีกว่าดิฉันมากค่ะ

            น่าจะเรียกได้ว่าเป็น "นักบำบัดจัดกระดูกและกล้ามเนื้อ" ไม่ได้เรียนแพทย์, ให้การบำบัดรักษาด้วย
วิธีแบบกายภาพบำบัด (สั่งยากิน,ฉีดยาไม่ได้)  มีส่วนเหมือน chiropractor ที่จะเน้นการจัดการกระดูกสันหลัง
เป็นหลัก(ในอเมริกาสาขานี้จบแล้วเรียก Doctor of Chiropractic แต่ไม่ใช่ แพทย์ที่ practice in medicine
and surgery)

            อเมริกาจะเรียกว่าเป็น osteopath (ส่วนแพทย์ที่จบเทรนสาขาทางนี้เรียกเป็น osteopathic physician)
           
            บ้านเรา, โดยทั่วไป นักกายภาพบำบัด(physiotherapist) จะให้การรักษาตาม order,การกำกับจาก
แพทย์เวชศาสตร์ฟื้นฟู - physiatrist, PM&R physician(physical medicine and rehabilitation) ซึ่งบางคนเรียก
สลับ,เรียกรวมเป็นหมอกายภาพบำบัด
            และก็มี chiropractor ให้การรักษาอยู่บ้างในบางแห่ง

น่ารักเป็นธรรมชาติทั้งมาร์ค เลสเตอร์และเทรซี่ ไฮด(ตอนนั้นเธอ11ขวบ)
เข้ามาฉายประมาณ 2515
เป็นหนังโรงในดวงใจผมเหมือนกัน

เหตุการณ์ก่อการร้ายในลอนดอนตอนบ่ายวานนี้
 
http://www.reurnthai.com/index.php?topic=6382.msg156578;topicseen#msg156578

ชวนให้นึกถึงฉาก ฟากฟ้ามหานครล่ม ผู้ก่อการร้ายถล่มลอนดอน

เนื้อเพลง Skyfall จาก James Bond(2012) ซึ่งเป็นตอนที่อาคาร MI6 - British Secret Intelligence Service
(SIS, MI6) ถูกวางระเบิดถล่มต่อหน้า M(รับบทโดย Dame Judi Dench)

    This is the end
Hold your breath and count to ten
Feel the earth move and then
Hear my heart burst again

For this is the end
I've drowned and dreamt this moment
So overdue I owe them
Swept away, I'm stolen

Let the sky fall
When it crumbles
We will stand tall
Face it all together
At skyfall

https://www.youtube.com/watch?v=rh_us78fTlI

สืบเนื่องจากการเลือกตั้งประธานาธิบดีฝรั่งเศสที่มีตัวเก็งประธานาธิบดีเป็นนายอีมานูแอล มาครง
นักการเมืองที่อายุเพียง 39 ปี ผู้มีชีวิตส่วนตัวเป็นที่รู้กันอยู่ทั่วไปคือเขามีภรรยาที่อายุมากกว่าถึง
24 ปี ชื่อบริจิตต์ โทรนเญอซ์ ทั้งคู่พบรักกันในขณะที่นายมาครงอายุ 15 ปี และเป็นนักเรียนในชั้น
เรียนของครูบริจิตต์

วานนี้,คอลัมนิสท์ โกวิท วงศ์สุรวัฒน์ เขียนลงนสพ.มติชนในหัวข้อเรื่อง

                  ภรรยาอายุมากกว่าสามีถึง20กว่าปี ไม่ใช่เรื่องแปลกของฝรั่งเศส

http://www.matichon.co.th/matichon/view_news.php?newsid=01act02030560&sectionid=0130&day=2017-05-03

เล่าถึง ชู้รักของพระเจ้าอองรีที่ 2 กษัตริย์แห่งฝรั่งเศสในช่วงยุคฟื้นฟูศิลปวิทยา (Renaissance) ชื่อ
นางไดแอน เดอ ปอยเตียร์ ซึ่งมีอายุแก่กว่ากษัตริย์ถึง 20 ปี และเป็นที่รักอย่างจริงจังได้รับการเชิดชู
ออกนอกหน้าเหนือกว่าควีนตัวจริง
(domaine-chaumont.fr)

           นามนี้เรียกคืนความทรงจำเมื่อหลายปีก่อนมาได้ว่า เคยดูหนังที่สร้างจากเรื่องราวของ
ดิอานน์ ผู้นี้ที่นำมาฉายทางทีวีบ้านเราเมื่อนานมากกแล้วจนจำรายละเอียดไม่ได้ รู้แต่ว่าเป็นอีกหนึ่ง
หนังประทับใจ จากบทบาทการแสดงนำโดย  Lana Turner นักแสดงหญิงสวยหยาด,มาดสูงส่ง
แต่ซ่อนความร้ายลึก

Diane หนังปี 1956

         คู่กับนักแสดงหนุ่มน้อยหน้าใหม่ ยุคพรีซีรี่ส์ดัง(ไอแวนโฮ,มาเวอริค,สิงห์สำอางค์) และพรีเจมส์ บอนด์
Roger Moore

พระเจ้าอองรีที่ 2 และมเหสีควีน แคทเธอรีน เดอ เมดีชี จากตระกูลทรงอิทธิพลแห่งอิตาลี

(www.kleio.org)

คลิปตัวอย่าง
https://www.youtube.com/watch?v=l6BV464ieqI

          ดิอานน์ Diane de Poitiers (1499 – 1566) เข้าเฝ้าคิง Francis I เพื่อขอพระราชทานชีวิต
สามีที่ถูกข้อหาเป็นขบถได้สำเร็จจนเกิดเป็นข่าวลือว่านางได้ใช้ตัวเองเข้าแลก ท่านเคานท์ผู้สามีจึงเทนางทิ้ง
แต่คิงได้ช่วยเหลือให้เธอได้มาเป็นครูสอนวิชาชายชาติสุภาพบุรุษถวายโอรส เจ้าชาย Henry(1519 - 1559)
รัชทายาทลำดับที่สอง ซึ่งมีชันษาเยาว์วัยกว่าถึง 20 ปี
(lobbycards.tumblr.com)

ครบเครื่องเรื่องความงามและความสามารถ

           ด้วยความสวยสาวกว่าวัย,ความใกล้ชิดสนิทเสน่ห์นาง นำพาให้ทั้งสองรักกันและมี
ความสัมพันธ์ต่อเนื่องแม้เมื่อเจ้าชายได้อภิเษกกับ Catherine de Medici จากตระกูลทรง
อิทธิพลแห่งอิตาลีที่ได้จัดการให้เจ้าชายได้ขึ้นครองราชย์เป็นพระเจ้า Henry II ในที่สุด

แคธรีน เดอ เมดีซีได้สวมมงกุฎเป็นควีน แต่ดิอานน์ได้ครองหัวใจและเป็นหนามยอกอก   

          เพื่อกำจัดดิอานน์และชูเชิดแคธรีนขึ้นมามีอำนาจ(สูงสุด) ตระกูลเมดีซีจากอิตาลีได้ส่งสารมาว่า
ถ้าหากกำจัดนกไม่ได้ก็ให้ตัดต้นไม้ที่นกอาศัยทำรังอยู่
          ในที่สุด, พระเจ้าอองรีก็สวรรคตจากการประลองทวนแล้วได้รับบาดแผลสาหัสที่ศีรษะ

พระเจ้าอองรียกย่องดิอานน์เหนือควีนอย่างเปิดเผยตลอดมาจวบจนวันสุดท้ายที่สองนางพญาเข้าเฝ้าชม
การประลองทวน        

            ควีนแคธรีนขึ้นเป็นผู้สำเร็จราชการแทนยุวกษัตริย์น้อย ส่วนดิอานน์ถูกเนรเทศออกจาก
นครหลวง
(stirredstraightup.blogspot)

ถึงฉากสุดท้ายตอนจบนี้เองที่ประทับใจจำได้

           ดิอานน์เข้าเฝ้าควีนเพื่อถวายคืนเครื่องเพชรพระราชทานก่อนที่จะออกเดินทางจากราชสำนักไป
ไม่มีวันกลับ เจ้าชายน้อยอำลาอาลัยกอดป้าดิอานน์

สงครามความรักระหว่างสองนางพญาสิ้นสุดลงด้วยการสูญเสียของทั้งสองฝ่าย          

               ในที่สุด,หลังจากความพ่ายแพ้และการสูญเสียยังมีสิ่งสุดท้ายที่เหลือไว้คือการชนะใจ
ตนเอง และ การให้อภัย
               ควีนหยิบสิ่งของชิ้นหนึ่งฝากให้เจ้าชายน้อยรีบนำไปมอบให้ป้าดิอานน์

มองตามรถม้านำพาเทวีนักล่าออกคืนลำเนาไพร
(ดิอานน์ - ไดอานา นามของเทวีนักล่าในเทพปกรณัม)

           สิ่งนั้นคือแหวนที่ดิอานน์เคยถวายให้คิงอองรีสวมใส่ไว้ตลอดจนวันสุดท้ายของชนม์ชีพ

          ดิอานน์ออกจากราชสำนักไปพำนักที่ chateaux d' Anet ทางตอนเหนือของฝรั่งเศส
ที่คิงอองรีโปรดให้สร้างเป็นของขวัญแก่เธอ ดิอานน์ใช้ชีวิตอยู่ที่นั่นจวบจนวาระสุดท้ายของชีวิต

           หลายปีก่อน telegraph.co.uk เสนอสกู๊ปเล่าเรื่อง เคล็ดลับความงามซึ่งนำความตายมาสู่
ดิอานน์ ว่า
           นอกจากการออกกำลังกาย,การเล่นกีฬาแล้ว ยาอายุวัฒนะที่ดิอานน์ดื่มเป็นประจำทุกวันเพื่อ
คงความงาม,ความสาวกว่าวัยและผิวพรรณขาวผ่องราวเครื่องเคลือบนั้นมีส่วนประกอบของ gold chloride 
และ diethyl ester           
           ดิอานน์จึงได้รับพิษทองคำเป็นประจำทุกวันส่งผลให้สุขภาพค่อยๆ ทรุดลงจนเสียชีวิตเมื่ออายุ 66 ปี
           ผลจากการตรวจเส้นผมซึ่งมีขนาดเล็กละเอียดกว่าปกติจากร่างของเธอพบว่ามีปริมาณทองคำมากกว่า
ค่าปกติถึง 500 เท่า นอกจากเส้นผมแล้วฟันและกระดูกของเธอก็เปราะบางส่งผลให้ร่างกายของเธออ่อนแอลง
ในช่วงบั้นปลายของชีวิต ส่วนความขาวผ่องออร่านั้นก็เป็นผลจากพิษทองคำที่ทำให้เกิดภาวะโลหิตจาง

           หลังจากดิอานน์เสียชีวิต,ร่างของเธอได้ถูกฝังไว้ในโบสถ์น้อยภายในชาโต้ที่พำนัก จนเมื่อเกิดการปฏิวัติ
ฝรั่งเศส,ที่ฝังศพของเธอถูกล่วงล้ำละเมิด, ร่างของเธอถูกย้ายออกไปฝังในที่ฝังศพสาธารณะนอกกำแพงชาโต้

งานประติมากรรม ดิอานน์ - เทวีพรานไพร(ไดอาน่า แห่งเทพปกรณัม) ใน  chateaux d' Anet 
(panoramio.com)

           จนกระทั่งปี 2009 ร่างของเธอจึงได้ถูกขุดขึ้นมาอีกครั้งและหลังจากที่ผู้เชี่ยวชาญได้
ทำการตรวจสอบยืนยันว่าเป็นร่างของเธอและตรวจพบภาวะพิษทองคำแล้ว
           ในที่สุด ดิอานน์ก็ได้กลับคืนมายังชาโต้ของเธอ

(blog.catherinedelors.com/diane-de-poitiers-returns-to-her-grave/)       

                ตั้งแต่ก่อนการเลือกตั้งจนกระทั่งการเลือกประธานาธิบดีฝรั่งเศสผ่านพ้นไป เรื่องราวส่วนตัวของ
ปธธ.คนใหม่ยังคงครองพื้นที่สื่ออย่างต่อเนื่องโดยเรื่องราวเท่าที่ปรากฏนั้นยังคงเดิมๆ มีที่เพิ่มเติมบ้างเล็กน้อย
                ทั้งสองต้องตกเป็นเป้าของกล้องจากสื่อต่างๆ จนบางครั้งก็ดูน่าอึดอัดใจแทน โดยเฉพาะเมื่อบาง
รูปที่ปรากฏเป็นภาพแห่งความขัดแย้งระหว่างวัยที่เห็นได้ชัด

สื่อบางเจ้าจะเรียกปธธ.และภรรยาอย่างกันเองว่า Bibi และ Manu

ภาพจุมพิตแรกของนรช. มนู กับคุณครู บีบี ที่รัก
(thelocal.fr)

           ส่วน บีบี เจ้าเดิม ในวัยย่าง 83 ปีก็ได้ครองพื้นที่สื่อบางเว็บตอนช่วงการหาเสียง เมื่อเธอออกโรง
เชิญชวนชาวฝรั่งเศสไม่ลงคะแนนเสียงให้มนู เธอว่าดวงตาของเขาแข็ง(ดั่งเหล็ก)กล้า แสดงว่าเป็นคนที่
ไม่มีใจเมตตา,ไม่รักสัตว์
(express.co.uk)

          Brigitte Bardot ในวัยสาวคือนักแสดงสาวสวยยวนใจจนได้ฉายาว่า ลูกแมวยั่วสวาท(sex kitten)
จากหนังดังแจ้งเกิดของเธอคือ And God Created Woman
          เมื่ออำลาวงการแล้วคุณยายบีบีก็หันมาเป็นนักกิจกรรมรณรงค์พิทักษ์รักษ์สัตว์อย่างต่อเนื่อง
(alchetron.com)

มาเสริมคุณหมอ SILA
บีบี หรือบริจิตต์ บาโดต์ เป็นดาราสาวชาวฝรั่งเศสที่ดังระเบิดในยุค 1950s เรื่อยมาจน 1960s และอำลาจอหนังไปในปี 1973 เมื่อถึงวัย  39 ปี    อาจเป็นเพราะสมญา "ลูกแมวยั่วสวาท" มาถึงจุดที่เรียกอย่างเดิมไม่ได้อีกแล้ว
เธอเป็นหนึ่งในดาราสาวสวยที่คนจำหน้าได้มากกว่าจำหนังที่เล่น   เป็นคนสวยเซกซี่ตามแบบของตัวเองจริงๆ     หน้าตาท่าทีของบีบีต่อให้แต่งเครื่องแบบนักเรียนก็ยังเซกซี่อยู่นั่นเอง

อนิจจัง วัตตะสังขารา...

https://www.youtube.com/watch?v=U7FuXrOgk4U

            เมื่อหลายทศวรรษก่อน มีหนังเล่าเรื่องราวย้อนรำลึกถึงรักข้ามรุ่นระหว่างเด็กหนุ่มกับหญิงงาม
ที่ชายหาดช่วงหน้าร้อน ที่แม้ว่าจะเป็นหนังเล็กๆ เกรดบี, ไม่มีดาราดังนำแสดงแต่เมื่อออกฉายกลับประสบ
ความสำเร็จเป็นอย่างดีที่บ้านเขา และเมื่อนำเข้ามาฉายในบ้านเราก็ได้รับความสนใจไม่น้อย
      
            Summer of '42 หนังอเมริกันปี 1971 (เกือบห้าสิบปีมาแล้ว!) ที่มีเนื้อเรื่องอิงประสบการณ์จริง
แล้วเจ้าของเรื่องนำมาถ่ายทอดลงเป็นบทภาพยนตร์ด้วยตัวเอง เล่าถึงความสัมพันธ์ชั่วคราวแต่ทรงจำยาวนาน
ที่เกิดขึ้นคราวคิมหันต์ปีนั้น

โปสเตอร์หนังเชิญชวนน่าชม
(เครดิท awesomebmovies,thewordslinger,youtube.com)

             หนังเปิดเรื่องเล่าด้วยเสียงชายวัยกลางคนนำย้อนภาพอดีตวัยเยาว์ของเขา Hermie
(Herman Raucher) และเพื่อนร่วมรุ่นราวคราววัยฮอร์โมนเวอร์จิ้นว้าวุ่นใช้เวลาช่วงวันหยุด
พักร้อนบนเกาะแห่งหนึ่งเหล่สาวตามประสาและหาโอกาสที่จะมีประสบการณ์ทางเพศครั้งแรกกับ
เด็กสาวรุ่นราวคราวเดียวกัน
             จนกระทั่งวันหนึ่ง ที่บ้านบนเนินทรายชายทะเลหลังนั้น

            เฮอร์มี่ได้พบประสบพักตร์กับเจ้าสาวหมาดๆ สวยหยาดที่ย้ายเข้ามาพำนักพร้อมกับสามี
ที่เป็นทหารแล้วเกิดเป็นความประทับจับใจวัยแรกหนุ่ม

          หลังจากที่ฝ่ายชายต้องจากไปรับใช้ชาติ วันหนึ่งเฮอร์มี่ที่ได้แต่มองก็สบโอกาสที่จะได้ทำ
ความรู้จักกับเธอเมื่อเขาเข้าไปช่วยเธอเก็บข้าวของที่ซื้อหามาแล้วตกหกหล่นกระจาย เขาหอบข้าว
ของเดินไปส่งถึงบ้าน

เธอชื่อ Dorothy คนมีเจ้าของต้องห้ามแต่เธองามและมีเสน่ห์เกินจักหักใจ

คุณหมอมาฉีดยากระตุ้นต่อมความหลัง ให้ทำงานขึ้นมาอีกครั้ง  :'( :'( :'(
เพลงจากหนังเรื่องนี้ เป็นเพลงประทับใจอยู่ยาวนานข้ามทศวรรษ     เพราะตอนนั้นหนังเรื่องนี้ดัง และเพลงก็ดังมาก
ชื่อ The Summer Knows หรือ Summer of '42

https://www.youtube.com/watch?v=T1vtujnOqhM

https://www.youtube.com/watch?v=Mv9w4UK-FBg

รำลึกความหลังต่อครับ

           เฮอร์มี่แวะเวียนมาเยี่ยมเยียนที่บ้านบนเนินทรายและช่วยทำงานของผู้ชายให้พี่สาวงาม ในขณะ
ที่เพื่อนๆ ออกตามเด็กสาววัยเดียวกัน
           คืนหนึ่ง เฮอร์มี่แวะมาที่บ้านดอรธีแล้วได้เห็นจดหมายจากทางการแจ้งข่าวการเสียชีวิตในสงคราม
ของสามีเธอ

