เรือนไทย

General Category => ประวัติศาสตร์ไทย => ข้อความที่เริ่มโดย: เทาชมพู ที่ 27 ธ.ค. 23, 10:36



กระทู้: ขัติยราชปฏิพัทธ รักเร้นในพระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัย
เริ่มกระทู้โดย: เทาชมพู ที่ 27 ธ.ค. 23, 10:36
  กระทู้นี้เรียบเรียงจากเรื่อง“ขัติยราชปฏิพัทธ” ซึ่งของเดิมเป็นต้นฉบับสมุดฝรั่ง เขียนเส้นหมึก เป็นสมบัติส่วนพระองค์ในพระราชวรวงศ์เธอ กรมหมื่นพิทยาลงกรณ์ของกรมหมื่นพิทยาลงกรณ์  ทรงมีบันทึกไว้บนหน้าปกว่า
   “หนังสือนี้ เรื่องที่ 1 ใครแต่งไม่ทราบ เปนหนังสือซึ่งรู้จักกันทั่วๆ ไป ในพวกเล่นหนังสือ ดูเหมือนไม่เคยพิมพ์ ได้คัดไว้จากต้นฉบับของใครก็จำไม่ได้ เพราะคัดไว้หลายสิบปีแล้ว”
     นอกจากฉบับของกรมหมื่นพิทยาลงกรณ์แล้ว ยังมีหนังสือเรื่องนี้อีกฉบับหนึ่ง เป็นสมบัติของ หม่อมเจ้าประภากร ในกรมหลวงบดินทรไพศาลโสภณ เจ้ากรมอาลักษณ์ คุมหอหลวง “คลัง” หนังสือสำคัญของพระมหากษัตริย์     ต้นฉบับเล่มนี้ไม่ได้ระบุชื่อผู้แต่งไว้อีกเช่นกัน
     เมื่อพิจารณาเนื้อความ  เป็นไปได้ว่าผู้แต่ง “ไม่ประสงค์ออกนาม” คือไม่ให้ใครรู้ตัวตน  เพราะเป็นเรื่อง “ส่วนพระองค์” ของเจ้านายชั้นสูง โดยสำนวนภาษานั้นมีเค้าลางบอกได้ว่าเป็นสำนวนประมาณรัชกาลที่ 5 และไม่เก่าว่ารัชกาลที่ 4 เพราะเรียกพระนามเจ้าฟ้าหญิงบุญรอดว่า กรมสมเด็จพระศรีสุริเยนทรามาตย์ อันเป็นการเฉลิมพระนามาภิไธยในรัชกาลที่ 4   ต่อมาจึงเป็นสมเด็จพระศรีสุริเยนทราบรมราชินี ในรัชกาลที่ 6      


กระทู้: ขัติยราชปฏิพัทธ รักเร้นในพระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัย
เริ่มกระทู้โดย: เทาชมพู ที่ 27 ธ.ค. 23, 10:38
 ตัวละครสำคัญในเรื่องนี้ นอกจาก เจ้าฟ้ากรมหลวงอิศรสุนทร และ เจ้าฟ้าหญิงบุญรอด ยังมี กรมสมเด็จพระเทพสุดาวดี พระพี่นางพระองค์ใหญ่ในพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกฯ ชาววังเรียกว่า “เจ้าคุณพระตำหนักใหญ่” กรมสมเด็จพระศรีสุดารักษ์ พระพี่นางองค์เล็ก ชาววังเรียกกันว่า “เจ้าคุณพระตำหนักแดง”
    พระนามเจ้านายที่ระบุไว้ในบันทึก มีดังนี้
    1  กรมหลวงเทพหริรักษ์ พระนามเต็มคือสมเด็จพระสัมพันธวงศ์เธอ เจ้าฟ้ากรมหลวงเทพหริรักษ์  มีพระนามเดิมว่า ตัน เอกสารเวียดนามออกพระนามของพระองค์ไว้ว่า "เจียวตัง" (Chiêu Tăng, จีน 昭曾) เป็นพระโอรสพระองค์ใหญ่ในสมเด็จพระเจ้าพี่นางเธอ เจ้าฟ้ากรมพระศรีสุดารักษ์ กับเจ้าสัวเงิน แซ่ตัน คหบดีจีนในสมัยปลายอยุธยา
      ประสูติในสมัยอาณาจักรอยุธยา เมื่อ พ.ศ. 2302 ได้รับการสถาปนาขึ้นเป็นเจ้านายในพระราชวงศ์จักรีเมื่อ พ.ศ. 2325
      กรมหลวงเทพหริรักษ์ประชวรสิ้นพระชนม์ในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราช เมื่อวันที่ 3 มีนาคม พ.ศ. 2348 สิริพระชันษา 47 ปี
      ทรงเป็นต้นราชสกุลเทพหัสดิน



กระทู้: ขัติยราชปฏิพัทธ รักเร้นในพระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัย
เริ่มกระทู้โดย: เทาชมพู ที่ 27 ธ.ค. 23, 11:04
    2   กรมหลวงพิทักษมนตรี พระนามเต็มคือ สมเด็จพระสัมพันธวงศ์เธอ เจ้าฟ้ากรมหลวงพิทักษมนตรี พระนามเดิมว่า จุ้ย  เป็นพระโอรสลำดับที่ 5 ในสมเด็จพระเจ้าพี่นางเธอ เจ้าฟ้ากรมพระศรีสุดารักษ์ กับเจ้าขรัวเงิน แซ่ตัน  เป็นพระอนุชาในกรมหลวงเทพหริรักษ์   ประสูติในสมัยกรุงธนบุรี เมื่อวันที่ 1 กันยายน พ.ศ. 2313

      ในปี พ.ศ. 2325    ได้รับสถาปนาเป็นสมเด็จพระเจ้าหลานเธอ เจ้าฟ้าจุ้ย ถึง พ.ศ. 2346 ได้เลื่อนเป็นกรมขุนพิทักษ์มนตรี   และเลื่อนเป็นกรมหลวงพิทักษ์มนตรี ตามลำดับ
       ในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัย พระองค์มีพระอิสริยยศเป็นสมเด็จพระเจ้าน้องยาเธอ โปรดให้กำกับกรมวังและกรมมหาดไทย
       ทรงเชี่ยวชาญด้านงานช่างและนาฏศิลป์ รวมทั้งทรงเป็นกวี พระองค์ทรงเป็นผู้ที่คิดค้น เกรินบันไดนาค ที่ใช้ในงานพระราชพิธีพระบรมศพซึ่งเป็นงานฝีพระหัตถ์ทรงประดิษฐ์ ของพระองค์ตั้งแต่ต้นกรุงรัตนโกสินทร์
       กรมหลวงพิทักษ์มนตรีประชวรเปนพระยอดในพระศอ    สิ้นพระชนม์เมื่อวันที่ 27 พฤษภาคม พ.ศ. 2365 พระชันษา 52 ปี
       ทรงเป็นต้นราชสกุลมนตรีกุล


กระทู้: ขัติยราชปฏิพัทธ รักเร้นในพระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัย
เริ่มกระทู้โดย: เทาชมพู ที่ 27 ธ.ค. 23, 11:09
     3  สมเด็จพระศรีสุริเยนทราบรมราชินี (พระนาม สมเด็จพระเจ้าหลานเธอ เจ้าฟ้าบุญรอด)  เป็นพระธิดาในสมเด็จพระเจ้าพี่นางเธอ เจ้าฟ้ากรมพระศรีสุดารักษ์ กับเจ้าขรัวเงิน แซ่ตัน มีพระราชสมภพเมื่อวันที่ 20 กันยายน พ.ศ. 2310[2] ณ ตำบลอัมพวา เมืองราชบุรี (ปัจจุบันเป็นส่วนหนึ่งของจังหวัดสมุทรสงคราม) เป็นพระธิดาในสมเด็จพระเจ้าพี่นางเธอ เจ้าฟ้ากรมพระศรีสุดารักษ์ กับเจ้าขรัวเงิน แซ่ตัน
      ทรงมีพระภราดาและพระภคินี รวม 6 พระองค์ ได้แก่
       สมเด็จพระสัมพันธวงศ์เธอ เจ้าฟ้ากรมหลวงเทพหริรักษ์ (ต้นราชสกุลเทพหัสดิน ณ อยุธยา)
       สมเด็จพระสัมพันธวงศ์เธอ เจ้าฟ้ากรมขุนอนัคฆนารี
       สมเด็จพระสัมพันธวงศ์เธอ เจ้าฟ้าขุนเณร (สิ้นพระชนม์เมื่อพระชันษา 7 ปี)
       สมเด็จพระศรีสุริเยนทราบรมราชินี
       สมเด็จพระสัมพันธวงศ์เธอ เจ้าฟ้ากรมหลวงพิทักษมนตรี (ต้นราชสกุลมนตรีกุล ณ อยุธยา)
       สมเด็จพระสัมพันธวงศ์เธอ เจ้าฟ้ากรมขุนอิศรานุรักษ์ (ต้นราชสกุลอิศรางกูร ณ อยุธยา)


กระทู้: ขัติยราชปฏิพัทธ รักเร้นในพระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัย
เริ่มกระทู้โดย: เทาชมพู ที่ 27 ธ.ค. 23, 13:33
    สมเด็จพระเจ้าพี่นางเธอพระองค์น้อย กรมสมเด็จพระศรีสุดารักษ์ ทรงมีพระตำหนักที่ประทับอยู่เบื้องหลังหมู่พระที่นั่งดุสิตมหาปราสาท และพระวิมานรัตยา เรียกว่าพระตำหนักแดง  เจ้าฟ้าหญิงบุญรอดพระธิดาก็ทรงอยู่ที่พระตำหนักนี้ด้วย
    กรมสมเด็จพระศรีสุดารักษ์มีพระชนม์ยาวนานมาจน 60 เศษ ถึงพ.ศ. 2342  ก็ทรงพระประชวรพระโรคชรา จนพระอาการหนัก   กรมหลวงเทพหริรักษ์ กรมหลวงพิทักษมนตรี  และกรมขุนอิศรานุรักษ์ พระโอรสทั้ง 3 องค์เสด็จเข้าไปประจำอยู่ที่ตำหนักเพื่อกำกับหมอถวายพระโอสถรักษาพระโรค  ส่วนเจ้านายอื่นๆผลัดเปลี่ยนกันเข้าไปเยี่ยมเยียนฟังพระอาการ   พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกก็เสด็จลงเยี่ยมประชวรอยู่แทบทุกวัน

     หนึ่งในเจ้านายที่เสด็จไปเยี่ยมพระอาการคือเจ้าฟ้าฉิม กรมหลวงอิศรสุนทร พระราชโอรสพระองค์ใหญ่ในพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าฯ  วันหนึ่งเมื่อเข้าไปในตำหนักแดง  ทอดพระเนตรเห็นเจ้าฟ้าหญิงบุญรอดเชิญพระอาการมาเล่าถวาย  ก็ถูกพระทัย นึกปฏิพัทธ์รักใคร่แต่นั้นมา แต่ในเมื่อเป็นเวลาเศร้าโศกอยู่  ก็ต้องนิ่งไว้แต่ในพระทัย ทั้งทรงยำเกรงกรมหลวงเทพหริรักษ์พระเชษฐาเจ้าฟ้าบุญรอดอยู่ด้วย
    สิ่งที่ทรงทำได้คือหมั่นเสด็จเข้าไปฟังพระอาการบ่อยเกินปกติ เพราะมีพระประสงค์จะใคร่ทอดพระเนตรเห็นเจ้าฟ้าบุญรอด   เว้นวันหนึ่งสองวันเสด็จเข้าไปครั้งหนึ่ง


กระทู้: ขัติยราชปฏิพัทธ รักเร้นในพระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัย
เริ่มกระทู้โดย: เทาชมพู ที่ 28 ธ.ค. 23, 08:49
  ความจริงทั้งสองพระองค์ไม่ใช่หนุ่มสาวแรกรุ่น  แต่พระชนม์ถึง 32 แล้ว  เจ้าฟ้ากรมหลวงอิศรสุนทรมีเจ้าจอมหม่อมห้ามมากมาย พระโอรสธิดาก็เกือบ 30 องค์  ถึงกระนั้นก็ทรงปฏิพัทธ์เจ้าฟ้าบุญรอดเป็นอย่างมาก 
  เสด็จเข้าไปที่ตำหนักแดงครั้งใดประทับอยู่นานๆ บางวันก็ได้ทอดพระเนตรเห็นเจ้าฟ้าบุญรอด   บางวันก็ไม่ได้ทอดพระเนตรเห็น ด้วยตำหนักแบ่งเป็นฝ่ายหน้าและฝ่ายในอย่างเคร่งครัด   ตามธรรมเนียมในสมัยโน้นที่ชายหญิงจะต้องแยกกันเด็ดขาด    เจ้านายผู้ชายเข้าไปได้ก็จริง  แต่พักอยู่แต่เพียงห้องข้างหน้า จึงไม่ใคร่จะได้เห็นกัน ต่อเจ้าฟ้าบุญรอดเชิญพระอาการมาเล่าเวลาใดจึงจะได้เห็นกันเวลานั้น 

   ต่อมาอาการประชวรหนักลง จนกรมสมเด็จพระศรีสุดารักษ์ทิวงคต เชิญพระศพไปไว้ที่พระที่นั่งดุสิตมหาประสาท   เจ้าฟ้าบุญรอดเสด็จไปบำเพ็ญกุศลถวายพระมารดา  มีเทศนาและสดัปกรณ์  เจ้าฟ้าอิศรสุนทรได้ทราบว่าเจ้าฟ้าบุญรอดเสด็จออกไปทำบุญวันใด ก็เสด็จขึ้นไปบนปราสาทวันนั้น ช่วยจัดพระและสิ่งของให้เรียบร้อย
     การจัดแจงแบบนี้ทำให้มีโอกาสเข้าใกล้เจ้าฟ้าบุญรอด  ช่วยรับของส่งของถวายพระ ได้คุ้นเคยกันทีละน้อย จนได้ตรัสแก่กันเปนธรรมดา แต่ยังไม่ได้ตรัสต่อกันในเชิงชู้สาว   เพราะยังอยู่ในระยะเวลาเศร้าโศก
      ต่อมาก็ทรงหาทางใหม่ที่จะเข้าสนิทกับเจ้าฟ้าบุญรอด ด้วยอาศัยสินค้าในสำเภาที่ทรงค้าขายเองเป็นสื่อ   เมื่อสำเภากลับจากเมืองจีนมาเมื่อใด  ก็ทรงจัดสินค้าที่เข้ามา ให้เป็นเครื่องทำบุญบ้าง เป็นเครื่องเลี้ยงพระเลี้ยงคนบ้าง   รับสั่งให้นางข้าหลวงนำไปถวายเจ้านายฝ่ายใน 2 พระองค์ที่เป็นพระกนิษฐภคินีของพระองค์  คือเจ้าฟ้าแจ่ม กรมหลวงศรีสุนทรเทพ และเจ้าฟ้าประไพวดี(พระนามเดิม เอี้ยง) กรมหลวงเทพยวดี ให้นำไปถวายเจ้าฟ้าบุญรอด


กระทู้: ขัติยราชปฏิพัทธ รักเร้นในพระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัย
เริ่มกระทู้โดย: เทาชมพู ที่ 28 ธ.ค. 23, 10:06
      เจ้าฟ้าทั้งสองพระองค์ทรงทราบว่าพระเชษฐาทรงมีพระทัยปฏิพัทธ์เจ้าฟ้าบุญรอดมาตั้งแต่สมเด็จพระศรีสุดารักษ์ทรงพระประชวร    ท่านก็มีพระทัยยินดี ด้วยเห็นว่าคู่ควรกัน   แม้ว่าเจ้าฟ้ากรมหลวงอิศรสุนทรมีเจ้าจอมหม่อมห้ามมากมายก็จริง แต่ก็ยังไม่มีพระชายาเอก  เจ้าฟ้าหญิงทั้งสองพระองค์จึงนำสิ่งของไปถวายเจ้าฟ้าบุญรอดเป็นหลายครั้ง   แล้วค่อยตรัสเลียบเคียงทีละน้อย   จนเห็นชัดว่าเจ้าฟ้าบุญรอดเองก็มีพระทัยให้เจ้าฟ้ากรมหลวงอิศรสุนทรเช่นกัน  แต่ช่วงนั้นยังเป็นเวลาเศร้าโศก และต้องวุ่นวายในการที่จะจัดของทำบุญให้ทานอยู่นั้น ก็ต้องสงบเรื่องนี้ไว้ก่อน

      ครั้นถวายพระเพลิงกรมสมเด็จพระศรีสุดารักษ์แล้ว  วันไหนเจ้าฟ้ากรมหลวงอิศรสุนทรเสด็จเข้าไปเฝ้าพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าฯ    เสด็จกลับออกมาแล้ว  ก็เสด็จแวะเข้าไปที่ตำหนักพระกนิษฐภคินีทั้งสองพระองค์ ตรัสแก่กรมหลวงเทพยวดีให้รับสั่งใช้ข้าหลวงไปเชิญเสด็จเจ้าฟ้าบุญรอดมาทรงสะบ้าบ้าง ต่อแต้มบ้าง สะกาบ้างด้วยกันที่พระตำหนัก
      เมื่อเจ้าฟ้าบุญรอดเสด็จมาถึง  เจ้าฟ้ากรมหลวงอิศรสุนทรก็เข้าไปซ่อนพระองค์อยู่หลังฉาก  รอจนเจ้าฟ้าบุญรอดเล่นสะบ้า หรือต่อแต้ม หรือสะกาเพลินแล้ว  จึงเสด็จออกมาจากที่แอบพระองค์อยู่ เสด็จเข้าร่วมวงเล่นด้วย


กระทู้: ขัติยราชปฏิพัทธ รักเร้นในพระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัย
เริ่มกระทู้โดย: เทาชมพู ที่ 28 ธ.ค. 23, 16:00
    วันแรกๆ เจ้าฟ้าบุญรอดทรงเห็นเจ้าฟ้ากรมหลวงอิศรสุนทรเข้าร่วมวงเล่นด้วย ท่านก็กระดาก  เลิกเสียไม่เล่นบ้าง กลับไปเสียตำหนักบ้าง ครั้นวันหลังๆ ค่อยคุ้นเคยกันเข้า เหตุเพราะสมเด็จพระกนิษฐภคินีทั้งสองพระองค์เปนผู้ชักสื่อให้ค่อยสนิทกันเข้า จนทรงเล่นด้วยกันได้
    บางวันเจ้าฟ้าบุญรอดเสด็จไปเล่นอยู่ก่อน    ครั้นเจ้าฟ้ากรมหลวงอิศรสุนทรเสด็จออกจากที่เฝ้าพระเจ้าอยู่หัว  ก็เสด็จเข้าไปพบทรงเล่นสะกาอยู่บ้าง ต่อแต้มบ้าง ท่านก็เข้าช่วยเจ้าฟ้าบุญรอดเล่น   ค่อยเข้าใกล้เคียงกันได้ทีละน้อย จนคุ้นเคยสนิทสนมกัน

   เจ้าฟ้ากรมหลวงอิศรสุนทรประทับอยู่อีกฟากหนึ่งของแม่น้ำเจ้าพระยา  ณ พระราชวังเดิมฝั่งธนบุรี   ร่วมกับพระราชมารดา   ซึ่งคนทั่วไปถือว่าเป็นพระมเหสีในพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าฯ   แต่ไม่ได้เฉลิมพระนามขึ้นเป็นเจ้านายอย่างพระราชโอรสธิดาทุกพระองค์   คงเป็น " ท่านผู้หญิงนาค" หรือ "คุณหญิงนาค" ตามบรรดาศักดิ์เดิมเมื่อครั้งพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าฯยังทรงดำรงตำแหน่งเจ้าพระยา


กระทู้: ขัติยราชปฏิพัทธ รักเร้นในพระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัย
เริ่มกระทู้โดย: เทาชมพู ที่ 28 ธ.ค. 23, 16:06
    เรื่องนี้ต้องขอแยกซอย   อธิบายต่อไปอีกหน่อยว่า  พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าฯและคุณหญิงได้แยกทางกันตั้งแต่สมัยธนบุรี    สาเหตุด้วยว่าท่านไปได้อนุภรรยามาคนหนึ่งเมื่อกลับจากศึกเวียงจันทน์  ชื่อ "แว่น" เป็นที่โปรดปราน  
     ก่อนหน้านี้ว่ากันว่าคุณหญิงท่านหึงหวงสามีมาก   จนสามีมิได้มีเมียน้อยมากมายอย่างขุนนางอื่นๆ   หลักฐานบางแห่งว่ามีอนุภรรยาเพียงคนเดียวแต่ไม่มีบุตร  บางแห่งก็ว่าไม่มีเลย   อย่างไรก็ตาม เมื่อได้คุณแว่นมา เป็นที่โปรดปรานมากมาย  คุณหญิงก็หึงถึงขั้นถือดุ้นแสมไปดักตีหัวคุณแว่นในคืนหนึ่ง เมื่อลงมาจากเรือนใหญ่  คุณแว่นร้องให้สมเด็จเจ้าพระยาช่วย  ท่านก็โกรธถึงขั้นถือดาบลงจากเรือน ไล่ตามภรรยาหลวง  
      คุณหญิงนาควิ่งหนีเข้าเรือนปิดประตูลั่นดาล   สามีเข้าไม่ได้ ก็เอาดาบฟันประตูเป็นรอยหลักฐานอยู่จนปัจจุบันนี้     ลูกชายเห็นท่าไม่ดีรีบเอาสากตำข้าวมารอรับใต้หน้าต่างให้มารดาปีนหนีลงจากเรือน   ออกจากบ้านไปพึ่งลูกสาวคนโตชื่อเจ้าจอมมารดาฉิมใหญ่ที่พระราชวังเดิม    หลังจากนั้น ท่านทั้งสองก็ขาดจากกัน
   เมื่อสมเด็จเจ้าพระยาปราบดาภิเษกขึ้นเป็นกษัตริย์  พระราชโอรสธิดาทุกพระองค์ได้เป็นเจ้าฟ้า    มีแต่คุณหญิงนาคเท่านั้นที่มิได้เฉลิมพระยศขึ้นเป็นเจ้านาย    และมืได้เข้ามาอยู่ในวัง  คงอยู่ในที่เดิมของท่านฝั่งธนบุรี
   ท่านจะเข้ามาเยี่ยมเจ้าฟ้าพระราชธิดาบางครั้งบางคราว   ไม่เคยใช้ราชาศัพท์  เรียกสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าว่า "เจ้าคุณ"  บรรดาเจ้าฟ้าทั้งหลายท่านก็เรียกพระนามเดิม อย่างที่เคยเรียกสมัยธนบุรี เช่น พ่อฉิม พ่อจุ้ย แม่เอี้ยง แม่แจ่ม  แล้วกลับออกจากวังก่อนประตูวังปิดเมื่อย่ำค่ำทุกครั้ง  ไม่เคยค้่างในพระบรมมหาราชวัง


