หากพระมหากษัตริย์มีพระราชโองการให้หญิงเข้ามาถวายตัวเป็นบาทบริจาริกา จะสามารถขัดขืนหลีกเลี่ยงได้หรือไม่
มีกรณีตัวอย่างคือ สมเด็จพระอมรินทราบรมราชินี พระอรรคชายาเดิมของพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลก รัชกาลที่ ๑
พระราชนิพนธ์ “ปฐมวงศ์” ของรัชกาลที่ ๔ ระบุว่า พระเจ้าเอกทัศได้ส่งคนไปสอดแนมเสาะหาหญิงที่มีรูปโฉมงดงามและเกิดในตระกูลที่มีทรัพย์สมบัติมาถวายตัวเป็นบาทบริจาริกา เวลานั้นสมเด็จพระอมรินทรฯ เป็นบุตรีมหาเศรษฐี เกิดในตระกูลใหญ่มีเครือญาติและทรัพย์สมบัติยิ่งกว่าตระกูลอื่นในสวนนอกตำบลบางช้าง แขวงเมืองสมุทรสงครามกับเมืองราชบุรีต่อกัน และมีรูปโฉมงดงามเป็นที่เล่าลือ คนสอดแนมจึงกลับข่าวไปกราบทูลพระเจ้าเอกทัศ พระเจ้าเอกทัศจึงมีพระราชโองการสั่งกรมมหาดไทยให้มีท้องตราออกไปหัวเมืองราชบุรี (เป็นเมืองขึ้นของกรมมหาดไทย) เพื่อสู่ขอสมเด็จพระอมรินทรฯ จากครอบครัวให้ส่งมาถวายเป็นบาทบริจาริกา
บิดามารดาและญาติไม่เต็มใจถวายสมเด็จพระอมรินทรฯ ให้ไปอยู่ในพระราชวัง จึงส่งคนไปขอร้องพระอักษรสุนทร (ทองดี) เสมียนตรากรมมหาดไทย ซึ่งเป็นผู้รับผิดชอบแต่งท้องตราบังคับบัญชาหัวเมืองขึ้นมหาดไทยให้ช่วยเหลือ พระอักษรสุนทรจึงคิดอ่านให้มีคนไปกราบทูลพระเจ้าเอกทัศว่า พระอักษรสุนทรได้ไปสู่ขอสมเด็จพระอมรินทรฯ ให้เป็นภรรยาของบุตรคนที่สี่ (คือนายทองด้วง หรือ รัชกาลที่ ๑) และได้นัดทำการแต่งงานไว้แล้ว ขอพระราชทานให้พ้นจากพระราชประสงค์
พระเจ้าเอกทัศก็ทรงพระกรุณาอนุญาตพระราชทานให้ ด้วยเหตุนี้รัชกาลที่ ๑ จึงทรงได้สมเด็จพระอมรินทรฯ เป็นอรรคชายานับแต่นั้น
จะเห็นได้ว่าพระมหากษัตริย์มีพระราชโองการเป็นท้องตราสั่งลงไปแล้ว ก็ยังอาจสามารถแก้ไขภายหลังได้เมื่อมีคนทูลทัดทาน
จาก
วิพากษ์ประวัติศาสตร์ โดย คุณศรีสรรเพชญ์
ถ้าพ่อริดพยายามจริง ๆ ก็ไม่เหลือบ่ากว่าแรงที่จะทัดทานพระราชโองการของขุนหลวง แทนที่จะให้แม่พุดตานออกโรงตามลำพัง
พ่อริดของแม่แดง (ผู้เขียนบท) ช่างอ่อนแอเสียเหลือเกิน