ดอรธีในคืนที่เจ็บปวด อ้างว้าง สูญเสีย ไม่มีใคร
           

ยามที่ใจอ่อนแอต้องการที่พักพึ่งพิงมีเพียงหนุ่มน้อยเพิ่งรู้จักผ่านเข้ามา

เหตุการณ์หลังจากนั้นก็เป็นไปโดยไม่ผิดคาด พี่สาวเริ่ม,น้องตาม
ทั้งสองมีความสัมพันธ์อันลึกซึ้งในคืนหนึ่งคืนนั้น

           วันต่อมา เมื่อเฮอร์มี่กลับมาที่บ้านบนเนินกลับได้พบว่า บ้านนั้นปราศจากดอรธี มีเพียงจดหมาย
จ่าหน้าซองถึงเขาติดอยู่ที่ประตู
           ดอรธีบอกว่า เธอจำเป็นต้องกลับบ้านด้วยว่ามีสิ่งที่ต้องทำมากมาย เธอจะไม่ลืมเขาและจะไม่
พยายามอธิบายสิ่งที่เกิดขึ้นในคืนนั้นที่เธอหวังว่าเขาจะค้นพบ,เข้าใจความหมายที่ถูกต้องของสิ่งนั้นได้
ในไม่ช้า เธอหวังว่าเฮอร์มี่จะได้พบสิ่งดีๆ ในชีวิตและจะไม่เสียใจกับโศกนาฏกรรมที่ไม่สำคัญครั้งนี้            
            

           เฮอร์มี่ออกจากบ้านบนเนินมานั่งซึมริมชายหาดพักใจก่อนที่จะก้าวเดินต่อไป
 
           เสียงเฮอร์มี่ในวัยกลางคนบอกเล่าปิดท้ายเรื่องว่า นับจากคิมหันต์ปีนั้นที่ได้ทิ้งความทรงจำ
ไม่อาจลบเลือนไว้ เขาก็ไม่ได้พบเจอหรือแม้แต่ได้รับข่าวคราวจากดอรธีอีกเลย และ เขาได้สูญเสีย
เฮอร์มี่ไปในหน้าร้อนปีนั้นที่ Hermie ได้เติบโตเป็น Mr. Herman Raucher

คลิปฉากสุดท้ายประกอบเพลงบรรเลงหน่วงอารมณ์

https://www.youtube.com/watch?v=RB41ENZuoRk

           หนังเล็กๆ เรื่องนี้ได้ Robert Mulligan ผู้กำกับ To Kill a Mockingbird มารับกำกับให้
เมื่อออกฉายก็ได้สร้างความประทับใจให้คนดูไม่ลืมเลือน ตัวหนังประสบความสำเร็จทั้งรายได้ทำกำไร
อย่างสูงเมื่อเทียบกับต้นทุนที่น้อยนิดและได้รับคำชม ตลอดจนได้รับการเสนอชื่อเข้าชิงรางวัลออสการ์
ถึง 5 สาขาแต่คว้าได้มาหนึ่ง จากบทเพลงประกอบซึ่งเป็นผลงานการประพันธ์โดยคีตกวีมีชื่อ Michael Legrand

ทำนองเพลงนี้ได้รับการใส่เนื้อร้องแล้วมีนักร้องดังๆ นำมาถ่ายทอดเป็นเพลงร้องชื่อว่า The Summer Knows
เลือกเสียงร้องของ Frank Sinatra พร้อมคลิปคืนหนึ่งคืนนั้น

https://www.youtube.com/watch?v=pHrzFTiIiyA

             นักแสดงนำฝ่ายหญิง Jennifer O’Neill ซึ่งเป็นที่จดจำจับใจผู้ชมจากหนังเรื่องนี้แล้ว
ได้มีผลงานจอเงินตามมาประปรายแต่ไม่โดดเด่นเท่า ในเวลาต่อมาเธอจึงข้ามมาเป็นนักแสดงนำ
ในซีรี่ส์ทางจอแก้วเรื่องนี้ซึ่งนำเข้ามาฉายในบ้านเราด้วยทางช่องสามหนองแขม

             Cover Up ออกอากาศในปี 1984–85 ได้เรทติ้งไม่มากนักจึงไม่ได้ไปต่อซีซันสอง ซีรี่ส์นี้
เป็นข่าวใหญ่หลังถ่ายทำไปไม่นานนัก เมื่อนักแสดงนำชายคู่กับเธอ Jon-Erik Hexum ประสบอุบัติเหตุ
ในกองถ่าย
             ข่าวว่าเฮ็กซัมหยิบปืนของกองถ่ายมาเล่น Russian roulette เมื่อเขาลั่นไก,หมอนรองหัวกระสุน
(-Wadding, ของกระสุนเปล่าปราศหัวกระสุน) ได้กระแทกกระโหลกแตกเจาะเข้าเนื้อสมองทำให้เกิดเลือด
ออกรุนแรงจนสมองตาย

            คั่นรายการหนังรักหน้าร้อนเรื่องต่อไป ด้วยข่าวใจหายเมื่อดาวดวงใหญ่ลับหายจากฟากฟ้า

            เพิ่งรำลึกถึงปู่ไปใน ดิอานน์ หนังรุ่นแรกที่ปู่แสดงก่อนที่จะมาลงซีรี่ส์ดังอย่าง ไอแวนโฮ,มาเวอริค
และสิงห์สำอางค์ แล้วมารับบทเป็นเจมส์ บอนด์ แบบมาราธอน 8 ตอน(มากกว่าบอนด์คนอื่นๆ) ด้วยกัน
            ปู่ในปัจฉิมวัย 89 ปี, ป่วยด้วยมะเร็งร้ายแล้วพ่ายไปในที่สุด           

  ไปค้นเบื้องหลัง Summer of 42 มาได้อีกนิดหน่อย ว่าจะมาเสริมคุณหมอ SILA   แต่มาเจอข่าวปู่เข้า เลยเอา Ivanhoe  สมัยปู่ยังเป็นหนุ่มหน้าละอ่อน มาลงแทน เป็นที่ระลึกค่ะ

  https://www.youtube.com/watch?v=aNF5klIQEa0

ข้ามจากอังกฤษมาเล่นหนังคาวบอยทีวีเรื่องดังของอเมริกา  ในบท Beau Maverick ญาติของมาเวอร์ริคพระเอกของเรื่อง

https://www.youtube.com/watch?v=o3eU2DM92XM

   ความจริงคุณปู่โรเจอร์ ดังระเบิดเถิดเทิงมาก่อนหน้านี้ ในบท Simon Templar  พระเอกหนังทีวีชุด The Saint (เริ่ม 1962) หรือชื่อไทยตรงบุคลิกเป๊ะ ว่า "สิงห์สำอาง"
   หนังทำจากนิยายพระเอกเป็นผู้ร้ายผู้ดีทำนองโรบินฮู้ดยุคใหม่  แต่ในหนังทีวีความเป็นโจรของพระเอกเห็นไม่ชัด   มีแต่ภาพลักษณ์ว่าเป็นเศรษฐีหนุ่มไฮโซ  ชอบผจญภัยในเรื่องของชาวบ้านไปเรื่อย   คุณปู่ชอบแต่งทักซีโดเสื้อขาวสะอาดสะอ้านเหมาะกับมาดอยู่เกือบทุกตอน
  และตอนต้นจะต้องเริ่มด้วยเหตุการณ์เล็กๆ จบลงด้วยใครสักคนเอ่ยชื่อ ไซมอน เทมปลาร์ออกมา    แล้วก็มีรัศมีวงกลมของนักบุญลอยขึ้นเหนือหัวพระเอก   ในยุค 1960s  ถือว่าเท่เสียไม่มี

https://www.youtube.com/watch?v=Ksu_MUvwicI&index=2&list=PLvrGm7rQ2_V7QYKXNdDCjKIiV8VieTebd

              จากซีรี่ส์ดัง สิงสำอาง ทางจอแก้ว,ปู่กลับมามีผลงานทางจอเงินที่โด่งดังสร้างชื่อระดับตำนาน
จากบทบาทสายลับระดับอินเตอร์ - เจมส์ บอนด์ เวอร์ชั่นแบบปู่นี้ก็น่าจะเรียกได้ว่าเป็นสายลับสำอาง

             ปู่สร้างสถิติกับแฟรนไชส์หนังเรื่องนี้ ด้วยการเป็นบอนด์ที่มีอายุมากที่สุด - รับบทบอนด์
ตอนแรก Live and Let Die (1973) ด้วยวัย  45 ปี และรับบทนี้สิริรวม 7 ตอนๆ ปิดท้ายนั้นปู่ก็
อยู่ในวัยใกล้เกษียณแล้ว (57 ปี กับ  A View to a Kill - 1985)
              ปู่จึงเป็นนักแสดงที่รับบทบอนด์มากตอนที่สุด (ปู่ฌอน เป็นบอนด์ 6 ตอน,ไม่นับบอนด์
นอกแฟรนไชส์ 1 ตอน - Never Say Never Again)
              ตอนเกษียณจากบทบอนด์, ปู่ออกตัวว่ารู้สึกขัดเขินที่ต้องแสดงเลิฟซีนกับนักแสดงสาวคราวลูก

              ปู่จะมีปัญหากับฉากยิงปืนเพราะเคยมีประสบการณ์ผวาครั้งตอนเป็นเด็กวัย 14 ขวบเกิดอุบัติเหตุ
ถูกปืนลมของพี่ชายยิงเข้าที่ขาจนมีปัญหาโฟเบีย - hoplophobia (fear of firearms) และ
              ถึงแม้ว่าปู่จะขับเรือเร็วในหนังด้วยตัวเองทุกตอนแต่ถึงบทวิ่งกลับต้องใช้ตัวแสดงแทนเพราะปู่รู้สึก
ว่าตัวเองไม่ถนัดวิ่ง,ดูท่าจะเก้งก้าง
(deviantart)

           ปู่มาเมืองไทยด้วยเพื่อถ่ายทำบอนด์ตอน The Man with the Golden Gun(1974)
หนึ่งในโลเคชั่นที่ใช้ถ่ายทำแล้วกลายเป็นแหล่งท่องเที่ยวชื่อดังจนผู้คนหลั่งไหลกันมามากเกินคือที่นี่
(lifebetweenframes.blogspot)

          ปู่ขับเรือเอง(แต่ตอนวิ่งใช้นักแสดงแทน)

            ที่เมืองโบราณกับนักแสดงสมทบแฝดสาว(ที่ไม่ได้เห็นผลงานนานมากแล้ว)

             ฉากรถข้ามสะพานขาดในตำนานจากบอนด์ตอนนี้
(telegraph.co.uk)

และ คลิป(ดัดแปลง) จากฉากนี้

https://www.youtube.com/watch?v=I6iksKTURlA

อ้างจาก facebook ของคุณวินทร์ เลียววาริณ

แฟนหนัง เจมส์ บอนด์ คนหนึ่งชื่อ Marc Hayes เขียนถึง รอเจอร์ มัวร์ ในเฟซบุ๊คของเขา อ่านแล้วรู้สึกดี จึงขออนุญาตถอดความมาให้อ่านกัน (ไม่ได้แปลตรงเป๊ะทุกคำ เพราะเวลาน้อย)

…………….

เมื่อผมอายุเจ็ดขวบในราวปี 1983 ผมกับปู่ของผมอยู่ที่สนามบินนีซ และเห็น รอเจอร์ มัวร์ นั่งที่เกทขาออก เขากำลังอ่านหนังสือพิมพ์ ผมบอกปู่ว่าผมเพิ่งเห็น เจมส์ บอนด์ และอยากไปขอลายเซ็น ปู่ของผมไม่รู้หรอกว่า เจมส์ บอนด์ เป็นใคร แต่เราก็เดินไปหาเขา ปู่บอกเขาว่า "หลานผมบอกว่าคุณดังมาก ช่วยเซ็นชื่อให้เขาหน่อยซีครับ"

รอเจอร์ มัวร์ ถามชื่อผม แล้วเซ็นชื่อที่หลังตั๋วเครื่องบินของผม ผมรู้สึกเต็มตื้น แต่เมื่อเรากลับมายังที่นั่งของเรา ผมมองเห็นลายเซ็น หัวใจผมหล่นวูบ มันไม่ใช่ 'เจมส์ บอนด์' แต่เป็น รอเจอร์ มัวร์ ผมไม่รู้จริงๆ ว่าใครคือ รอเจอร์ มัวร์ ผมบอกปู่ว่าเขาเซ็นชื่อผิด เขาใส่ชื่อใครก็ไม่รู้ ดังนั้นปู่จึงเดินกลับไปหาเขาขณะที่ผมนั่งอยู่ที่เดิม ปู่บอกเขาว่า "คุณเซ็นชื่อผิดแน่ะ หลานผมบอกว่าคุณชื่อ เจมส์ บอนด์ ต่างหาก"

รอเจอร์ มัวร์ กวักมือเรียกผมไปหา เขาเอนตัวเข้ามา เลิกคิ้วข้างหนึ่ง กระซิบกับผมว่า "ผมต้องเซ็นชื่อเป็น รอเจอร์ มัวร์ ไม่งั้นโบลเฟลด์ (ตัวร้ายในเรื่อง เจมส์ บอนด์ - วินทร์) จะรู้ว่าผมอยู่ที่นี่" เขาบอกให้ผมอย่าบอกใครว่าผมเห็น เจมส์ บอนด์ และเขาขอบคุณที่ผมช่วยเก็บความลับนี้ ผมกลับไปที่นั่งเดิม รู้สึกลิงโลด ผมกำลังทำงานกับ เจมส์ บอนด์ อยู่ในตอนนี้

หลายปีต่อมา ผมทำงานเป็นคนเขียนบทงานขององค์การยูนิเซฟ รอเจอร์ มัวร์ เป็นทูตสันติภาพ เมื่อมีโอกาส ผมเล่าเรื่องที่ผมพบเขาที่สนามบินนีซให้เขาฟัง เขาดีใจที่ได้ยิน หัวเราะ บอกว่า "ผมจำไม่ได้แล้ว แต่ผมดีใจที่คุณได้พบกับ เจมส์ บอนด์"

หลังจากการถ่ายทำเสร็จสิ้น เขาเดินผ่านผมไปที่รถ เขาหยุด เลิกคิ้วข้างหนึ่ง กระซิบกับผมว่า "แน่นอน ผมจำได้ว่าเราพบกันที่นีซ แต่ผมไม่สามารถบอกอะไรคุณตอนที่เราถ่ายทำอยู่ เพราะช่างภาพพวกนั้นอาจมีใครทำงานให้โบลเฟลด์ก็ได้"

…………….

Rest in peace. รอเจอร์ มัวร์ - เจมส์ บอนด์ ของเรา!

วินทร์ เลียววาริณ
เฟซบุ๊ค https://www.facebook.com/winlyovarin/

ปี 1976  ปู่โรเจอร์เล่นหนังที่ผลิตสำหรับฉายทางทีวี  ชื่อ Sherlock Holmes in New York  หมอวัตสันก็คนหน้าคุ้น Patrick MacNee  หรือจอห์น สตีด จาก The Avengers

https://www.youtube.com/watch?v=N4smm3uVdEM

บัดนี้ทั้งสองก็ได้ไปเล่นภาคต่อบนสวรรค์แล้ว   แม็คนีล่วงหน้าไปก่อนตั้งแต่ปี 2015

เรื่องเล่าของคุณวินทร์ น่าประทับใจมากครับ เจมส์ บอนด์มีอารมณ์ขันยังงี้นี่เองสาวๆเลยหลง
ผมก็โตมาในยุคของ โรเจอร์ มัวร์. เขาเป็นเจมส์ บอนด์ในดวงใจเลยล่ะครับ

              ถัดจาก Summer of '42 มาอีกสิบกว่าปี มีหนังเล่าเรื่องราวรักคราวคิมหันต์วันวาน
เมื่อนานมากกว่าส่งมาจากฟากฝั่งอังกฤษ     

              A Summer Story หนังปี 1988 ออกฉายอย่างไม่แพร่หลายไม่เป็นที่รู้จักกันนัก
หากแต่ใครที่ได้ดูต่างชื่นชมหนังเล็กๆ เรื่องนี้ที่เล่าเรื่องรักเล็กๆ แต่สร้างความประทับใจได้ใหญ่นัก
               บทหนังดัดแปลงจากเรื่องสั้น The Apple Tree ผลงานของนักเขียนรางวัลโนเบล
ชาวอังกฤษ John Galsworthy

               หนังเปิดเรื่องเล่าโดยตัวดำเนินเรื่อง - หนุ่มใหญ่กลับมาเยือนชนบทอังกฤษที่เขาเคย
มาเยือนครั้งยังเป็นหนุ่มน้อยเมื่อหน้าร้อนก่อนนั้นปี 1904
               ภรรยาของเขาแยกไปมองหาทิวทัศน์เพื่อวาดรูป ส่วนตัวเขาออกเดินสำรวจพื้นที่แห่ง
ความหลัง จนกระทั่งมาถึงประตูไม้บานนี้ที่เป็นสาเหตุแห่งอุบัติเหตุนำพาให้เขามีความรักความหลัง
ฝังฝากไว้ที่นี่

              จากนั้นภาพความทรงจำเรื่องราวย้อนอดีตไปเมื่อหน้าร้อนปีนั้น(1904) ก็ค่อยๆ ย้อนกลับ
คืนมาจากห้วงมโน
              สองหนุ่มน้อยจากลอนดอนออกท่องชนบทอังกฤษแถบ Devon ตอนใต้ของเกาะอังกฤษ
ช่วงวันหยุดหน้าร้อน

              Frank Ashton หนุ่มน้อยหน้าตาดีผมสีทองกระโดดข้ามประตูไม้แล้วลงเท้าผิดท่าจน
ได้รับบาดเจ็บจากข้อเท้าพลิก

            เพื่อนของเขาขอให้หญิงสาวชนบทที่ผ่านมาพาเขาไปหาที่พักรักษาตัวชั่วคราว
                   
Megan David สาวชาวไร่ หอบกำข้าวสาลีในอ้อมกอด งามชื่นตาชื่นใจ สวยใสบริสุทธิ์

            เธอพาแฟรงค์และเพื่อนไปพักอาศัยยังฟาร์มของป้าที่เธอผู้ซึ่งเป็นกำพร้า(แม่ตาย,พ่อเป็น
ใครไม่รู้) พึ่งพิงอาศัยอยู่