กระทู้: ขัติยราชปฏิพัทธ รักเร้นในพระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัย
เริ่มกระทู้โดย: เทาชมพู ที่ 29 ธ.ค. 23, 11:19
    เมื่อก่อนนี้ เจ้าฟ้ากรมหลวงอิศรสุนทรมาเข้าเฝ้าพระเจ้าอยู่หัว เสร็จข้อราชการแล้วก็เสด็จข้ามฟากกลับวังแต่วัน เป็นเรื่องปกติ   แต่หลังๆนี้กว่าจะเสด็จกลับถึงวังก็เกือบพลบค่ำ  บ่อยเข้าพระมารดาก็เกิดสงสัย   วันหนึ่งก็เสด็จข้ามแม่น้ำจากพระราชวังเดิม เข้าไปตำหนักพระธิดาทั้งสองพระองค์
    เมื่อคุณหญิงนาคมาอย่างเงียบๆ ไม่มีใครในตำหนักรู้ตัวล่วงหน้า   พอขึ้นบันไดตำหนักมา  ข้าหลวงที่อยู่นอกตำหนักเห็นเข้าก็วิ่งเข้าไปทูลกรมหลวงศรีสุนทรเทพ กรมหลวงเทพยวดี ว่าพระมารดาเสด็จเข้ามา กรมหลวงเทพยวดีรีบออกหน้าเสด็จวิ่งออกมารับ   ร้องขึ้นดังๆให้ได้ยินทั่วกันว่า "คุณแม่มา"
    ขณะนั้นเจ้าฟ้ากรมหลวงอิศรสุนทรทรงเล่นต่อแต้มอยู่กับเจ้าฟ้าบุญรอดและกรมหลวงศรีสุนทรเทพ ได้ยินพระสุรเสียงกรมหลวงเทพยวดีร้องขึ้นดังนั้น   วงก็แตกฮือ   จวนตัวเต็มทีไม่มีทางอื่นเพราะพระมารดาเข้ามาทางประตูหน้า   ก็วิ่งหนีเข้าไปในห้องบรรทม


กระทู้: ขัติยราชปฏิพัทธ รักเร้นในพระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัย
เริ่มกระทู้โดย: เทาชมพู ที่ 29 ธ.ค. 23, 11:42
      คุณหญิงนาคตาไว  เห็นหลังคนคนวิ่งไวๆ หายวับเข้าไปในห้องบรรทม  จึงถามกรมหลวงศรีสุนทรเทพว่าใครวิ่งเข้าไปในห้อง กรมหลวงศรีสุนทรเทพทูลว่า คนเข้าไปปัดที่นอน  คุณหญิงนาคยังไม่หายแคลงใจ  ก็ปรารภว่า ข้าเห็นเหมือนผู้ชายวิ่งเข้าไป แลเห็นแต่หลังไวๆ ไม่เห็นหน้า

      ทั้งๆเหตุการณ์หน้าสิ่วหน้าขวานเต็มที  กรมหลวงศรีสุนทรเทพและกรมหลวงเทพยวดีก็ทรงมีปฏิภาณไวเอาการ  ทรงทราบดีว่าเรื่องนี้จะสารภาพให้พระมารดารู้ไม่ได้เป็นอันขาด  ความแตกแน่นอน  จึงช่วยกันเถียงว่า
      "คุณแม่เอาอะไรมาพูด ผู้ชายรายเรือที่ไหนจะเข้ามาอยู่ในที่นี้ได้ คนอยู่เป็นกองสองกอง พูดเอาแต่ร้ายมาใส่"
      เท่านั้นยังไม่พอ  ทั้งสองพระองค์แสร้งทำเปนทรงขัดเคืองพระทัย    คุณหญิงนาคเห็นพระธิดาใช้ไม้แข็งยืนกราน   ก็ชักเสียงอ่อนลงว่า
      "หรือตาข้าจะเห็นไปเอง ขอโทษเสียเถิด"
      แล้วก็หันไปทักทายเจ้าฟ้าบุญรอดว่าดีแล้ว พี่น้องรู้จักรักกัน หมั่นไปหมั่นมาเล่นหัวด้วยกันเถิด และตรัสไต่ถามอื่นๆอีก
     อย่่างไรก็ตาม   คุณหญิงนาคก็ยังมีเรื่องข้องใจอยู่  จึงถามพระธิดาทั้งสองพระองค์ ว่า
     " ข้าประหลาดใจหลายวันมาแล้ว พ่อฉิมออกจากเฝ้ากลับไปบ้านจนพลบค่ำทุกวัน จะเป็นเรื่องราวอะไรก็ไม่รู้"
      พระธิดาทั้งสองพระองค์ทูลเบนความสงสัยไปว่า   เห็นจะเปนข่าวทัพข่าวศึก ต้องประชุมปรึกษาราชการดอกกระมัง ไม่ควรคุณแม่จะวิตกวิจารณ์
      คุณหญิงนาคก็ตอบว่า
     " แต่ก่อนๆ มาการศึกก็มีหลายครั้ง ไม่เห็นอยู่จนพลบหลายวันเช่นนี้ เป็นแต่เพียงสองวันสามวันจึงอยู่จนพลบค่ำ    เกรงว่าจะไปเที่ยวติดผู้หญิงริงเรืออยู่ที่ไหนดอกกระมัง"
     ความจริงแล้ว คุณหญิงนาคฉลาดพอจะเดาพระนิสัยพระโอรสได้    แล้วก็ยังสงสัยว่าคนที่วิ่งไวๆ หายเข้าไปในห้องเมื่อตะกี้ เกรงจะเป็นเจ้าฟ้ากรมหลวงอิศรสุนทร ด้วยเห็นไม่มีผ้าห่ม ถ้าผู้หญิงวิ่งเข้าไปคงจะมีผ้าห่ม  มิหนำซ้ำท่านเห็นเจ้าฟ้าบุญรอดเสด็จอยู่ที่นั่นด้วย ก็ยิ่งแหนงพระทัย แต่ไม่รู้ที่จะตรัสประการใด เลยเสพูดเรื่องอื่นๆ ไป
    จนได้เวลาก็กลับไปพระราชวังเดิม

    ตอนนี้ต้องขอขยายความนิดหนึ่งว่า  ยุครัชกาลที่ 1  (ซึ่งก็รวมไปถึงธนบุรีและอยุธยาตอนปลาย) ผู้ชายไม่ได้แต่งตัวหล่อสวมเสื้อมิดชิดรัดกุม อย่างพี่โป๊ปหรือพี่ปั้นจั่น   แต่ว่านุ่งโจงกระเบนไม่สวมเสื้อ   ยิ่งเข้าเฝ้าพระเจ้าอยู่หัวแล้วห้ามสวมกันทีเดียว   เพราะเป็นเหตุให้ซุกอาวุธได้ง่าย    ส่วนผู้หญิงที่เป็นผู้ดีอย่างนางใน ห่มสไบ   พวกที่ต้องใช้แรงงานจึงห่มตะแบงมานเพื่อรัดกุม ตักน้ำตำข้าวผ้าไม่หลุดง่าย    ถ้าทำงานบ้านเบาหน่อยเช่นทำครัวก็ห่มผ้าแถบ
   เมื่อเจ้าฟ้ากรมหลวงอิศรสุนทรออกจากท้องพระโรงที่เข้าเฝ้า มาที่ตำหนัก  ก็แต่งองค์อย่างเข้าเฝ้าคือนุ่งโจง มีผ้ากราบคาดเอว  ไม่สวมเสื้อ   ส่วนเจ้านายสตรีทั้งสามไม่ได้ออกแรงทำงานอะไรมาก  ก็ห่มสไบแบบหญิงผู้ดีสมัยศรีอยุธยาตอนปลาย  


กระทู้: ขัติยราชปฏิพัทธ รักเร้นในพระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัย
เริ่มกระทู้โดย: เพ็ญชมพู ที่ 29 ธ.ค. 23, 14:35
ว่าด้วยเรื่อง คุณหญิงนาค และ เจ้าจอมแว่น ;D

เรื่องนี้ต้องขอแยกซอย   อธิบายต่อไปอีกหน่อยว่า  พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าฯและคุณหญิงได้แยกทางกันตั้งแต่สมัยธนบุรี    สาเหตุด้วยว่าท่านไปได้อนุภรรยามาคนหนึ่งเมื่อกลับจากศึกเวียงจันทน์  ชื่อ "แว่น" เป็นที่โปรดปราน

https://youtu.be/DBqPtnTG2Ek


กระทู้: ขัติยราชปฏิพัทธ รักเร้นในพระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัย
เริ่มกระทู้โดย: superboy ที่ 31 ธ.ค. 23, 20:21
สนุกดีครับอาจารย์  :D


กระทู้: ขัติยราชปฏิพัทธ รักเร้นในพระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัย
เริ่มกระทู้โดย: เทาชมพู ที่ 12 ม.ค. 24, 09:26
คุณหญิงนาคแม้จะรู้เท่าทัน  ก็ได้แต่ระแวง  แต่ทำอะไรไม่ได้ถนัดเพราะท่านก็ตัดขาดกับทางวังหลวงมานานแล้ว   จะมีสายสัมพันธ์ก็แต่ไปเยี่ยมเจ้าฟ้าหญิงทั้งสองพระองค์   ใจท่านก็กลัวพระราชอาญาแทนเจ้าฟ้าอิศรสุนทร
ในหนังสือใช้คำว่า " กลัวจะได้ความผิดดังเช่นครั้งเจ้าคุณที่ต้องรับพระราชอาญา"
ตรงนี้ ไม่มีการขยายความว่าเรื่องอะไร  ทำให้ต้องกุมขมับตีความตอนโพส   ฝากท่านสมาชิกเรือนไทยช่วยขยายความให้ด้วย
เจ้าคุณ ในที่นี้ถ้าหมายถึงเจ้าพระยาสุรสีห์  ก็น่าจะหมายถึงเรื่องต้องรับพระราชอาญาพระเจ้าตาก ถูกเฆี่ยน 60 ที  เพราะเข้าไปใกล้ที่ประทับด้วยความเข้าใจผิด  
https://www.silpa-mag.com/history/article_25694
แต่ถ้า "เจ้าคุณ" หมายถึง พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าฯ   ตามที่คุณหญิงนาคเรียกแม้ว่าทรงขึ้นครองราชย์แล้ว  ก็ต้องมีเหตุการณ์สมัยธนบุรีอะไรสักอย่าง ที่เจ้าพระยาจักรีต้องพระราชอาญาจากพระเจ้าตากเช่นเดียวกับคนอื่นๆ  

 ในเมื่อท่านไม่วางใจ  จึงไม่วางใจ  หมั่นถามข้าหลวงคนโน้นบ้างคนนี้บ้าง เขาก็ช่วยกันปกปิด  คุณหญิงนาคจึงไม่ได้ความเป็นประการใด ก็จำต้องนิ่งอยู่

ฝ่ายเจ้าฟ้ากรมหลวงอิศรสุนทร  วิ่งหนีเข้าไปซ่อนตัวอยู่ในห้องบรรทมได้สำเร็จ  ครั้นเห็นพระมารดากลับไปแล้ว  ก็เสด็จออกมาจากห้อง    หลังจากนั้นก็เฮฮาร่าเริงกันใหญ่ที่ตบตาแม่ได้สำเร็จ  แล้วรับสั่งกันว่าถ้าคุณหญิงเกิดเข้ามานอนอยู่ที่นี่ท่านจะทำเป็นประการใด   เจ้าฟ้ากรมหลวงอิศรสุนทร ก็รับสั่งไม่ติดไม่ขัดว่า ถ้าคุณแม่มาประธมค้างอยู่ที่นี่  ฉันออกมาไม่ได้ ฉันก็นอนอยู่ในห้องสบายไปเสียอีก ท่านทั้งสามพระองค์ก็ทรงพระสรวล


กระทู้: ขัติยราชปฏิพัทธ รักเร้นในพระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัย
เริ่มกระทู้โดย: เทาชมพู ที่ 12 ม.ค. 24, 16:23
      ความจริงในช่วงเวลานั้น เจ้าฟ้าบุญรอดไม่ใช่เด็กสาวแล้ว   พระชันษาถึง 32 ปี แก่กว่าเจ้าฟ้ากรมขุนอิศรสุนทรเล็กน้อย  แต่เมื่อดูจากเหตุการณ์  ชวนให้คิดว่าท่านต้องเป็นผู้หญิงที่สวยมาก และยังสาวมากด้วย   ชนิดที่เจ้าฟ้ากรมหลวงอิศรสุนทรผู้มีหม่อมอยู่แล้วจำนวนมาก พระโอรสธิดาก็มากมาย  ยังเห็นแล้วพึงพอพระทัยทันที   จากนั้นก็เพียรพยายามอย่างมากมายที่จะเอาชนะพระทัยเจ้าฟ้าบุญรอดจนสำเร็จ
     ตอนเกิดเหตุการณ์นี้  เจ้าฟ้ากรมหลวงอิศรสุนทรมีพระโอรสธิดาแล้วกี่องค์ ผู้เขียนยังไม่ได้นับ     แต่จนสิ้นรัชกาล ทรงมีพระเจ้าลูกยาเธอและลูกเธอ 73 องค์
    พระราชโอรสได้ขึ้นครองราชย์เป็นกษัตริย์ 2 พระองค์   คือพระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าฯ รัชกาลที่ 3  และพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าฯ รัชกาลที่ 4    และได้รับการยกย่องเทียบเท่าพระมหากษัตริย์อีก 1 พระองค์ คือพระบาทสมเด็จพระปิ่นเกล้าเจ้าอยู่หัว


กระทู้: ขัติยราชปฏิพัทธ รักเร้นในพระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัย
เริ่มกระทู้โดย: เพ็ญชมพู ที่ 12 ม.ค. 24, 17:35
แต่ถ้า "เจ้าคุณ" หมายถึง พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าฯ   ตามที่คุณหญิงนาคเรียกแม้ว่าทรงขึ้นครองราชย์แล้ว  ก็ต้องมีเหตุการณ์สมัยธนบุรีอะไรสักอย่าง ที่เจ้าพระยาจักรีต้องพระราชอาญาจากพระเจ้าตากเช่นเดียวกับคนอื่นๆ

จากเอกสาร  'อภินิหารบรรพบุรุษ' (https://upload.wikimedia.org/wikipedia/commons/1/1f/อภินิหารบรรพบุรุษ_-_๒๔๗๓.pdf) หน้า ๔๕-๔๗ ได้ระบุไว้ว่า เมื่อคราวพระราชพิธีถวายพระเพลิงพระมารดาของสมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราช เจ้าพระยาจักรี (ทองด้วง) ได้ทำงานผิดพลาด

"..ทรงทอดพระเนตรเห็นกระดาษทองน้ำตะโกที่ปิดประดับประดาเครื่องพระเมรุหลุดร่วงลงมาสิ้น จึ่งพระพิโรธเจ้าพระยาจักรีผู้เปนแม่กองทำพระเมรุ.."

จึงสั่งให้ลงโทษ ด้วยการโบยหลัง

"..จึ่งมีพระราชดำรัสสั่งว่า เราไว้ใจให้เปนแม่กองทำพระเมรุต่างหูต่างตาเรา เจ้าไม่เอาใจใส่ในราชการทำมักง่ายให้เมรุเปนเช่นนี้ดีแล้วฤๅ ทำให้พระเกียรติยศพระเจ้าแผ่นดินเสื่อมเสียไป จึ่งมีพระราชดำรัสสั่งให้เจ้าพนักงานองครักษ ให้ลงพระราชอาญาโบยหลังเจ้าพระยาจักรี ๕๐ ที.."

ในเอกสาร 'อภินิหารบรรพบุรุษ' ยังระบุต่อไปว่า  พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกนั้น เคยรับพระราชอาญาเฆี่ยนหลัง ๓๐ ที เมื่อจุลศักราช ๑๑๓๒ ครั้งเป็นพระยาอภัยรณฤทธิ์ครั้งหนึ่ง ซึ่งมีพระชนม์ได้ ๓๔ พรรษา  ครั้งหลังนี้เมื่อจุลศักราช  ๑๑๓๗ พระชนม์ได้ ๓๙ พรรษา


กระทู้: ขัติยราชปฏิพัทธ รักเร้นในพระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัย
เริ่มกระทู้โดย: เทาชมพู ที่ 12 ม.ค. 24, 19:09
 ;D


กระทู้: ขัติยราชปฏิพัทธ รักเร้นในพระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัย
เริ่มกระทู้โดย: เทาชมพู ที่ 12 ม.ค. 24, 19:16
ปกติไม่ค่อยจะให้คะแนนเชื่อถือ "หนังสืออภินิหารบรรพบุรุษ" นัก   แต่เหตุการณ์เรื่องนี้ สอดรับกับคำปรารภด้วยความวิตกของคุณหญิงนาคหรือสมเด็จพระอมรินทราบรมราชินีเอามากๆ 
ขอบคุณคุณเพ็ญชมพูค่ะ


กระทู้: ขัติยราชปฏิพัทธ รักเร้นในพระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัย
เริ่มกระทู้โดย: เทาชมพู ที่ 13 ม.ค. 24, 10:22
    พระราชนิพนธ์กาพย์ห่อโคลงเห่เรือชมเครื่องคาวหวานมีบทหนึ่งกล่าวว่า
       ทองหยอดทอดสนิท      ทองม้วนมิดคิดความหลัง
       สองปีสองปิดบัง             แต่ลำพังสองต่อสอง
    สองต่อสองในที่นี้คืออยู่ในห้องเดียวกันสองคน   ไม่ได้หมายความว่ารู้กันแค่สองคน  
    การลักลอบกันระหว่างหนุ่มสาวในสมัยโบราณ ไม่อาจเป็นเรื่องที่รู้กันแค่สองคนเท่านั้น  ยิ่งในรั้วในวังหรือตามบ้านขุนนางผู้ใหญ่แล้ว (หรือแม้แต่ตามบ้านชาวบ้านที่อยู่กันเป็นครอบครัวขยายก็เถอะ)  เพราะสภาพแวดล้อมไม่เป็นใจ  
    บ้านเรือนสมัยนั้นไม่มีความเป็นส่วนตัว (privacy)  แม้แต่หญิงสาวลูกผู้ดีเองก็ไม่ได้นอนตามลำพัง  อาจจะนอนกับคุณหญิงแม่   หรือน้องเล็กๆ   (เจ้าคุณพ่อนอนห้องเดี่ยวของตัวเอง)  หรือไม่ก็ต้องมีพี่เลี้ยงหรือบ่าวนอนรับใช้ในห้อง หรือนอนเฝ้าหน้าประตู
    แม่สื่อเป็นบุคลากรจำเป็นในเรื่องลักลอบ  ที่ชายหนุ่มต้องผ่านด่านไปได้ก่อน  เรื่องขุนช้างขุนแผนเป็นตัวอย่างที่เห็นได้ในหลายตอน     พลายแก้วจะเข้าถึงห้องนางพิมได้ก็ต้องได้ไฟเขียวจากนางสายทองพี่เลี้ยงเป็นแม่สื่อเสียก่อน    พลายงามจะเข้าห้องนางศรีมาลา  นางเม้ยพี่เลี้ยงก็ต้องเป็นใจปล่อยให้ชายหนุ่มอยู่กับนายสาว
     ยิ่งในวังด้วยแล้ว   นางในทั้งหลายไม่มีห้องเป็นส่วนตัว  ห้องหนึ่งนอนกันหลายคน  ในสี่แผ่นดิน พลอย ช้อยและคุณสายนอนในห้องเดียวกันแต่กางมุ้งคนละหลัง   ตัดปัญหาไปได้ว่าใครจะปีนเข้าวังแอบมาหาได้ถึงตัว    แม้แต่กรณีอ้ายโตกับพระองค์ยิ่งเยาวลักษณ์ ก็มีนางบ่าวเป็นสื่อชักนำพาเข้ามาถึงตำหนัก
   ดังนั้น เจ้าฟ้ากรมหลวงอิศรสุนทรจะทรงมีความสัมพันธ์กับเจ้าฟ้าบุญรอด  ก็ต้องมีพระน้องนางสององค์เป็นผู้ช่วยเหลือ   รวมทั้งนางข้าหลวงในตำหนักที่ถูกสั่งให้ปิดจนพระมารดาจับคาหนังคาเขาไม่ได้จนแล้วจนรอด
   ทั้งหมดนี้กินเวลา 2 ปี  ที่ปิดคนภายนอกได้สำเร็จ


กระทู้: ขัติยราชปฏิพัทธ รักเร้นในพระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัย
เริ่มกระทู้โดย: เทาชมพู ที่ 13 ม.ค. 24, 10:39
   ฝ่ายเจ้าฟ้าหญิงทั้งสองพระองค์ ไม่สบายพระทัยว่าพระมารดาเกือบจะจับได้อย่างหวุดหวิดอยู่แล้ว  ก็เลยหาทางใหม่   เช้าวันต่อมา ทรงย้ายจากตำหนักของท่านไปเล่นสกาที่ตำหนักของเจ้าฟ้าบุญรอดแทน   เพราะคุณหญิงนาคคงจะไม่เดินไปถึงตำหนักนั้น  แต่สั่งกับนางข้าหลวงว่าถ้าพระเชษฐาเสด็จเข้ามาที่ตำหนัก ให้ทูลว่ากูไปเล่นอยู่ที่ตำหนักแดง ให้เสด็จตามไปเถิด     รับสั่งไว้แล้วก็เสด็จไปเล่นอยู่ที่ตำหนักแดง
   เมื่อเจ้าฟ้ากรมหลวงอิศรสุนทรทรงได้ "ซิก" จากพระน้องนาง ก็ดีพระทัย   ว่าเจ้าฟ้าหญิงคงจะทรงวางอุบายช่วยให้ปลอดเส้นทางมากกว่าเมื่อก่อน   เพราะตำหนักแดงนี้ก็อยู่เคียงกัน  ไม่มีผู้ใดนอกจากคนในสองตำหนักนั้นได้เห็น ครั้นเสด็จไปถึงตำหนักแล้ว ก็เข้าไปทรงเล่นด้วยกัน ก็คุ้นเคยสนิทกันยิ่งขึ้น
   แต่ว่า..ตำหนักแดง ไม่ใช่ที่ประทับของเจ้าฟ้าบุญรอดพระองค์เดียว  แต่มีเจ้าฟ้าฉิม พระพี่นางของเจ้าฟ้าบุญรอดประทับร่วมอยู่ด้วยอีกองค์หนึ่ง
   เจ้าฟ้าฉิม (ต่อมาเมื่อสิ้นพระชนม์แล้วในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ได้สถาปนาพระอัฐิของพระองค์เป็น กรมขุนอนัคฆนารี) องค์นี้ชาววังเรียกว่า "มีพระสติวิปลาส"  ถ้าเป็นปัจจุบันก็คงเรียกกันว่า "เพี้ยนๆ" หรือ "บ้าๆบอๆ"
   เหตุการณ์ที่เจ้าฟ้ากรมหลวงอิศรสุนทร เสด็จเข้ามาเล่นสกา  ประทับเคียงข้างเจ้าฟ้าบุญรอดอย่างสนิทสนม ไม่ได้รอดพ้นสายพระเนตรเจ้าฟ้าฉิม(หญิง) ไปได้    


กระทู้: ขัติยราชปฏิพัทธ รักเร้นในพระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัย
เริ่มกระทู้โดย: เทาชมพู ที่ 13 ม.ค. 24, 10:46
   พอทรงเห็นก็เสด็จกลับออกมาตรัสแก่ข้าหลวงด้วยสุรเสียงอันดังว่า
   “ท้าวพรหมทัต ล่วงลัดตัดแดน มานั่งท้าวแขน ทอดสะกาพนัน สูสูสีสี อีแม่ทองจันท์ อีกสองสามวัน จะเป็นตัวจิ้งจก”
   ความที่รับสั่งร้องดังนี้ จะเป็นโดยความขัดเคืองพระทัย หรืออย่างไรก็ไม่ได้ความชัด แต่รับสั่งอยู่อย่างนี้หลายวัน ถ้าเสด็จเยี่ยมพระแกลแลเห็นผู้ใดเดินไปมาก็ร้อง
   “สูสูสีสี อีแม่ทองจันท์ อีกสองสามวัน จะเปนตัวจิ้งจก” ร้องได้วันละหลายๆ ครั้ง

