ว้ายยยยย จากเคยได้ A เลยได้ F จากท่านอาจารย์ซะแล้วหรือนี่
ผมกำลังสงสัยเรื่องการได้กำไรจากการทำสงครามหนะครับ คำว่ากำไรในที่นี้อาจจะไม่ได้หมายถึงความมั่งคั่งหรือในรูปตัวเงินทั้งหมดก็ได้ เพราะดูเหมือนสงครามหลายๆ ครั้งในประวัติศาสตร์โลกเกิดขึ้นเพราะความทะเยอทะยานส่วนบุคคลล้วนๆ เช่นสมัยอเล็กซานเดอร์ของกรีกที่ยกทัพตีไปทั่วจนมาถึงอินเดีย หรือโรมันยกทัพไปบุกเกาะอังกฤษสมัยจูเลียสซีซาร์ หรือเจงกิสข่านบุกมาถึงยุโรปตะวันออก มุสโสลินีบุกอบิสซีเนีย ฯลฯ จะว่าเพื่อบุกเบิกหรือสร้างความมั่นคงให้กับเส้นทางการค้าก็ไม่น่าจะใช่ มันไม่มีความจำเป็นขนาดต้องทำสงครามยาวนานบุกไปเรื่อยๆ แบบนั้น แต่สงครามเหล่านี้แม่ทัพนายกองตัวเอ้ๆ ก็ได้ความร่ำรวยอยู่จริง
อย่างบุเรงนอกยกทัพมาตีอยุธยาเนี่ย ผมก็สงสัย คือบุเรงนองแกก็ร่ำรวยอำนาจล้นฟ้าอยู่แล้ว อยากได้ทองได้ อยากได้แก้วได้ อยากได้ลูกเขาเมียใครอำนาจขนาดนั้นก็ได้ ขุนนางเจ้าเมืองต่างๆ ใต้อำนาจก็ไม่กล้าหือ ความมั่นคงเต็มเปี่ยมล้น เส้นทางการค้าพม่าช่วงนั้นอยุธยาก็ไม่น่าเป็นอุปสรรคใดๆ อีก จะแย่งชิงเมืองแถวตะเข็บขายแดนราชอาณาจักรกันเพื่อผลประโยชน์อย่างเดียวเหมือนมันไม่น่าจะใช่หนะครับ ทางออกทางทะเลก็มีมากมาย ทรัพยากรต่างๆ ก็ใกล้เคียงกัน บุเรงนองมาตีอยุธยาชนะแล้วก็ได้แต่กวาดต้อนผู้คนทรัพย์สินไปไม่ได้เผาเมืองทิ้ง ผมว่าอันนั้นเป็นธรรมดาเพราะสงครามต้องลงทุนก็ต้องถอนทุน แต่ไม่น่าจะเพราะอยากได้เงินทองเป็นหลักมั๊ง ไม่อยากให้ใครมามีชื่อเสียงโด่งดังเป็นคู่แข่งมากกว่า ผมเดาๆ ใจบุเรงนองเอานะครับ
ที่เดาแบบนี้ประวัติศาสตร์โลกมีผู้นำกระหายสงครามมากมายที่ก่อสงครามโดยไม่มีความจำเป็นใดๆ เลยนอกจากเพราะความอยากได้หน้าหรือเพราะหลงตัวเองเท่านั้น เป็นเรื่องของกิเลสส่วนตนล้วนๆ การกวาดต้อนผู้คนทรัพย์สินเป็นเพียงผลพลอยได้ที่ตามมาเท่านั้น เหมือนสงครามหลายครั้งเกิดจากความอยากไม่มีที่สิ้นสุดของผู้นำที่หลงไหลในอำนาจมากกว่า
จริง ๆ การที่บุเรงนองมีอำนาจล้นฟ้าได้ ก็เพราะไปตีเขานี่ล่ะครับ ถ้าจะดูกันจริง ๆ หัวเมืองมอญ,ลานนา,ไต,ล้านช้าง เหล่านี้จะบอกว่าเป็นสิ่งที่อยุธยาและพม่าต้องแก่งแย่งกันอยู่แล้ว ช่วงไหนใครแกร่งกว่าก็ได้หัวเมืองเหล่านี้ไป
แล้วหัวเมืองพวกนี้มันก็เป็นรัฐกันชนกลาย ๆ ถ้าได้ไป ก็เหมือนได้กินอาณาเขตของอีกอาณาจักรไปอยู่แล้ว เพราะฉะนั้น จะค่อย ๆ เล็ม หรือจะเล็มทีเดียว ค่าก็ไม่ต่างกันครับ ต้องยึดให้ได้
แล้วจริง ๆ หัวเมืองมอญ เช่น มะริด ทวาย ตะนาวศรี ที่ดูเหมือนไม่มีอะไร แต่โดยเนื้อแท้แล้ว เป็นแหล่งหากินอย่างดีครับ เพราะโลกตะวันตก+อาหรับ จะต้องมาขึ้นท่าเรือที่หัวเมืองเหล่านี้ ก่อนจะเดินเท้าเข้าอยุธยา แล้วไปค้าขาย นำเครื่องเทศจากจีนและอินโด+สยาม กลับไปโลกตะวันตก
เพราะฉะนั้น ถ้าพม่าไม่ได้หัวเมืองเหล่านี้ ก็เสร็จ
นอกจากจะขายกับโลกตะวันตกไม่ได้ ยังขายกับโลกตะวันออกไม่ได้อีก ในขณะที่อยุธยา ไม่จำเป็นจะต้องไปตีพม่า ก็ยึดเส้นทางเศรษฐกิจที่สำคัญของโลกไว้ได้ สบายกว่าเยอะครับ
พม่าต่างหากที่ต้องขวนขวายมายึดให้ได้ ต่อให้ยึดได้ ถ้าอยุธยายังอยู่ พม่าก็ได้แค่ขายกับตะวันตกเท่านั้น การจะไปขายของให้ทางฝั่งตะวันออก ดูท่าจะเป็นไปได้ยากมาก ๆ
นี่ก็เป็นประการหนึ่ง
ส่วนเรื่องคติจักรพรรดิราช ผมว่าทั้งไทยและพม่าก็มีเหมือนกัน ดร. จากสถาบันสีชมพู ทำดูราวกับว่าสยามไม่มีคติจักรพรรดิราชอย่างนั้น ทั้งที่ในโองการแช่งน้ำเอย หรือจะเป็นแผนผังการสร้างพระราชวังเอย มันก็ล้วนสะท้อนแนวคิดจักรพรรดิราชทั้งนั้น ซึ่งก็ส่งต่อไปถึงการทำสงครามยึดเอา มอญ เขมร ลาว ปัตตานี มาไว้ในครอบครองด้วยเช่นกัน
ผิดแต่ว่า ไม่ได้เข้าไปยึดพม่า จะเพราะว่าภูมิประเทศไปลำบาก(ต้องเดินขึ้นเขา แต่พม่าเดินลงเขามาตีสยาม ง่ายกว่ากันเยอะ) หรือไม่อยู่ในสายตาตั้งแต่แรก(พม่าแต่เดิมอยู่ลึกเข้าไปในแผ่นดิน ทุรกันดาร เข้าไปก็ไม่คุ้ม ) เหล่านี้ก็น่าจะเป็นเหตุผลว่า ทำไมสยามถึงไม่เคยจะต้องลำบากไปตีพม่าครับ