             ด้วยการต้อนรับดูแลอย่างจริงใจและด้วยบรรยากาศร่มรื่นสดชื่นของชนบททำให้แฟรงค์
พึงใจอยากใช้ชีวิตสบายๆ สโลว์ไลฟ์ในชนบทต่อ ส่วนตัวเพื่อนแยกกลับลอนดอนไปก่อน

            เสน่ห์หนุ่มชาวกรุงปรุงด้วยเครื่องแต่งกายกอปรกิริยามารยาทแบบสุภาพบุรุษผู้ดีสัมผัสใจ
เมกันให้ไหวหวั่น
            สภาพแวดล้อมที่เป็นใจ,ความใกล้ชิดและการดูแลเอาใจใส่อย่างดีจากสาวชาวไร่ ซื่อใส
ไม่ปรุงแต่งประดิษฐ์เช่นสาวชาวเมืองประทับใจหนุ่มชาวกรุง ในที่สุดความรู้สึกดีๆ ได้ก่อเกิดขึ้นใน
หัวใจของเขาและเธอ

แม้จะมีลูกชายของป้าที่หมายปองเธอแต่ก็เป็นเพียงรักข้างเดียว

              หนุ่มชาวกรุงเพลิดเพลินชมนางพลางทำตัวกลมกลืนไปกับชีวิตที่นี่ จนกระทั่ง

             ในคืนหนึ่งหลังงานเทศกาลตัดขนแกะของหมู่บ้านทั้งสองก็มีความสัมพันธ์อันลึกซึ้งร่วมกัน
ก่อนที่ป้าของเมกันซึ่งเริ่มรับรู้สึกถึงปัญหาที่จะตามมาต้องเอ่ยปากบอกให้แฟรงค์กลับไป

           แฟรงค์วางแผนไปแวะที่ Torquay เมืองชายฝั่งซึ่งอยู่ใกล้ที่สุดเพื่อเบิกเงินจาก
ธนาคารที่นั่น จากนั้นเขาจะกลับมารับเธอแล้วพาไปอยู่ด้วยกันที่ลอนดอน
           แต่อุปสรรคขัดขวางทางรักที่ไม่น่าจะเกิดกลับอุบัติขึ้น เมื่อธนาคารต้องการโทรเลข
ยืนยันจากลอนดอนก่อนจะให้ถอนเงิน แฟรงค์จึงต้องรอโทรเลขตอบกลับซึ่งใช้เวลาข้ามวัน
ครั้นเมื่อโทรเลขมาถึง,พนักงานธนาคารก็งุ่มง่ามเสียเวลา จนเมื่อเขารีบเร่งไปถึงสถานีแล้วแต่
ก็ไม่ทันขึ้นรถไฟที่เพิ่งเคลื่อนขบวนจากไป

             ระหว่างนั้น แฟรงค์ได้พบกับเพื่อนเก่าสมัยโรงเรียนซึ่งมาพักผ่อนที่นี่พร้อมน้องสาว
นามว่า Stella Halliday สาวสวยโปรยเสน่ห์ แฟรงค์ตัดสินใจใช้เวลาระหว่างติดอยู่ที่นี่รอรถไฟ
วันหน้ากับเพื่อนเก่าและสาวใหม่, สเตลลา

              สามวันจากนารีเป็นอื่น, กรณีนี้คือฝ่ายชาย แฟรงค์,ที่ได้กลับคืนสู่แวดวงสังคมระดับ
เดียวกับตนเองและได้ใช้เวลาส่วนใหญ่กับสเตลลาที่มีทีท่ามีใจให้, เริ่มเพลิดเพลินเกิดความรู้สึก
และความนึกคิดเปลี่ยนไป
              สำนึกรับผิดชอบลดน้อยถอยลง,ความเห็นแก่ตัวเพิ่มขึ้นเมื่อมีตัวเปรียบเทียบที่ดูคู่ควร
กว่ามาทำให้แฟรงค์ได้คิดคำนึงถึงความเหมาะสม,ความแตกต่างระหว่างชนชั้นที่เพื่อนเก่าของเขา
ได้ให้ข้อคิดเตือนไว้ ในที่สุดคำมั่นสัญญาที่เขาได้ให้ไว้กับสาวชาวไร่จึงกลับกลายไร้ความหมาย

           ส่วนเมกันนั้น, เมื่อแฟรงค์เงียบหายไปไม่กลับมาตามนัด เธอจึงตัดสินใจจากชนบท
มาตามหาชายคนรักที่เมืองชายหาดนี้

            แฟรงค์ซึ่งใช้เวลาอยู่กับสเตลลาเช่นเคยเป็นฝ่ายเห็นเมกันก่อนจึงขอตัวแยกมาลำพัง
แล้วแอบเดินตามเธอไปห่างๆ ในใจหน่วงด้วยความรู้สึกห่วง, สงสารและรู้สึกผิดแต่ก็เห็นแก่ตัว
กับขลาดเกินกว่าจะเข้าไปหาแล้วสารภาพ

             ในที่สุด, เมื่อเมกันรู้สึกว่ามีใครเดินตามมาจึงหยุดก้าวแล้วหันกลับมา เธอแลเห็นแฟรงค์
ยืนอยู่ตรงนั้นเพียงเสี้ยววินาที ก่อนที่รถม้าบรรทุกกระจกเงาจะแล่นผ่านมาพอดีแล้วสะท้อนแสงสว่าง
จ้าจนเมกันตาพร่าไปชั่วขณะ

หรือเพียงภาพมายา ปรากฏชั่วขณะตรงหน้าแล้วพร่าเลือนหาย

             เมื่อรถม้าแล่นเลยไปก็ไม่ปรากฏว่ามีแฟรงค์อยู่ตรงนั้นแล้ว ด้วยว่าเขาได้แวบไปแอบหลบ
อยู่หลังหลืบตึก

เรื่องราวความรักหน้าร้อนของเขาเริ่มต้นด้วยหัวใจ, จบลงด้วยหัวสมอง

            18 ปีผ่านไป, แฟรงค์กลับมาเยือนย่านชนบทแห่งความหลังครั้งนั้น

            ประตูไม้กั้นกางระหว่าง(ชนชั้นของ) เขาและเธอที่เขาได้กระโดดข้ามล่วงล้ำแล้วทำให้
ได้รับบาดเจ็บ(เพียงเล็กน้อย) ยังคงอยู่ แล้วเมกันล่ะ, ตอนนี้อยู่ที่ไหน(,ได้รับบาดเจ็บในครั้งนั้น
สักเท่าไร)
            แฟรงค์หวังว่าจะมีปาฎิหารย์บันดาลให้เขาได้พบเมกันและได้รับการให้อภัยจากเธอ
            ขณะที่เขามองลงไปยังบ้านไร่หลังนั้น ภาพเมกันจากห้วงความทรงจำปรากฏแจ่มชัดคืนมา,

                ชายสูงวัยคนหนึ่งซึ่งเคยพบกันเมื่อหน้าร้อนคราวนั้นเข้ามาทักทายชวนคุยทว่าแฟรงค์
ไม่ได้แสดงทีท่าว่าจดจำได้ เมื่อแฟรงค์ขอแยกตัว,ชายคนนั้นกลับชวนแฟรงค์เดินไปดูสิ่งที่เขาอยาก
ให้เห็น

           ชายชราพาแฟรงค์มาที่ หลุมฝังศพแห่งนี้ แล้วจึงเริ่มต้นเล่าเรื่องราวด้วยน้ำเสียงและสีหน้า
สะเทือนใจว่า

             นี่คือที่ฝังร่างของเมกัน หญิงสาวชาวไร่ที่ได้พบและรักกับหนุ่มผู้ดีจากลอนดอน ฝ่ายชายจาก
ไปก่อนแล้วต่อมาเมกันก็หายไปสองวัน(โดยไม่มีใครรู้ว่าไปไหน) ก่อนที่จะกลับมาในสภาพที่เปลี่ยนไป
ไม่เหมือนเดิมอีกเลย

        เมกันหมดแรงใจไร้แรงกายมีสภาพเหมือนร่างที่ขวัญหาย,เฝ้ารอคอยการกลับมาของชายคนรัก
จวบจนวันสุดท้ายที่เธอสิ้นใจหลังจากให้กำเนิดทารก คำขอครั้งสุดท้ายของเธอคือ ให้ฝังร่างของเธอ
ไว้ตรงนี้ซึ่งเป็นที่ๆ เธอได้พบกับชายคนรักเป็นครั้งแรกเพื่อรอการกลับมาของเขา

เศร้าจังเลยครับ  :'(

             ก่อนจากมา, แฟรงค์ซึ่งแต่งงานแล้วไม่มีทายาทถามถึงลูกของเมกัน ได้คำตอบว่า
เป็นลูกชายและเธอตั้งชื่อให้ว่า แฟรงค์

              บนถนนจากหมู่บ้าน, รถที่แฟรงค์นั่งแล่นมาพานพบกับเด็กหนุ่มชาวไร่ต้อนฝูงแกะ
อยู่เบื้องหน้า

              เมื่อรถแล่นเข้าใกล้, แฟรงค์ตะลึงมองหนุ่มน้อยผมสีทองคนนั้นที่ยิ้มแย้มทักทายอย่างเป็น
มิตรจนเหลียวหลัง

               รถที่สเตลล่าขับเคลื่อนพาเขาห่างไกลจากภาพนั้นจนเลือนลับแล้วกลับมีภาพของเมกัน
วันแรกเจอค่อยๆ แจ่มชัดขึ้นมาแทนที่

เป็นหนึ่งในตอนจบของหนังที่ประทับใจที่สุด ทั้งเศร้าดรามาระดับกระดาษเช็ดหน้าผืนเดียวไม่พอ,
ทั้งยังลงท้ายอย่างทึ่งแล้วอึ้งจนพูดแทบไม่ออก

         แม้จะเป็นหนังเล็กๆ พล็อตซ้ำคาดเดาได้ แต่เล่าเหตุการณ์ผ่านหูผ่านตาด้วยงานคุณภาพในด้านต่างๆ
ไม่ว่าจะเป็น การแสดง,งานสร้าง,การถ่ายทำ,ดนตรีประกอบและ บทที่ถ่ายทอดเรื่องราวธรรมดาๆ หากทว่า
สามารถจับใจคนดูให้ติดตามเอาใจช่วยและสะเทือนใจไปกับชะตากรรมของตัวละคร และ
         ด้วยการลงท้ายแบบมีเซอร์ไพรซ์พิเศษส่งผลให้ หนังจบแล้วแต่รูป,เวทนาค้างคาเป็นสัญญาพาเกิดสังขาร
ปรุงแต่งนำสู่ธรรมสังเวช                              

แม้ไม่เป็นที่รู้จักแพร่หลายแต่หลายๆ ความเห็นของผู้ที่ได้ดูต่างชื่นชมยกให้เป็นเพชรหลบในที่ไม่ค่อยมีใครเห็น

เรื่องสั้น The Apple Tree ที่มาของหนังเรื่องนี้    หาอ่านได้ในลิ้งค์นี้ค่ะ
http://www.online-literature.com/john-galsworthy/five-tales/3/

ดาวประดับฟ้าลาลับล่วงอีกดวงหนึ่ง

              ปู่ Adam West เจ้าของบทมนุษย์ค้างคาวที่โด่งดังทางจอแก้วช่วงทศวรรษ 1960s
จากไปเมื่อคืนวันศุกร์ที่ 9 มิ.ย.นี้ หลังจากการต่อสู้กับโรคมะเร็งเม็ดเลือดขาวได้ไม่นานด้วยวัย 88 ปี

จากหน้า twitter ของคุณปู่ตัวจริง therealadamwest

            นักแสดงชาวอเมริกันก้าวสู่วงการแสดงทั้งจอแก้วและจอเงินด้วยบทสมทบก่อนที่จะได้รับ
คัดเลือกให้มารับบทนำในทีวีซีรี่ส์ชุด Batman ซึ่งออกอากาศติดต่อกัน 3 ปี(1966-68) จนบทนี้
เป็นที่จดจำติดตัวปู่ตลอดไป
            หลังจากที่ซีรี่ส์ไม่ได้ไปต่อ,ปู่จำต้องขยับขยายไปรับงานแต่งชุดมนุษย์ค้างคาวออกอีเวนท์
และพอจะมีผลงานทั้งจอแก้วและจอเงินประปราย รวมทั้งผลงานการให้เสียงพากย์ด้วยน้ำเสียงที่ดรามา
น่าจดจำของปู่

ข้อความอาลัยจาก Burt Ward ผู้รับบท Robin

           กระทู้เก่า(เคย) คุยกันเรื่องซีรี่ส์นี้ที่

http://www.reurnthai.com/index.php?topic=2519.60

http://www.reurnthai.com/index.php?topic=4255.420

 :'( :'( :'(

https://www.youtube.com/watch?v=g4gu3FC3XAI

คลิปนี้คือมนุษย์ค้างคาว ที่สวมบทบาทโดยดาราดังในแต่ละยุคค่ะ  ดูตามโพยข้างล่างนี่ว่าใครเป็นใคร
0:00 Lewis Wilson (1943)
1:34 Robert Lowery (1949)
2:24 Adam West (1966-1968)
3:29 Michael Keaton (1989-1992)
5:27 Val Kilmer (1995)
7:30 George Clooney (1997)
8:21 Christian Bale (2005-2012)
9:20 Ben Affleck (2016-????)

https://www.youtube.com/watch?v=4XhqxbBKUsg

ขอย้อนกลับไปถึง The Summer Story ค่ะ
โครงเรื่องทำให้นึกถึง "ดรรชนีนาง" ของ "อิงอร"   นายทหารเรือหนุ่มบรรดาศักดิ์สูงเป็นเจ้านาย มาพบสาวน้อยชาวเกาะห่างไกลผู้คน   เกิดรักจนได้เสียกันขึ้น  แล้วพระเอกก็ลากลับขึ้นเรือรบหลวง กลับกรุงเทพ   
นางเอกเฝ้ารอจนได้ข่าวว่าเขาแต่งงาน โดยไม่ไยดีจะกลับมาหาเธออีก   เธอก็เลยตัดนิ้วชี้ที่มีแผลเป็นแห่งความหลัง ใส่ขวดดองนิ้วไปให้เป็นของขวัญแต่งงาน     
เธอไม่อาจรู้ว่าพระเอกเห็นขวดนั้น รู้ดีว่าอะไรเป็นอะไร  แต่ก็ขว้างขวดทิ้งไปอย่างไม่ไยดี

เรื่องซัมเมอร์สตอรี่นี้ ถ้าหากว่าคนแต่งเป็นไทย  คงไม่ใจแข็งพอจะให้จบลงอย่างเศร้าสลดหดหู่ทั้งฝ่ายหญิงที่ตรอมใจตาย และชายไร้ลูกที่สำนึกถึงการตัดสินใจผิดพลาด ไปจนตาย
แต่คงจะสร้างให้พ่อแฟร้งค์สารภาพความจริงกับคุณนายสเตลล่า แล้วหวนกลับมารับลูกแฟร้งค์ไปเป็นคุณชายจุฑาเทพอยู่ในลอนดอน   แฺฮปปี้เอนดิ้งกันทุกฝ่าย

ป.ล.  ขอโทษที่ทำร้ายอารมณ์คุณหมอ SILA และคนรักหนังเรื่องนี้ทุกคนนะคะ

รำลึกไคลแมกซ์ตอนท้ายของนิยาย ดรรชนีนาง ที่แสนสะพรึงจากปลายปากกาจุ่มน้ำผึ้งเจ้าของ
ผลงานจบแบบรันทด(โ)หดหู่อยู่หลายเรื่องจนสาวๆ หลายคนเลือกที่จะไม่อ่านงานของ"อิงอร"

          “นิ้วคนสีขาวซีด เป็นรอยตัดถึงโคนนิ้วจมนิ่งอยู่ก้นขวด เล็บซีดที่ปลายนิ้วเรียวยาวและแหลม”
ถูกแช่ดองอยู่ใน “ขวดฝรั่งรุ่นเก่าบรรจุน้ำเกลือเต็ม จุกไม้ก๊อกเก่าๆ อัดแน่นแต่ไม่ได้ลงครั่งทับ น้ำมี
กลิ่นเหม็นจึงซึมเยิ้มออกมานอกจุกขวด”  
            ด้วยภาพและกลิ่นอย่างนี้,ในห้องหอคืนส่งตัวอยู่กับเจ้าสาว  ม.จ.นิรันดร์ฤทธิ์ธำรงซึ่งไม่เหลือ
เยื่อใยให้ดรรชนี,ที่ผ่านไปเป็นธรรมดาวิสัยของชายที่อยากเชยชมหญิงงามชาวบ้านก่อนจากไปโดยไม่รู้สึก
ผูกพัน จึงจัดการกำจัดขวดนั้นทิ้งไปในทันใด

            นิยายจบแบบทำร้ายคนอ่านแบบนี้เมื่อนำมาสร้างเป็นหนัง ถ้าคงตามบทประพันธ์คงโดนคนดู
ปาจอและทำรายได้ขาดทุนแน่นอน ดังนั้นจึงต้องแต่งตอนจบใหม่(แต่ตอนนำมาสร้างเป็นละครทีวีคงเรื่อง
ราวตรงตามบทประพันธ์)
             ในหนังปี 2504 ที่คุณพิศมัยแสดงนำนั้น http://hair-magazine.com/topic/178
เล่าว่า
             เมื่อเห็นดรรชนีนางแล้ว, นิรันดร์จึงหวนนึกถึงอดีตที่ผ่านมา เขานึกถึงสาวน้อยดรรชนีที่สงขลา
ขึ้นมาทันที จึงรีบผละออกจากห้องหอเพื่อเดินทางไปหาดรรชนีทันที และแล้ว
             ดรรชนีซึ่งกำลังมีไฟแค้นสุมอกอยู่ก็บันดาลโทสะลั่นไกปืนใส่นิรันดร์ทันที นิรันดร์ล้มฟุบลงบน
หลุมฝังศพ(พ่อของดรรชนี) ดรรชนีก็เข้าไปขยับตัวและคร่ำครวญถึงความรักของตนกับนิรันดร์ในอดีตทำนอง
ให้อภัยในสิ่งที่ผ่านมา จากนั้นนิรันดร์ก็ฟื้นขึ้นมาบอกว่า ยังไม่ตาย ทั้งคู่ปรับความเข้าใจกันได้ในที่สุด            