   พระสติวิปลาสก็จริง แต่พระปัญญาน่าจะเฉียบไม่เบา     แสดงว่าเห็นปุ๊บรู้ปั๊บว่าต่อไปเหตุการณ์จะดำเนินไปในทางไหน    ตรัสคล้องจองเป็นคำร้อยกรองเสียด้วย  
   คำว่า "ตัวจิ้งจก" นั้นทรงเลือกใช้คำนี้เพราะอะไรไม่ทราบ  แต่จิ้งจก มันเป็นไข่กลมๆ มาก่อนจะแตกออกมาเป็นตัว    ก็ได้ความหมายว่า อีกหน่อยก็คงมีตัวอะไรออกจากท้องมาเป็นหลักฐานให้เห็น  


กระทู้: ขัติยราชปฏิพัทธ รักเร้นในพระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัย
เริ่มกระทู้โดย: เทาชมพู ที่ 14 ม.ค. 24, 09:19
    สิ่งน่าสังเกตอีกอย่างคือเจ้าฟ้าฉิม กรมขุนอนัคฆนารีเป็นคนสมองดี ความจำแม่น    ท่านอาจเป็นเจ้านายที่อ่านออกเขียนได้  หรือถ้าไม่ได้ ต้องให้นางข้าหลวงอ่านหนังสือถวาย ท่านก็เข้าใจเรื่องที่อ่านอย่างดี   เรื่องนั้นคือเรื่องกากีของเจ้าพระยาพระคลัง(หน)  เล่าถึงท้าวพรหมทัตที่โปรดปรานการเล่นสกา จนพญาครุฑแปลงตัวเป็นมานพหนุ่มน้อยมาเล่นด้วย
   พอเห็นเจ้าฟ้ากรมหลวงอิศรสุนทรมาเล่นสกากับเจ้าฟ้าบุญรอด   เจ้าฟ้าฉิมก็โยงเข้ากับท้าวพรหมทัตได้ทันที  สามารถเปรียบเปรยออกมาได้ แบบมีชั้นเชิง    ท่านก็คงไม่พอพระทัยกับการลักลอบครั้งนี้   จึงฟ้องผู้คนไปทั่วด้วยคำคล้องจองที่ว่า 
   เจ้าฟ้าบุญรอดได้ยินก็ตกพระทัย ว่าแบบนี้คงปิดเป็นความลับต่อไปไม่ได้  เป็นอันว่าวงสกาแตก   กรมหลวงศรีสุนทรเทพต้องย้ายวงกลับไปที่ตำหนักของท่านอย่างเดิม   เพิ่มความระมัดระวังโดยให้นางข้าหลวงไปนั่งดูต้นทางอยู่หน้าตำหนัก    วันไหนเห็นคุณหญิงนาคเดินเลี้ยวมุมวังเข้ามาให้วิ่งมาทูล  จะได้ซ่อนองค์ทัน   


กระทู้: ขัติยราชปฏิพัทธ รักเร้นในพระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัย
เริ่มกระทู้โดย: เทาชมพู ที่ 14 ม.ค. 24, 09:29
    จากนั้นก็ตกลงนัดแนะกันใหม่ว่า วันไหนพระมารดามาถึง คนที่ต้องเข้าไปหลบซ่อนในห้องด้านในคือเจ้าฟ้าบุญรอด     ส่วนอีกสามองค์พี่ชายน้องสาวอยู่รับหน้าพระมารดาตามปกติ    ถ้าคุณหญิงนาคมาเยี่ยม เห็นแต่พี่น้องนั่งเล่นอยู่ด้วยกัน   ก็จะไม่สงสัย  นึกว่าพี่ชายมาเยี่ยมน้องสาวตามปกติ
    แต่ถ้ามาทีไรเห็นเจ้าฟ้าบุญรอดอยู่ด้วยทีนั้น ก็จะสงสัยขึ้นมา   ส่วนอุบายแบบเดิมคือลูกชายหนีไปซ่อนในห้อง คงใช้ไม่ได้แล้ว    เพราะคุณหญิงนาคสงสัยเจ้าฟ้าบุญรอดก็คงเข้าไปค้นตามห้องหับในตำหนัก  เจอเจ้าฟ้ากรมหลวงอิศรสุนทรเข้า ความแตกแน่นอน   คุณหญิงคงไม่ยอมปกปิดไว้เพราะเกรงความผิดจะมาถึงตัว
    เมื่อตกลงหาทางออกกันได้แล้ว   ทุกคนก็ตกลงเห็นพร้อมกัน   จากนั้นเจ้าฟ้ากรมหลวงอิศรสุนทรก็เสด็จกลับวังที่พระราชวังเดิม     วันต่อๆมา เจ้าฟ้าบุญรอดก็เสด็จไปเล่นที่ตำหนักกรมหลวงศรีสุนทรเทพและกรมหลวงเทพยวดี เป็นประจำ
   นางข้าหลวงทุกคนถูกสั่งให้เย็บปากสนิท   มีคนดูต้นทางไม่ให้คุณหญิงนาคจู่โจมเข้ามาถึงตำหนักได้สำเร็จ   เป็นอันว่าท่านจับความจริงไม่ได้จนแล้วจนรอด    พระเอกนางเอกเรื่องนี้ก็ปกปิดความสัมพันธ์กันมาได้ถึง 2  ปี จนความแตกออกมาเอง 


กระทู้: ขัติยราชปฏิพัทธ รักเร้นในพระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัย
เริ่มกระทู้โดย: Rattananuch ที่ 14 ม.ค. 24, 12:32
มีความสงสัยในความรักของทั้งสองพระองค์มานานแล้วในเรื่องที่พระองค์ท่านมาเพิ่งมาตกหลุมรักกันในวัย32ทั้งคู่ ทั้งสองเป็นลูกพี่ลูกน้องกันที่พ่อแม่ของแต่ละฝ่ายสนิทสนมกันมาก ซึ่งลูกๆของแต่ละฝ่ายก็ต้องเล่นหัวคลุกคลีกันมาตั้งแต่เล็กๆ จนอายุสิบสี่สิบห้าและคงแยกกันไม่ค่อยได้พบปะเมื่อสถาปนาราชวงศ์จักรี และฝ่ายหญิงต้องเข้าไปอยู่ฝ่ายใน
คำถามคือทำไม่พระองค์ท่านถึงไม่ต้องใจกันตั้งแต่วัยรุ่น ซึ่งในยุคนั้นก็เป็นวัยสมควรแต่งงานออกเรือนได้แล้ว


กระทู้: ขัติยราชปฏิพัทธ รักเร้นในพระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัย
เริ่มกระทู้โดย: เทาชมพู ที่ 14 ม.ค. 24, 13:01
    ตอนที่พระบาทสมเเด็จพระพุทธเลิศหล้าฯเจริญพระชนม์รุ่นหนุ่มขึ้นมาสมัยปลายธนบุรี   ท่านมี "แฟน" หรือคนรักอยู่แล้ว  ชื่อคุณสี หรือศรี ธิดาเจ้าพระยาศรีธรรมาธิราช (บุญรอด บุณยรัตพันธุ์)   บิดามีเคหสถานใกล้กับเคหสถานของพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราช ซึ่งขณะนั้นยังดำรงยศเป็นสมเด็จเจ้าพระยามหากษัตริย์ศึก
    คุณสีเป็นคนงามมาก   เคยเป็นนางละครหลวงรุ่นเล็ก มีสมญาว่า "ศรีสีดา" หมายถึงรำเป็นตัวนางสีดา 
     เมื่อพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราชขึ้นครองราชย์ จึงได้พระราชทานให้เป็นหม่อมห้ามในสมเด็จเจ้าฟ้ากรมหลวงอิศรสุนทร ราวปี พ.ศ. 2328  เมื่อหม่อมสีอายุ 15 ปี
     เจ้าจอมมารดาสีมีพระราชธิดา 2 พระองค์ คือพระเจ้าบรมวงศ์เธอ พระองค์เจ้าจักรจั่น (ประสูติ พ.ศ. 2328 — สิ้นพระชนม์ รัชกาลที่ 1) บ้างเรียก พระองค์เจ้าหญิงใหญ่ กับพระเจ้าบรมวงศ์เธอ พระองค์เจ้าบุบผา หรือบุพภาวดี (ประสูติ พ.ศ. 2334 — สิ้นพระชนม์ พ.ศ. 2367)


กระทู้: ขัติยราชปฏิพัทธ รักเร้นในพระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัย
เริ่มกระทู้โดย: Rattananuch ที่ 14 ม.ค. 24, 14:03
ขอบคุณมากค่ะอาจารย์
ก็คือทั้งสองพระองค์โตมาด้วยกัน ตอนนั้นก็คิดกันแบบพี่น้องไม่มีความรู้สึกแบบชายหญิง ฝ่ายชายก็ไปมีกิจกรรมนอกบ้าน มีสาวๆให้มองติดพันตามประสาหนุ่มรูปงามเนื้อหอม จนแยกจากกันเป็นสิบกว่าปีเมื่อตั้งราชวงศ์ และเมื่อกลับมาพบกันอีก ความรู้สึกเดิมๆก็เปลี่ยนไป


กระทู้: ขัติยราชปฏิพัทธ รักเร้นในพระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัย
เริ่มกระทู้โดย: เทาชมพู ที่ 15 ม.ค. 24, 08:36
    ความรอบคอบของเจ้าฟ้าหญิงทั้งสองที่ใช้นางข้าหลวงไปดูต้นทางเป็นประจำ   นับว่าไม่เกินกว่าเหตุ  เพราะเวลาคุณหญิงนาคท่านมาเยี่ยมพระธิดา  ท่านไม่ได้ส่งข่าวล่วงหน้า   หมายความว่าท่านอยากมาวันไหนท่านก็มา   
    วันหนึ่งท่านคิดถึงพระธิดาก็ออกจากพระราชวังเดิมมาถึงพระบรมมหาราชวัง พอเลี้ยวมุมพระที่นั่งเข้ามา
 นางข้าหลวงที่นั่งคอยดูอยู่หน้าตำหนัก ก็วิ่งเข้าไปกราบทูลเจ้านาย
    วันนั้น แจ๊กพ็อท  เสด็จพร้อมกันอยู่ทั้งสี่พระองค์    พอเกิดเหตุจวนตัว  เจ้าฟ้าบุญรอดก็เสด็จวิ่งหนีเข้าไปซ่อนอยู่ในห้องพระบรรทมของเจ้าฟ้าหญิงทั้งสอง   เจ้าฟ้ากรมหลวงอิศรสุนทรก็ไม่อยู่รับหน้าพระมารดา ทรงวิ่งหนีตามเข้าไปบ้าง
     พอคุณหญิงนาคเข้ามาถึงตำหนัก ก็เห็นพระธิดาทั้งสองพระองค์ประทับนั่งกันอยู่  ไม่มึคนอื่น  ก็ไม่ระแวงพระทัย เสด็จประทับอยู่ตั้งแต่เช้าจนเย็น ได้เวลาก็เสด็จกลับข้ามไปวัง
     ในเรื่องบอกว่าพระมารดาไม่ระแวง  แต่ดิฉันอดสงสัยไม่ได้ว่าท่านนั่งอยู่ตั้งแต่เช้าจนเย็น  นอกจากอยากเห็นอยากคุยกับลูกสาวตามประสาแม่ๆลูกๆ แล้ว   คงนั่งคุมเชิงอยู่ว่าจะมีใครเข้ามาหาในวันนั้น หรือว่ามีพิรุธเห็นใครวอบๆแวบๆ อยู่ในตำหนักบ้างไหม
    ตามเหตุการณ์ที่ว่านี้  ก็กลายเป็นว่าเจ้าฟ้าอิศรสุนทรกับเจ้าฟ้าบุญรอดได้อยู่กันสองต่อสองในห้องบรรทม   ไม่มีใครล่วงล้ำเข้าไปได้    แล้วจะเกิดอะไรขึ้นก็คงไม่ต้องเดากันให้ยุ่งยาก


กระทู้: ขัติยราชปฏิพัทธ รักเร้นในพระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัย
เริ่มกระทู้โดย: เทาชมพู ที่ 16 ม.ค. 24, 09:36
    ในเมื่ออยู่ประจำตำหนักเดียวน่าจะเสี่ยงมากกว่าย้ายไปมา 2 ตำหนัก  แต่นั้นมา ทั้ง 4 พระองค์ก็ผลัดเปลี่ยนกันไปเล่นตำหนักโน้นบ้าง ตำหนักนี้บ้าง   แต่ก็อย่างที่กล่าวมาแล้วว่า สังคมสมัยนั้นไม่มี privacy  ถึงจะเล่นซ่อนหากับคุณหญิงนาคได้สำเร็จ    ก็ไม่อาจรอดพ้นสายตาเจ้านายฝ่ายในและนางข้าหลวงชาววังด้วยกันไปได้
    เรื่องซุบซิบก็แพร่กระจายไปถึงพระกรรณกรมหลวงพิทักษมนตรี
    สมเด็จพระสัมพันธวงศ์เธอ เจ้าฟ้ากรมหลวงพิทักษมนตรี มีพระนามเดิมว่า จุ้ย ทรงเป็นพระโอรสลำดับที่ 5 ในสมเด็จพระเจ้าพี่นางเธอ เจ้าฟ้ากรมพระศรีสุดารักษ์   นับง่ายๆอีกทีคือเป็นพระอนุชาของเจ้าฟ้าบุญรอด
   กรมหลวงพิทักษมนตรีเป็นลูกพี่ลูกน้องของเจ้าฟ้ากรมหลวงอิศรสุนทร เรียกได้ว่าโตมาด้วยกัน  เมื่อก่อนก็สนิทสนมกลมเกลียวกันดี  แต่พอรู้ข่าวซุบซิบนี้ก็ไม่พอพระทัยว่าเจ้าฟ้ากรมหลวงอิศรสุนทรกระทำการผิดราชประเพณี ไม่เห็นแก่หน้าผู้ใหญ่ทางฝ่ายหญิง   
    เวลาเข้าไปเฝ้าพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าฯ ตามหน้าที่  ทรงพบเจ้าฟ้ากรมหลวงอิศรสุนทร ก็มีพระกิริยามึนตึงด้วยความขัดเคืองพระทัย   ส่วนอีกฝ่ายทรงเห็นพระกิริยากรมหลวงพิทักษมนตรีไม่เหมือนแต่เดิม    เห็นสีพระพักตร์เจื่อน ท่าทีจำใจจำตรัสด้วย ก็เข้าพระทัยว่ากรมหลวงพิทักษมนตรีจะล่วงรู้ความลับที่ไม่ลับอีกแล้ว จึงได้มึนตึงออกมานอกหน้า


กระทู้: ขัติยราชปฏิพัทธ รักเร้นในพระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัย
เริ่มกระทู้โดย: เทาชมพู ที่ 16 ม.ค. 24, 09:56
   เจ้าฟ้ากรมหลวงอิศรสุนทรท่านเป็นกวี   เวลาคิดอะไรเปรียบอะไรท่านก็ออกมาในรูปของบทกวี  อย่างเรื่องที่คิดเกลี้ยกล่อมให้กรมหลวงพิทักษมนตรีหายขุ่นเคือง ท่านก็ยกบทละครเรื่อง "อิเหนา" ที่ลือชื่อมาตั้งแต่ปลายกรุงศรีอยุธยา ขึ้นมาเป็นนัยเปรียบเทียบ
   ดังที่ในหนังสือเล่าว่า
   "วันหนึ่งยังไม่มีเจ้านายอื่นเข้าไปเฝ้า มีอยู่แต่พระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้าฯ กับกรมหลวงพิทักษมนตรี สองพระองค์เท่านั้น พระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้าฯ จึงรับสั่งแก่กรมหลวงพิทักษมนตรี ว่าบ้านเมืองเราทุกวันนี้เหมือนวงศอสัญแดหวา ไปภายหน้าจะรุ่งเรืองถาวรยิ่งนัก เมื่อกรมหลวงพิทักษมนตรีได้ทรงฟังดังนั้นก็เฉลียวพระทัย อยากจะใคร่ทรงฟังเรื่องราวต่อไป จึงทูลถามขึ้นว่าเมืองกุเรปันอยู่ที่ไหน
   พระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้าฯ จึงตรัสตอบว่า พ่อจุ้ยมานั่งอยู่ที่นี่เมืองของใครเล่า กรมหลวงพิทักษมนตรีก็เข้าพระทัย จึงแส้งทูลถามต่อไปว่า อย่างนั้นล้นเกล้าล้นกระหม่อมหาบน มิต้องเกณฑ์ให้เปนดาหาหรือ และกาหลัง สิงหัดส่าหรียังแลไม่เห็น"
    คนที่ไม่ได้อ่านเรื่องอิเหนา หรืออ่านแต่ลืมไปแล้ว คงไม่เข้าใจว่าเจ้านาย 2 องค์นี้ตรัสเรื่องอะไรกัน  จึงขออธิบายพื้นหลังของเรื่องอิเหนาว่า  แต่เดิมมาในแคว้นชวา  ถือกันว่ามีอยู่ 4 เมืองใหญ่ที่กษัตริย์ผู้ครองเมืองเป็นวงศ์อสัญแดหวา(แปลว่าวงศ์เทวดา)  เพราะสืบเชื้อสายมาจากเทพผู้เป็นใหญ่ชื่อองค์ปะตาระกาหลา  ท้าวพระยาพี่ใหญ่สุดครองกรุงกุเรปัน รองลงมาคือครองเมืองดาหา  แล้วก็กาหลัง  และสิงหัดส่าหรีเป็นเมืองน้องเล็กสุด
     ส่วนเมืองอื่นๆแม้ว่ามีกษัตริย์ครองเหมือนกันแต่ก็ไม่ได้สืบเชื้อสายเทวดา   จึงนับว่าต่ำกว่า 4 เมืองที่ว่า
     ดังนั้น 4 เมืองที่เป็นวงศ์เทวัญด้วยกันนี้ จึงนิยมให้ลูกหลานได้เสกสมรสกันเอง  เพื่อรักษาเชื้อสายเทวดาไว้ในกลุ่มเดียวกัน    ไม่นิยมให้ไปเสกสมรสกับเจ้าเมืองอื่นๆ  ถ้าเจ้านายฝ่ายชายไปได้ลูกสาวเจ้าเมืองอื่นมาเป็นนางเล็กๆ ก็ไม่ว่ากัน   หรือแม้จะมาได้เป็นชายาเอกก็ยังพอไหว    แต่ถ้าพระธิดาวงศ์อสัญแดหวาต้องไปเสกสมรสกับเจ้านายชายเมืองอื่นๆนี่ ถือว่าเสื่อมเสียพระเกียรติทีเดียว

     เจ้าฟ้ากรมหลวงอิศรสุนทร ทรงเปรยขึ้นมาก่อนทำนองนี้ ก็หมายความว่า เป็นเรื่องดี ถ้าในพระราชวงศ์จักรีจะมีเจ้านายลูกพี่ลูกน้องเสกสมรสกันเอง


กระทู้: ขัติยราชปฏิพัทธ รักเร้นในพระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัย
เริ่มกระทู้โดย: เทาชมพู ที่ 16 ม.ค. 24, 10:44
    ต่อไปนี้คือการตีความ
     เมื่อกรมหลวงพิทักษมนตรีได้ทรงฟังดังนั้นก็เฉลียวพระทัย อยากจะใคร่ทรงฟังเรื่องราวต่อไป จึงทูลถามขึ้นว่าเมืองกุเรปันอยู่ที่ไหน
   พระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้าฯ จึงตรัสตอบว่า พ่อจุ้ยมานั่งอยู่ที่นี่เมืองของใครเล่า  นั่งอยู่ในกรุงเทพ  เมืองนี้ก็เปรียบได้กับกรุงกุเรปัน  ของอิเหนา( หรือเจ้าฟ้ากรมหลวงอิศรสุนทร)
   กรมหลวงพิทักษมนตรีก็เข้าพระทัย จึงแสร้งทูลถามต่อไปว่า "อย่างนั้นล้นเกล้าล้นกระหม่อมหาบน มิต้องเกณฑ์ให้เปนดาหาหรือ และกาหลัง สิงหัดส่าหรียังแลไม่เห็น"
   กรมหลวงพิทักษมนตรีก็หยั่งเชิงต่อไปว่า  ถ้าอย่างนั้น เมืองใหญ่รองลงมาเป็นอันดับ 2 คือกรุงดาหา  ก็เท่ากับวังหน้า (ทูลกระหม่อมหาบน หมายถึงกรมพระราชวังบวรมหาสุรสิงหนาท)  
   กาหลัง สิงหัดส่าหรียังแลไม่เห็น คือเมืองที่ 3  และ 4  ก็ยังไม่รู้ว่าหมายถึงใคร
   พระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้าฯ ทรงพระสรวล แล้วรับสั่งว่าพ่อจุ้ยพูดยังไม่ถูก ล้นเกล้าล้นกระหม่อมหาบนมีแต่สะกาหนึ่งหรัด ควรจะเปนแต่กาหลัง
   ล้นเกล้าฯหาบนมีแต่สะกาหนึ่งหรัด =  กรมพระราชวังบวรมีพระธิดาพระองค์เดียวคือเจ้าฟ้าพิกุลทอง  ซึ่งไม่ได้เกี่ยวอะไรกับเรื่องนี้   จึงควรจะเป็นเมืองกาหลัง  วงศ์เทวดาเมืองที่ 3  ซึ่งมีลูกสาวคนเดียวชื่อนางสะการะหนึ่งหรัด
   กรมหลวงพิทักษมนตรีจึงทูลว่ากระนั้นดาหาอยู่ที่ไหนเล่า พระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้าฯ จึงรับสั่งว่าดาหาก็อยู่ริมที่นี่เอง กรมหลวงพิทักษมนตรีได้ทรงฟังดังนั้นพระพักตร์ก็ตึงมากขึ้น ไม่ทูลโต้ตอบประการใด
   ดาหา คือเมืองของนางบุษบา นางเอกของอิเหนา 
   เมื่อเจ้าฟ้ากรมหลวงอิศรสุนทรตรัสว่า ดาหาอยู่ริมที่นี่เอง  คือหมายถึงวงศ์ของกรมหลวงพิทักษมนตรี อันได้แก่เจ้าฟ้าบุญรอด    เท่ากับตรัสว่า นางเอกของข้าคือพี่สาวของเจ้าอย่างไรเล่า
   เจ้าฟ้ากรมหลวงพิทักษมนตรีไม่ได้ยินดีในเรื่องนี้ แถมยังเคืองอีกด้วย  ก็เลยพระพักตร์บึ้งแทนคำตอบ  แทนคำว่า say no

  
  


กระทู้: ขัติยราชปฏิพัทธ รักเร้นในพระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัย
เริ่มกระทู้โดย: superboy ที่ 16 ม.ค. 24, 14:00
เรื่องราวช่างซับซ้อนซ่อนเงื่อนยิ่งนัก


กระทู้: ขัติยราชปฏิพัทธ รักเร้นในพระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัย
เริ่มกระทู้โดย: เทาชมพู ที่ 17 ม.ค. 24, 10:14
   ความคิดเห็นส่วนตัวนะคะ
   เห็นว่าความยากลำบากในเรื่องความรักครั้งนี้ น่าจะเป็นแรงจูงใจอีกแรงหนึ่งให้เจ้าฟ้ากรมหลวงอิศรสุนทรทรงมุมานะจะฝ่าฟันอุปสรรคไปให้ได้     แตกต่างจากความรักครั้งก่อนๆที่ทรงมีต่อเจ้าจอมหม่อมห้ามทั้งหลาย คือทรงอยากได้คนไหนก็ไม่มีอุปสรรค    พ่อแม่ก็ยินดีถวายลูกสาวอยู่แล้ว 
   เมื่อทรงเห็นเจ้าฟ้ากรมหลวงพิทักษมนตรียังคงไม่ไยดีกับคำเกลี้ยกล่อม   ด้วยความเป็นศิลปิน ก็ไม่ทรงหักหาญเอาชนะแบบไม่แคร์หน้าอินทร์หน้าพรหม    แต่ก็ทรงหาอุบายขั้นต่อไป ที่ชั้นเชิงสูงกว่าครั้งแรก
   ท่านก็ทำทีปรารภกับกรมหลวงพิทักษมนตรี ว่า 
   " ใจของพี่ ถ้าพี่น้องได้กันเองอย่างเช่นเรื่องอิเหนา ไม่ถือต่ำถือสูงว่าลูกพี่ลูกน้อง พี่จะมีความยินดีเปนที่ยิ่ง โดยสมบัติพัสถานก็จะไม่กระจัดกระจาย"
    ที่ตรัสว่า "ไม่ถือต่ำถือสูงว่าลูกพี่ลูกน้อง"  ก็เพราะว่าพระมารดาของกรมหลวงพิทักษมนตรีเป็นป้า  สมเด็จพระพุทธยอดฟ้าฯ เป็นน้าชาย   ธรรมเนียมถือกันว่าลูกลุงกับป้าจะศักดิ์สูงกว่าลูกน้าลูกอา   ถึงอายุอ่อนกว่าก็ต้องนับเป็นพี่  แต่เจ้าฟ้ากรมขุนอิศรสุนทรก็ตัดบทง่ายๆว่าไม่ถือสาเรื่องนี้    แล้วเกลี้ยกล่อมต่อว่า  ญาติได้กันเองน่ะดีแล้ว   ทำนองเรือล่มในหนอง ทองจะไปไหน  ดีกว่าไปได้กับตระกูลอื่น
    จากนั้นก็ทรงส่งหมัดเด็ดไปว่า
    "พี่กังวลอยู่อย่างหนึ่ง   ด้วยแม่แจ่ม(หมายถึงเจ้าฟ้าหญิงกรมหลวงศรีสุนทรเทพ  พระขนิษฐา) ชอบเล่นป้านชาถ้วยชา    กวนให้หาร่ำไป หรือพ่อจุ้ย(หมายถึงกรมหลวงพิทักษมนตรี) มีป้านชาถ้วยชายี่ห้อต่างๆ จัดเข้าไปให้เขาบ้างเปนไร เผื่อยี่ห้อจะแปลกกันกับเขาที่มีอยู่"


กระทู้: ขัติยราชปฏิพัทธ รักเร้นในพระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัย
เริ่มกระทู้โดย: เทาชมพู ที่ 17 ม.ค. 24, 10:20
   หมัดนี้ได้ผล   กรมหลวงพิทักษมนตรีได้ทรงฟังดังนั้น ก็มีพระพักตร์แช่มชื่นขึ้นทันที  เพราะทรงดูออกว่า   พี่ชายของสาวเจ้าเปิดทางให้ดังนี้   แสดงว่าเต็มพระทัยจะรับพระองค์เป็นน้องเขย  ได้เสกสมรสกับกรมหลวงศรีสุนทรเทพ จึงทูลตอบว่า
  "ป้านชาถ้วยชายี่ห้อต่างๆ เรือของหม่อมฉันมีเข้ามาหลายอย่าง แล้วจะจัดให้คนเข้าไปถวาย"
   ทั้งนี้เพราะทรงค้าสำเภา  มีของดีๆจากเมืองจีนส่งมาขายในสยามหลายอย่าง   จากนั้นถึงเวลาเข้าเฝ้า  ก็ไม่ได้รับสั่งเรื่องนี้กันอีก   เป็นอันว่าตกลงกันโดยไม่ต้องพูดตรงๆว่า  กรมหลวงพิทักษมนตรีก็ไม่ได้ขัดข้องที่จะได้เป็นเจ้าฟ้ากรมหลวงอิศรสุนทรเป็นพี่เขยอีก
  ถ้าใครสงสัยว่า เจ้าฟ้ากรมหลวงอิศรสุนทรจะยกน้องสาวให้กรมหลวงพิทักษมนตรีจริงๆหรือ    เจ้าฟ้าหญิงเจ้าตัวจะทรงว่าอย่างไร   อยู่ๆถูกยกให้พระญาติที่ไม่ได้มีวี่แววว่าเสน่หากันมาก่อน   ก็ขอตอบว่า อ๋อ เปล่าค่ะ  เจ้าฟ้าชายพระเอกของเราท่านชั้นเชิงสูงกว่านั้น


กระทู้: ขัติยราชปฏิพัทธ รักเร้นในพระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัย
เริ่มกระทู้โดย: เทาชมพู ที่ 18 ม.ค. 24, 07:48
   เจ้าฟ้ากรมหลวงอิศรสุนทรทรงทราบแน่แก่ใจว่า  ทรงเจรจาไปตามนี้ พระน้องนางคือกรมหลวงศรีสุนทรเทพไม่ได้รู้อีโหน่อีเหน่ด้วย    ถ้าหากว่ารู้ขึ้นมาเมื่อใด  เห็นทีจะเกิดเรื่อง   เพราะไม่ได้ทรงเสน่หากรมหลวงพิทักษมนตรีมาก่อน
   ดังนั้นพอออกจากเฝ้าพระเจ้าอยู่หัว   เจ้าฟ้าชายก็เสด็จเข้าไปที่ตำหนักพระกนิษฐภคินีทั้งสองพระองค์  เรียกกรมหลวงเทพยวดีพระขนิษฐาองค์เล็กมากระซิบกระซาบบอกความทุกประการ เล่าเรื่องตั้งแต่ต้นจนปลาย ซึ่งกรมหลวงพิทักษมนตรีทราบระแคะระคาย  จึงทำกิริยามึนตึง  ไม่พอพระทัยเรื่องทรงลักลอบพบเจ้าฟ้าบุญรอด
    ดังนั้น  ท่านก็ต้องยกเรื่องนี้ขึ้นเป็นอุบายล่อลวงจนถึงแก่หายขัดเคือง  กรมหลวงพิทักษมนตรีหลงเชื่อ  เต็มอกเต็มใจจะจัดป้านชาถ้วยชายี่ห้อต่างๆ มาให้กรมหลวงศรีสุนทรเทพเพื่อผูกไมตรี  
    เจ้าฟ้ากรมหลวงอิศรสุนทรก็กระชับกรมหลวงเทพยวดี ว่า  
    " เจ้าจงเก็บเรื่องนี้เป็นความลับ  อย่าบอกให้เจ้าตัวรู้ตัวเขาจะโกรธ   เมื่อกรมหลวงพิทักษมนตรีหลงเชื่อจัดป้านชาสวยๆงามๆ ให้นางข้าหลวงเอามาถวาย   ก็ขอให้เจ้าออกหน้ารับเสียเอง    แล้วตอบกลับนางข้าหลวงไปว่า กรมหลวงศรีสุนทรเทพทรงได้รับแล้วและขอบพระทัย   แค่นี้ก็จบเรื่อง"
   ในบันทึกไม่ได้บอกว่ากรมหลวงเทพยวดีทรงรับคำโดยดี หรือว่าบ่ายเบี่ยงไม่อยากจะเอาตัวไปเสี่ยงกับความโกรธของพี่สาว     แต่ก็บันทึกไว้ว่า เจ้าฟ้ากรมหลวงอิศรสุนทรทรงอยู่ที่ตำหนักจนเย็นถึงเสด็จกลับวังที่ฝั่งธน
    ก็น่าจะเดาได้ว่าคงเกลี้ยกล่อมอย่างหนัก จนกระทั่งพระน้องนางจำใจยอมทำเพื่อพี่ชาย  และคงจะต้องเห็นว่าไม่มีวิธีไหนกลบเกลื่อนเรื่องได้ดีเท่านี้    เพราะจะปล่อยให้กรมหลวงพิทักษมนตรีกริ้วต่อไปจนเอาไปทูลฟ้องพระเจ้าอยู่หัว ความก็จะแตก โดนลงโทษกันทั้งหมดทุกคน
    หรือจะปล่อยให้กรมหลวงศรีสุนทรเทพรู้เรื่องนี้ก็ไม่ได้อีก  เพราะไม่ได้เสน่หากรมหลวงพิทักษมนตรี  ยังไงก็ไม่ยอมร่วมมือด้วย   พี่น้องก็จะทะเลาะกันยกใหญ่  กลายเป็นผูกปัญหาใหม่ขึ้นมาซ้ำซ้อน
    เพราะฉะนั้น  ใช้อุบายปิดบังไม่ให้กรมหลวงศรีสุนทรเทพรู้  ในการตุ๋นกรมหลวงพิทักษมนตรีจนเปื่อยแบบนี้น่ะดีแล้ว  


กระทู้: ขัติยราชปฏิพัทธ รักเร้นในพระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัย
เริ่มกระทู้โดย: เทาชมพู ที่ 19 ม.ค. 24, 13:55
    เหตุการณ์ก็ดำเนินไปด้วยดี    ต่อมาเมื่อเรือสำเภาที่กรมหลวงพิทักษมนตรีทรงค้าขายกลับเข้ามาถึงสยาม  ท่านก็จัดสิ่งของต่างๆ เข้าไปถวายกรมหลวงศรีสุนทรเทพอยู่เนืองๆ
    ทางฝ่ายกรมหลวงศรีสุนทรเทพก็ไม่รู้เรื่อง   กรมหลวงเทพยวดีก็ปิดปากสนิท  ออกมารับหน้าเสียเองทุกครั้งไป       เมื่อถึงหน้าผลไม้ต่างๆ เป็นต้นว่ามะม่วง มะปราง เงาะ ลางสาด   กรมหลวงเทพยวดีก็ทูลพระพี่นางว่ากรมหลวงพิทักษมนตรีมีน้ำพระทัยกว้างขวาง  ส่งของเล็กๆน้อยๆมาถวายอยู่เสมอ  ก็ควรตอบแทนท่านบ้าง  เช่นปอกผลไม้อย่างประณีตฝีมือชาววัง  ให้นางข้าหลวงนำไปถวายพร้อมกับเครื่องคาวหวาน เป็นการแสดงน้ำใจ
    กรมหลวงศรีสุนทรเทพก็มิได้ระแวงอะไร ก็ทรงทำตามที่พระน้องนางแนะนำ  เพราะเจ้านายต่างวังจะมีของกำนัลเผื่อแผ่ถึงกันเป็นเรื่องธรรมดา     เมื่อใครให้มาก็ต้องตอบแทนเป็นธรรมดาอีกเช่นกัน   ไม่ได้เป็นเรื่องพิเศษอะไรตรงไหน
    ส่วนกรมหลวงพิทักษมนตรีหลงเชื่อเจ้าฟ้ากรมหลวงอิศรสุนทรไปเสียแล้ว   พอได้รับของกำนัลตอบแทนก็ยิ่งมั่นพระทัยว่านี่คือการตอบรับไมตรีจากเจ้าฟ้ากรมหลวงศรีสุนทรเทพ   ท่านก็เลยปลื้มพระทัย  หายมึนตึงกับเจ้าฟ้ากรมหลวงอิศรสุนทร  แสดงพระอัธยาศัยรักใคร่สนิทสนมกันดังเดิม


กระทู้: ขัติยราชปฏิพัทธ รักเร้นในพระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัย
เริ่มกระทู้โดย: เทาชมพู ที่ 20 ม.ค. 24, 08:35
ิิ  ในเมื่อปัดกวาดอุปสรรคออกไปได้สำเร็จ   เจ้าฟ้ากรมหลวงอิศรสุนทรก็สบายพระทัย  จากนั้นก็เสด็จไปตำหนักพระน้องนางได้สะดวก  สองวันสามวันก็เสด็จเข้าไปที  แล้วก็เลยไปตำหนักเจ้าฟ้าบุญรอดโดยไม่ต้องกลัวหน้าไหนอีก
   ก็น่าจะกินเวลาราว 2 ปี ตามที่นิพนธ์ในกาพย์เห่เรือชมเครื่องคาวหวานในภายหลัง
         ทองหยอดหยอดสนิท           ทองม้วนมิดคิดความหลัง
        สองปีสองปิดบัง                 แต่ลำพังสองต่อสอง
   แต่ในเมื่อความลับไม่มีในโลก   วันหนึ่งเจ้าฟ้าบุญรอดก็ทรงพระครรภ์  ทรงปิดความได้ถึง 4 เดือนจนปิดไม่ได้อีกต่อไป
    เรื่องเจ้านายสตรีที่ยังเป็นสาวโสด อยู่ๆตั้งครรภ์ขึ้นมา ถือเป็นเรื่องใหญ่ระดับฟ้าผ่าลงมาบนพระราชมณเฑียรก็ว่่าได้    เพราะเจ้านายฝ่ายในเหล่านี้ถูกกฎมณเฑียรบาลควบคุมอย่างเข้มงวด กระดิกกระเดี้ยไม่ได้   อย่าว่าแต่จะพูดจากับชายใดที่ไม่ใช่พี่น้อง  แม้จะไปไหนมาไหนก็ต้องเดินฉนวนมีฉากกั้น   นั่งเรือไปไหนก็ต้องนั่งเรือประทุนมีม่านบัง  ชายสามัญชนไม่มีโอกาสแม้แต่จะมายืนจ้องมองตามสบาย
   เกิดเหตุขึ้นมาแบบนี้    แม้แต่เจ้าฟ้ากรมหลวงอิศรสุนทรเองก็ไม่อาจใช้อุบายปัดเป่าได้อีก    ความลับเปิดเผยออกมาเมื่อใดเห็นจะต้องโทษหนัก    เจ้าฟ้าบุญรอดจึงมีหนทางเดียวคือไปขอความช่วยเหลือจากบุคคลที่ทั้งเจ้านายฝ่ายหน้าและฝ่ายในยำเกรงวาสนาบารมี    ผู้นั้นคือพระสนมเอกผู้มีนามว่าคุณแว่น
 


กระทู้: ขัติยราชปฏิพัทธ รักเร้นในพระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัย
เริ่มกระทู้โดย: เทาชมพู ที่ 21 ม.ค. 24, 09:05
      คุณแว่นหรือเจ้าจอมแว่น เป็นชาวเวียงจันทน์ มีนามเดิมว่าเจ้านางคำแว่น เป็นธิดาพระนครศรีบริรักษ์ บุตรของพระเจ้าไชยราชาธิราชที่ 3  หรือพระเจ้าสิริบุญสาร  ในสมัยปลายธนบุรี พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าฯ เมื่อครั้งทรงเป็นสมเด็จเจ้าพระยามหากษัตริย์ศึก นำทัพไทยไปปราบจลาจลในเวียงจันทน์   ขากลับได้นำเจ้านางคำแว่นกลับมาด้วยในฐานะบริจาริกา   จึงกลายเป็นประเด็นขัดแย้งรุนแรงกับท่านผู้หญิงเอกภรรยา  ในที่สุดสมเด็จเจ้าพระยากับท่านผู้หญิง(หรือคุณหญิง)นาค ก็ขาดจากกัน 
      เมื่อเสด็จขึ้นครองราชย์ พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าฯมิได้สถาปนาคุณแว่นขึ้นเป็นเจ้า  คงเป็นแต่พระสนม  แต่ถึงกระนั้นก็เป็นผู้ที่ผู้คนรวมทั้งพระเจ้าลูกยาเธอและพระเจ้าลูกเธอเกรงกลัวกันทั้งวัง    เพราะท่านได้ชื่อว่าเป็นคนดุ  จนมีสมญาว่า "เจ้าคุณเสือ"    เป็นคนเดียวที่กล้ากราบบังคมทูลพระเจ้าอยู่หัวด้วยเรื่องต่างๆที่คนอื่นไม่มีใครกล้า 
     เรื่องเจ้าฟ้าบุญรอดทรงพระครรภ์ขึ้นมาก็เป็นหนึ่งในเรื่องที่ไม่มีใครอื่นกล้า
     


กระทู้: ขัติยราชปฏิพัทธ รักเร้นในพระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัย
เริ่มกระทู้โดย: เทาชมพู ที่ 21 ม.ค. 24, 09:11
     ในเรื่องเล่าว่า
      " วันหนึ่งพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกเสด็จประทับอยู่ที่ซอง เป็นวันสบายพระราชหฤทัย รับสั่งเล่าถึงเรื่องความเก่าๆ แต่ครั้งกรุงศรีอยุธยายังไม่เสียแก่พม่าข้าศึกให้ท้าวนางฟัง ถึงที่สนุกสนานก็ทรงพระสรวลมีพระสุรเสียงอันดัง ตรัสอยู่ประมาณสักครึ่งชั่วทุ่ม ขณะนั้นเห็นได้ช่องคุณเสือจึงคลานเข้าไปใกล้พระองค์แล้วจึงทูลกระซิบว่า
      “ขุนหลวงเจ้าขา ดิฉันจะทูลความสักเรื่องหนึ่ง แต่ขุนหลวงอย่ากริ้วหนา ถ้าขุนหลวงกริ้วดิฉันก็จะไม่ทูล”
        พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกเมื่อได้ทรงสดับคำคุณเสือดังนั้น ก็เฉลียวพระทัยว่าน่าจะเปนความชอบกลอยู่ จึงรับสั่งว่า
         "เออ พูดไปเถอะ กูไม่โกรธดอก"
         คุณเสือจึงกราบทูลว่า
         " ดิฉันไม่เชื่อขุนหลวงที่รับสั่งว่าไม่กริ้ว ครั้นดิฉันทูลขึ้นแล้วขุนหลวงก็จะกริ้ววุ่นวายไป ถ้าอย่างนั้นขุนหลวงสบถให้ดิฉันเสียก่อน ดิฉันจึงจะทูล"
          พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกจึงรับสั่งด่าว่า
         " อีอับปรี บ้านเมืองลาวของมึงเคยให้เจ้าชีวิตรจิตรสันดานสบถหรือ กูไม่สบถ พูดไปเถิดกูไม่โกรธดอก"
          คุณเสือก็ทูลว่าดิฉันไม่เชื่อ แล้วก็ทำเป็นคลานถอยออกมาเสียให้ห่างพระองค์
          พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลก จึงรับสั่งว่า
          "อย่าเพ่อไป จะไปข้างไหน มาพูดไปเถอะ เอ็งจะให้ข้าสบถว่ากระไร"
           คุณเสือจึงทูลว่า  "ดิฉันจะให้ขุนหลวงสบถว่าถ้าดิฉันทูลขึ้นแล้วขุนหลวงกริ้ว ให้ขุนหลวงตกนรกเท่านั้นแหละ"
            พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกรับสั่งว่า
            "เอ็งจะมาให้ข้าสบถว่าไม่ให้โกรธนั้น ถ้ามีผู้ใดคิดร้ายต่อข้า  เอ็งมาบอกขึ้น ก็จะห้ามไม่ให้โกรธ คนที่ใจเป็นดังนี้ บ้านเมืองของมึงมีอยู่หรือ"
            คุณเสือจึงทูลตอบว่า
            " ถ้าเป็นเรื่องใครเขาคิดร้ายต่อพระองค์  ดิฉันก็ไม่ทูลขอห้ามไม่ให้ขุนหลวงกริ้ว นี่ไม่ใช่เรื่องอย่างนั้น เป็นแต่การเล็กน้อย ครั้นขุนหลวงทราบก็จะกริ้วกราดเปนมากเป็นมายถึงแก่เฆี่ยนแก่ตี นิดก็เฆี่ยนหน่อยก็เฆี่ยน
           (ท่านทูลดังนี้คือท่านกลัวเหมือนเมื่อครั้งพระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้าฯ หลงเจ้าคุณที่ต้องรับพระราชอาญา ๓๐ ที)
           ขณะนั้นพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกก็อยากจะใคร่ทรงทราบว่าเป็นเรื่องอะไร จึงรับสั่งว่าพูดไปเถิดกูไม่เฆี่ยนดอก คุณเสือจึงทูลว่า
            "ถ้าขุนหลวงเฆี่ยน  ให้ขุนหลวงตกนรกหนา"
            พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกอึดอัดพระทัย ครั้นจะทรงนิ่งเสียคุณเสือก็จะไม่ทูลความ เรื่องราวจะตื้นลึกเปนประการใดก็จะใคร่ทรงทราบ จึงรับสั่งว่า
           "เออ กูไม่เฆี่ยนดอก"
           คุณเสือจึงเขยิบเข้าไปใกล้พระองค์แล้วค่อยกระซิบทูลว่า
           "แม่รอดเดี๋ยวนี้ท้องขึ้นมาได้ ๔ เดือน"


กระทู้: ขัติยราชปฏิพัทธ รักเร้นในพระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัย
เริ่มกระทู้โดย: เทาชมพู ที่ 21 ม.ค. 24, 09:58
 
อ้างถึง
(ท่านทูลดังนี้คือท่านกลัวเหมือนเมื่อครั้งพระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้าฯ หลงเจ้าคุณที่ต้องรับพระราชอาญา ๓๐ ที)
    ใครทราบบ้างคะ ว่าเรื่องอะไร   เดาว่าเจ้าคุณในที่นี้คือเจ้าคุณสี( หรือศรี)


กระทู้: ขัติยราชปฏิพัทธ รักเร้นในพระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัย
เริ่มกระทู้โดย: SILA ที่ 21 ม.ค. 24, 12:22
อ้างถึง
(ท่านทูลดังนี้คือท่านกลัวเหมือนเมื่อครั้งพระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้าฯ หลงเจ้าคุณที่ต้องรับพระราชอาญา ๓๐ ที)
    ใครทราบบ้างคะ ว่าเรื่องอะไร   เดาว่าเจ้าคุณในที่นี้คือเจ้าคุณสี( หรือศรี)

อ่านพบที่นี่ ครับ  https://www.posttoday.com/politics/327781


กระทู้: ขัติยราชปฏิพัทธ รักเร้นในพระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัย
เริ่มกระทู้โดย: เทาชมพู ที่ 22 ม.ค. 24, 10:00
    ขอบคุณค่ะคุณหมอ SILA   เสียดายไม่ทราบว่าท่านถูกเฆี่ยน 30 ทีเพราะไปทำอะไรผิดกับเจ้าจอมมารดาสีเข้า  แต่เดาว่าก็คงลอบพบปะกัน แบบเดียวกับเจ้าฟ้าบุญรอด    แล้วผู้ใหญ่จับได้
    ย้อนกลับมาเรื่องพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าฯ กับคุณจอมแว่น หรือ "เจ้าคุณเสือ"
    โปรดสังเกตว่า คุณจอมไม่ได้ใช้ราชาศัพท์กับพระเจ้าอยู่หัว  แม้แต่เวลาเรียกในฐานะบุรุษที่ 2   ก็เรียกเพียง "ขุนหลวง"  แม้แต่การเรียกพระนามเจ้าฟ้า ก็เรียกอย่างคนธรรมดา   แสดงว่าคุณจอมแว่นเรียกอย่างคนในครอบครัว  ต่อเนื่องมาจากสมัยธนบุรี เมื่อครั้งยังทรงเป็นเจ้าพระยามหากษัตริย์ศึก   แต่แทนที่จะเรียกว่า "เจ้าคุณ" อย่างคุณหญิงนาคเรียก  ก็ยกขึ้นสูงตามฐานะในปัจจุบัน คือ "ขุนหลวง"
    การที่คุณจอมแว่นเรียกเจ้าฟ้ากรมหลวงอิศรสุนทร ว่า "พ่อฉิม" และเรียกเจ้าฟ้าบุญรอดว่า "แม่รอด" ก็บอกอยู่ในตัวแล้วว่าใครอยู่ในฐานะที่น่าเกรงใจมากกว่ากัน   เจ้าฟ้าหรือพระสนมเอก