             เรื่องรักหน้าร้อนของอังกฤษ ไม่มีภาคต่อแต่ ดรรชนีนางนี้มีครับ

             คุณอิงอรแต่งภาคต่อด้วยในเวลาต่อมาชื่อเรื่องว่า ดรรชนีน้อย ไม่เห็นเป็นเล่มแต่เคยดูตอน
เป็นละครทางทีวี รายละเอียดจำไม่ได้เป๊ะแต่เป็นประมาณนี้
             ดรรชนีน้อยเป็นลูกชายของดรรชนีที่คลอดแล้วเธอเสียชีวิตจากพายุถล่มอ่าวแต่ทารกรอดเพราะ
ลิงแสนรู้สละชีวิตใช้ร่างกำบังไว้ โจรสลัดมาแวะที่เกาะแล้วนำไปเลี้ยงจนโตเป็นโจรสลัดสืบต่อตามพ่อเลี้ยง
แล้วต่อมาจึงเกิดเหตุกรรมนำพาเกิดรักต่างชนชั้นรุ่นลูก
             เมื่อคุณหญิงธิดาม.จ.นิรันดร์ฯ มาเที่ยวทะเลแถบนั้นและถูกเสือน้อย(ดรรชนีน้อย) ลักพาตัวไป
ก่อเกิดเป็น "ไฟรักอสูร" ซึ่งเป็นรักต้องห้ามเพราะทั้งสองมีพ่อคนเดียวกันแต่ทั้งคู่ต่างก็ไม่รู้(ตรงนี้ชักจะไม่
แน่ใจนักเพราะเป็นประเด็นเซนซิถีฟยิ่งนัก - รักในพี่น้อง)
             ตอนจบ ชายคนรักคุณหญิงจากกรุงเทพฯ กลับมาตามคุณหญิงและปราบเสือน้อย, ความจริงเรื่อง
ชาติกำเนิดของเสือน้อยถูกเปิดเผยและ(ถ้าจำไม่ผิด) ดรรชนีน้อยตายตอนจบ(กระมัง)

          เหตุการณ์อัคคีภัยกลืนกินอพาร์ทเมนท์ในมหานครลอนดอนเมื่อสัปดาห์ก่อน ชวนให้ย้อน
นึกถึงหนังเก่ากว่า 4 ทศวรรษ(อีกแล้ว) เรื่องหนึ่งนั้น นั่นคือ The Towering Inferno(1974)
ซึ่งได้ชื่อเมื่อฉายในบ้านเราว่า ตึกนรก

          หนังใหญ่ที่รวบรวมนักแสดงโด่งดังในช่วงนั้นไว้มากมาย จนเป็นประเด็น,เป็นหนึ่งในตำนาน
การจัดเรียงลำดับรายชื่อว่าใครจะได้ขึ้นนำก่อนใคร
          ในที่นี้คือ คู่กรณีที่เป็นสองนักแสดงนำชายผู้ยิ่งใหญ่พอๆ กัน กับนักแสดงอาวุโสชายรุ่นใหญ่
(ซึ่งต้องการขึ้นชื่อก่อนเช่นกันแต่ถูกปฏิเสธ) และตามหลังมาด้วยนักแสดงสาวงามเจิดจรัส

        บนโปสเตอร์หนังจัดให้ชื่อนักแสดงทั้งสี่มีขนาดตัวอักษรเท่ากัน ชื่อนักแสดงนำชายคนหนึ่งขึ้นนำ แต่
ทว่าอยู่ต่ำกว่าชื่อนักแสดงนำชายที่ตามหลังมา และ นักแสดงชายอาวุโสกับแสดงนำหญิงเรียงอยู่ตามหลังใน
ระดับลดหลั่นลงไป
        ส่วนรูปนักแสดงนำชายทั้งสองก็ย่อมมีขนาดเท่ากันอีกทั้งยังเรียงหน้าหลังลดหลั่นกันคล้ายกับการเรียง
ชื่อเช่นกัน

จากโปสเตอร์แล้ว, ตามมาด้วยการขึ้นชื่อในเครดิทหนังตอนเปิดเรื่อง

            หลังจากชื่อของสองบริษัทยักษ์ใหญ่ร่วมทุนสร้างแล้ว นักแสดงนำทั้งสี่ก็ขึ้นชื่อนำก่อนชื่อหนัง
โดยชื่อของสองนักแสดงนำชายเรียงลดหลั่นกันเหมือนในโปสเตอร์
            นอกจากนี้ทั้งสองนำชายยังได้ค่าตัวเท่ากันและจำนวนประโยคคำพูดยัง(ถูกสตีฟเรียกเพิ่มคำพูด
เพื่อให้) เท่ากันอีกด้วย
            อย่างไรก็ตาม, ในเทรลเลอร์และใน "เพจ" ต่างๆ ชื่อของสตีฟจะมาก่อนพอล

            ส่วนลำดับของนักแสดงสมทบจัดเรียงตามตัวอักษรนามสกุล เริ่มต้นด้วยนักแสดงในตำนาน,
อักษร A, FRED ASTAIRE ทั้งในหนังและโปสเตอร์

เรื่องนี้มี O.J. Simpson ผู้อื้อฉาวร่วมแสดงด้วยบทเป็นหัวหน้ารปภ.

           เรื่องราวหลัก(ตามคำโปรยในโปสเตอร์) เกิดขึ้นในคืนเปิดตึกหรูสูงที่สุดในโลก(138 ชั้น)
ณ นครซาน ฟรานซิสโก เจ้าของตึก(นรก) รับบทโดย วิลเลียม โฮลเดน, ส่วนสถาปนิกผู้ออกแบบตึก
รับบทโดย พอล นิวแมน
           พอลพบว่าตึกที่สร้างเสร็จแล้วมีปัญหาเรื่องความปลอดภัย และระบบไฟก็ไม่ได้มาตรฐาน
เนื่องจากวิศวกรลูกเขยเจ้าของตึกตัวแสบ(ริชาร์ด เชมเบอร์เลน) ตัดงบ,ลดสเป็คลงแต่ก็ยังคงยืนยัน
ว่าได้ควบคุมการสร้างให้ได้ตามมาตรฐานความปลอดภัยแล้ว

"เป็นเรื่อง" ระหว่างสถาปนิกและนายทุน

            เฟย์ ดันนเวย์รับบทเพื่อนสาวแสนงามของพอล มาร่วมงานเปิดเฉิดไฉไลในชุดเซ็กซี่มีคลาส
จนวิลเลียมออกปาก(ประโยคประทับใจจำ) ว่า Find me the architect who designed you
จะได้ให้มารับงานออกแบบแทนพอล

              คืนพิธีเปิดตึกยิ่งใหญ่ หัวหน้าพีอาร์(รอเบิร์ท แวกเนอร์) จัดเต็มโดยการเปิดไฟให้ทั้งตึกส่องสว่าง
ไสว

             ระบบไฟฟ้าโอเวอร์โหลดจนเกิดไฟไหม้, ควันฟุ้งให้ตรวจจับได้ที่ชั้น 81
             หน่วยดับเพลิงถูกเรียกมาให้บริการนำโดย สตีฟ แม็คควีน

สตีฟยังรีเควสท์ให้ออกแบบหมวกที่เปิดเผยใบหน้าของเขามากขึ้นด้วย

เปลวไฟลุกลาม

             แขกไฮโซชุมนุมกันอยู่ในโถงรับรองชั้นที่ 135

นักแสดงใหญ่ในตำนาน เฟรด แอสแตร์ หมายตกถังข้าวสารของเศรษฐินีม่าย(ที่มองผาดๆ นึกว่า
เป็นคุณป้าลิซ) รับบทโดยนางเอกใหญ่ในอดีต เจนนิเฟอร์ โจนส์

พ่อตากับลูกเขยตัวร้าย

           งานเลี้ยงฉลองต้องยุติลง,ตามมาด้วย การแจ้งข่าว(ร้าย) แก่ผู้ร่วมงานและ
การ flight and fight the fire

เด็กและสุภาพสตรีจะได้หนีไปก่อน

            การอพยพหนีไฟที่รุกโรมโหมลามขึ้นมาได้เผยธาตุแท้ คือ ความกล้าหาญและ
ความเสียสละของคนบางคน

เป็นนางเอกนอกจากเสียสละให้ผู้อื่นหนีไฟไปก่อนแล้วยังช่วยพิทักษ์รักเด็กน้อย, เฟย์รับเด็ก
ที่ถูกผลักมาให้ก่อนที่สุภาพสตรีผู้เสียสละคนนั้น(ซึ่งรู้ตัวว่ากำลัง) จะพลัดตกไปจากลิฟท์แก้ว

ชะตากรรมของนักบินฮ. ที่ลงมารับบนดาดฟ้า

              ธาตุแท้แห่งความเห็นแก่ตัวของบางคน

กระเช้าข้ามไปยังอีกตึกที่แก่งแย่งกันถึงชีวิต

           การต่อสู้กับฆาตกรร้อนแรงแข่งกับเวลาเพื่อหาทางดับไฟให้ได้โดยเร็วของพนักงานผจญเพลิง
ผู้กล้าหาญ, ในขณะที่หนทางหนีตีบตัน

            ในที่สุดจึงหาทางดับลงได้ด้วยวิธีที่เบสิค - น้ำ(จากการระเบิดแทงค์ยักษ์ด้านบน) ดับไฟ

           นอกจากฉากหายนะไฟประลัยตึกที่ตื่นตาแล้ว อีกสิ่งหนึ่งซึ่งเป็นที่จดจำประทับใจคือเพลงไพเราะ
เพลงนี้ We May Never Love Like This Again คว้ารางวัลออสการ์ไปเรียบร้อย

https://www.youtube.com/watch?v=dOHsfcUKhR0

เจ้าของเสียงร้อง Maureen McGovern มาปรากฏตัวในหนังร้องเพลงนี้แล้วก็ไม่ได้มีบทบาทต่อไป

              ทำนองเพลงนี้ที่มีความหมายเศร้าถูกนำมาใช้ประกอบฉากสะเทือนอารมณ์เมื่อคู่รักเคราะห์ร้าย
(หัวหน้าฝ่ายพีอาร์และเลขาซึ่งแอบหลบจากงานมาพรอดรักกันเพียงสอง) ต้องตกเป็นเหยื่อสังเวยไฟโหม
ร้อนรุมอย่างจนมุมและหมดหวัง
              ปลอบใจกันว่า (ไฟจะได้ช่วยทำให้) ไม่มีใครได้ล่วงรู้เรื่องรักต้องห้ามของเราสองคน

We May Never Love Like This Again สบสายตา(ครั้งสุดท้าย) ก่อนคลุมตัวด้วยผ้าโชกน้ำแล้วฝ่าไฟ
ไปหาทางออก(ที่ไม่มี)

          เลขาสาวกับทางออกของเธอ

คลิปฉากสุดสะเทือนใจ,ประทับใจใครๆ ที่ได้ชมหนังเรื่องนี้

https://www.youtube.com/watch?v=RAvd1YlEEAU

Before & After the Inferno

และ       ส่งท้าย(สำหรับคอหนังหายนะโดยเฉพาะ) ด้วยคลิปเก็บตกรวมจำนวนผู้ไม่รอดจากตึกนรกนี้

https://www.youtube.com/watch?v=Dy0Gf7NupMw

จากกลุ่มนักแสดงใหญ่ใน ตึกนรก นี้, บางคนเคยจับคู่มีผลงานด้วยกันมาก่อน ได้แก่
 
            ก่อนพบกันใน The Towering Inferno(1974), William Holden และ Jennifer Jones
เคยนำแสดงคู่กันในหนังดังเรื่อง  Love Is a Many-Splendored Thing(1955)
            หนังรักดรามาสร้างจากนิยายอิงชีวประวัติของแพทย์หญิงลูกครึ่งยุโรป-จีน นามว่า ดร.ฮันซูหยิน
ซึ่งเป็นผู้ประพันธ์นิยายนี้ด้วยตัวเอง,เล่าเรื่องความรักต่างเชื้อชาติกับนักข่าวชาวอเมริกันในช่วงทศวรรษ 1940s

          เพลงรักประกอบภาพยนตร์เรื่องนี้ซึ่งมีท่วงทำนองไพเราะ, เสียงร้องโดยคณะคอรัสได้รับรางวัลออสการ์
ไปครองแล้วยังได้กลายเป็นเพลงจากภาพยนตร์เพลงแรกที่ฮิทติดชาร์ทขึ้นถึงอันดับหนึ่งจากเสียงร้องของคณะ
The Four Aces ก่อนที่จะมีนักร้องดังนำไปร้องต่อตามมาอีกมากมาย

https://www.youtube.com/watch?v=W3jn3ukRLc4

และ   
         ก่อนพบกันใน The Towering Inferno(1974), Steve McQueen และ Faye Dunaway
เคยนำแสดงคู่กันในหนังดังเรื่อง  The Thomas Crown Affair(1968)

Faye Dunaway สวย,เท่ ในชุดแลละม้ายคล้ายชุดเซ็กซี่มีคลาสในตึกนรก

         หนังโจรกรรมนำ(พานัก)สืบสาวราวเรื่องรัก ที่มีเพลงไพเราะระดับคว้ารางวัลออสการ์แล้วมีนักร้องนำ
มาร้องต่อมากมาย ผลงานของนักประพันธ์ชั้นบรมครู Michel Legrand - Windmills of Your Mind
ซาวนด์แทร็คเป็นเสียงของนักร้อง,นักแสดงอังกฤษ Noel Harrison นามสกุลคุ้นๆ เพราะเป็นลูกชายของ
นักแสดงใหญ่ Sir Rex Harrison(Professor Higgins ใน My Fair Lady ทั้งยังเป็น Doctor Dolittle)

https://www.youtube.com/watch?v=WEhS9Y9HYjU

จำได้ว่าเพลงนี้ทำนองไพเราะมาก  และเนื้อร้องซับซ้อนเต็มไปด้วยสัญลักษณ์ ราวกับบทกวียากๆสักบทหนึ่ง  เคยเอาไปให้เพื่อนที่เป็นนักแปลเพลงช่วยแปล เธอก็บอกว่ายากจะเข้าใจ
จนกระทั่งมาเจอคำอธิบายในเว็บนี้ค่ะ
https://www.englishforums.com/English/WhatDoesWindmillsMindMeans/vxghj/post.htm
แต่มันก็เป็นเพียงการตีความเท่านั้น  ไม่ใช่เฉลยข้อสอบ

 have The Lettermen version of the song Windmills of Your Mind and I absolutely love it. I believe it is the best version I've ever heard of this song. It makes the interpretation easier to understand. What makes the song so difficult to interpret is that the song is meant to be felt, not just heard. Listen the to Lettermen version while you have your eyes closed and let your mind go with the imagery of the words. By the third stanza or paragraph, you will understand the song through your feelings. It opens up like a flower.

Here is my interpretation: The song is meant to convey the feelings of the singer as he grapples with the almost overwhelming emotional confusion brought on by the ending of a brief, but intense love affair.

FIRST PARAGRAPH
As his mind races back to the beginning of their relationship, the first stanza describes the intoxicating joy of their passionate love (possibly a "first" love) with the "circle in a spiral" and "a wheel within a wheel" and the roller-coaster-like effect of new love "never ending or beginning on an ever-spinning reel". The joy of the relationship and how fast it grew is also conveyed with "snowball on a mountain" and "carnival balloon". And "a carousel that's turning rings around the moon" signifies the giddly heights of his affection and joy.

The repeating line "like a clock whose hands are sweeping past the minutes of its face" represents how fast time flew while in their relationship.

"And the world is like an apple whirling silently in space" represents the purity of their world and of their relationship.

SECOND PARAGRAPH
This paragraph represents the feelings of despair as the realization of the relationship's ending sinks in.

Using imagery that expresses feeling hopelessly lost "Like a tunnel that you follow to a tunnel of its own, down a hollow to a cavern where the sun has never shown".

The nightmare feeling of her leaving him is expressed as "Like a door that keeps revolving in a half forgotten dream" and he feels the loneliness of her rejection with the line "or the ripples from a pebble someone tosses in a stream".

The repeating lines of "Like the clock whose hands are sweeping past the minutes of its face, And the world is like an apple whirling silently in space" are used here to describe the slowing of time as the relationship winds down and the solitary apple is now represents the feeling of sadness of being alone.

THIRD PARAGRAPH
This paragraph brings us to the singer's present consciousness (signified by "Keys that jingle in your pocket") as he continues to relive his memories in search for answers.

"Words that jangle in your head" represent how distracted he is now.

"Why did summer go so quickly" represents the possible timespan of their affair.

"Was it something that you said?" represents the natural questioning we go through after a breakup.

"Lovers walk along a shore and leave their footprints in the sand" represents his romantic illusions of their relationship and, like footprints in the sand, how fleeting their relationship seemed.

"Is the sound of distant drumming just the fingers of your hand?" again, represents his inability to focus through his sadness or to even be aware of his surroundings.

"Pictures hanging in a hallway, and the fragment of a song, Half-remembered names and faces, but to whom do they belong?" probably represent the various artifacts of their relationship, including photos of the friends they made while they were a couple. "To whom do they belong?" could be questioning if these people are now HER friends or HIS friends. "Half remembered names and faces" indicates just how much he was emotionally invested in the relationship; to the point where everyone else was just in the background.

"When you knew that it was over, you were suddenly aware that the autumn leaves were turning to the color of her hair." I cannot do justice to this line, but it probably means that everything beautiful now reminds him of his lost love.

FOURTH PARAGRAPH
This paragraph is a repeat of of the "circle in a spiral" imagery which is to indicate that his sorrow continues as he tries to recover from a broken heart.