กระทู้: ขัติยราชปฏิพัทธ รักเร้นในพระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัย
เริ่มกระทู้โดย: เทาชมพู ที่ 22 ม.ค. 24, 10:32
    ในเรื่องบรรยายว่า พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกได้ทรงสดับดังนั้นก็ทรงพระพิโรธยิ่งนัก จึงรับสั่งถามว่าท้องกับใคร คุณเสือจึงทูลว่าจะมีใครเล่า พ่อโฉมเอกของขุนหลวงนั่นซิ
    คำว่า "พ่อโฉมเอก" หมายถึงผู้ชายรูปหล่อมากๆ  สมัยนี้คงจะตรงกับ "โคตรหล่อ"   พระเจ้าอยู่หัวทรงมีพระราชโอรสรูปงามอยู่ 2 พระองค์ คือเจ้าฟ้ากรมหลวงอิศรสุนทร   และเจ้าฟ้ากรมขุนเสนานุรักษ์(ต่อมาเลื่อนขึ้นเป็นกรมหลวง)   พอได้ยินคำว่า "โฉมเอก"  ก็ไม่แน่พระทัยว่าองค์ไหนที่ไปก่อเรื่องขึ้นมา
      รับสั่งถามว่าคนใหญ่หรือคนเล็ก คุณเสือจึงทูลว่า
      "พ่อฉิมนั่นแหละเจ้าค่ะ" และทูลต่อไปว่า  "น่ารักน่าชมสมกันจริงๆ มีลูกมีเต้าออกมาจะอุ้มจะชูก็ไม่น่ารังเกียจ ขุนหลวงอย่ากริ้วหนา"
      ทั้งๆทรงรับปากว่าจะไม่พิโรธ  แต่พอรู้คำตอบก็พิโรธเป็นฟืนเป็นไฟ   รับสั่งว่า
      " มึงเห็นดีไปคนเดียวเถิดซิ พี่น้องเขาอยู่ออกเปนก่ายเปนกอง เขาไม่รู้เขาก็จะว่ากูสมรู้ร่วมคิดเปนใจให้ลูกมาข่มเหงเขา อนึ่งทำดูถูกเทวดารักษารั้ววังไม่มีความเกรงกลัว ถ้าจะรักใคร่กันก็บอกกล่าวผู้ใหญ่ให้เปนที่เคารพนบนอบแต่โดยดี นี่ทำบังอาจเอาแต่ใจ ไม่คิดแก่หน้าผู้ใด"


กระทู้: ขัติยราชปฏิพัทธ รักเร้นในพระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัย
เริ่มกระทู้โดย: เทาชมพู ที่ 22 ม.ค. 24, 10:51
   "พี่น้องเขาอยู่ออกเป็นก่ายเปนกอง    เขาไม่รู้เขาก็จะว่ากูสมรู้ร่วมคิด  เป็นใจให้ลูกมาข่มเหงเขา"
   กรมพระศรีสุดารักษ์ ผู้เป็นพระพี่นางและเจ้าขรัวเงินพระสวามี สิ้นชีพไปแล้วทั้ง 2 องค์  แต่พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าก็ยังเกรงพระทัยพระเจ้าหลานเธอที่เป็นพระโอรสในพระพี่นางอีก 3  องค์  ได้แก่เจ้าฟ้ากรมหลวงเทพหริรักษ์(ต้นราชสกุลเทพหัสดิน)   เจ้าฟ้ากรมหลวงพิทักษมนตรี (ต้นราชสกุลมนตรีกุล) และเจ้าฟ้ากรมขุนอิศรานุรักษ์ (ต้นราชสกุลอิศรางกูร)
   ทั้ง 3  องค์ล้วนแล้วแต่เป็นเจ้านายชั้นผู้ใหญ่   พระชันษาก็อยู่ในวัยผู้ใหญ่  มีพระจริยาวัตรเป็นที่น่านับถือกันทั้ง 3 องค์  ไม่เคยทำอะไรเสียหาย จนเป็นเรื่องน่าตำหนิได้  สมเด็จพระพุทธยอดฟ้าทรงเกรงว่า พระราชโอรสทรงทำผิดราชประเพณีร้ายแรงเช่นนี้  เจ้าฟ้าหลานน้าทั้ง 3 องค์จะหาว่าพ่อรู้เห็นเป็นใจกับลูก   ปล่อยให้ลูกชายมาล่วงละเมิดเจ้าฟ้าหญิงที่เป็นคนในครอบครัวเดียวกัน  ก็จะแค้นเคืองกล่าวโทษมาถึงพระองค์เอาได้
   ส่วนข้อหารองลงมาคือ  "ทำดูถูกเทวดารักษารั้ววังไม่มีความเกรงกลัว ถ้าจะรักใคร่กันก็บอกกล่าวผู้ใหญ่ให้เป็นที่เคารพนบนอบแต่โดยดี นี่ทำบังอาจเอาแต่ใจ ไม่คิดแก่หน้าผู้ใด"
   ข้อนี้ก็น่าคิดเหมือนกัน  ว่าทำไมเจ้าฟ้ากรมหลวงอิศรสุนทรซึ่งก็เคยโดนพระราชบิดาสั่งเฆี่ยนหลังลายมาแล้วเรื่องผู้หญิง   ยังไม่เข็ด   ยังเสี่ยงลักลอบรักใคร่กับลูกพี่ลูกน้องถึง 2 ปี   ทั้งๆกว่าจะรักกันได้ก็ทุลักทุเลอยู่ไม่น้อย     ทำไมไม่ใช้วิธีง่ายกว่านี้คือกราบบังคมทูลพระราชบิดา ขอให้สู่ขอเจ้าฟ้าบุญรอดมาเป็นพระชายาเอก   พี่น้องเจ้าฟ้าบุญรอดหรือจะกล้าขัดพระเจ้าอยู่หัว    เสกสมรสกันไปแต่แรกน่าจะง่ายดายกว่า
    ดิฉันเดาว่าน่าจะเป็นพระนิสัยศิลปินของพระองค์ท่าน  คือไม่ชอบอะไรที่เรียบร้อยอยู่ในกรอบ   เพราะทรงมีหม่อมห้ามมากมายหลายคนแล้ว ล้วนแต่ได้มาด้วยวิธีถูกต้องตามประเพณี จนไม่มีความตื่นเต้น  แบบนี้กว่าจะพบกันได้แต่ละที มันยาก มันเสี่ยง  ก็เลยยิ่งเป็นรสชาติให้ความรักแน่นแฟ้นขึ้นกว่าหม่อมทุกคนที่ผ่านมา


กระทู้: ขัติยราชปฏิพัทธ รักเร้นในพระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัย
เริ่มกระทู้โดย: Rattananuch ที่ 22 ม.ค. 24, 12:48
ขอถามถึงคู่รองหน่อยค่ะ กรมหลวงพิทักษ์มนตรีก็ยังส่งของบรรณาการแทนรักแก่กรมหลวงศรีสุนทรเทพตลอดเวลาสองปีนี้โดยมิได้กราบบังคมทูลสู่ขอกรมหลวงฯจากพระพุทธยอดฟ้าฯเลยหรือคะ ซึ่งถ้าท่านทำ..ความก็คงแตกโพละนานแล้ว และถ้าไม่ได้ทำอะไรนอกจากส่งบรรณาการ..ท่านก็ช่างใจเย็นแท้


กระทู้: ขัติยราชปฏิพัทธ รักเร้นในพระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัย
เริ่มกระทู้โดย: เทาชมพู ที่ 22 ม.ค. 24, 18:30
  ในต้นฉบับไม่ได้เล่าต่อว่า คู่รองลงเอยกันอย่างไรค่ะ  ความแตกหรือไม่ ก็ไม่รู้อีกเหมือนกัน   แต่เดาว่าก็คงเจ๊ากันไป   เพราะเมื่อเกิดเรื่องอื้อฉาวขึ้นว่าเจ้าฟ้าบุญรอดทรงพระครรภ์   พระเชษฐาคือเจ้าฟ้ากรมหลวงเทพหริรักษ์กริ้วเป็นไฟไหม้ป่า    (เดี๋ยวจะเล่าต่อไปค่ะ)   
  ถ้าเจ้าฟ้ากรมหลวงเทพมนตรีจะขอผู้ใหญ่ไปสู่ขอ    ผู้ใหญ่นั้นก็มีแต่พระเชษฐา   ท่านก็ชังเจ้าฟ้ากรมหลวงอิศรสุนทรเอามากมาย   คงไม่อยากได้น้องสาวฝ่ายนั้นมาเป็นน้องสะใภ้     อีกทางที่เป็นได้คืออาจมีการทาบทามแล้วเจ้าฟ้ากรมขุนศรีสุนทรเทพปฏิเสธ  เรื่องจึงเงียบกันไป
   เจ้าฟ้ากรมขุนศรีสุนทรเทพสิ้นพระชนม์เมื่อพ.ศ. 2351   คือ 7 ปีนับแต่ความแตก    ก็เป็นอันว่าจบเรื่องกันแต่เพียงนี้


กระทู้: ขัติยราชปฏิพัทธ รักเร้นในพระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัย
เริ่มกระทู้โดย: Rattananuch ที่ 22 ม.ค. 24, 18:58
ขอบคุณค่ะอาจารย์


กระทู้: ขัติยราชปฏิพัทธ รักเร้นในพระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัย
เริ่มกระทู้โดย: เทาชมพู ที่ 23 ม.ค. 24, 09:16
   เรื่องนี้ก็น่าเห็นใจพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าฯ   พระองค์ท่านอยู่ของท่านดีๆ   แบกภาระราชการบ้านเมืองหนักหนาสาหัสอยู่แล้ว  เพราะเราก็รู้กันว่าในรัชกาลนี้  ต้องรบทัพจับศึกกันหนักไม่น้อยกว่าสมัยธนบุรี  อยู่ๆลูกชายมาก่อเรื่องงามหน้าให้ปวดพระเศียรหนักขึ้นไปอีก  ก็เป็นธรรมดาที่จะพิโรธมากมาย  อดกลั้นไว้ไม่อยู่
   ไหนท่านจะเกรงพระทัยพี่น้องเจ้าฟ้าบุญรอด  ถ้าเป็นภาษาชาวบ้านก็คงจะเรียกว่า "เขาจะพากันถอนหงอกกู"   ไหนจะเกรงว่าเรื่องอื้อฉาวออกไป   ทั้งกรมราชวังบวรสถานมงคล(วังหน้า) และกรมพระราชวังบวรสถานภิมุข(วังหลัง)  จะดูถูกวังหลวงว่าใช้ไม่ได้   มีแต่เรื่องเละเทะเป็นที่เสื่อมเสีย รู้ถึงไหนอายถึงนั่น
   ทางออกที่ทรงคิดได้เฉพาะหน้า คืออย่างแรกต้องจัดการกับตัวการที่ทำผิดกฎมณเฑียรบาลให้พ้นออกไปจากวังเสียก่อน   เพื่อแสดงว่าไม่ได้ทรงนิ่งดูดาย และไม่เปิดโอกาสให้เกิดเรื่องขึ้นมาอีก   จึงรับสั่งให้ท้าวนางไปขับไล่เจ้าฟ้าบุญรอดให้ออกไปเสียจากพระบรมมหาราชวังในคืนวันนั้น
    ส่วน "พ่อโฉมเอก"  พระราชบิดาก็ลงโทษเป็นอันดับ 2  คือทรงทราบว่าพระราชโอรสทรงค้าสำเภา  คือจัดสินค้าต่างๆ มาฝากลงสำเภาล่องไปขายเมืองจีน และซื้อของเมืองจีนล่องมาขายเมืองไทย  ก็รับสั่งห้ามไม่ให้เจ้าพนักงานรับลงเรือดังแต่ก่อน  คือตัดรายได้ทั้งหมด    และรับสั่งห้ามไม่ให้เสด็จเข้าเฝ้าอีก


กระทู้: ขัติยราชปฏิพัทธ รักเร้นในพระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัย
เริ่มกระทู้โดย: เทาชมพู ที่ 23 ม.ค. 24, 09:32
    ฝ่ายเจ้าฟ้าบุญรอด เมื่อท้าวนางนำพระบรมราชโฮงการมาทูลให้ทรงทราบ  ก็รับสั่งใช้ให้ข้าหลวงกับโขลนจ่าที่ในวังออกไปทูลแก่กรมหลวงเทพหริรักษ์ พระเชษฐา ที่วังริมป้อมจักรเพชร (อยู่ตรงเชิงสะพานวัดราชบูรณะ)  ทูลสารภาพเรื่องราวทั้งหมด  ขอให้กรมหลวงเทพหริรักษ์จัดเรือมารับเสด็จในค่ำวันนี้
    ฝ่ายกรมหลวงเทพหริรักษ์ ไม่รู้อีโหน่อีเหน่อะไรมาตั้งแต่ต้น     พอรู้เรื่องก็เปรียบเสมือนฟ้าผ่าลงมากลางวัง   แน่นอนว่าต้องพิโรธไม่น้อยไปกว่าพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าฯ   แต่จะทำอะไรได้  จะเปรี้ยงปร้างด่าทอหรืออาละวาดตอบกลับไปก็ทำไม่ได้ทั้งสิ้น เพราะโดยฐานะก็ทรงเป็นเจ้านายชั้นผู้ใหญ่พระองค์หนึ่งในพระราชวงศ์   ถึงขัดเคืองพระทัยขนาดไหนก็จำเป็นต้องอดกลั้น ไม่วู่วาม รักษาศักดิ์ศรีของผู้ใหญ่   
 ไม่มีทางอื่นนอกจากรับสั่งให้เจ้ากรมจัดเรือที่นั่งสำปั้นเก๋งมารับเสด็จเจ้าฟ้าบุญรอด ออกจากวังหลวงไปในค่ำวันนั้น  แต่ในพระทัยท่านจะคิดอะไรยืดยาวขนาดไหน เราคงเดาได้ไม่ยาก

     ฝ่ายตัวการใหญ่ เจ้าฟ้ากรมหลวงอิศรสุนทร เมื่อรู้ว่าความแตก  เจ้าจอมแว่นช่วยเหลือได้เพียงแค่นี้  คือช่วยให้ทรงรอดไม่ถูกโบยหลังหรือจำคุกทั้งฝ่ายหญิงฝ่ายชาย    เจอโทษเพียงแต่เจ้าฟ้าบุญรอดถูกขับไล่ไสส่งออกจากวัง  ต้องไปอยู่วังกรมหลวงเทพหริรักษ์      ท่านก็เสด็จตามไปในค่ำวันนั้น เข้าเฝ้ากรมหลวงเทพหริรักษ์   ทูลรับผิดชอบ และทูลวิงวอนจะขอรับเจ้าฟ้าบุญรอดไปไว้พระราชวังเดิม ซึ่งทรงอยู่กับพระมารดา 


กระทู้: ขัติยราชปฏิพัทธ รักเร้นในพระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัย
เริ่มกระทู้โดย: เทาชมพู ที่ 24 ม.ค. 24, 11:33
      เจ้าฟ้ากรมหลวงเทพหริรักษ์ พระเชษฐาของเจ้าฟ้าบุญรอด น่าจะเป็นเจ้านายที่เข้มแข็ง   ไม่เกรงหน้าอินทร์หน้าพรหม   เมื่อเจ้าฟ้ากรมหลวงอิศรสุนทรเข้าไปสารภาพผิด และขอรับเจ้าฟ้าบุญรอดไปอยู่ด้วยกัน    ถ้าท่านเป็นคนที่ไม่คิดอะไรมาก  กับไม่อยากหาเรื่องมาใส่ตัว  ก็คงจะยกน้องสาวให้ไปอยู่กับน้องเขยโดยดี ได้หมดเรื่องหมดราว   เพราะฝ่ายหญิงก็ท้องขึ้นมาถึง 4 เดือน   ถ้าฝ่ายชายเกิดไม่รับขึ้นมาจะยิ่งเสียหายหนักเข้าไปอีก
     แต่เจ้าฟ้ากรมหลวงเทพหริรักษ์ ท่านแข็งจริง  ก็กล้าตำหนิตรงๆว่า
     "พ่อฉิมทำการดั่งนี้ห้าวหาญนัก เมื่อจะรักใคร่กัน ข้าก็เป็นผู้ใหญ่อยู่ทั้งคน จะมาปรึกษาหารือ ว่าจะรักใคร่เลี้ยงดูกันตามประสาฉันญาติ ก็จะได้คิดผ่อนผันไปตามการโดยสมควร หรือจะกราบทูลให้ในหลวงจัดแจงตบแต่งให้เป็นเกียรติยศ ชื่อเสียงก็จะได้ปรากฏไปภายหน้า"
     ท่านก็ลงท้ายว่า   ในเมื่อเจ้าฟ้ากรมหลวงอิศรสุนทร ใช้วิธีเอาแต่ใจตัวเอง   ไม่เห็นหัวผู้ใหญ่  จะมาพูดกันทำไมเอาตอนนี้
     จากนั้นท่านก็อ้างต่อไปว่า
     " ในระหว่างนี้ในหลวงก็กริ้วกราดมากมายอยู่ ซึ่งข้าจะมอบตัวแม่รอดให้ไปนั้นไม่ได้ ถ้าความทราบฝ่าละอองธุลีพระบาทเข้า ข้าจะพลอยเสียไปด้วย ดูเป็นเต็มใจให้แก่คนผิด"
      แล้วก็มาถึงหมัดเด็ดสุดท้าย คือ
      " น้องของข้า   ข้าเลี้ยงได้ดอก ไม่ต้องให้คนอื่นเลี้ยง"
      สรุปคือ ทำผิดประเพณี ไม่เห็นหัวผู้ใหญ่   ข้าไม่ยกน้องสาวให้ ต่อให้มีลูกออกมา ข้าก็เลี้ยงของข้าเองได้


กระทู้: ขัติยราชปฏิพัทธ รักเร้นในพระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัย
เริ่มกระทู้โดย: เทาชมพู ที่ 25 ม.ค. 24, 09:45
     เจ้าฟ้ากรมหลวงอิศรสุนทร เจอคนจริงเข้าก็ได้แต่ทรงพระกันแสง    ทูลสารภาพรับผิดอยู่นาน เจ้าฟ้ากรมหลวงเทพหริรักษ์ท่านก็ไม่ยอมให้เจ้าฟ้าบุญรอดเสด็จไป   ไม่ว่าเจ้าฟ้ากรมหลวงอิศรสุนทรจะทูลวิงวอนจนอ่อนพระทัยยังไง  ท่านก็ยืนกรานไม่ยอมอนุญาตท่าเดียว     ในที่สุด พระเอกของเราก็ต้องยอมแพ้  ทูลลาเสด็จกลับข้ามไปวังอีกฟากของเจ้าพระยา    แต่ท่านก็ไม่ได้ทอดทิ้ง    รับสั่งใช้นางข้าหลวงมาเฝ้าเยี่ยมเยียนพระอาการเจ้าฟ้าบุญรอดอยู่เสมอไม่ขาดวัน
     ต้องนับว่าเจ้าฟ้ากรมหลวงเทพหริรักษ์องค์นี้พระทัยเด็ด   ไม่เห็นแก่หน้าใคร  ผิดเป็นผิด ถูกเป็นถูก   จะว่าไปท่านทำอย่างนี้ก็เสี่ยงกับอนาคตองค์เองและพระขนิษฐาอยู่ไม่น้อย    ในเมื่อใครๆก็รู้ว่าเจ้าฟ้ากรมหลวงอิศรสุนทรเป็นพระราชโอรสพระองค์ใหญ่   อย่างไรเสียวันข้างหน้าก็ต้องได้ขึ้นครองราชย์    ใครไปขัดพระทัยท่านในวันนี้ อนาคตเห็นทีจะไม่รุ่ง
      แต่เจ้าฟ้ากรมหลวงเทพหริรักษ์ท่านก็ไม่เกรงข้อนี้  ถือว่าทำผิดแล้วจะมาลอยนวลเอาง่ายๆไม่ได้     ถึงท่านจะลงโทษเจ้าฟ้ากรมหลวงอิศรสุนทรไม่ได้ เพราะฝ่ายนั้นใหญ่เกิน  แต่ท่านก็ลงโทษน้องสาวท่านได้


กระทู้: ขัติยราชปฏิพัทธ รักเร้นในพระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัย
เริ่มกระทู้โดย: ประกอบ ที่ 25 ม.ค. 24, 10:30
กำลังสนุกเลยครับ ติดตามอย่างใกล้ชิด  ขอแอบถามให้สปอยล์หน่อยครับ ทารกในครรภ์คือพระจอมเกล้าในกาลต่อมาหรือเปล่าครับ


กระทู้: ขัติยราชปฏิพัทธ รักเร้นในพระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัย
เริ่มกระทู้โดย: เทาชมพู ที่ 25 ม.ค. 24, 10:33
กำลังสนุกเลยครับ ติดตามอย่างใกล้ชิด  ขอแอบถามให้สปอยล์หน่อยครับ ทารกในครรภ์คือพระจอมเกล้าในกาลต่อมาหรือเปล่าครับ
ตอบแบบไม่ยอมสปอยล์   -   ไม่ใช่ค่ะ
ป.ล. ห้ามคุณหมอเพ็ญชมพูมาเฉลย


กระทู้: ขัติยราชปฏิพัทธ รักเร้นในพระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัย
เริ่มกระทู้โดย: เทาชมพู ที่ 26 ม.ค. 24, 09:47
    เหตุการณ์ที่กลืนไม่เข้าคายไม่ออก ผ่านไป ๓ เดือน   เจ้าฟ้ากรมหลวงอิศรสุนทรคงจะมี "สายข้างใน" ซึ่งก็คงไม่ใช่ใครอื่นนอกจากคุณจอมแว่น    ส่งข่าวให้รู้ว่าพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกทรงหายพิโรธแล้ว   เจ้าฟ้าจึงเสด็จเข้าไปเฝ้าวังหน้า  สมเด็จพระบวรราชเจ้ามหาสุรสิงหนาท ให้พาพระองค์ท่านเข้าเฝ้าพระเจ้าอยู่หัว  ช่วยเจรจากราบทูลไกล่เกลี่ย ขอรับพระราชทานโทษ  แปลอีกทีคือให้อาช่วยเกลี้ยกล่อมพ่อให้ยกโทษให้ลูกชาย
      สมเด็จพระบวรราชเจ้ามหาสุรสิงหนาทเห็นพระทัย    และคงทรงเห็นว่าอยู่กันแบบนักโทษอย่างนี้ก็ย่อมไม่มีอะไรดีขึ้น    หลานก็ใกล้จะคลอดออกมาแล้ว  ท่านจึงพาเจ้าฟ้ากรมหลวงอิศรสุนทรเข้าไปเฝ้า ทูลเกลี้ยกล่อมว่า
     "ลูกกับหลานรักกัน ขุนหลวงกริ้วกราดเอาเป็นมากเป็นมาย เห็นเป็นไม่สมควรกันหรือ   ขอพระราชทานโทษทั้งสองคนนี้ให้พ้นโทษเสียเถิด"
     เมื่อสมเด็จพระราชอนุชามาขอทั้งที   ฝ่ายพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกก็คงจะอ่อนลงมากแล้ว   แต่ท่านจะรับปากง่ายๆก็ไม่เหมาะอยู่ดี   จึงทรงตอบว่า
      "  ผู้หลักผู้ใหญ่ก็ยังมีอยู่    เมื่อจะรักใคร่กันก็บอกกล่าวกันก่อน ถ้าไม่มีผู้ใหญ่จัดการให้   ก็ควรจะเก็บไว้ลำพังกับตัวเอง   นี่เขาไม่คิดนับถือผู้ใหญ่ คิดเอาเองแต่อำเภอน้ำใจ ไม่คิดกลัวเกรง  ทำเหมือนดูถูกรั้ววัง     ดังนี้เจ้าก็ยังเห็นดีอยู่หรือ"
      พระเจ้าอยู่หัวท่านชิงติเตียนพระราชโอรสเสียก่อน ก็เพื่อกันมิให้กรมพระราชวังบวรฯ จะทันกล่าวติเตียนออกมา  และที่สำคัญก็คือมิให้กรมหลวงเทพหริรักษ์เสียพระทัย ว่าพ่อเข้าข้างลูก   เป็นใจเห็นด้วยที่ลูกมาหยามเกียรติหลาน  ท่านก็ต้องแสดงทุกอย่างให้เห็นว่าท่านไม่ได้เข้าข้างลูกท่าน


กระทู้: ขัติยราชปฏิพัทธ รักเร้นในพระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัย
เริ่มกระทู้โดย: เทาชมพู ที่ 26 ม.ค. 24, 09:56
   กรมพระราชวังบวรฯ ท่านก็คงจะดูออก  จึงกราบทูลเอออวยไปว่า
   " พ่อฉิมไม่ได้บอกกล่าวให้ผู้ใหญ่รู้ก่อน  ถือเป็นข้อละเมิด   ความจริง ถ้ามาบอกขุนหลวงหรือผู้ใหญ่อื่นๆ ทุกคนก็ต้องเต็มใจให้คู่กันทั้งนั้น    ด้วยอายุเราท่านทั้งหลายนี้จะอยู่ไปได้สักกี่ร้อยปี ภายภาคหน้าจะได้ใครสืบตระกูลต่อไปเล่า นี่ก็ลูกชาย นั่นก็หลานสาว  ได้เป็นคู่กัน   หลานปู่ออกมาก็จะได้สืบตระกูล มีสายเลือดของพวกเราทุกฝ่าย"
    กรมพระราชวังบวรฯ ท่านก็ฉลาดพอจะย้ำในข้อที่ว่าเจ้าฟ้าทั้งสองนั้นเหมาะสมจะเป็นคู่กันทุกประการ  จะได้กันด้วยวิธีไหนนั่นก็ลงโทษกันไปแล้ว   แต่นี่กำลังจะได้หลานคนใหม่   ซึ่งมีสายเลือดสูงส่งกว่าหลานคนก่อนๆ ที่ล้วนเป็นลูกเจ้าจอมหม่อมห้ามทั้งนั้น  ก็ควรจะงดโทษ เห็นแก่หลานที่กำลังจะเกิดมาไม่ดีกว่าหรือ"
    พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกท่านก็คงหายพิโรธแล้วละค่ะ    เพียงแต่ขอให้มีคนมาเปิดทางให้จบกันด้วยดีก็พอ   ท่านไม่ต้องมาเสียผู้หลักผู้ใหญ่ทำการทุกอย่างเอง    กรมพระราชวังบวรฯ มาขอโทษแทนหลานทั้งที  ก็สมเหตุผลที่จะยกโทษให้แล้ว


กระทู้: ขัติยราชปฏิพัทธ รักเร้นในพระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัย
เริ่มกระทู้โดย: เทาชมพู ที่ 27 ม.ค. 24, 09:20
      เมื่อพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าฯหายพิโรธ   พระราชโอรสก็เสด็จเข้าเฝ้าได้เหมือนกัน  ส่วนเรื่องค้าขายสำเภา จัดสินค้าส่งขายทำได้ตามปกติ   เรียกได้ว่าถูกลงโทษสถานเบาแค่ 3 เดือน   ขั้นต่อไปท่านก็เสด็จมาที่วังของเจ้าฟ้า กรมหลวงเทพหริรักษ์ ทูลขอรับเจ้าฟ้าบุญรอดไปไว้พระราชวังเดิมที่ท่านประทับอยู่ ด้วยพระครรภ์แก่ จวนจะประสูติพระโอรสอยู่แล้ว
     เมื่อพระเจ้าอยู่หัวพระราชทานอภัยโทษแล้ว   เจ้าฟ้ากรมหลวงเทพหริรักษ์จะดึงดันไม่ยอมท่าเดียว ก็เหมือนไม่เห็นแก่หน้าผู้ใหญ่    ท่านก็ต้องกลืนเลือด  ยอมประนีประยอมกับน้องเขย
     เรื่องเดินมาถึงตรงนี้  ก็ต้องขอยกย่องเจ้าฟ้ากรมหลวงเทพหริรักษ์จริงๆ  ว่าท่านมีความเป็นผู้ใหญ่ที่เห็นการณ์ไกล   เป็นพี่ชายที่ห่วงใยน้องสาวประหนึ่งบิดาห่วงบุตรี และเป็นคนตรงไปตรงมาไม่เห็นแก่หน้าใคร
     ท่านดูออกว่าแม้เจ้าฟ้ากรมหลวงอิศรสุนทรจะแสดงความรักใคร่ห่วงใยเจ้าฟ้าบุญรอดอย่างแท้จริง   ไม่เคยทอดทิ้งเมื่อเกิดอุปสรรค   แต่น้องเขยของท่านองค์นี้ก็มีทั้งลูกมีทั้งเมียจำนวนมาก  แบกพะรุงพะรังอยู่เต็มหลัง   เจ้าฟ้าบุญรอดเข้าไปทีหลัง น่าจะเจอเรื่องเดือดร้อนรำคาญใจจากเมียๆที่เขาอยู่มาก่อน       


กระทู้: ขัติยราชปฏิพัทธ รักเร้นในพระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัย
เริ่มกระทู้โดย: เทาชมพู ที่ 27 ม.ค. 24, 09:20
     ท่านจึงรับสั่งตรงๆว่า
    " ลูกเมียของพ่อฉิมก็มีอยู่มาก เกรงว่านานไป จะเกิดอริวิวาทกัน บุญรอดก็จะต้องร้องไห้ ข้ามแม่น้ำกลับมาหาพี่ว่าผัวเห็นคนอื่นดีกว่า    จะได้ความอัปยศแก่คนทั้งหลาย"
     เจ้าฟ้ากรมหลวงเทพหริรักษ์ทรงดักคอไว้ล่วงหน้า   เพื่อปรามน้องเขยว่าอย่าทำอะไรให้น้องสาวท่านเสียใจเป็นอันขาด   เรื่องเสียใจนั้นก็ดูออกว่าไม่ใช่เรื่องอื่น นอกจากเรื่องเจ้าชู้ของน้องเขยนั่นละค่ะ
     เจ้าฟ้ากรมหลวงอิศรสุนทร ได้ยินเจ้าฟ้ากรมหลวงเทพหริรักษ์กำราบเอาไว้ล่วงหน้าแบบนี้  ก็ทรงปฏิญานว่า ท่านจะมิให้บุตรและภริยาทั้งปวงที่มีก่อนหน้านี้  หรืออาจจะมีหลังจากนี้ เป็นใหญ่กว่า หรือเสมอกับเจ้าฟ้าบุญรอด    อีกนัยหนึ่งคือเจ้าฟ้าบุญรอดเป็นเมียเอก ใหญ่สุด
     โดยส่วนตัว   เห็นว่า เจ้าฟ้ากรมหลวงเทพหริรักษ์ท่านอาจเห็นตัวอย่างจากคุณหญิงนาคกับพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าก็เป็นได้    ใครอ่านกระทู้นี้แต่ต้นก็คงจำได้ว่า หลังจากดุ้นฟืนแสมหวดเปรี้ยงลงไปบนหัวเมียน้อยคือคุณจอมแว่นแล้ว    หญิงสาวผู้มาทีหลังก็เป็นฝ่ายชนะ  สามีไม่ได้เกรงใจภรรยาเอกพอจะเลิกกับเมียน้อย หรือไกล่เกลี่ยประนีประนอมให้อยู่กันแบบต่างคนต่างอยู่    แต่ว่าสามีภรรยาขาดจากกันไปเลยตลอดชีวิต
     ถ้ากรณีแบบนี้เกิดขึ้นซ้ำรอยอีกครั้ง   เจ้าฟ้ากรมหลวงเทพหริรักษ์ท่านก็สงสารน้องสาวที่จะมีชะตากรรมเดียวกับคุณหญิงนาค  จึงชิงปรามไว้เสียก่อน


กระทู้: ขัติยราชปฏิพัทธ รักเร้นในพระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัย
เริ่มกระทู้โดย: Jalito ที่ 27 ม.ค. 24, 14:51
“น้องเขยของท่านองค์นี้ก็มีทั้งลูกมีทั้งเมียจำนวนมาก  แบกพะรุงพะรังอยู่เต็มหลัง   เจ้าฟ้าบุญรอดเข้าไปทีหลัง น่าจะเจอเรื่องเดือดร้อนรำคาญใจจากเมียๆที่เขาอยู่มาก่อน..”

ฟังอาจารย์บรรยายถึงตอนนี้เกิดประเด็นสงสัยว่า  ถึงจุดสำคัญนี้เจ้าฟ้ากรมหลวงอิศรสุนทรท่านมีลูกเมียกี่คนแล้วกันแน่ เลยไปส่องดูพระราชสันตติวงศรัชกาลที่2ตั้งแต่ที่ประสูติองค์แรกจนถึงปีพ.ศ 2344 -2345 อันเป็นช่วงที่เกิดเหตุการณ์ราชปฏิพัทธนี้
ปรากฏว่า พระองค์ท่านมีพระโอรส-ธิดาแล้ว 36 พระองค์ เจ้าจอมมารดาของพระโอรส-ธิดา 20 ท่าน พระชนมายุขณะนั้นเพียง 34 พระชันษา พระราชนิเวศน์ที่พระราชวังเดิม น่าจะเริ่มแออัดยัดเยียดแล้ว



กระทู้: ขัติยราชปฏิพัทธ รักเร้นในพระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัย
เริ่มกระทู้โดย: เทาชมพู ที่ 27 ม.ค. 24, 15:46
ขอบคุณค่ะคุณ Jalito  เข้ามาอ่านเงียบๆอยู่ตั้งนาน   ยกมือขึ้นมาบ้าง  ก็ยินดีค่ะ
ขอขยายความให้คุณ Jalito และท่านอื่นๆที่เข้ามาอ่าน ทราบว่า พระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัย มีพระเจ้าลูกเธอและพระเจ้าลูกยาเธอทั้งสิ้น 73 พระองค์   มีพระเจ้าลูกยาเธอ 18 พระองค์ได้ทรงกรม

ปัจจุบัน  ราชสกุลที่สืบเชื้อสายมาจากต้นสกุลที่เป็นพระเจ้าลูกยาเธอในรัชกาลที่ 2  คือ   
1   กปิตถา   Kapittha na Ayudhya   สืบเชื้อสายจากพระเจ้าบรมวงศ์เธอ พระองค์เจ้ากปิตถา   กรมหมื่นภูบาลบริรักษ์   
2  กล้วยไม้   Kluaymai na Ayudhya   สืบเชื้อสายจาก พระเจ้าบรมวงศ์เธอ พระองค์เจ้ากล้วยไม้   กรมหมื่นสุนทรธิบดี   
3  กุญชร   Kunjara na Ayudhya   สืบเชื้อสายจาก พระเจ้าบรมวงศ์เธอ พระองค์เจ้ากุญชร กรมพระพิทักษ์เทเวศร์   
4  กุสุมา   Kusuma na Ayudhya   สืบเชื้อสายจากพระเจ้าบรมวงศ์เธอ พระองค์เจ้ากุสุมา กรมหมื่นเสพสุนทร   
4  ชุมแสง   Xumsaeng na Ayudhya   สืบเชื้อสายจากพระเจ้าบรมวงศ์เธอ พระองค์เจ้าชุมแสง  กรมหลวงสรรพศิลป์ปรีชา      
5  เดชาติวงศ์   Tejativongse na Ayudhya   สืบเชื้อสายจาก สมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ พระองค์เจ้ามั่ง กรมพระยาเดชาดิศร   
6  ทินกร   Dinakara na Ayudhya   สืบเชื้อสายจาก พระเจ้าบรมวงศ์เธอ พระองค์เจ้าทินกร กรมหลวงภูวเนตรนรินทรฤทธิ์
7  นิยมิศร   Niyamisar na Ayudhya   สืบเชื้อสายจาก พระเจ้าบรมวงศ์เธอ พระองค์เจ้าเนียม      
8  นิลรัตน   Nilaratna na Ayudhya สืบเชื้อสายจาก   พระเจ้าบรมวงศ์เธอ พระองค์เจ้านิลรัตน์ กรมหมื่นอลงกฎกิจปรีชา
9  ปราโมช   Pramoja na Ayudhya   สืบเชื้อสายจาก พระเจ้าบรมวงศ์เธอ พระองค์เจ้าปราโมช  กรมขุนวรจักรธรานุภาพ   
10  พนมวัน   Phanomvan na Ayudhya   สืบเชื้อสายจาก พระเจ้าบรมวงศ์เธอ พระองค์เจ้าพนมวัน กรมพระพิพิธโภคภูเบนทร์   
11   ไพฑูรย์   Baidurya na Ayudhy   สืบเชื้อสายจากพระเจ้าบรมวงศ์เธอ พระองค์เจ้าไพฑูรย์ กรมหมื่นสนิทนเรนทร์   
12  มรกฎ   Marakata na Ayudhya   สืบเชื้อสายจากพระเจ้าบรมวงศ์เธอ พระองค์เจ้ามรกฎ กรมขุนสถิตย์สถาพร   
13   มหากุล   Mahaku na Ayudhya   สืบเชื้อสายจากพระเจ้าบรมวงศ์เธอ พระองค์เจ้าโต  กรมหลวงมหิศวรินทรามเรศร์
14  มาลากุล   Mālakul na Ayudhya   สืบเชื้อสายจาก สมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ เจ้าฟ้ามหามาลา กรมพระยาบำราบปรปักษ์
15  เรณุนันทน์   Renunandana na Ayudhya   สืบเชื้อสายจากพระเจ้าบรมวงศ์เธอ พระองค์เจ้าเรณู   
16   วัชรีวงศ์   Vajrivansa na Ayudhya   สืบเชื้อสายจากพระเจ้าบรมวงศ์เธอ พระองค์เจ้าชายกลาง กรมพระเทเวศร์วัชรินทร์   
17   สนิทวงศ์   Snidvongs na Ayudhya   สืบเชื้อสายจากพระเจ้าบรมวงศ์เธอ พระองค์เจ้านวม  กรมหลวงวงศาธิราชสนิท   
18  อรุณวงษ์   Arunvongse na Ayudhya   พระเจ้าบรมวงศ์เธอ พระองค์เจ้าอรุณวงษ์ กรมหลวงวรศักดาพิศาล สุพรรฒนาการสวัสดิ
19  อาภรณ์กุล   Abharanaku na Ayudhya   สมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ เจ้าฟ้าอาภรณ์
20


กระทู้: ขัติยราชปฏิพัทธ รักเร้นในพระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัย
เริ่มกระทู้โดย: Rangson Boontham ที่ 27 ม.ค. 24, 21:57
สวัสดีครับ เข้ามาอ่านด้วยใจจดจ่อ รอติดตามตอนต่อไปครับ  :D


กระทู้: ขัติยราชปฏิพัทธ รักเร้นในพระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัย
เริ่มกระทู้โดย: SILA ที่ 28 ม.ค. 24, 10:27
            ตั้งข้อสังเกตประเด็นความว่า กรมหลวงเทพหริรักษ์ พระเจ้าหลานเธอถือว่าตนเป็นลูกพี่ ส่วนเจ้าฟ้ากรมหลวงอิศรสุนทร
เป็นลูกน้องตามที่นับด้วยวัยและลำดับอาวุโสบุพการี ทั้งที่กรมหลวงอิศรสุนทรเป็นถึงราชโอรสและว่าที่กษัตริย์องค์ต่อไป แต่
กรมหลวงเทพหริรักษ์ก็ไม่(ค่อยจะ) แสดงความยำเกรงนัก
           เรื่องนี้ มองว่า เหตุเนื่องจากต่างกำเนิดเป็นสามัญชนแล้วขึ้นมาเป็นชั้นเจ้าในแผ่นดินใหม่ยังไม่นาน ยังคงไม่คุ้นเคยกับ
จารีตธรรมเนียมในรั้วในวัง จึงยังคงประพฤติตามความคุ้นเคยเดิม
           ดังที่เคยมีเกร็ดเล่าเรื่อง - เมื่อร.1 ทรงหลั่งน้ำพระเนตร สู่พระราชโองการ “เอาธรรมเนียมอย่างไพร่ มาประพฤติเถิด”

https://www.silpa-mag.com/history/article_18316

(ตัดต่อย่อย่น)     ในพระราชพงศาวดารกรุงรัตนโกสินทร์ รัชกาลที่ 1 ฉบับโรงเรียนหลวงสวนกุหลาบ บันทึกไว้เพียงสั้น ๆ ว่า
                      สมเด็จพระเจ้าลูกยาเธอพระองค์ใหญ่ เจ้าฟ้ากรมหลวงอิศรสุนทอน พระชนมายุได้ยิสิบเอ็ดพรรษา ควรจะบรรพชา
อุปสมบท แต่สมเด็จพระเจ้าหลานเธอ เจ้าฟ้ากรมหลวงเทพหริรักษ ทั้งเจ้าฟ้ากรมหลวงนรินทร์รณเรศร สองพระองค์พระชนมายุเกิน
อุปสมบทแล้ว ยังหาได้ทรงเปนภิกษุไม่ สมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทั้งสองพระองค์จึงทรงพระกรุณาโปรดอนุญาตให้ออกทรงผนวช
ครั้น ณ วันอาทิตย เดือนแปด ขึ้นค่ำหนึ่ง เวลาเช้าสามโมง
          จึงเสนาบดีปฤกษาให้สมเด็จพระเจ้าลูกยาเธอ เจ้าฟ้ากรมหลวงอิศรสุนทร ทรงผนวชก่อน ถึงอ่อนพระชนมพรรษา ก็เป็น
ลูกหลวงเอก มีบันดาศักดิ์สูงกว่าสมเด็จพระเจ้าหลานเธอทั้งสองพระองค์นั้น เปนโอรสสมเด็จพระเจ้าพี่นางเธอ พระชนม์แก่กว่าก็จริง
แต่บันดาศักดิ์ต่ำกว่าสมเด็จพระเจ้าลูกเธอให้ทรงผนวชทีหลัง

           แต่ “เกร็ด” ที่ได้มาจากหนังสือชุมนุมพระบรมราชาธิบาย ในพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว กลับทำให้เราทราบว่า
 
           ครั้นถึงเวลาทรงผนวช เจ้าพนักงานได้เชิญเสด็จสมเด็จพระเจ้าลูกยาเธอ ทรงบรรพชาก่อน เจ้าคุณพระตำหนักใหญ่
(สมเด็จพระเจ้าพี่นางเธอ กรมพระเทพสุดาวดี) ที่เสด็จอยู่ในฉากใกล้ที่ประทับพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลก ทอดพระเนตร
เห็นเข้า ก็ทรงขัดเคือง บ่นว่าต่าง ๆ นานา ทรงไม่ยินยอมให้สมเด็จพระเจ้าลูกยาเธอ ซึ่งถือว่าเป็นน้อง จะได้ทรงผนวชก่อนพี่
            เสียง “ทรงบ่น” นี้ เข้าถึงพระกรรณพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลก ทรงรำคาญพระราชหฤทัย จึงมีพระราชดำรัส
ตรัสถามเหล่าขุนนางที่จัดพระราชพิธี เสนาบดีผู้ใหญ่ก็กราบทูลว่า ที่จัดดังนี้ถูกต้องแล้วตามพระราชประเพณี ที่จะให้สมเด็จพระเจ้า
หลานเธอทรงผนวชก่อนสมเด็จพระเจ้าลูกยาเธอ ไม่เคยมีเยี่ยงอย่าง
            กรมพระเทพสุดาวดี เจ้าคุณพระตำหนักใหญ่ ทรงได้ฟังก็ยิ่งขัดเคือง ทรงบ่นว่าด้วยพระวาจาซึ่งคงจะรุนแรงทีเดียว
(พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ทรงกล่าวถึงกรมพระเทพสุดาวดีว่า ทรงมีทิฐิมานะมาก และวาจาก็มักจะร้ายแรง)
            ทำให้พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกที่ทรงสดับอยู่ ทรงพระโทมนัสจนถึงกับมีน้ำพระเนตรและมีพระราชโองการ ความว่า
    
            “จงเอาธรรมเนียมอย่างไพร่ ๆ มาประพฤติเถิด ให้จัดลำดับตามอายุเกิด ใครแก่ให้ไปหน้า ใครอ่อนให้ไปหลัง หรือตามลำดับ
บรรพบุรุษที่นับตามบุตรพี่บุตรน้องนั้นเถิด เพราะเราเกิดมาเป็นไพร่ ได้มาเป็นเจ้านายเมื่อเวลาเป็นเบื้องปลายอายุแล้ว”


            ในที่สุด เจ้าพนักงานก็ต้องจัดให้สมเด็จพระเจ้าหลานเธอสองพระองค์ เป็นนาคเอก นาครอง ส่วนสมเด็จพระเจ้าลูกยาเธอ
ต้องทรงผนวชเป็นพระองค์สุดท้าย


กระทู้: ขัติยราชปฏิพัทธ รักเร้นในพระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัย
เริ่มกระทู้โดย: เพ็ญชมพู ที่ 28 ม.ค. 24, 10:35
ฟังอาจารย์บรรยายถึงตอนนี้เกิดประเด็นสงสัยว่า  ถึงจุดสำคัญนี้เจ้าฟ้ากรมหลวงอิศรสุนทรท่านมีลูกเมียกี่คนแล้วกันแน่ เลยไปส่องดูพระราชสันตติวงศรัชกาลที่2ตั้งแต่ที่ประสูติองค์แรกจนถึงปีพ.ศ 2344 -2345 อันเป็นช่วงที่เกิดเหตุการณ์ราชปฏิพัทธนี้
ปรากฏว่า พระองค์ท่านมีพระโอรส-ธิดาแล้ว 36 พระองค์ เจ้าจอมมารดาของพระโอรส-ธิดา 20 ท่าน พระชนมายุขณะนั้นเพียง 34 พระชันษา พระราชนิเวศน์ที่พระราชวังเดิม น่าจะเริ่มแออัดยัดเยียดแล้ว

พระมเหสี เจ้าจอมมารดา และเจ้าจอม (https://th.m.wikipedia.org/wiki/รายพระนามและชื่อภรรยาในพระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัย)  ๕๘  พระองค์/คน

พระราชโอรสและพระราชธิดา
พ.ศ. ๒๓๒๘-๒๓๔๔  ๓๖  พระองค์
พ.ศ. ๒๓๔๕-๒๓๖๗  ๓๗  พระองค์

จาก พระราชสันตติวงศ์ในพระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัย (https://th.m.wikipedia.org/wiki/พระราชสันตติวงศ์ในพระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัย)


กระทู้: ขัติยราชปฏิพัทธ รักเร้นในพระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัย
เริ่มกระทู้โดย: เทาชมพู ที่ 29 ม.ค. 24, 08:17
ขอบคุณค่ะคุณหมอ SILA   เลยถือโอกาสขอแยกเข้าซอย เล่าถึงพระพี่นางพระองค์ใหญ่ในพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าฯ เสียเลยนะคะ