จาก songfacts.com มีข้อความจากคู่สามีภรรยานักแต่งเนื้อร้องเวอร์ชั่นอังกฤษ Marilyn & Alan Bergman
เล่าว่า
 
คลิปฉากเพลงนี้ในหนังเวอร์ชั่นปี 1968

https://www.youtube.com/watch?v=Osl6EJGwFyM

ใครที่เป็นแฟนหนังจีนกำลังภายในเมื่อ 30 ปีก่อน คงจำได้ว่ายุคนั้นเป็นยุคทองของหนังจีนในเมืองไทย   บริษัท ATV และ TVB ประชันกันสุดฤทธิ์สุดเดช     ดาราเก่งๆมีให้ดูกันมากมาย    หลายคนมาโชว์ตัวในไทย
หนึ่งในดาราสาวสวยของ TVB  มีอยู่คนหนึ่งที่ดิฉันจำได้และชอบมาก   แม้ว่าเธอเล่นไม่บ่อยนัก แต่ว่าแต่ละบทเล่นเก่ง  สวยสะดุดตา มีบุคลิกเป็นสาวมั่น ไม่ซ้ำแบบดาราคนอื่น
เธอชื่อ โอวหยางเพ่ยซัน  หรือชื่อภาษาอังกฤษว่า Susanna Au Yeung Pui Shan
จำได้ว่าเธอเล่นเป็นนักศึกษาสาว ในเจ้าพ่อเซี่ยงไฮ้ คู่กับติงลี่

เคยเล่นเป็นอึ้งย้ง ในวัยแม่

เธอเล่นมังกรหยก  เวอร์ชั่นดังสุด  ที่หวงเยอหัวรับบทก๊วยเจ๋งวัยหนุ่ม องเหม่ยลินรับบทอึ้งย้งวัยสาว

เมื่ออายุมากขึ้น บทที่เหมาะสมก็หายากขึ้น  ในปีค.ศ.1993 (พ.ศ.2536) โอวหยางเพ่ยซันถอนตัวจากวงการบันเทิง เพื่อไปศึกษาด้านการแพทย์แผนจีนและสมุนไพร
เธอสมรสกับนักแสดงชายชื่อกัวฟง ตั้งแต่ ค.ศ.1977 (พ.ศ.2520)  ครองรักกันยาวนาน  จนมีอาการป่วยเมื่อเดือนเมษายนปีนี้ ระหว่างเดินทางไปกรุงกัวลาลัมเปอร์ ประเทศมาเลเซีย ต่อมาตรวจพบว่าเป็นมะเร็งชนิดต่อมบริเวณปอด สามีจึงพากลับฮ่องกงเพื่อมารับการรักษา  กระทั่งจากไปอย่างสงบใน วันที่ 9 ก.ค 2560 อายุ 63 ปี

ภาพในอดีต

          จำชื่อและหน้าได้แต่จำบทบาทในละครของเธอไม่ค่อยจะได้ ต้องไปดูที่กระทู้รวบรวมผลงาน
ของเธอ

http://topicstock.pantip.com/chalermthai/topicstock/2009/10/A8460885/A8460885.html

           คุณปู่ Martin Landau (June 20, 1928 – July 15, 2017) นักแสดงรุ่นลายครามชาวอเมริกัน
จากไปเมื่อวัย 89 ปีด้วย "โรคแทรกซ้อนที่ไม่คาดคิด"
           ชาวเรือนรุ่นอา(วุโส) น่าจะรู้จักและเคยชมผลงานของปู่ทางจอไทยทีวีช่อง ๔ บางขุนพรหมจากซีรี่ส์
สุดฮิทในยุคนั้น เรื่อง ขบวนการพยัคฆ์ร้าย Mission: Impossible ที่ปู่ร่วมแสดงโดยมีย่า(ภรรยาในชีวิตจริง)
Barbara Bain อยู่ในทีมขบวนการนี้ด้วย

             ซีรี่ส์อีกเรื่องที่ช่อง ๔ นำเข้ามาฉายแต่ได้รับความนิยมไม่เท่า และทั้งปู่และย่าก็พากันนำ
แสดงด้วยคือ  Space: 1999

พบข่าวแล้วเช่นกันค่ะ  ใจหายนิดหน่อยว่าดาราในอดีตสมัยเราเด็กๆ ลับฟ้าไปอีกดวงแล้ว
จำได้  ว่าเป็นดาราที่ดิฉันตั้งหน้าตั้งตาดูอยู่หน้าจอแก้วทีเดียว สมัยเล่น Mission Impossible (ขบวนการพยัคฆ์ร้าย)  
เขารับบท Rollin Hand  สายลับร้อยหน้าร้อยเสียงพันบทบาท  บทแต่ละตอนเล่นไม่ซ้ำกันเลย  เล่นเก่งจริงๆ  
หล่อด้วย ตาสีฟ้าคมกริบ
คิดว่ามาร์ตินฝีมือเด่นกว่า Peter Graves ซึ่งเล่นเป็นหัวหน้าขบวนการเสียอีกค่ะ   คุณปีเตอร์รายนี้ก็ล่วงหน้าไปเล่นอยู่บนสวรรค์หลายปีแล้วเช่นกัน

https://www.youtube.com/watch?v=voOLwzO5p-I

           ปู่เรียนการแสดงกับบรมครูในยุคนั้นโดยมี Steve McQueen ร่วมชั้นเรียน นอกจากนี้ยังมี James Dean
เป็นเพื่อนสนิทด้วย
           นอกจากซีรี่ส์ทางจอแก้วแล้วปู่มีผลงานทางจอเงินทั้งก่อนและหลังซีรี่ส์ มีทั้งโดดเด่นได้เข้าชิงรางวัลจนถึง
คว้าออสการ์มาได้ในที่สุดจากเรื่อง Ed Wood (1994)

ดารา Mission Impossible ชุดแรก   ตอนนี้เหลืออยู่ 2 คนเท่านั้นคือ Barbara Bain และ Peter Lupus (ขวาบน)
นอกนั้นไปเล่นภาคต่อกันบนสวรรค์หมดแล้ว  :'( :'( :'(

มาร่วมไว้อาลัย โอวหยังเพ่ยซัน ด้วยครับ
เธอเป็นอึ้งย้งในดวงใจอีกคนหนึ่ง แสดงเป็นอึ้งย้งในวัยผู้ใหญ่ ที่ปราดเปรื่อง เจ้าเล่ห์ทันคน
คือเวลาแอคติ้งหน้าตาเธอฉลาด สายตาที่นิ่งดูน่าเกรงขาม

              ขบวนการพยัคฆ์ร้าย ซีรี่ส์รุ่นหลังจากที่ปู่และย่าอำลาไปแล้ว ได้ปู่สป็อคมารับช่วงต่อจากปู่มาร์ติน
ในซีซั่นที่ 4 - 5
(จำไม่ได้ว่าซีซั่นนี้เข้ามาฉายบ้านเราหรือเปล่า)

ปู่ทั้งสองเป็นเพื่อนรักกันยาวนาน

           ปู่มาร์ตินบอกว่าเรามีสิ่งที่เหมือนกันหลายอย่าง ทั้งอายุ,รูปร่าง,ส่วนสูง,สีผมและ เชื้อสายยิว
(mystartrekscrapbook.blogspot)

คุณปู่สป๊อคเดินทางล่วงหน้าคุณปู่พยัคฆ์ร้ายไป 2 ปีแล้ว

รำลึกปู่สป็อคที่กระทู้เก่า ความคิดเห็นที่ 1286 http://www.reurnthai.com/index.php?topic=4255.1275

           Dunkirk หนังใหญ่เรื่องใหม่ล่าสุดอุ่นๆ ของผกก.ชื่อดัง Christopher Nolan ที่ได้
สำแดงฝีมือไว้ในหนังหลายเรื่องเพิ่งออกโรงเข้าฉาย
           ตามชื่อหนัง นั่นคือ สถานที่ของเหตุการณ์หนึ่งในสงครามโลกครั้งที่สองที่ถูกจารึกและรำลึก เมื่อ
           ฝ่ายอังกฤษพ่ายแพ้กองทัพนาซีจนต้องยกพลถอยร่นมาที่ชายฝั่งฝรั่งเศสเพื่อรอการขนพลจำนวน
มหาศาลกลับข้ามไปยังฝั่งอังกฤษ

          ชวนให้นึกถึงฉากหนึ่งในหนังดังเรื่องเยี่ยม Atonement ที่มีเหตุการณ์ ณ ที่นี้ที่เป็นส่วนหนึ่ง
ของตอนสำคัญของเรื่อง
          จำได้ว่าขณะที่ดู(โดยไม่รู้ข้อมูลมาก่อน) เกิดความตื่นตากับฉากนี้ที่ชายหาด ทั้งตัวประกอบและ
พร็อพมากมาย แต่ที่ตื่นเต้นหลายคือการได้เห็นว่าฉากใหญ่ฉากนี้ถ่ายรวดเดียว(unbroken, one shot -
one single take - long take) โดยไม่มี "คัท"(no cuts) เลย รวมระยะเวลายาวนานร่วม 5 นาที
          ถ้าเป็นฉากเล็กๆ ตัวแสดงไม่กี่คน ในสถานที่ไม่กว้าง จะถ่ายยาวนานแค่ไหนในช็อทเดียวก็คง
ไม่ตื่นเต้น(แต่รู้สึกเครียด,อึดอัด) แบบฉากนี้(20 กว่านาที) จาก Hunger
(youtube.com/watch?v=VAkBz9glJFo)

แต่นี่....

https://www.youtube.com/watch?v=QijbOCvunfU

หนังเรื่องอื่นๆ ก็มีการถ่ายทำแบบนี้เช่นกัน และ บางเรื่องก็ถ่ายทำทั้งเรื่องโดยไม่มีคัทเลย เช่น 
หนังจากรัสเซีย - Russian Ark ความยาว 96 นาที

         แต่ที่ต้องยกมากล่าวถึงไว้ในที่นี้,ในฐานะหนังในตำนานที่ถูกกล่าวขานถึงมานาน ก็คือหนัง
ตั้งแต่ปี 1948 โน้นของบรมครูผกก.หนังเขย่าขวัญ Alfred Hitchcock เรื่อง Rope หนังความยาว
สองชั่วโมง(แต่กล้องถ่ายหนังด้วยฟิล์มสมัยนั้นถ่ายทำได้ครั้งละ 10 นาที จึงต้อง) อาศัยเทคนิค
การตัดต่อทำให้เหมือนถ่ายทำรวดเดียวโดยไม่มีคัทเลย

ดาวสองดวงดับลับจากสองฝั่งฟ้า

          ฝั่งยุโรป, คุณยาย Jeanne Moreau( 23 January 1928 – 31 July 2017) นักแสดงหญิง
ในตำนานของวงการหนังฝรั่งเศส หนึ่งในผลงานเด่นคือเรื่องเรารักกันสามคน - Jules et Jim ผลงานของ
ผกก. ดัง Francois Truffaut

           ผลงานของคุณยายที่ประทับใจจำได้เมื่อไม่นานมากคือ หนังดัง(จนเมกันนำไปรีเมค)จากฝรั่งเศส
เรื่อง Nikita(1990) ของผกก. Luc Besson
           คุณยายรับบทเป็นโค้ชเทรนสาวขี้ยาก่ออาชญากรรมให้กลายเป็นสาวสวยที่จะพัฒนาต่อไปเป็น
สวย(มือ)สังหารรับงานฆ่าตามใบสั่งของทางการ

           อีกเรื่อง,คุณยายรับบทเด่นมากใน I Love You, I Love You Not (1996) ร่วมกับ Claire Danes
และ Jude Law วัยละอ่อน เป็นคุณยาย(หรือย่า) เชื้อสายยิวของนางเอกที่เคยผ่านชีวิตในค่ายกักกันมาแล้ว
คุณยายให้ข้อคิดคำปรึกษาเรื่องความรักวัยรุ่นแก่หลานผ่านพ้นความผิดหวัง

            ข้ามมาขึ้นฝั่งอเมริกา,คุณลุง Sam Shepard(November 5, 1943 – July 27, 2017)
นักแสดง,นักเขียน(บทละครรางวัลพูลิตเซอร์) และผกก. ลับโลกไปด้วยภาวะแทรกซ้อนของโรคระบบ
ประสาทที่เล่นงานระบบประสาทกล้ามเนื้อ(amyotrophic lateral sclerosis)
(NYTimes 2016)

           ผลงานการแสดงของลุงมีมากมายหลายเรื่อง เช่น หนังภาพงดงามจับใจ Days of Heaven(1978)

            เรื่อง Frances(1982) ที่ลุงแสดงร่วมกับ Jessica Lange แล้วก็จับคู่ครองกันนอกจอ
ยาวนานก่อนที่จะแยกจากกันในปี 2009  ต่อมาทั้งคู่ยังร่วมแสดงนำในหนังเด่นเรื่อง Country(1984)

     คาวบอย  หรือสมัยหนึ่งไทยแปลได้ตรงตัวว่า "โคบาล" แปลว่าคนเลี้ยงวัว เป็นพระเอกประจำประวัติศาสตร์ยุคศตวรรษที่ 19 ผูกขาดอยู่ในอเมริกา   ในยุโรปและเอเชียไม่มีคาวบอย       คาวบอยจึงเป็นตำนานที่ฮิทมาหลายยุคหลายสมัยของฮอลลีวู้ด   เมื่อโทรทัศน์ถือกำเนิดขึ้น   คาวบอยก็มายิงกับเปรี้ยงปร้างอยู่ในจอเล็ก ส่วนจอใหญ่เริ่มจะซาลง
     ยุค 1960s   หนังชุดคาวบอยมีเยอะมาก     เด็กไทยในยุคนั้นผู้กลายมาเป็นปู่ย่าในยุคนี้ ได้ดูกันจนเอือม     พระเอกแต่ละคนจะสูงใหญ่ล่ำสันมาดแมน    สวมเสื้อแขนยาวฟิตแนบตัวเช่นเดียวกับกางเกง สวมหมวกปีกกว้างและรองเท้าบู๊ต   ชักปืนเร็วพอๆกับแม่นยำเข้าเป้าทุกนัด
    อย่างในรูปข้างล่างนี้ค่ะ

พระเอกข้างบนนี้ยกเว้นคนซ้ายสุด  มาปรากฏตัวในจอแก้วให้คนไทยติดตามดูกันทั้งนั้น   คิดว่าหลายคนในเรือนไทยก็ยังพอจำได้นะคะ
จากซ้ายไปขวา
1 Will Hutchins (Sugarfoot),
2 Peter Brown (Lawman),
3 Jack Kelly (Maverick),
4 Ty Hardin (Bronco),
5 James Garner (Maverick),
6 Wayde Preston (Colt .45),
7 John Russell (Lawman)
เกือบทุกคนไปสวรรค์กันหมดแล้ว     ล่าสุดคือ Ty Hardin คนที่สี่    ดังมาจากหนังชุด Bronco  เป็นหนุ่มหล่อล่ำทะมัดทะแมงสไตล์คาวบอยอเมริกันตามสูตรสำเร็จสมัยนั้น

https://www.youtube.com/watch?v=sGZkTQHJuz4

     เมื่อหนังชุด Bronco จบลง  ไท ฮาร์ดินไปเล่นหนังคาวบอยให้บริษัทหนังของอิตาลีเสียหลายปี     ใช้ชีวิตอยู่ในยุโรป ต่อมาก็ย้ายไปเล่นหนังในออสเตรเลีย    กว่าจะกลับมาสู่วงการฮอลลีวู้ด  เขาก็พบว่ายุคเดิมที่เขารู้จักจบสิ้นไปแล้ว   มีแต่หนังโหดเลือดท่วมจอที่เขาไม่สมัครใจจะเล่น
     ไท ฮาร์ดินอำลาวงการ ใช้ชีวิตอยู่ในคาลิฟอร์เนียจนถึงแก่กรรมเมื่อ 3 สิงหาคม  2017 อายุ 87 ปี

             เมื่อไม่นานมากนัก, ได้ท่องเน็ทดูหนังคาวบอยเก่าๆ และแวะดูปู่ไท ฮาร์ดิน ใน Bronco
แสดงนำด้วย. ท่าว่าจะต้องหยุดพักการย้อนกาลทางเน็ทไปดูหนัง,นักแสดงเก่าๆ ที่ยังเหลืออยู่เสียแล้ว

         ในเดือนรำลึก 40 ปีการจากไปของ The King(of Rock 'n' Roll) Elvis Presley(August 16, 1977)
King of Comedy - Jerry Lewis(16 March 1926 - 20 August 2017) จากไปด้วยวัย 91 ปีตามหลัง
คู่หู - ปู่ดีน มาร์ติน ที่จากไปก่อนหลายปี
         ปู่เจรี่จับคู่กับปู่ดีนในตอนที่ปู่ดีนยังเป็นนักร้องไม่โด่งดังในปี 1946 ทั้งสองฟอร์มทีม Martin and Lewis
ออกแสดงในไนท์คลับและทีวีจนประสบความสำเร็จมีชื่อเสียงโด่งดังก่อนแล้วข้ามมาฮอลลีวู้ดแสดงหนังในช่วงปี
1949 - 1956 ผลงานหนังของสองปู่ได้รับการตอบรับอย่างดีติดอันดับ box-office hits ถึง 16 เรื่อง

         แต่เมื่อดังมากแล้วก็ต้องแตกแยกวงไปฉายเดี่ยวแบบจบไม่สวย ต่างไม่พูดถึงการแยกจากกันไป
และการจะกลับมาจับคู่กันอีก(จนผ่านไป 20 ปีทั้งสองจึงกลับมาเจอกันในปี 1976) ปู่เจรี่แสดงหนังตลก
แบบเดิมต่อจนถึงปี 1960 จึงจับงานด้านเขียนบทและกำกับด้วย

ไม่ทันดูหนังที่ปู่ทั้งสองจับคู่กันแต่เคยดูปู่จับคู่กับ Tony Curtis ในหนังเรื่อง Boeing Boeing (1965)
จำได้ว่า หนังตลกและสนุกมาก
(ภาพปกแผ่นเสียงเพลงจากหนัง)

           ถึงช่วงปี 1970s งานแสดงของปู่เริ่มได้รับความนิยมลดลงพร้อมกับสุขภาพที่ถดถอย จนกระทั่ง
ปี 1982 ผกก.ชั้นครู Martin Scorsese มอบบทนำให้ปู่ในหนังเรื่อง The King of Comedy ประกบ
นักแสดงเอก Robert De Niro หนังได้รับคำชื่นชมจากนักวิจารณ์แต่ไม่ทำเงิน
           นอกจากงานแสดงแล้วปู่ยังเป็นนักร้องออกคอนเสิร์ทและออกอัลบั้มเพลงด้วย
           ปู่เป็นมนุษยธรรมนิยมชน ทำงานช่วยเหลือหาทุนให้กับสมาคมโรค Muscular Dystrophy Association
รายงานข่าวแจ้งว่า ปู่เสียชีวิตที่บ้านแวดล้อมด้วยญาติๆ ด้วยสาเหตุการตายตามธรรมชาติ

ขอให้คุณปู่ไปสู่สุคติ

ในอดีตอันนานแสนนานของฮอลลีวู้ด  มีการจับดาราที่บุคลิกต่างกันมากมาประกบคู่กันหลายเรื่อง  เพื่อคนดูได้รสชาติบันเทิงดีกว่าต่างคนต่างเล่นเดี่ยวๆ     ตัวอย่างอมตะคือตลกอ้วนผม ลอเรลและฮาร์ดี้ที่เป็นตำนานของฮอลลีวู้ดมานานแล้ว
คุณปู่ดีน มาร์ติน และคุณปู่เจรี่ก็ถูกจับมาเข้าคู่กันด้วยเหตุผลเดียวกันนี้แล     เพราะก่อนหน้านี้ ต่างคนต่างก็ไม่ดังเท่าไหร่   ดีนเป็นหนุ่มอิตาเลียนเสียงทอง คมคายแต่ไม่หล่อพอจะเป็นพระเอก    ส่วนเจรี่ก็เป็นตลกสามัญ ประเภทเหยียบเปลือกกล้วยหกล้ม