   สมเด็จพระเจ้าพี่นางเธอ เจ้าฟ้ากรมพระเทพสุดาวดี เป็นพระพี่นางพระองค์ใหญ่  เป็นพี่สาวของเจ้าฟ้ากรมพระศรีสุดารักษ์พระมารดาเจ้าฟ้าบุญรอดอีกทีหนึ่ง   พระนามเดิมว่า "สา"   ท่านเสกสมรสกับหม่อมเสม ซึ่งมีบรรดาศักดื์เป็นพระอินทรรักษา เจ้ากรมพระตำรวจฝ่ายกรมพระราชวังบวรสถานมงคลสมัยกรุงศรีอยุธยา มีพระโอรสธิดา 4 พระองค์ คือ
    1  กรมพระราชวังบวรสถานพิมุข (วังหลัง) พระนามเดิม ทองอิน เฉลิมพระยศเป็นกรมหลวงอนุรักษ์เทเวศร์ ต้นราชสกุลปาลกะวงศ์ และเสนีวงศ์
    2  สมเด็จพระสัมพันธวงศ์เธอ เจ้าฟ้ากรมหลวงธิเบศรบดินทร์ พระนามเดิม บุญเมือง
    3  สมเด็จพระสัมพันธวงศ์เธอ เจ้าฟ้ากรมหลวงนรินทร์รณเรศ พระนามเดิม ทองจีน เป็นต้นราชสกุลนรินทรางกูร
    4  สมเด็จพระสัมพันธวงศ์เธอ เจ้าฟ้า(หญิง)ทองคำ
    สาเหตุที่เจ้าฟ้ากรมพระเทพสุดาวดี ทรงไม่ยอมให้เจ้าฟ้ากรมหลวงอิศรสุนทรได้บรรพชาก่อน ก็มีเหตุผล คือ อย่างแรก ถือธรรมเนียมไทยคือเอาอายุและลำดับญาติเป็นหลัก    พระโอรสธิดาของพระพี่นางถือเป็นลูกป้า ส่วนเจ้าฟ้ากรมหลวงอิศรสุนทรเป็นลูกน้าชาย     ลูกป้ามีศักดิ์เป็นพี่ของลูกน้าอยู่แล้ว ยิ่งลูกป้าอายุมากกว่าลูกน้า ต้องเป็นพี่อย่างไม่มีข้อแม้
   อย่างที่สอง   หนึ่งในสามคือเจ้าฟ้ากรมหลวงนรินทร์รณเรศร  พระโอรสของกรมพระเทพสุดาวดีเอง ทรงมีพระชันษามากกว่าเจ้าฟ้ากรมหลวงอิศรสุนทร
    ส่วนอีกองค์คือเจ้าฟ้ากรมหลวงเทพหริรักษ์     นี่ก็ลูกป้าที่เป็นพี่สาวคนรอง  อายุก็มากกว่าเจ้าฟ้ากรมหลวงอิศรสุนทรเช่นกัน    
     เจ้าฟ้ากรมพระเทพสุดาวดีท่านจะยอมให้ลูกชายท่าน กับลูกชายน้องสาวคนรองจากท่านไปเดินตามหลังลูกของน้าชายซึ่งเป็นน้องคนที่สามได้อย่างไร
    จะว่าไปท่านก็มีเหตุผลของท่าน  จะธรรมเนียมไพร่หรืออะไร  ผู้อาวุโสกว่าด้วยวัยก็ต้องมาก่อน  จะมาถือธรรมเนียมลูกหลวงหลานหลวง ท่านไม่รับ
     เจ้าฟ้ากรมหลวงเทพสุดาวดี สิ้นพระชนม์พ.ศ. 2342  ก่อนเกิดเหตุการณ์ราชปฏิพัทธ์จะอื้อฉาวขึ้นมา    ถ้าท่านยังมีพระชนม์อยู่  เรื่องนี้อาจสนุกขึ้นอีกหลายเท่า


กระทู้: ขัติยราชปฏิพัทธ รักเร้นในพระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัย
เริ่มกระทู้โดย: เทาชมพู ที่ 29 ม.ค. 24, 09:18
     เมื่อได้ยินเจ้าฟ้ากรมหลวงเทพหริรักษ์ดักคอไว้ก่อนเช่นนั้น  เจ้าฟ้ากรมหลวงอิศรสุนทร จึงทูลปฏิญานว่า ทานจะมิให้พระโอรสธิดาและชายาทั้งปวงเป็นใหญ่กว่า หรือแม้แต่เสมอกับเจ้าฟ้าบุญรอด  เจ้าฟ้ากรมหลวงเทพหริรักษ์ก็ทรงตกลงมอบให้น้องสาวท่านไปอยู่ที่พระราชวังเดิมกับพระสวามี  อีกประการหนึ่งก็พระครรภ์แก่มากแล้ว   จะทรงคลอดวันไหนก็ยังไม่รู้    ก็ต้องนับว่าท่านได้ทำหน้าที่ผู้ปกครองอย่างดีที่สุดแล้ว
   ถึงตอนนี้ก็เป็นที่รู้กันอย่างเปิดเผยว่า  พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าฯใกล้จะได้พระเจ้าหลานเธอที่พ่อแม่เป็นเจ้าฟ้าทั้งคู่     ก็มีการไต่ถามกันว่าพระกุมารที่จะประสูตินี้จะทรงมีพระยศอะไร    เมื่อมีผู้ทูลถาม ท่านก็ตอบว่า
    "เป็นเจ้าฟ้า"
    ทุกคนก็โล่งอกไปต่างๆกัน
    ต่อมาเมื่อถึงครบกำหนะประสูติพระโอรส   เจ้าฟ้าบุญรอดประชวรพระครรภ์อยู่ถึงสองคืนสองวันก็ไม่คลอดสักที   เจ้าฟ้ากรมหลวงอิศรสุนทรเห็นพระอาการหนัก ก็รับสั่งให้นางกำนัลเข้าไปขอพบเจ้าจอมแว่น ขอรับพระราชทานน้ำชำระพระบาทพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลก มาดื่มเป็นน้ำสะเดาะ 
     เจ้าจอมแว่นซึ่งเชียร์มาแต่ต้น ก็ขึ้นไปกราบทูลขอรับพระราชทานน้ำชำระพระบาท    นำขันทองตักน้ำขึ้นไปด้วย พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าฯ จึงรับสั่งว่า
      " ทำดูถูกเทวดารักษาวัง จึงออกลูกยาก"
      แล้วจึงยกพระบาทเอาพระอังคุฐ(นิ้วโป้งเท้า)ลงจุ่มน้ำในขันทอง  คุณจอมแว่นก็นำมาส่งให้นางกำนัลรีบข้ามแม้น้ำกลับไปถวาย
      เจ้าฟ้าบุญรอดได้เสวยน้ำชำระพระบาทอยู่ครู่หนึ่ง ก็ประสูติพระโอรสเป็นพระกุมาร ในวันเดือนยี่ ปีระกาตรีศก จุลศักราช ๑๑๖๓   น่าเสียดายว่าพระกุมารสิ้นพระชนม์ในวันประสูตินั้นเอง
      (ตอบคำถามคุณประกอบว่า พระโอรสใช่พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าไหม คำตอบคือไม่ใช่ค่ะ   พระโอรสองค์แรกสิ้นพระชนม์   ไม่ทันมีพระนาม)
      ตอนอ่านเรื่องนี้ก็อดนึกไม่ได้ว่า เจ้าฟ้าบุญรอดน่าจะทรงได้รับความกระทบกระเทือนพระทัยมาก ตั้งแต่่รู้ตัวว่าทรงครรภ์    ต่อมาก็ต้องทนเรื่องอื้อฉาวอย่างที่ไม่เคยมีเจ้านายสตรีคนใดประสบมาก่อน   ย่อมมีผลทั้งร่างกายและจิตใจ   ทำให้พระอนามัยอ่อนแอไม่สมบูรณ์   พระชันษาก็ 30 กว่าแล้วด้วย (ผู้หญิงสมัยนั้น 30 กว่าก็เป็นยายได้แล้ว)    เครื่องไม้เครื่องมือช่วยทำคลอดในสมัยนั้นก็ยังไม่มี   เมื่อคลอดยากเข้าไปอีก พระกุมารซึ่งไม่แข็งแรงพอก็เลยสิ้นพระชนม์   


กระทู้: ขัติยราชปฏิพัทธ รักเร้นในพระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัย
เริ่มกระทู้โดย: เพ็ญชมพู ที่ 29 ม.ค. 24, 09:35
ประสูติพระโอรสเป็นพระกุมาร ในวันเดือนยี่ ปีระกาตรีศก จุลศักราช ๑๑๖๓

ตรงกับวันที่ ๒๒ มกราคม พ.ศ. ๒๓๔๕


กระทู้: ขัติยราชปฏิพัทธ รักเร้นในพระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัย
เริ่มกระทู้โดย: เทาชมพู ที่ 30 ม.ค. 24, 10:32
   แม้จะสูญเสียพระกุมาร ที่เป็นเจ้าฟ้าพระองค์แรกไป  ชะตาของเจ้าฟ้าบุญรอดก็มิได้ร้าย   เพราะเจ้าฟ้ากรมหลวงอิศรสุนทรยกย่องเชิดชูพระชายาด้วยดี    สองพระองค์ครองคู่กันโดยไม่มีปัญหาหึงหวงจากเจ้าจอมหม่อมห้ามอื่นๆ    เพราะทุกคนตระหนักดีว่า เจ้าฟ้าบุญรอดแม้ทรงมาทีหลังเจ้าจอมหลายสิบคนก่อนหน้านี้ แต่ก็อยู่ในฐานะ "เจ้านาย" นับเป็นพระชายาเอก
   ในบรรดาเจ้าจอมหม่อมห้ามทั้งหลาย  คนสำคัญที่สุดน่าจะเป็นเจ้าจอมมารดาเรียม  ธิดาพระยานนทบุรี   เพราะท่านเป็นมารดาของพระโอรสพระองค์ใหญ่ของเจ้าฟ้ากรมหลวงอิศรสุนทร  ทรงพระนามว่า พระองค์เจ้าทับ   เป็นหลานเธอพระองค์ใหญ่ที่พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าฯ โปรดปรานมาก  ตอนนั้นก็พระชันษาได้ 14 ปีแล้ว   
   เจ้าจอมมารดาเรียมแม้ว่าใหญ่สุดในฝ่ายใน แต่ก็เจียมตัวด้วยดี    นอบน้อมต่อเจ้าฟ้าบุญรอดเสมอต้นเสมอปลาย  ความสัมพันธ์ของทั้งสองจึงดำเนินไปด้วยความราบรื่นเป็นปกติ
   เจ้าฟ้าบุญรอดทรงมีฝีมือเลิศในด้านปรุงพระกระยาหาร   ผูกใจพระสวามีได้แน่นแฟ้น   เจ้าฟ้ากรมหลวงอิศรสุนทรถึงกับนิพนธ์กาพย์เห่เรือชมเครื่องคาวหวานไว้เป็นเครื่องยืนยันราชปฏิพัทธ์ในพระชายา
   ขอยกมาบางบท ตามนี้ค่ะ
   
แกงไก่มัสมั่นเนื้อ     นพคุณ พี่เอย
หอมยี่หร่ารสฉุน          เฉียบร้อน
ชายใดบริโภคภุญช์       พิศวาส หวังนา
แรงอยากยอหัตถ์ข้อน     อกให้หวนแสวง ๚

๏มัสมั่นแกงแก้วตา หอมยี่หร่ารสร้อนแรง
ชายใดได้กลืนแกง แรงอยากให้ใฝ่ฝันหา
............

๏ ตับเหล็กลวกหล่อนต้ม เจือน้ำส้มโรยพริกไทย
โอชาจะหาไหน ไม่มีเทียบเปรียบมือนาง

๏ หมูแนมแหลมเลิศรส พร้อมพริกสดใบทองหลาง
พิศห่อเห็นรางชาง        ห่างห่อหวนป่วนใจโหย

๏ ก้อยกุ้งปรุงประทิ่น วางถึงลิ้นดิ้นแดโดย
รสทิพย์หยิบมาโปรย ฤๅจะเปรียบเทียบทันขวัญ


๏ ผลชิดแช่อิ่มอบ หอมตรลบล้ำเหลือหวาน
รสไหนไม่เปรียบปาน หวานเหลือแล้วแก้วกลอยใจ


๏ น้อยหน่านำเมล็ดออก ปล้อนเปลือกปอกเป็นอัศจรรย
มือใครไหนจักทัน เทียบเทียมที่ฝีมือนาง




กระทู้: ขัติยราชปฏิพัทธ รักเร้นในพระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัย
เริ่มกระทู้โดย: เทาชมพู ที่ 30 ม.ค. 24, 10:54
    เจ้าฟ้าบุญรอดเป็นที่เลื่องลือในด้านอาหารคาวหวาน ทรงทำได้อย่างประณีต  มีรสโอชา เพราะทรงพิถีพิถันทุกขั้นตอน  ตามที่มีเรื่องเล่ากันมาว่า
    "...มีความเล่าสืบกันมาเปนต้นว่า ข้าวเหนียวสีโศกนั้น ใช้ข้าวที่กำลังเป็นน้ำนมแก่อยู่ ทรงแจกให้พวกข้าหลวงคนละถ้วยนม ผ่าเปลือกออกจนกว่าจะพอตั้งเครื่อง   พราะจะตำ หรือแกะเมล็ด ข้าวก็จะหัก และเป็นสีโศกอยู่ในตัวด้วย
       ขนมจีนนั้น พวกข้าหลวงหมอบตำเครื่องอยู่ พระองค์ท่านก็ทรงประทับอยู่บนพระแท่น นาน ๆ จึงทรงหยอดกะทิครั้งหนึ่ง แล้วก็ตำไปอีก จนกว่าพระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัยบรรทมตื่น จึงจะปรุงพริกที่จะตำน้ำพริกนั้น ใช้พริกสวนนอก ทรงหักดมดูทุกเมล็ด เมล็ดไหนต่อมกลิ่นหอม จึงจะทรงใช้ "
   
      เจ้าฟ้าบุญรอดทรงอยู่ในวังมาอีก 3  ปีก็มีข่าวดีว่าทรงพระครรภ์อีกครั้ง   คราวนี้พระกุมารประสูติออกมาได้ปลอดภัย  เป็นที่โสมนัสของสมเด็จพระอัยกาอย่างย่ิ่ง     ในตอนนั้น เจ้าฟ้ากรมหลวงอิศรสุนทรได้อุปราชาภิเศกเปนกรมพระราชวังบวรสถานมงคล แทนกรมพระราชวังบวรมหาสุรสิงหนาทที่สิ้นพระชนม์ไปแล้ว    พระกุมารจึงมีพระยศเปนเจ้าฟ้าในพระราชวังบวร   ทรงพระนามว่า เจ้าฟ้ามงกุฎ   เมื่อสมโภชเดือนขึ้นพระอู่ พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกพระราชทานทองแท่งจีนหนัก ๖ ตำลึง เป็นการสมโภช
      ต่อมาอีก 4 ปี  ถึงปีมะโรงสัมฤทธิศก จุลศักราช ๑๑๗๐ จึงประสูติพระโอรสอีกพระองค์หนึ่ง ทรงพระนามว่าเจ้าฟ้าอสนีบาต หรือเจ้าฟ้าจุฑามณี  เมื่อสมโภชเดือนขึ้นพระอู่ พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกพระราชทานทองแท่งจีนหนัก ๖ ตำลึงเช่นเดียวกับพระราชทานเจ้าฟ้ามงกุฎ


กระทู้: ขัติยราชปฏิพัทธ รักเร้นในพระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัย
เริ่มกระทู้โดย: เทาชมพู ที่ 31 ม.ค. 24, 08:26
    ถ้าหากว่าเรื่องนี้เป็นหนังหรือนิยายรัก  ก็คงจะถึงฉากจบในตอนนี้  เพราะทุกอย่างก็แฮปปี้เอนดิ้งดีแล้ว  แต่ในเมื่อชีวิตจริงไม่ได้จบจนกว่าจะถึงวันจบสิ้นชีวิต   จึงมีเหตุการณ์สำคัญตามมา ที่ทำให้เจ้าฟ้าทั้งสองพระองค์ไม่ได้ครองคู่กันด้วยความสุขสวัสดีอย่างเมื่อตอนเริ่มต้น  ทั้งๆที่ทรงรักกันไม่เสื่อมคลาย
    พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าทรงมีพระราชธิดารุ่นเล็กพระองค์หนึ่ง  พระนามว่าพระเจ้าลูกเธอ พระองค์เจ้าจันทบุรี  ประสูติจากเจ้าจอมมารดาทองสุก ซึ่งเป็นพระธิดาในพระเจ้าอินทวงศ์แห่งนครเวียงจันทน์   ตอนต้นก็เป็นพระองค์เจ้าเช่นเดียวกับพระราชโอรสธิดาอื่นๆที่ประสูติจากเจ้าจอม    แต่เมื่อพระชันษาได้ 6 ปี ตามเสด็จสมเด็จพระราชบิดาไปทรงลอยพระประทีปที่พระตำหนักแพ  แต่พลาดตกลงน้ำหายไป พี่เลี้ยงนางนมร้องอื้ออึงขึ้น คนทั้งปวงตกใจพากันลงน้ำเที่ยวค้นหา จึงพบว่าเกาะทุ่นหยวกอยู่ท้ายน้ำ หาได้เป็นอันตรายไม่
    พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้า จึงมีพระราชโองการดำรัสว่า พระเจ้าลูกเธอพระองค์นี้ เจ้าจอมมารดาก็เป็นบุตรเจ้ากรุงศรีสัตนาคนหุต สิ้นชีพเมื่อพระธิดาได้ 5 พรรษา  ทำให้เป็นกำพร้าไม่มีมารดา จึงทรงพระกรุณาสถาปนาให้มีอิสริยยศเป็นสมเด็จพระเจ้าลูกเธอเจ้าฟ้า  เจ้าฟ้ากุณฑลทิพยวดี
   


กระทู้: ขัติยราชปฏิพัทธ รักเร้นในพระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัย
เริ่มกระทู้โดย: เทาชมพู ที่ 31 ม.ค. 24, 08:34
    พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกเสด็จสวรรคตเมื่อปี 2352  สมเด็จเจ้าฟ้ากุณฑลทิพยวดี มีพระชันษาได้ 11 ปี   เจ้าฟ้ากรมหลวงอิศรสุนทรซึ่งทรงดำรงตำแหน่งวังหน้าเสด็จเสวยราชสมบัติ  เป็นรัชกาลที่ 2 นั้น ขณะนั้นทรงมีพระชนมายุได้ 42 พรรษาแล้ว ทรงแก่กว่าสมเด็จเจ้าฟ้ากุณฑลทิพยวดี 31 ปี
   เจ้าฟ้ากุณฑลทิพยวดีทรงเติบโตขึ้นมาในวังหลวง  จนเข้าสู่วัยสาว พระชันษาประมาณ 17 ปี ว่ากันว่ามีพระสิริโฉมงดงามดังความงดงามของนางบุษบา นางเอกในพระราชนิพนธ์เรื่องอิเหนา พระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัยรัชกาลที่ 2  ทรงพระราชนิพนธ์ไว้อย่างไพเราะว่า
        “อันนางโฉมยงองค์นี้                  เลิศล้ำนารีในแหล่งหล้า
นวลละอองผ่องพักตร์โสภา                     เพียงจันทราทรงกลดหมดราคี
งามดังโกสุมประทุมมาลย์                      บานอยู่ในท้องสระศรี”

หรืออีกตอนหนึ่งที่ว่า

“เจ้าเอย เจ้าดวงยิหวา                          ดังหยาดฟ้ามาแต่กระยาหงัน
ได้เห็นโฉมฉายเสียดายครัน                   ฉุกใจไม่ทันคิดเอย”

และตอนที่นางบุษบาลงเล่นน้ำในลำธาร  ความว่า

“พักตร์น้องละอองนวลปลั่งเปล่ง               ดังดวงจันทร์วันเพ็งประไพศรี
อรชรอ้อนแอ้นทั้งอินทรีย์                     ดังกินรีลงสรงคงคาลัย
งามจริงพริ้งพร้อมทั้งสรรพางค์                 ไม่ขัดขวางเสียทรงที่ตรงไหน
พิศพลางประดิพันธ์กำหนัดใน                 จะใคร่ไปโอบอุ้มองค์มา
ดูเดินดังดำเนินเหมราช                        งามประหลาดเลิศล้ำเลขา
พิศไหนให้เพลินจำเริญตา                      พระราชาชมพลางทางถอนใจ”


กระทู้: ขัติยราชปฏิพัทธ รักเร้นในพระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัย
เริ่มกระทู้โดย: เทาชมพู ที่ 31 ม.ค. 24, 08:44
     เมื่อเป็นเช่นนี้เราก็คงเดาได้ว่าเหตุการณ์ต่อไปจะเดินไปในทางไหน    เจ้าฟ้ากุณฑลทิพยวดีก็ได้เลื่อนขึ้นเป็นพระมเหสีอีกองค์หนึ่ง  หลังจากที่ไม่เคยทรงมีพระมเหสีอื่นใดอีกเลยนับจากเจ้าฟ้าบุญรอด   ทั้งนี้ไม่นับเจ้าจอมหม่อมห้ามทั้งหลาย
    ส่วนเจ้าฟ้าบุญรอดนั้น แม้ว่าพระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้าฯ ไม่ได้ทรงสถาปนาขึ้นให้มีพระยศหรือพระนามเพิ่มจากเดิม  แต่ก็เป็นที่รู้กันในวังหลวงว่าทรงเป็นพระมเหสีเอก   ผู้คนเรียกว่า "พระพันวัสสา" เป็นคำยกย่อง   เพราะทรงเป็นเจ้านายสตรีพระองค์เดียวในท่ามกลางเจ้าจอมหม่อมห้ามทั้งหลาย    ก็เป็นที่เข้าใจกันว่า พระเจ้าอยู่หัวทรงรักษาคำปฏิญาณที่ให้ไว้กับเจ้าฟ้ากรมหลวงเทพหริรักษ์
    ขอทำความเข้าใจก่อนว่า ทั้งเจ้าฟ้ากรมหลวงเทพหริรักษ์และเจ้าฟ้าบุญรอด ท่านไม่ได้หมายความว่าจะไม่ให้พระเจ้าอยู่หัวมีพระสนมอีกหลังจากมีเจ้าฟ้าบุญรอดแล้ว  ขอแต่เพียงอย่าทำให้เจ้าฟ้าบุญรอดเดือดร้อนหรือกระทบกระเทือนใดๆ    ส่วนพระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้าฯ ท่านก็ไม่ได้ปฏิญาณว่าจะไม่มีพระสนมอีก  แต่ท่านปฏิญาณว่าจะไม่ให้มีสตรีใดใหญ่กว่าหรือแม้แต่เทียบเท่าเจ้าฟ้าบุญรอด  เพื่อขจัดปัญหาการแย่งชิงความเป็นใหญ่
    เมื่อทรงได้เจ้าฟ้ากุณฑลทิพยวดีมาเป็นพระมเหสีอีกองค์    คำปฏิญาณนี้ก็กลายเป็นรอยแตกแยกกันระหว่างสองพระองค์  