แต่พอมาจับคู่กัน  ต่างคนต่างเล่นในลีลาตัวเอง   กลับรสชาติเข้ากันได้ราวกับเอาขนมจีนมาผสมน้ำยาปลาช่อน(ฝรั่ง)
ตัวอย่างเห็นชัดๆในคลิปข้างล่างนี้   ดีนร้องเพลง That's Amore ที่กลายเป็นเพลงลายเซ็นของเขา   ส่วนเจรี่ก็เล่นตลกบ้าบอคอแตกตามแบบ   ในฉากเดียวกันเล่นคนละทางแต่ผสมกันได้ คนดูเฮกันตรึม

https://www.youtube.com/watch?v=aFSv-tq5GAY

แต่เบื้องหลังการแสดง ไม่เฮฮาปาร์ตี้อย่างฉากหน้า     ตลกอย่างเจรี่ ไม่มีนิสัยตลกในชีวิตจริง    เขาเป็นคนอ่อนไหว ขี้ใจน้อย คิดมาก     เมื่อรู้สึกว่ายิ่งเล่นตัวเองยิ่งเป็นรองเพื่อนหนุ่มเสียงทอง   ดีนดังเอาๆ ทั้งในฐานะดาราและนักร้อง    เจรี่ก็ทนร่วมแสดงเป็นมือสองต่อไปไม่ไหว  จึงแยกตัวแบบขาดสะบั้น เพื่อมาพิสูจน์ว่า บินเดี่ยวก็บินได้สูงเหมือนกัน   ไม่ต้องอาศัยเพื่อนช่วยหนุน
   ข้างล่างนี้คือหนังเรื่อง The Nutty Professor  ปี 1963   เจรี่เล่นเป็นอาจารย์หนุ่มเนิร์ด   แต่กินยาที่เขาคิดค้นขึ้นมา จนกลายเป็นหนุ่มสังคมรูปหล่อมาดเพลย์บอย

  เนิร์ดขนาดนี้ค่ะ
  https://www.youtube.com/watch?v=V9Vc3S0X5tA

  กินยาเข้าไปแล้ว กลายเป็นแบบนี้
  https://www.youtube.com/watch?v=EtshlipvyIc

          บางครั้ง เวลาอ่านชีวประวัติคนดัง   เคยเจอคำว่า died of natural causes  ก็งง พยายามจะทำความเข้าใจว่ามันแปลว่าอะไร  นอกเหนือจากแปลตรงตัวว่าตายตามธรรมชาติ   สำหรับคนไม่ได้เป็นหมอ (อย่างดิฉัน) คิดว่าคนเราถ้าไม่ประสบอุบัติเหตุตาย  หรือไม่ถูกฆ่าตาย  ก็ถือว่าตายตามธรรมชาติได้ทั้งนั้น    เพราะฉะนั้น ตายตามธรรมชาติ มันกว้างพอๆกับคำว่าตาย
         ทีนี้ปัญหาคือ ไม่เข้าใจว่าฝรั่งเขาใช้คำนี้ในสถานการณ์ไหน    สถานการณ์ที่ไม่รู้ว่านายหรือนางคนนั้นตายเพราะอะไร  รู้แต่ว่าตายไปเอง ไม่ได้มีใครมาทำให้ตายใช่ไหมคะ          เคยเข้าใจว่าคำนี้เป็นสำนวน  ใช้ในกรณีที่ตายเพราะโรคชรา    ไม่ทราบว่าคุณหมอ SILA และท่านอื่นๆในเรือนไทยจะแวะเข้ามาอธิบายให้หายข้องใจได้ไหมคะ

   ขอกลับมาต่ออีกนิด
   สาเหตุการแยกทางของปู่ทั้งสอง  เล่าขานกันมาหลายกระแส   เพราะต่างคนต่างก็ปิดปากเงียบไม่บอกว่าสาเหตุแท้จริงคืออะไร  เรื่องที่ดิฉันเล่าเป็นหนึ่งกระแสเท่านั้นค่ะ
   

กูเกิ้ลคร่าวๆ ครับ

            ทางนิติเวชระบุว่าการตายโดย "ผิดธรรมชาติ" นั้น คือ
1. ฆ่าตัวตาย
2. ถูกผู้อื่นทำให้ตาย
3. ถูกสัตว์ทำร้ายตาย
4. ตายโดยอุบัติเหตุ
5. ตายโดยยังมิปรากฏเหตุ
      
             (ถ้าไม่ตายโดยเข้าข่าย 5 ข้อนั้นก็ควรจะถือว่าคือ ตายโดยเหตุธรรมชาติ)

             ดูเรื่อง "natural causes" โดย cnn.com เกริ่นนำโดยหยิบกรณีนักร้องดัง George Michael
ซึ่งเสียชีวิตโดยทางการระบุว่าตายจาก natural causes จากโรคหัวใจที่เรียกว่า dilated cardiomyopathy
with myocarditis(กล้ามเนื้อหัวใจผิดปกติและมีการอักเสบ)  

             ตายจากเหตุตามธรรมชาติ หมายถึง การตายที่ไม่ใช่ผลจากเหตุเกี่ยวข้องภายนอก(involvement of
external causes) เป็นการตายจากขบวนการตามธรรมชาติของโรค - ติดเชื้อ,มะเร็ง,หัวใจและโรคอื่นๆ  ระบุโดย
ผู้ชันสูตรหรือแพทย์จากประสบการณ์,การเรียนรู้ประกอบข้อมูลที่ประเมิน
            แต่บางครั้งก็มีรายละเอียดที่ทำให้พลิกได้ เช่นกรณี ผู้ป่วยหัวใจวายขณะออกแรงตักหิมะ - เป็นตายจาก
เหตุตามธรรมชาติ แต่ถ้าตายจากภาวะอุณหภูมิต่ำ - เป็นอุบัติเหตุ,ไม่ธรรมชาติ

อ่านต่อที่

http://edition.cnn.com/2016/02/22/health/death-natural-causes-meaning/index.html

ขออนุญาตขยายความครับ

การตายผิดธรรมชาติ ๕ ประเภทที่อาจารย์ SILA กล่าวถึงนั้นเป็นตามข้อกฎหมายว่า
หากเป็นการตายตาม ๕ ประเภทนี้ ต้องมีการชันสูตรพลิกศพ ณ จุดเกิดเหตุโดยพนักงานสอบสวนและแพทย์
และหากเป็น ข้อ ๒ ถูกผู้อื่นทำให้ตาย อันมีเหตุจากการวิสามัญฆาตกรรม ให้เพิ่มพนักงานอัยการเข้าร่วมชันสูตรอีก ๑ คน

คราวนี้ประเด็นข้อ ๕ ตายโดยยังมิปรากฏเหตุ ณ เวลานั้น
เมื่อมีการชันสูตรโดยละเอียด อาจจะเป็นการตายจากโรค คือระบุเหตุได้ชัดเจนครับ

ดังนั้น ถ้ามีคนไข้ตายในสถานพยาบาลจึงไม่ต้องมีการชันสูตรพลิกศพตามกฎหมาย
แต่หากคนไข้กลับไปตายนอกสถานพยาบาลนี่ต้องแจ้งความ ส่วนการจะไปชันสูตรหรือไม่อยู่ในดุลพินิจของพนักงานสอบสวนครับ

ขอบคุณค่ะ อาจารย์หมอทั้งสองท่าน
เป็นอันว่าคุณปู่เจรี่ ก็ตายไปตามธรรมชาติ ด้วยโรคอะไรข่าวยังไม่ได้บอก   อาจจะโรคชรา เพราะอายุ 91 แล้ว

ชีวิตคุณปู่จบไปแล้ว แต่ข่าวเบื้องหลังของแกยังไม่จบง่ายๆ      ชาวบ้านชาวช่องรับรู้ว่าใต้ท่าทีตลกบ้าๆบวมๆ ดูเด๋อด๋าปัญญานิ่ม      คุณปู่แกเป็นเพลย์บอยขาฟันชั้นเจ้าพ่อของฮอลลีวู้ด     เห็นได้จากสาวงามที่แกฟันได้ ระดับไม่ธรรมดาเลยทีเดียว
เธอคือตำนาน sex symbol  มาริลีน มอนโร

http://people.com/movies/jerry-lewis-on-his-secret-love-affair-with-marilyn-monroe-i-was-crippled-for-a-week/

Jerry Lewis on His Secret Love Affair with Marilyn Monroe: 'I Was Crippled for a Week'

 ;)

            จากเหตุการณ์ความขัดแย้งรุนแรงถึงชีวิตที่ชาร์ล็อตส์วิลล์ เวอร์จิเนีย เมื่อไม่นานมานี้

(กระทู้ http://www.reurnthai.com/index.php?topic=6382.120)

           ได้ส่งผลกระทบต่อเนื่องไปยังภาคส่วนอื่น รวมไปถึงศิลปะแขนงที่เจ็ด - ภาพยนตร์ ด้วย
นั่นคือ หนังใหญ่ระดับตำนานที่เป็นตัวแทนภาพของรัฐทางใต้มาหลายสิบปีอย่าง วิมานลอย
Gone with the Wind          

Laurent-Durieux Poster

          หนังซึ่งเล่าเรื่องการต่อสู้เพื่อที่จะลุกขึ้นมายืนหยัดใหม่ของอดีต"เจ้าหญิง"คนขาวชาวใต้แห่ง Tara
ที่สูญเสียแทบทุกสิ่งไปกับสงครามกลางเมือง นอกจากจะถูกตีความมองในมุมสตรีนิยมแล้ว แต่อีกมุมหนึ่งที่
เด่นชัดและเป็นที่กล่าวถึงมานานเช่นกันก็คือ
          เรื่องของเชื้อชาติคนผิวสีและความสัมพันธ์กับคนขาว ที่หนังเรื่องนี้ถูกโจมตีด้วยข้อหาที่ว่า
นำเสนอภาพ "โลกสวย" ของทาสคนดำ ในหนังพวกเขาได้รับการดูแลอย่างดีจากเจ้านายใจดี, ดูไม่มีทุกข์,
ทำงานเหมือนเป็นลูกจ้างไม่ใช่ทาส, ทาสบางคนอย่างแม่บ้านแมมมี่นั้่นเป็นที่รักและยังมีบารมีเป็นที่ยำเกรง
แม้แต่สการ์เลทยังต้องยอม ฯ

นักแสดงผู้สวมบทแมมมี่ผู้จงรักภักดีที่สตรองและคุมสการ์เล็ทอยู่ ได้รับการบันทึกในประวัติศาสตร์วงการ
บันเทิงว่าเป็นนักแสดงผิวสีคนแรกที่ได้รับออสการ์

Hattie McDaniel กับรางวัลออสการ์นักแสดงสมทบหญิง

           อีกข้อหาเป็นเรื่องการเหยียดผิว ผ่านการแสดงภาพคนดำจากมุมมองของคนใต้ในด้านเดิมๆ นั่นคือ
คนละชนชั้น, อ่อนด้อย, ไม่ฉลาดมีบทบาทเป็นตัวตลก (เห็นเด่นชัดที่สุดจากบทของ Prissy คนรับใช้ผิวสี
ที่ใสซื่อ, ไม่ประสาในยามวิกฤตตอนที่เมลานีกำลังจะคลอดบุตร) และ กำเริบร้ายหลังได้รับอิสรภาพ

ฉากนี้ที่คนดูไม่ลืม

และ
           การนำเสนอบทของพวกสามเค ในมุมมองของกลุ่มคนขาวกำราบคนดำกำเริบ อยู่ข้างฝ่ายตัวพระมา
อภิบาลช่วยสการ์เล็ทจากการจะถูกคนดำกระทำย่ำยี
           ระหว่างการสร้าง(เขาว่า) National Association for the Advancement of Colored People
ได้ขู่ว่าจะบอยคอตหนังเรื่องนี้หากมีฉากที่เข้าข้างพวกสามเคและฉากการลงทัณฑ์คนดำด้วยการแขวนคอ(lynching)
จากการกระทำผิดที่สาสมควร จนต้องมีการปรับเปลี่ยนบทตามที่ขู่มา
 
           กลับเข้าประเด็นที่จั่วหัวไว้คือ ข่าวกล่าวว่า โรงหนัง Memphis, Tennessee ได้ตัดสินใจยุติการฉายหนังเรื่อง
วิมานลอย ในเทศกาลหนังเก่าหน้าร้อนของโรงที่จัดมาทุกปีกว่า 30 ปี สืบเนื่องจากเหตุการณ์ความรุนแรงดังกล่าวที่นำไป
สู่การวิพากษ์วิจารณ์อย่างร้อนแรงทางออนไลน์ ว่าหนังมีเนื้อหา 'racially insensitive' content ผู้บริหารจึงตัดสินใจ
ถอดหนังออกจากโปรแกรมการฉายในปีต่อไป....

Gone with the Wind ผ่านไปกับสายลมที่พัดผ่านมา

เพิ่งอ่านพบสาเหตุการตายของเจรี่ ลูวิสค่ะ

Legendary comedian Jerry Lewis' death Sunday was caused by a heart condition, the Clark County Nevada Coroner determined.

His cause of death is officially listed as ischemic cardiomyopathy, which occurs when the heart becomes unable to pump sufficient blood through the rest of the body due to a coronary artery disease.

An autopsy will not be conducted for Lewis, 91, who had a history of heart issues during his life. Lewis first suffered a heart attack in 1960 when he was 34 years old, and suffered at least two more in 1982 and 2006.

He also battled prostate cancer, Type 1 diabetes, pulmonary fibrosis and viral meningitis in his lifetime, and suffered a major back injury during a fall at a Las Vegas performance in 1965 that almost paralyzed him.

ต้องขอคุณหมอขยายความตามเคยค่ะ

            คุณปู่อายุยืนเหลือเกินทั้งๆ ที่มีโรครุมขนาดนั้น - มะเร็งต่อมลูกหมาก,เบาหวานชนิดที่ ๑ ต้องฉีดอินสุลิน,
พังผืดในปอด, เคยเป็นเยื่อหุ้มสมองอักเสบจากไวรัส, อุบัติเหตุกระดูกสันหลังเกือบเป็นอัมพาต และยังเคยมีภาวะ
หัวใจวาย(heart attack) มาแล้วสามหนๆ แรกตั้งแต่อายุเพียง 34 ปี
            สาเหตุหลักที่พรากปู่ไปคือโรคหลอดเลือดหัวใจตีบตัน(coronary artery disease) ทำให้กล้ามเนื้อ
หัวใจขาดเลือดเกิดการตายของเซลล์กล้ามเนื้อหัวใจตามด้วยการเกิดพังผืด ส่งผลให้มีการเสื่อมสภาพของกล้ามเนื้อ
หัวใจ เป็น Ischemic Cardiomyopathy หัวใจจะทำงานได้ไม่ดี ในที่สุดก็ล้มเหลว

Ischemic - (pathology) Characteristic of, or accompanied by ischemia—local anaemia due to mechanical obstruction
of the blood supply.    
(anaemia -  medical condition in which the capacity of the blood to transport oxygen to the tissues is reduced)

Cardiomyopathy - cardio - (anatomy) Pertaining to the heart.
                           myo-     Forming compounds words pertaining to muscle.
                          -pathy    Damage to, disease of, or abnormality.

รอยแผลเก่าในใจ (จากภาวะหัวใจขาดเลือด) Myocardial ischemic scar

ขอบคุณค่ะคุณหมอ SILA
ถือว่าคุณทวดแกหนังเหนียวเอาการ    ขอให้ไปสู่สุคติ

ยังมีเรื่องของคุณปู่ให้เป็นข่าวต่อ

        ผู้สื่อข่าวได้ไปติดตามชีวิตคนไร้บ้านของ Suzan Lewis ลูกนอกสมรสของคุณปู่ ที่ Philadelphia,Pennsylvania

http://www.dailymail.co.uk/news/article-4882456/Jerry-Lewis-illegitimate-child-lives-street.html

เว็บไซต์แห่งหนึ่งระบุว่า DNA tests ยืนยันว่าเธอมีโอกาสเป็นลูกของคุณปู่ถึง 88.7 percent

ถ้าเป็นเรื่องจริงก็น่าสลดใจมาก
เคยเจอพวก homeless  เมืองใหญ่ๆในอเมริกามีมากจนน่าตกใจ    เมื่อก่อน พบว่าส่วนใหญ่เป็นพวกติดเหล้าหรือติดยา หรือทั้งสองอย่าง   ชนิดพ่อแม่พี่น้องเอาไว้ไม่อยู่    แต่หลังๆนี้ เศรษฐกิจที่ทรุดฮวบทำให้คนชั้นกลางกลายเป็น homeless กันไปแบบไม่รู้เนื้อรู้ตัว    เป็นเรื่องน่าเศร้าใจสำหรับประเทศที่เคยร่ำรวยที่สุดในโลก

ผู้หญิงคนนี้ บอกว่าพ่อไม่ยอมรับเธอ   ในเมื่อแม่ก็อยู่กินกับพ่อ(แม้ว่าอย่างลับๆก็เถอะ) ถึง 3 ปี   พ่อก็น่าจะอยู่ด้วยตอนเธอเกิด
แม่เป็นนางแบบ   แสดงว่าน่าจะมีรายได้ดี  พอจะให้ชีวิตที่ดีแก่ลูกได้  ทำไมซูซานถึงมาจบอนาคตในวัยชราแบบนี้

สงสัยเรื่อง DNA ค่ะ  เพิ่งรู้ว่าวัดเป็น % ได้ด้วย      ดิฉันนึกว่ามันมีคำตอบแบบ ใช่ กับ ไม่ใช่ เสียอีก

อ่านเจอข่าวชีวประวัติเธอในนี้ค่ะ
http://www.philadelphiaweekly.com/news/alleged-love-child-of-jerry-lewis-is-homeless-on-the/article_83f5d94a-dd92-11e6-816d-b74252549a18.html
คงมีความจริงอะไรบางอย่างที่ในบทความไม่ได้เขียนไว้    ในเรื่องชีวิตปัจจุบันของซูซาน    เธอไม่น่าจะตกอับถึงขนาดนี้ ถ้าไม่มีปัญหาอะไรสักอย่างเช่นติดยา

            วันก่อนได้อ่านข่าวว่า นักแสดงชายอดีตขวัญใจวัยรุ่นยุค 1970s, David Cassidy ป่วยหนัก และแล้ว
ในที่สุด,ตัวแทนได้แถลงข่าวว่า เดวิด จากไปเมื่อวันอังคารที่ผ่านมาด้วยวัย 67 ปีเนื่องจากอวัยวะทำงานล้มเหลว

         David died surrounded by those he loved, with joy in his heart and free from the pain
that had gripped him for so long.

          เดวิดเป็นหนึ่งในนักแสดงวัยรุ่นในซิทคอมดังเรื่อง The Partridge Show(1970-74) ซึ่งออกอากาศใน
บ้านเราด้วยชื่อว่า แม่ม่ายเรือพ่วง(?)

          พ่อของเดวิดเป็นนักร้อง Jack Cassidy หลังจากหย่าจากภรรยาแล้วได้มาแต่งงานกับนักร้องนักแสดงหญิง
Shirley Jones(ยังมีชีวิตอยู่) ซึ่งในเวลาต่อมาได้มารับบทเป็นแม่ของเดวิดในซีรี่ส์ดังเรื่องนี้

อีกหนึ่งนักแสดงที่โด่งดังจากซีรี่ส์นี้เช่นกันคือ Susan Dey รับบทน้องสาว(ยังมีชีวิตอยู่)

           จากซีรี่ส์นี้ที่ส่งให้เขาเป็นขวัญใจวัยรุ่น, เดวิดยังคงมีผลงานบ้างทางทีวี,ละครเวที,แผ่นเสียงและได้มา
เปิดการแสดงสดที่ Las Vegas
            
กับนักร้องชื่อดัง Sheena Easton บนเวทีการแสดงที่เวกัสเมื่อปี 2000

             ในปี  2014 เขาต้องเข้ารับการบำบัดหลังจากถูกจับด้วยเรื่องเมาแล้วขับเป็นครั้งที่สาม และในปี 2017 นี้
เดวิดได้เผยว่าเขากำลังเริ่มมีอาการสมองเสื่อมที่ส่งทอดมาทางพันธุกรรม

             เดวิดมีผลงานเพลงออกอัลบั้มหลายชุด เพลงดังของเขาที่บ้านเราก็ฮิทมาก-มากที่สุด -  I Think I Love You
ขึ้นถึงอันดับ 1 Billboard charts ในปี 1970

https://www.youtube.com/watch?v=CIDDEIWhuRU

RIP

จำได้รางๆถึงหนุ่มหน้าหวานขวัญใจวัยรุ่นแห่งต้นทศวรรษที่ 70 ค่ะ
คลิปนี้รวมดาราจาก  The Partridge family
https://www.youtube.com/watch?v=DRlUcMrtiT0

ก่อนหน้า David Cassidy เล็กน้อย  ดาวค้างฟ้าอีกดวงหนึ่งก็ล่วงลับจากฟากฟ้าไป   เธอคือ Della Reese  นักร้องแจ๊ซและเพลงสวด  ดารานำในหนังทีวีเรื่องยาวยอดนิยม Touched By an Angel   เคยฉายทางทรูวิชั่นในบ้านเรา
เดลลาจากไปในวัย 86 ปี

https://www.youtube.com/watch?v=VcHZ1b5Pa1A

ในยุค 1960s ต้นๆ  ที่ทีวียังเป็นจอขาวดำ  มีหนังชุดทีวีเรื่องหนึ่งชื่อ The Andy Griffith Show  บอกเล่าชีวิตพื้นบ้านของคนอเมริกันในเมืองบ้านนอกเล็กๆ ที่ดำเนินไปอย่างเอื่อยๆ   ตลกขบขันสไตล์อเมริกัน  ตัวเอกคืออำเภอหนุ่มใหญ่พ่อม่าย มีลูกติดหนึ่งคนเป็นเด็กชาย    แต่ตัวชูโรงสีสันของเรื่องคือปลัดอำเภอ จอม ป.ส.ด. และอีกคนเป็นช่างฟิตจอมเด๋อประจำเมือง
ช่างฟิตหนุ่มเด๋อด๋าคนนั้นชื่อ Jim Nabors    เขาเติบโตมาจากการแสดงตลกตามไนท์คลับ แล้วถูกชวนมาเล่นหนังชุดเรื่องนี้   ปรากฏว่าได้รับความนิยมล้นหลามจากบทซื่อๆ เซ่อๆ  จนบทนี้ถูกแยกไปเป็นซีรีส์ชุดใหม่ ชื่อ Gomer Pyle, U.S.M.C.

https://www.youtube.com/watch?v=rwEvysDpNm0

เมื่อช่างฟิตสมัครเข้ากองทัพเรือ กลายเป็นนาวิกโยธินจอมเด๋อไม่น้อยไปกว่าในหนังชุดแรก  จิม เนเบอร์ปรุงแต่งให้ตัวละครของเขาโดดเด่นมีเอกลักษณ์  ด้วยการผสมผสานความสามารถพิเศษในการร้องเพลงเข้าไปกับบทตลก
ทั้งนี้เพราะเขามีพรสวรรค์ที่ดาวตลกอื่นไม่มี คือน้ำเสียงไพเราะมาก  ร้องเสียง baritone ได้กังวานน่าฟังไม่แพ้นักร้องอาชีพดังๆ
ฝีมือเขาอยู่ที่สามารถบวกการร้องเพลงที่ต้องอาศัยความนิ่งและสง่างามในการร้อง เข้ากับบทนาวิกโยธินเด๋อด๋าได้ โดยไม่หลุดออกมาทางใดทางหนึ่งให้เสียอารมณ์คนดู
เห็นได้จากฉากที่เขาต้องร้องเพลง Impossible Dream ซึ่งถือกันว่าเป็นเพลงที่ธำรงอุดมคติไว้ได้มากที่สุดเพลงหนึ่ง  จิมร้องได้ดีมากจนจบเพลง

https://www.youtube.com/watch?v=yJlgio-UOng

   ความสำเร็จในการรับบทนี้ ก็เลยเป็นตราประทับติดตัวจิม เนเบอร์ให้รับบทอื่นได้ยาก     เขาก็รับเล่นบททำนองนี้ในหนังอื่นๆบ้าง   และร้องเพลงอัดแผ่นบ้าง  เมื่อหมดยุคของเขาในช่วง 1960s แล้ว  เขาไปเป็นดารารับเชิญในรายการทีวีต่างๆ ที่เน้นด้านตลก อย่าง Carol Burnett Show  กับร้องเพลง และแสดงโชว์ตามที่ต่างๆ   รวมทั้งร้องเพลงในพิธีการต่างๆของรัฐด้วย    นับว่าเป็นดาวตลกคนหนึ่งที่ไม่เคยดับแสง แม้ว่ายุคสมัยเขาผ่านพ้นไปหลายสิบปีแล้วก็ตาม
   จิมย้ายจากคาลิฟอร์เนียไปทำไร่มะคาเดเมียอยู่ที่ฮาไวอิ ตั้งแต่ค.ศ.1976    เมื่อสหรัฐอเมริกาออกกฎหมายให้ประชาชนเพศเดียวกันสมรสกันได้  เขาก็จดทะเบียนแต่งงานกับคู่ซึ่งอยู่กินกันมา 38 ปีแล้ว    เขาถึงแก่กรรมเมื่อ 30 พฤศจิกายน 2017 ที่ผ่านมานี้เอง ด้วยวัย 87 ปี
   บทของพลทหารนาวิกโยธิน โกเมอร์ ไพล์ ดังขนาดไหน  เห็นได้จากเมื่อเขาถึงแ่กรรม หน่วยงานนาวิกโยธินสหรัฐ ถึงกับประกาศคำไว้อาลัยเขาว่า

    "Semper Fi, Gomer Pyle. Rest in peace Jim Nabors, one of the few to ever be named an Honorary Marine."

ใกล้คริสต์มาสแล้ว  ลองมาฟังเสียงของจิมจากเพลงคริสต์มาสของเขาดูบ้างก็ดีค่ะ

https://www.youtube.com/watch?v=EpYWHqso9uI

            ไม่เคยดูซีรี่ส์ดัง, ไม่เคยฟังเสียง deep baritone ของคุณปู่เลย เมื่อไปกูเกิ้ลดูจึงได้ทราบว่า
เคยดูหนังที่คุณปู่ร่วมแสดงกับเพื่อนสนิท Burt Reynolds ในหนังเพลงหรรษา เรื่อง The Best Little
Whorehouse in Texas

หนังเรื่องนี้มีให้ดูฟรีทางยูทูป  แต่เขาใส่กรอบดาวจรัสแสง ตาหูลายหน่อยนะคะ

https://www.youtube.com/watch?v=CpVe7ptn39Q

แถมเรื่องคุณปู่อีกนิดค่ะ

ด้วยผลงานจาก Gomer Pyle  USMC  จิมก็เลยได้รับเกียรติจากหน่วยนาวิกโยธินของสหรัฐอเมริกา มอบตำแหน่ง Honorary Marine corporal ให้   คำนี้ไปถามผู้การกู๊กดู เขาตอบมาว่าหมายถึงจ่าโท   
Jim Nabors (2001), star of the television comedy show Gomer Pyle, U.S.M.C., "promoted" to lance corporal on August 9, 2001, later to corporal on September 25, 2007

จิมได้ร่วมงานกุศลกับนาวิกโยธินสหรัฐ อย่างในคลิปนี้
บรรยายว่า Internationally known entertainer and Honorary Marine Corporal Jim Nabors (aka "Gomer Pyle") performing "Silent Night" with the U.S. Marine Corps Forces Pacific Band at the 2nd Annual Na Mele o na Keiki (Music for the Children) Holiday Concert Dec 9th, 2009 at the Neal S. Blaisdell Concert Hall, Honolulu,

จิมร้องเพลงนี้ในวัย 79   เสียงยังทรงพลังอยู่เลย

https://www.youtube.com/watch?v=yoQW6S4rRKg&list=RDi-cXessab-I&index=4

ยศกิตติมศักดิ์ทางนาวิกโยธินของคุณปู่จิม  ต้องฝากถามผู้รู้ที่แวะเข้ามาอ่าน   ว่ามันคืออะไร  และ corporal คือจ่าโท เท่านั้นหรือคะ
ให้ทั้งที ทำไมไม่ถึงชั้นสัญญาบัตร

            ปู่จิมเป็นพลทหาร PFC(private first class, ไทย = สิบตรีกองประจำการ ยศเท่ากับสิบตรีที่เป็น
ยศของทหารเกณฑ์ที่ได้รับการฝึกครบสองปีแล้วขอรับราชการต่อ) เดิม แล้วได้ยศกิตติมศักดิ์ Honorary Lance
Corporal เมื่อปี 2001 ตามมาด้วยการเลื่อนเป็น Honorary Corporal ปี 2007
               
             Surprise, surprise, surprise! Jim Nabors promoted
               
ยศกิตติมศักดิ์นี้มีความหมายน่าภาคภูมิใจ

      As rare as it is to be selected as an Honorary Marine, it is even rarer still for one to be promoted.
      In his remarks, Gen. Goodman talked about how corporal is such a significant rank in the Corps,
being the first echelon of leadership in the Marine rank structure.
      As a noncommissioned officer, a Marine corporal has a tremendous amount of responsibility to his
Marines, on- and off-duty.

จาก http://www.jimnabors.com/promotion3.html

                 เวลาผ่านไปเร็วไวราวติดปีกบิน ปีใหม่กลายเป็นเก่าจวนจะสิ้นไปอีกแล้ว

             รวบรวมฉากประทับใจจากหนังเก่าเล่าเรื่องคืนส่งท้ายปีเก่าบางเรื่องมาชวนให้ทบทวนความหลัง
และวาดหวังไปข้างหน้าในปีใหม่ที่กำลังคืบคลานเข้ามา

เริ่มด้วยหนังคลาสสิค

             The Gold Rush (1925) โดยนักแสดงนำในตำนาน Charlie Chaplin ในฉากซึ่งเป็นที่จดจำแต่นั้นมา

               หนุ่มคนยากตกหลุมรักสาวเต้นรำ เธอตอบรับคำเชิญมาดินเนอร์คืนส่งท้ายปีเก่า แต่ปล่อยให้
เขารอเก้อ ความหวังสลายกลับกลายเป็นคืนส่งท้ายปีเก่าแสนเศร้าเปล่าเปลี่ยว,อยู่คนเดียวกับความเพ้อฝัน

คลิป Oceana Roll dance ที่ประทับใจจำ

https://www.youtube.com/watch?v=kd44hGbDs6E

จากคลิปข้างต้น,

           เมื่อถึงเวลาวินาทีปีเปลี่ยน ผู้คนในบาร์เรียงตัวเป็นวงกลมไขว้มือประสานร่วมกันร้องเพลง Auld Lang Syne

           Auld Lang Syne เพลงเอกประจำงานฉลองส่งท้ายปีเก่าต้อนรับปีใหม่ที่บังคับขับขาน
ร้องบรรเลงยามเปลี่ยนผ่านปีเก่าผันเข้าสู่ปีใหม่
           เมื่อใกล้เวลา, ผู้คนพร้อมใจกันนับถอยหลังวินาทีสู่เวลา  24 นาฬิกาของวันที่ 31 ธันวาคมแล้ว
ร่วมกันร้องเพลงนี้ในวินาทีแรกของปีใหม่
           ให้ความรู้สึกเฉลิมฉลองยินดีปรีดากับมิตรชิดใกล้รับวันเวลาใหม่ ในขณะเดียวกันก็หวนถวิลคิดถึง
วันเวลาเก่าที่ผ่านพ้นไป

            Auld Lang Syne แปลว่า "old long since" หรือ แปลเป็นสำนวนสละสลวยว่า
"long long ago","days gone by","old times" หรือ "for (the sake of) old times"
 
           เนื้อร้องเป็นบทร้อยกรองของกวีชาวสก็อต Robert Burns ประพันธ์ขึ้นเมื่อปี 1788 ส่วนทำนอง
เป็นดนตรีพื้นบ้านนำมาประกอบภายหลังเบิร์นส์เสียชีวิตไปแล้ว
           เบิร์นส์ รวบรวมเนื้อร้องบางส่วนมาจากบทร้อยกรองที่เขาได้จดจารจากผู้อาวุโส และบางส่วนแต่งเติม
ขึ้นใหม่ เนื้อร้องดั้งเดิมมีหลายท่อน แต่ที่นิยมร้องในปัจจุบันตัดสั้นลงและมีบางคำแตกต่างกันไปบ้าง
           นักวิชาการเบิร์นส์คดีชี้ว่า เนื้อร้องกล่าวถึงการกลับมาพบกันใหม่,ไม่ใช่การจากกัน,แล้วหวนรำลึกถึง
วันชื่นคืนสุขที่ผ่านพ้นไปและการได้กลับมา

https://www.youtube.com/watch?v=11wYCgYms2I

          Auld Land Syne เริ่มเป็นที่นิยมในช่วงเวลาการอพยพของชาวสก็อตไปแคนาดาและอเมริกาในศตวรรษที่ 19
แล้วข้ามมาได้รับความนิยมในยุโรป
          ตอนพักรบช่วงคริสตมาส(Christmas Day Truce) ของสงครามโลกครั้งที่หนึ่ง(1941), ทหารของทั้งสองฝ่าย
ได้ร้องเพลงร่วมกันโดยมีเพลงนี้เป็นเพลงปิดท้าย

คลิปจากหนัง Oh! What A Lovely War(1969)
https://www.youtube.com/watch?v=VZk4db5QGqg&t=21s

ส่วนคลิปนี้จากหนัง Joyeux Noel (2005)
https://www.youtube.com/watch?v=bSEX3FiCs4w

           ต่อมา,ฮอลลีวู้ดก็พา Auld Lang Syne สู่ผู้ชมผู้ฟังผ่านทางหนังเรื่องต่างๆ มากมาย จาก
The Gold Rush(1925) ของ ปู่ Chaplin สู่ หนูน้อยมหัศจรรย์ในตำนาน Shirley Temple ใน
Wee Willie Winkie(1937) รวมถึง It's a Wonderful Life(1940) เป็นต้น และ
ที่สำคัญอย่างยิ่งยวด

           วงดนตรี(ของ) Guy Lombardo and his Royal Canadians ได้เลือกบรรเลงเพลง
Auld Lang Syne นี้ในโชว์ของเขาที่ออกอากาศ(ทางวิทยุและต่อมาเป็นโทรทัศน์) ในคืนส่งท้ายปีเก่าช่วง
เวลาวินาทีปีเปลี่ยนแล้วได้รับความนิยมอย่างสูงทำให้เพลงนี้กลายเป็นเพลงประจำยามข้ามปีที่ฮิทไปทั่วทั้ง
อเมริกา ตั้งแต่ปี 1928 - 1976(โดยเป็นการออกอากาศสดตั้งแต่ 31 ธ.ค. 1955) จนเขาได้รับฉายาว่า
Mr. New Year's Eve

(สมัยก่อนรายการโทรทัศน์บ้านเราในคืนส่งท้ายปีเก่าบางปีก็มีวงดนตรีสุนทราภรณ์บรรเลงเพลงข้ามปี โดยที่
เมื่อถึงเวลาเที่ยงคืน เพลงที่ร้องบรรเลงในตอนนั้นคือ เพลงพระราชนิพนธ์ พรปีใหม่ แล้วตามด้วยชุดเพลงปีใหม่
ของวง)  

             คือ "บทเพลงหนึ่งเดียวเพลงนี้" ที่เราจะได้ยินในฉากส่งท้ายปีเก่าเข้าสู่ปีใหม่ในหนังเรื่องต่างๆ

คลิป โชว์ของคุณปู่ Guy Lombardo ปีสุดท้าย 1976 - 1977
เคานท์ดาวน์และเพลง Auld Lang Syne ที่ประมาณนาทีที่ 17

https://www.youtube.com/watch?v=e7dkFtwQFRQ

ชมฉากเพลง Auld Lang Syne ในหนังเก่าบางเรื่องกันต่อ 

Wee Willie Winkie(1937) หนูน้อย Shirley Temple รับบทหลานของนายทหารบริทิช
ประจำการในอินเดียตอนเหนือ ในฉากนี้เธอร้องเพลง Auld Lang Syne ให้จ่าทหารที่ได้รับบาดเจ็บ
ใกล้สิ้นใจฟัง เขาเป็นผู้ที่พาเธอและแม่ซึ่งเป็นม่ายมายังค่ายทหารนี้

https://www.youtube.com/watch?v=GmMucZYWz9k

เพลง Auld Lang Syne นำมาใช้ในฉากการจากลา

เช่นเดียวกับใน

Waterloo Bridge(1940) นำแสดงโดย Robert Taylor และ Vivien Leigh

           หนังรักระหว่างรบรันทดใจในแบบฉบับหนังเรียกน้ำตาสมัยก่อน ภัยสงครามนำพานายทหารหนุ่ม
ให้ได้มาพบรักกับนักบัลเลท์สาว และสงครามก็พรากเขาและเธอให้ต้องจากกันเหลือไว้เพียงความทรงจำ
กับสิ่งของที่เคยมอบไว้ให้นำโชคดีเป็นที่ระลึกถึง

เพลง Auld Lang Syne ใช้บรรเลงเป็นเพลงสุดท้ายสั่งลา(the farewell waltz) ของวงดนตรีใน
คลับแสงเทียนที่เขาพาเธอไปออกเดท

https://www.youtube.com/watch?v=dWcRO7lmvjM

It's a Wonderful Life(1946) นำแสดงโดย James Stewart

           หนังดรามาคริสตมาสแฟนตาซี - ที่กลายเป็นหนังประจำเทศกาลคริสตมาสดูกันได้ทุกๆ ปีในช่วงเทศกาล
           หนังเริ่มต้นด้วยความสูญสิ้นหวังแต่ลงท้ายจบลงด้วยความสุขสมสามัคคีชุมนุมและเพลง Auld Lang Syne

https://www.youtube.com/watch?v=8ucB5S-Vseg

และใน  Sunset Boulevard(1950) นำแสดงโดย Gloria Swanson และ William Holden

              ย้อนไปปี 1949  อดีตดาวจรัสแสงยุคหนังเงียบที่วันนี้แสงริบหรี่ล่องลอยไปกับความหลังครั้ง
ยังรุ่งโรจน์อยู่ในคฤหาสน์เพียงลำพังกับบัทเลอร์คนสนิท
              จนกระทั่งโชคเคราะห์นำพาชายหนุ่มดวงตกพลัดหลงเข้ามาในโลกหลงของดาวตก

             ในคืนส่งท้ายปีเก่า เธอฉลองเทศกาลกับเขาเพียงลำพังในคฤหาสน์บรรยากาศหลอน
เธอบอกรักและเสนอสารพัดสิ่งสรรพ์บรรณาการเขา และ เมื่อเขาปฏิเสธ,สิ่งที่ได้รับคือการโดนตบหน้า
             เขาตัดสินใจออกไปจากโลกหลงใบนี้และไปร่วมปาร์ตี้กับเพื่อนๆ และหญิงสาวที่เขาพึงใจ

             เมื่อเขาโทรศัพท์กลับมาเพื่อขอให้บัทเลอร์เก็บเสื้อผ้าใส่กระเป๋าให้เขาจึงได้ทราบว่าเธอ
พยายามฆ่าตัวตายโดยใช้ใบมีดโกนของเขากรีดข้อมือ
             เขาผละจากหญิงที่หมายปองแล้วรีบรุดกลับมา, เธอไล่เขาไป แต่ไม่พ้น....บ่วงเคราะห์
กรรมในที่สุด

Auld Lang Syne บรรเลงประกอบในช่วงท้ายของซีนนี้
 
https://www.youtube.com/watch?v=qu7qZzAUWjw

THE APARTMENT(1960) นำแสดงโดย Jack Lemmon และ Shirley MacLaine

            "Bud" Baxter พนักงานผู้น้อยของบริษัทประกันในมหานครนิว ยอร์ก ยินยอมให้กลุ่มเจ้านาย
ใช้ห้องพักในอพาร์ทเมนท์ของตนเป็นห้องสำราญชั่วคราวกับสาวๆ ที่ไม่ใช่ภรรยา, คนนั้นคนนี้ จนกระทั่ง
วันหนึ่ง,หนึ่งในสาวที่ Jeff D. Sheldrake เจ้านายพามาคือ Fran Kubelik พนักงานประจำลิฟท์ที่บัด
แอบหมายปอง เธอโดนเจฟหลอกว่าเขากำลังจะหย่าจากภรรยา....

            บทส่งท้ายเรื่อง เมื่อแฟรนเริ่มจะเห็นในน้ำใจไมตรีของบัด แต่เจฟซึ่งโดนภรรยาที่รู้ความจริงไล่
ออกจากบ้านได้นัดเธอไปฉลองกันในคืนส่งท้ายปี  เจฟบอกเธอว่าบัดไม่ยอมให้ยืมห้องพักแล้วและได้ลา
ออกจากงาน

           ช่วงเพลง Auld Land Syne, แฟรน ได้คิดและคิดได้ถึงความสัมพันธ์,ความรู้สึกดีที่บัด
มีต่อเธอ เมื่อเจฟหันกลับมาก็ได้พบว่า.....
           เธอผละออกจากงานฉลองแล้ววิ่งตรงมาหาบัดที่อพาร์ทเมนท์ ขณะเร่งฝีเท้าก้าวขึ้นบันได
เธอได้ยินเสียง "ปัง" ดังจากห้องของบัด

https://www.youtube.com/watch?v=r8rQPZHCvuw

Poseidon Adventure(1972) หนังภัยพิบัติรวมดาวนำโดย Gene Hackman

            เรือสำราญนามสมุทรเทพ Poseidon ท่องสมุทรเที่ยวสุดท้ายก่อนปลดระวาง
ในคืนสุดท้ายของปี ช่วงเวลานาทีเฉลิมฉลองสิ้นปีเก่าต้อนรับปีใหม่ ไม่มีใครคาดคิดว่า

            การนับถอยหลังครั้งนี้จะเป็นการเริ่มต้นวินาทีปีใหม่และหายนะภัยพิบัติ ที่นำไปสู่การสิ้นสุดปีใหม่
ไม่ทันไรของ "หลายชีวิต" ในเรือสำราญลำนี้

https://www.youtube.com/watch?v=uPqtEjwhiv4

The Godfather, Part II(1974) หนังแอ็คชั่นดรามาเรื่องเยี่ยม,นำแสดงโดย Al Pacino

             เมื่อวินาทีปีใหม่ใกล้เข้ามา,ได้เวลาของการนับถอยหลังแล้วจุมพิตคนชิดใกล้
             

             ฉากจุมพิตมรณะของเจ้าพ่อจากหนังในตำนาน. ที่งานปาร์ตี้คืนส่งท้ายปีเก่าในฮาวานา,คิวบา
พี่ชาย,ไมเคิล,จุมพิตน้องชายทรยศคิดคดกำจัดพี่. ปีใหม่นี้เตรียมนับถอยหลังวันวาย,น้องชาย    
            
https://www.youtube.com/watch?v=DjUOBVAbGhQ

I know it was you, Fredo. You broke my heart.

Out of Africa(1985) นำแสดงโดย  Meryl Streep และ Robert Redford

             เรื่่องราวชีวิตผิดรักแผกถิ่นในดินแดนแห่งแสงตะวันสาดส่องพงไพรของคาเรน(Karen Blixen
นักประพันธ์ชาวเดนมาร์กโดยใช้นามปากกาว่า Isak Dinesen ผู้มีผลงานเข้าชิงรางวัลโนเบล) เธอแต่งงาน
เพื่อยศศักดิ์โดยปราศจากความรักก่อนที่จะได้มาพานพบกับเดนิส,ชายที่พร้อมด้วยคุณสมบัติของคนรักแห่งชีวิต
ยกเว้น การไม่(ยอม)ถูกผูกมัด

         คืนส่งท้ายปีเก่า 1918 - 1919 ในดินแดนดงพงพนา ผู้คนชาวผิวขาวร่วมชุมนุมเฉลิมฉลอง, เธอไปทาง
สามีไปทางกับนางอื่น
         หลังจากวิวาทะกับชายผิวขาวที่ดูถูกชนพื้นเมืองจนเธอฝากรอยมือที่ใบหน้า เดนิสพาเธอไปเต้นรำคู่กันโดย
มีเสียงเพลง Let the Rest of the World Go By(ประพันธ์ปี 1919 แต่ใช้อภิสิทธิ์ศิลปะนำมาประกอบ) บรรเลง
คลอ บทสนทนายังคงเป็นเรื่องชนพื้นเมืองและโครงการสังคมสงเคราะห์ชนเผ่าชาวพื้นเมือง "ของเธอ"

เดนิสบอกเธอว่า

We're not owners here.
We're just passing through.

เธอตอบว่า
 
I don't believe that.

            วินาทีปีกาลผ่านเปลี่ยนสู่ปีใหม่,ร่วมร้องบรรเลงเพลง Auld Lang Syne

และมอบจุมพิตให้กัน

https://www.youtube.com/watch?v=wYEn-ZKSg_I

Happy new year!

Cinema Paradiso(1988) รางวัลออสการ์หนังภาษาต่างประเทศ(อิตาลี) ยอดเยี่ยม

              Toto เด็กน้อยกำพร้าพ่ออาศัยอยู่ในหมู่บ้านชนบทบนเกาะ Sicily ใช้เวลาว่างขลุกอยู่ใน
โรงหนัง Cinema Paradiso จนสนิทสนมและเรียนรู้การฉายหนัง
              ครั้นเติบโตขึ้นเป็นเป็นหนุ่มน้อย Salvatore จึงทำหน้าที่ฉายหนังหลังจากเลิกเรียน และ
เมื่อหนุ่มน้อยทดลองถ่ายทำหนังของตัวเอง กล้องก็พาให้พบภาพงามของธิดานายธนาคารเกิดเป็นรัก
ต้องห้ามเพราะความแตกต่างทางชนชั้น

              คืนส่งท้ายปีเก่า,นับถอยหลังเข้าสู่ปีใหม่ ทำได้เพียงเฝ้ายืนมองจ้องหน้าต่างจากข้างถนนคนเดียว

https://www.youtube.com/watch?v=Yp5lvaqQrkc

เปลี่ยนอารมณ์มาส่งท้ายสิ้นปีเก่าเข้าสู่ปีใหม่อย่าง happy ending ไปกับ

When Harry Met Sally(1989) นำแสดงโดย Billy Crystal และ  Meg Ryan

           เวลาที่ผ่านไปหลายปีมีทั้งช่วงที่ดีและไม่ดีต่อกัน แต่ ในที่สุด,ในคืนส่งท้ายปีเก่าก้าวสู่ปีใหม่
มิดไนท์ 31 ธันวา แฮร์รี่ได้คิดคิดได้ตัดสินใจเผยความรู้สึก,ประกาศความในใจให้เธอฟังแต่เธอลังเล
เขาจึงพร่ำใส่ไม่ยั้งและลงท้ายด้วยประโยคประดิษฐ์พิชิตใจ

             นอกจากจะเผยความในใจแล้ว,ทั้งสองยังได้สนทนาเรื่องความหมายของเพลง Auld Lang Syne นี้
ที่ร้องบรรเลงกันมาช้านานทุกปีๆ

https://www.youtube.com/watch?v=B4_-Hk7JeIs

             I mean, ‘Should old acquaintance be forgot’? Does that mean that we should
forget old acquaintances, or does it mean if we happened to forget them, we should
remember them, which is not possible because we already forgot?

             Maybe you're just supposed to remember you forgot them, or something
anyway, it's about old friends.

จากซีรี่ส์ดังทางจอแก้วสู่จอเงิน หนังที่มีชื่อและเนื้อหาแรงแต่แฝงฉากซาบซึ้งตรึงใจในคืนสิ้นปีที่เหงา
และหนาวของสาวนิวหยวก

SEX AND THE CITY:The Movie(2008)

            เพื่อนสนิทสี่สาว(เหลือน้อย) ในคืนสิ้นปี, สองสาวสวีทกับคู่เคียง ในขณะที่อีกสองนางอ้างว้าง
ในห้องเพียงลำพัง
            ที่สุดของความเหงาในคืนเฉลิมฉลอง หนึ่งนางโทรศัพท์หาเพื่อนที่โสด,อีกหนึ่งเดียวที่เหลืออยู่
ในยามนี้

            So I thought one of the perks of having a family was that you didn't have to
spend New Year's Eve alone with Chinese food…
            I am alone with Chinese food.

             นางเข้านอนแล้ว แต่นาง.....

https://www.youtube.com/watch?v=bACWtsuMd54

เพลง  Auld Lang Syne ในหนังใช้เนื้อร้องเวอร์ชั่นดั้งเดิมที่ยาวกว่า, ถ่ายทอดโดยศิลปินสก็อต
Mairi Campbell ตามคำขอเป็นพิเศษจากนักแสดงนำหญิง Sarah Jessica Parker

ได้เป็นอีกหนึ่งฉากคืนสิ้นปีที่ประทับใจของใครๆ หลายๆ คน

ส่งท้ายด้วยเพลงอื่นในฉากคืนส่งท้ายปีเก่า แต่ เป็นเพลงจากละครเพลง แต่ สร้างจากหนังดังในอดีต
นั่นคือ Sunset Boulevard(1950) ที่ได้กล่าวถึงไปแล้ว

               ดังว่า, อดีตดาวจรัสแสงยุคหนังเงียบหลงอยู่กับความหลังครั้งเจิดจ้า

                เคราะห์กรรมนำชายหนุ่มดวงตกพลัดเข้ามา ทั้งสองฉลองคืนส่งท้ายปีเก่ากันลำพัง
เธอบอกรักเขาพร้อมข้อเสนอเปรอปรน เขาปฏิเสธ เธอโกรธและตบหน้าเขา
                เขาตัดสินใจจากไปร่วมปาร์ตี้กับเพื่อนๆ และหญิงสาวที่เขาพึงใจ เมื่อเขาโทรศัพท์
กลับมาจึงได้ทราบว่าเธอพยายามฆ่าตัวตาย

The Perfect Year

               คำร้องโดย Don Black และ Christopher Hampton,ดนตรีโดย Andrew Lloyd Webber
เปิดการแสดงครั้งแรกที่ London ในปี 1993

ในคลิปนี้รับบทนำโดย Glenn Close นักแสดงมากฝีมือตัวแม่จากจอเงิน           

https://www.youtube.com/watch?v=FTY4F1klw9s

รำลึก ฉากเพลงประทับใจจากหนังเพลงระบบ 70 ม.ม. ตระการตาเต็มจออิ่มใจ

            เริ่มด้วยเพลงจากหนัง(สร้างจากละคร)เพลง Fiddler on the Roof

ฉากพิธีแต่งงานของลูกสาวคนโตของครอบครัวชาวยิวชนกลุ่มน้อยในรัสเซียที่เคร่ง Tradition
 
https://www.youtube.com/watch?v=gRdfX7ut8gw

                 แต่ลูกสาวก็แหวกขนบประเพณีเลือกคู่ครองเองโดยไม่ผ่านแม่สื่อแม่ชัก

Sunrise, Sunset

https://www.youtube.com/watch?v=03rzUoyq9K0

           เรื่องต่อไปเป็นหนัง(สร้างจากละคร)เพลง(เนื้อเรื่องอิงวรรณกรรมชิ้นเอก Don Quixote ของ Miguel de Cervantes)
ที่มีเพลงเอกอมตะ The Impossible Dream นั่นคือ Man of la Mancha กับฉากจบที่พุ่งพีคประทับใจ
           เมื่อดอน มิเกล เด เซรบานเตส กวี,นักเขียนบทละคร และเจ้าพนักงานเก็บภาษี, ที่ถูกนำตัวมาขังรวม
ในข้อหากระทำผิดต่อศาสนจักรแคธอลิกเนื่องจากออกหมายยึดโบสถ์ที่ไม่ยอมจ่ายภาษี แล้วเขาได้นำเสนอ
บทละครของตนโดยมีคนในคุกร่วมเป็นนักแสดงจนดลแรงบันดาลใจใฝ่ฝันอันยิ่งใหญ่, ถูกเจ้าหน้าที่เรียกตัวไป
รับการไต่สวนโทษทัณฑ์

To reach the unreachable star,
Though you know it's impossibly high,
To live with your heart striving upward
To a far, unattainable sky!

https://www.youtube.com/watch?v=RfHnzYEHAowฃ

            ส่วนเรื่องนี้เป็นหนัง 35 ม.ม. รีเมคจากหนังดังในอดีต นำแสดงโดยนักร้องนักแสดงหญิงมาก
ความสามารถ,หนึ่งในตำนานคนนี้ Babra Streisand ใน A Star is Born กับเพลงเอกที่คว้ารางวัล
ออสการ์มาครอง Evergreen
            รักระหว่างศิลปินร็อคโด่งดังแต่พฤติกรรมทำ(ลาย)ตัวเอง(เฉกเช่นร็อคเกอร์ชื่อดังหลายคน) กับ
นักร้องสาวโนเนมแต่คับคุณภาพ เขาปั้นเธอให้กลายเป็นดาวเสียงดวงใหม่สุกใสเจิดจ้าเบียด, บังเขาจน
หม่นหมองลงท้ายด้วยโศกนาฏกรรม

https://www.youtube.com/watch?v=L7AIBlzCluc

             โหมโรงด้วยเพลงจากหนังเพลงเก่าประทับใจจำสามเรื่องนี้ที่เคยเข้าฉายในโรงหนังเดี่ยวซึ่งกำลังเป็น
ประเด็นในหมู่คนกลุ่มหนึ่งซึ่งมีอายุและมีความหลังครั้งนั้นที่สยามสแควร์ นั่นคือ

             โรงหนังชั้นหนึ่ง stand alone หนึ่งเดียวที่เหลืออยู่กลางกรุงฯ - สกาลา จะอยู่หรือจะไป
(พร้อมกับลิโด้ที่อยู่ในเครือเดียวกันซึ่งไปแน่ๆ)

คุณเพ็ญฯ พาอพยพโยกย้ายไปอ่านต่อที่กระทู้ใหม่

http://www.reurnthai.com/index.php?topic=6875.msg161293;topicseen#msg161293

ขอเชิญคุณ SILA ไปตั้งกระทู้   ฉากประทับใจในหนังเก่า (3)  ได้ไหมคะ
ขอบคุณค่ะ
อยากจะเล่าถึง ดาราที่เพิ่งดับไปอีกดวง  John Gavin

ขอบคุณค่ะคุณหมอ SILA  รวดเร็วทันใจจริงๆ
เชิญท่านผู้อ่านไปต่อที่กระทู้นี้ค่ะ

http://www.reurnthai.com/index.php?topic=6879.msg161483;topicseen#msg161483