กระทู้: ขัติยราชปฏิพัทธ รักเร้นในพระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัย
เริ่มกระทู้โดย: เทาชมพู ที่ 01 ก.พ. 24, 09:03
     ถ้าพระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้าฯมีเจ้าจอมใหม่ก็คงไม่มีปัญหา แต่นี่มีพระมเหสีใหม่ ซึ่งเป็นเจ้าฟ้า  มิใช่เจ้าจอมสามัญชนอย่างนอื่นๆก่อนหน้านี้
     เรื่องนี้น่าจะเ็นว่าทั้งสองพระองค์มองต่างมุมกัน   ใครผิดใครถูก  จนบัดนี้ก็ไม่มีใครฟันธงลงไปได้
      เจ้าฟ้าบุญรอดทรงถือว่า พระเจ้าอยู่หัวทรงให้สัตย์ปฏิญาณกับเจ้าฟ้ากรมหลวงเทพหริรักษ์ว่า จะไม่มีใครที่ใหญ่กว่าหรือเทียบเท่าเจ้าฟ้าบุญรอด     ในเมื่อไปมีเจ้าฟ้ากุณฑล ก็เท่ากับผิดคำพูด   เพราะพระภรรยาเจ้าองค์ใหม่นี้ มีศักดิ์เหนือกว่าเจ้าฟ้าบุญรอด
       เจ้าฟ้ากุณฑลทรงเป็นเจ้าฟ้า "ลูกหลวง"  หมายถึงพระธิดาของพระมหากษัตริย์    ส่วนเจ้าฟ้าบุญรอดเป็น เจ้าฟ้า"หลานหลวง" คืออยู่ในฐานะหลานของพระมหากษัตริย์    นับตามราชประเพณี   ลูกหลวงต้องสูงกว่า    ถ้ามีพระราชโอรสธิดา  ก็ต้องเป็นเจ้าฟ้าเท่ากับเจ้าฟ้ามงกุฎและเจ้าฟ้าอสนีบาต (หรือเจ้าฟ้าจุฑามณี) หรือใหญ่กว่าเสียอีก   มิได้เป็นแค่พระองค์เจ้าอย่างพระราชโอรสธิดาที่ประสูติจากเจ้าจอม
        อย่างที่สองก็น่าจะเป็นได้ว่า  พระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้าฯ ทรงเสน่หาเจ้าฟ้ากุณฑลมาก   ตอนนั้นพระเจ้าอยู่หัวมีพระชนม์ประมาณ 48 พรรษา  ส่วนเจ้าฟ้าบุญรอด 49 พรรษา    พระมเหสีองค์ใหม่เพิ่ง 17-18  กำลังสวยงามเปล่งปลั่งเต็มที่    ตามประสาผู้หญิง ก็คงอดเปรียบเทียบกันไม่ได้  จึงเกิดเป็นกรณีรักสามเส้้าขึ้นมา ระหว่างหนึ่งชายสองหญิง


กระทู้: ขัติยราชปฏิพัทธ รักเร้นในพระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัย
เริ่มกระทู้โดย: เทาชมพู ที่ 01 ก.พ. 24, 09:05
    หนังสือพระราชประวัติพระบาทสมเด็จพระปิ่นเกล้าเจ้าอยู่หัว เอ่ยถึงเรื่องนี้ ว่า 
     “เจ้านายชั้นผู้ใหญ่พระองค์หนึ่งทรงเล่าว่า กรมสมเด็จพระศรีสุริเยนทร์ (เจ้าฟ้าบุญรอด) นั้นทรงอยู่ในฐานะแม้นละม้ายคล้ายจินตหราในเรื่องอิเหนา เพราะเหตุที่ทรงเป็นพระประยูรญาติเรียงพี่เรียงน้อง หากแต่เป็นพระมเหสีดั้งเดิม จึงได้อยู่ฝ่ายขวา ส่วนเจ้าฟ้าหญิงกุณฑลทิพยวดีเป็นพระน้องนางเธอร่วมพระชนกเดียวกัน ได้เป็นพระมเหสีพระองค์ที่ 2 จึงต้องอยู่ฝ่ายซ้าย คล้ายบุษบาขององค์อิเหนา หรือระเด่นมนตรี ซึ่งที่แท้ก็คือพระองค์ผู้ทรงพระนิพนธ์ พระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัยนั่นเอง
      เมื่อองค์ระเด่นมนตรีทรงมีทั้งฝ่ายซ้ายและฝ่ายขวาดังนี้ ก็เป็นธรรมดาที่ฝ่ายขวาจะต้องขึ้งโกรธ และทรงระทมตรมตรอม นัยเดียวกันกับพระราชนิพนธ์ที่ว่า
               “เมื่อนั้น                           จินตหราวาตีมีศักดิ์
               ฟังตรัสขัดแค้นฤทัยนัก           สะบัดพักตร์ผินหลังไม่บังคม”
 
           จินตะหราเป็นชายาของระเด่นมนตรีหรืออิเหนา มาก่อนอิเหนาพบบุษบา   เป็นลูกพี่ลูกน้องกับพระสวามีมมาก่อน   เมื่ออิเหนาไปพบบุุษบาเข้าทีหลัง เห็นว่านางงามมากกว่า  จึงหลงรักจนลืมชายาเดิม  แต่ตอนท้ายเมื่อราชาภิเษกก็แต่งตั้งจินตะหราเป็นมเหสีฝ่ายขวา  ส่วนบุษบาเป็นฝ่ายซ้าย


กระทู้: ขัติยราชปฏิพัทธ รักเร้นในพระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัย
เริ่มกระทู้โดย: เทาชมพู ที่ 01 ก.พ. 24, 09:09
       ส่วนทางมุมของสมเด็จพระพุทธเลิศหล้าฯ ท่านก็ทรงแก้ปัญหาเรื่องใครสูงใครต่ำกว่าใคร จนสำเร็จตามแบบของท่าน  คือไม่ได้ยกย่องเจ้าฟ้ากุณฑลให้เป็นสมเด็จพระมเหสีหรือเฉลิมพระนามเป็นเกียรติยศใดๆทั้งสิ้น    เคยอยู่มาอย่างไรก็อยู่อย่างนั้น
      เมื่อทรงมีพระโอรสธิดาออกมาถึง 4 พระองค์ (พระธิดาสิ้นพระชนม์แต่ยังเยาว์  เหลือพระราชโอรส 3 พระองค์)  ในวังก็ไม่มีใครเรียกว่าทูลกระหม่อมพระองค์ใหญ่ และทูลกระหม่อมพระองค์น้อยอย่างที่เรียกเจ้าฟ้ามงกุฎและเจ้าฟ้าจุฑามณี   แม้แต่เรียกว่าเจ้าฟ้าก็ไม่มีใครเรียก  เรียกแต่ว่าองค์ใหญ่ องค์กลาง และองค์ปิ๋ว  
       สมเด็จพระพุทธเลิศหล้าฯ ท่านก็ทรงทำเฉยๆเวลาได้ยิน   ไม่ได้กริ้วและไม่ได้ห้ามว่าลูกข้าเป็นเจ้าฟ้า พวกเจ้าจะมาเรียกลอยๆไม่มียศไม่มีศักดิ์แบบนี้ไม่ได้
       เจ้าฟ้าทั้งสามก็ทรงเป็น "องค์"อย่างนั้น อยู่จนตลอดรัชกาล  
       ก็คือแสดงให้เห็นว่า พระองค์ท่านไม่ได้ยกย่องเจ้าฟ้ากุณฑลทิพยวดี ให้เหนือกว่าหรือแม้แต่เสมอเจ้าฟ้าบุญรอด   พระราชโอรสธิดาก็เช่นกัน  ไม่ได้เป็นแม้แต่ "เจ้าฟ้า"
      เพราะฉะนั้น  พระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้าฯ ท่านก็ถือว่ารักษาคำปฏิญาณไว้อย่างเหนียวแน่น   เพราะฉะนั้นจะมาหาว่าท่านผิดคำพูดไม่ได้
       ส่วนท่านผู้อ่านเรือนไทยจะอยู่ฝายไหนก็แล้วแต่สมัครใจ อยากฟังความเห็นของคนยุคปัจจุบันเหมือนกันค่ะ


กระทู้: ขัติยราชปฏิพัทธ รักเร้นในพระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัย
เริ่มกระทู้โดย: Rattananuch ที่ 01 ก.พ. 24, 10:24
ถ้าในแง่หัวใจก็สงสารเจ้าฟ้าบุญรอดค่ะ มเหสีพระองค์ใหม่เหนือกว่าทุกด้านทั้งศักดิและทั้งวัยอันเยาว์งดงาม ท่านก็คงเจ็บช้ำมาก แต่อีกด้านก็สงสารเจ้าฟ้ากุณฑลฯท่านที่มิได้ถูกยกย่องเท่าที่ควรทั้งๆที่ท่านเป็นถึงราชธิดาพระมหากษัตริย์ ในหลวงรัชกาลที่2ท่านก็แก้ปัญหาคำสัตย์ต่อเจ้าฟ้าบุญรอดแบบผู้บริหารฯหรือจะแบบนักการเมืองก็อาจจะว่าได้
สรุปตามความเห็นของดิฉันคือท่านผิดโดยพฤตินัย แต่ถูกตามนิตินัยค่ะ


กระทู้: ขัติยราชปฏิพัทธ รักเร้นในพระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัย
เริ่มกระทู้โดย: Rattananuch ที่ 01 ก.พ. 24, 10:48
ลองแบบสาวสมัยใหม่ค่ะว่าถ้าเจ้าฟ้ากุณฑลฯทรงปฏิเสธสมเด็จพระพุทธเลิศหล้าฯแบบนุ่มนวลไม่แข็งกร้าวด่าทอหยาบคายแบบพระองค์เจ้าหญิงอีกองค์ซึ่งก็โดนประหารไปเพราะโอษฐภัย พระพุทธเลิศหล้าฯท่านก็คงมีพระเมตตาไม่หักหาญน้ำใจ เจ้าฟ้าฯท่านก็คงมีชีวิตที่สุขสงบ ไม่ต้องอยู่ในสถานะกระอักกระอ่วนแบบนี่นะคะ


กระทู้: ขัติยราชปฏิพัทธ รักเร้นในพระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัย
เริ่มกระทู้โดย: เทาชมพู ที่ 02 ก.พ. 24, 11:06
   คุณรัตนานุชหมายถึง พระองค์เจ้ากระษัตรี  เรื่องนี้ดูเหมือนในเรือนไทยจะเคยเล่าแล้ว  เป็นเรื่องที่พงศาวดารเล่าไว้สั้นๆ  ว่าในรัชกาลที่ 2  มีผู้เขียน "บัตรสนเท่ห์" (จดหมายกล่าวหาที่ไม่มีการลงชื่อผู้เขียน) ทิ้งเอาไว้ในพระราชวัง  มีใจความหยาบช้า   พระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้าโปรดเกล้าฯ ให้กรมหมื่นเจษฎาบดินทร์สอบสวนเรื่องนี้  ได้ความว่าลายมือนั้นเหมือนพระองค์เจ้ากระษัตรี พระราชธิดาในพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าฯ  ประสูติจากเจ้าจอมมารดานวม   
   เมื่อถูกจับลายมือได้จนต้องถูกจำขัง พระองค์เจ้ากระษัตรีย์ก็หาทรงยอมจำนนไม่  ทรงให้โขลนที่คุมนั้นไปซื้อกระดาษดินสอมาให้ ได้เขียนหนังสือที่นั่น แล้วใช้ให้คล้าย นางรำ บุตรพระสิริโรท ซึ่งพระราชทานเป็นบุตรพระองค์เจ้ากระษัตรี เอาไปทิ้งที่ท้องพระโรงอีกครั้ง...."
    เรื่องจริงเป็นอย่างไรไม่มีหลักฐานมากกว่านี้ แต่เรื่องซุบซิบบอกกันว่า พระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัย ทรงมีพระราชประสงค์จะได้พระน้องนางองค์นี้เป็นพระมเหสีเทวี  แต่พระองค์เจ้ากระษัตรีย์นอกจากไม่ทรงยินยอมแล้ว ยังเขียนว่ากล่าวรุนแรงอีกด้วย  ผลคือถูกสำเร็จโทษด้วยท่อนจันทน์ที่วัดปทุมคงคา แต่มิได้ถอดพระนาม  ยังเป็นพระองค์เจ้าอยู่จนสิ้นพระชนม์


กระทู้: ขัติยราชปฏิพัทธ รักเร้นในพระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัย
เริ่มกระทู้โดย: เทาชมพู ที่ 02 ก.พ. 24, 11:29
      กลับมาที่พระเอกนางเอกของเรา     เจ้าฟ้าบุญรอดท่านยังทรงยึดถือ "นิตินัย" (แบบที่คุณรัตนานุชเรียก) จึงปฏิเสธไม่ข้องเกี่ยวกับพระราชสวามีอีก   ไม่เข้าเฝ้า   ไม่ยอมปรุงเครื่องเสวยที่โปรดปรานขึ้นถวายพระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้าฯ   แม้ว่าพระราชสวามีเสด็จไปหาที่พระตำหนักบ่อยครั้ง แต่ก็ทรงพระทัยแข็งไม่ยินยอมให้พบ    เรียกว่าทรงขาดกันทางพฤตินัยโดยสิ้นเชิง
      ชะตากรรมของท่านก็เป็นไปอย่างที่เจ้าฟ้ากรมหลวงเทพหริรักษ์ พระเชษฐา ทรงวิตกกังวลไว้ล่วงหน้าจริงๆ     แบบเดียวกับชะตากรรรมของคุณหญิงนาค

      อยู่มาวันหนึ่ง พระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้าประชวร  พระอาการทรุดหนักลงอย่างรวดเร็ว เป็นที่ตื่นตระหนกกันไปทั้งวังหลวง  แต่เจ้าฟ้าบุญรอดก็ไม่เคยเสด็จไปฟังพระอาการ   ระหว่างประชวร พระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัยทรงออกพระโอษฐ์ถึงสมเด็จเจ้าฟ้าบุญรอดอยู่หลายครั้ง มีคนนำความไปกราบทูลให้ทรงทราบ   เจ้าฟ้าบุญรอดก็ยังทรงพระทัยแข็ง ไม่ยอมเสด็จเยี่ยมท่าเดียว
      เล่ากันว่าคุณหญิงนาคพระราชมารดาพระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้าฯ  ซึ่งบัดนี้เฉลิมพระยศเป็นสมเด็จพระอมรินทรามาตย์ ถึงกับกริ้ว ทรงดุว่า
      “แม่รอดนี้เป็นอย่างไรนะ     พี่จะสิ้นแล้วยังไม่ขึ้นมา”
      เมื่อผู้ใหญ่ตำหนิถึงเพียงนี้   เจ้าฟ้าบุญรอด จึงยอมเสด็จตามหน้าที่ของพระราชสกุล แต่เมื่อเสด็จขึ้นไปเฝ้าพระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัยก็สายเสียแล้ว พระราชพงศาวดารบันทึกว่า
      “...แพทย์ประกอบพระโอสถถวายก็เสวยไม่ได้ มิได้ตรัสสิ่งไรมาจนถึง ณ วันพุธ เดือนแปด แรมสิบเอ็ดค่ำ เวลาย่ำค่ำแล้วห้าบาท เสด็จสู่สวรรคต”
      เป็นอันว่าพระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้าฯ ก็เสด็จสวรรคตไปโดยไม่ทันดูใจ หรือร่ำลากันกับพระมเหสี


กระทู้: ขัติยราชปฏิพัทธ รักเร้นในพระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัย
เริ่มกระทู้โดย: เทาชมพู ที่ 02 ก.พ. 24, 12:00
       เจ้าฟ้าบุญรอด ถวายบังคมพระบรมศพด้วยพระอาการสงบ แล้วเสด็จออกจากพระที่นั่งจักพรรดิพิมานสู่ท้องพระโรง
     ในความเงียบสงัด ณ ท้องพระโรงนั่นเอง สมเด็จเจ้าฟ้าบุญรอดทอดพระเนตรเห็นสมเด็จเจ้าฟ้ากุณฑลทิพยวดี ขณะนั้นมีพระชันษาได้ 26 ปี ประทับทรงกันแสงเบาๆ อยู่แต่ลำพังพระองค์ จึงเสด็จเข้าไปยืนทอดพระเนตรอยู่ครู่หนึ่ง  จากนั้น ทรงลดพระองค์ประทับสวมกอดสมเด็จเจ้าฟ้ากุณฑลทิพยวดี ทรงกันแสงอยู่ด้วยกันสองพระองค์เป็นเวลาช้านาน เป็นที่สะเทือนใจแก่ผู้ที่ได้พบเห็น  จนเป็นเรื่องที่เล่าต่อๆ กันมาจนในปัจจุบัน

      เมื่อพระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัยสวรรคต ตามกฎมณเฑียรบาล   ราชสมบัติควรตกอยู่กับพระราชโอรสพระองค์ใหญ่คือ เจ้าฟ้ามงกุฎ พระชนมายุ 20 พรรษาพอดี กำลังผนวชอยู่ที่วัดบวรนิเวศ  แต่ กรมหมื่นเจษฎาบดินทร์ พระราชโอรสที่ประสูติจากเจ้าจอมมารดาเรียม มีพระชนม์ 37 พรรษา  ก่อนหน้านี้ก็ทรงว่าราชการต่างพระเนตรพระกรรณพระราชบิดามาหลายปี เป็นที่เคารพนับถือของขุนนางข้าราชการทั่วไป
       ส่วนในหมู่พระราชวงศ์ เสียงก็แตกออกเป็น 2 ส่วน คือส่วนหนึ่งเห็นว่าราชบัลลังก์ควรเป็นกรมหมื่นเจษฎาบดินทร์ เพื่อความสงบเรียบร้อยของบ้านเมือง   แต่อีกส่วนเห็นว่าตามหลักการสืบสันตติวงศ์ เจ้าฟ้ามงกุฎมีสิทธิ์จะขึ้นครองราชย์มากกว่า   หนึ่งในผู้สนับสนุนคือเจ้าฟ้ากรมหลวงพิทักษมนตรี พระอนุชาของเจ้าฟ้าบุญรอด
       ข้อนี้ทำให้ขอเดาต่อว่า  เจ้าฟ้าบุญรอดก็น่าจะทรงทราบว่าเจ้าฟ้ากรมหลวงพิทักษมนตรีทรงอยู่ฝ่ายไหน  แต่พระองค์มิได้สนับสนุนพระราชโอรสไปด้วยอีกพระองค์หนึ่ง    คงดำรงพระองค์อยู่อย่างสงบ
       พงศาวดารรัชกาลที่ 3 ฉบับเจ้าพระยาทิพากรณ์วงศ์ (ขำ บุนนาค) กล่าวไว้ว่าในพระราชพิธีบรมราชาภิเษกพระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว  ส่วนพระราชพิธีของฝ่ายในนั้น สมเด็จพระศรีสุริเยนทราฯทรงเป็นแม่งานจัดการ           ข้อนี้ก็แสดงว่าทรงมีคุณธรรม เห็นแก่ประเทศชาติบ้านเมือง มากกว่าพระโอรสของพระองค์เองที่ทรงมีสิทธิ์ตามกฎมณเฑียรบาลมากกว่า  
      ความสัมพันธ์ระหว่างแม่เลี้ยงกับลูกเลี้ยง คือพระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว ก็เป็นไปโดยเรียบร้อยตลอดพระชนม์ชีพ


กระทู้: ขัติยราชปฏิพัทธ รักเร้นในพระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัย
เริ่มกระทู้โดย: superboy ที่ 02 ก.พ. 24, 13:23
ความขัดแย้งระหว่างเจ้าฟ้าบุญรอดกับพระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้าไม่มีใครช่วยเป็นกาวประสานใจ ทั้งที่สมัยก่อนปัญหายากกว่าตั้งเยอะยังผ่านพ้นมาได้ น่าเศร้าใจมากครับ


กระทู้: ขัติยราชปฏิพัทธ รักเร้นในพระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัย
เริ่มกระทู้โดย: เทาชมพู ที่ 02 ก.พ. 24, 14:04
    ความเห็นของคุณ superboy น่าคิดมากค่ะ   ว่าเวลาล่วงมาถึงรัชกาลที่ 2  ใครที่มีความสลักสำคัญพอจะเป็นกาวประสานใจได้   ถ้ามี คนนั้นก็ต้องเป็นผู้ใหญ่พอที่สมเด็จพระพุทธเลิศหล้าฯ และเจ้าฟ้าบุญรอด จะต้องทรงยอมอยู่ในโอวาท  ถึงไม่เห็นด้วยก็ต้องเกรงใจ
    1   พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้า และกรมพระราชวังบวรมหาสุรสิงหนาทก็เสด็จสวรรคตไปนานหลายปีแล้ว
    2  เจ้าฟ้ากรมหลวงเทพหริรักษ์ สิ้นพระชนม์ไปตั้งแต่พ.ศ. 2348  ก่อนหน้าเจ้าฟ้ากุณฑลโตเป็นสาวนานหลายปี
    3  เจ้าจอมแว่นหรือคุณเสือ พระสนมเอก ที่เจ้าฟ้าบุญรอดเคยไปขอความช่วยเหลือ   เมื่อสิ้นรัชกาลที่ 1  แล้วท่านก็ตกอับ สิ้นบุญวาสนา   ต้องไปพึ่งเจ้าฟ้ากุณฑล ในฐานะเป็นเจ้านายเวียงจันทน์ด้วยกัน   เพราะฉะนั้น ท่านก็ต้องสนับสนุนเจ้าฟ้ากุณฑลเป็นธรรมดา
    4   สมเด็จพระอมรินทรมาตย์  พระชนนีสมเด็จพระพุทธเลิศหล้าฯ   
     เจ้านายองค์นี้ก็น่าคิด เพราะท่านมีพระชนม์ยืนยาวมาจนถึงรัชกาลที่ 3   เคยอยู่ในฐานะเมียหลวงที่อกไหม้ไส้ขมมาก่อน ก็น่าจะเข้าข้างเจ้าฟ้าบุญรอด   
     แต่อีกทางหนึ่ง  ท่านเลือกใช้วิธีตัดรอนเด็ดขาดกับพระราชสวามี  ยศศักดิ์อะไรฉันก็ไม่เอาทั้งนั้น   แทนที่จะประนีประนอมผ่อนสั้นผ่อนยาว เพื่อรักษาตำแหน่งเมียเอกไว้   เพราะฉะนั้นจะให้ท่านเชียร์ลูกสะใภ้ให้ใจอ่อน ยอมกลืนเลือด คงไม่ใช่หลักการของท่าน     ส่วนจะบังคับให้ลูกชายเลิกกับเจ้าฟ้ากุณฑลก็ทำไม่ได้อีก    ใครจะบังคับพระมหากษัตริย์ได้  อีกอย่าง เจ้าฟ้ากุณฑลก็มีทั้งพระราชโอรสและธิดาถึง 4 องค์  เชื้อสายเจ้าฟ้าทั้งพ่อและแม่  จะทิ้งขว้างได้อย่างไร
    ใครนึกออกถึงเจ้านายพระองค์อื่นบ้างคะ


กระทู้: ขัติยราชปฏิพัทธ รักเร้นในพระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัย
เริ่มกระทู้โดย: เทาชมพู ที่ 03 ก.พ. 24, 09:08
    ที่ประทับของเจ้าฟ้าบุญรอดคือพระตำหนักแดง   เป็นหลังใหม่ สร้างขึ้นในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัย ตั้งอยู่หลังพระที่นั่งจักรพรรดิพิมาน  ส่วนตำหนักแดงหลังเดิมที่เคยเป็นของเจ้าฟ้ากรมพระศรีสุดารักษ์ พระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้าฯ ทรงเชิญสมเด็จพระอมรินทรามาตย์ พระราชชนนีมาประทับแทน
     เมื่อพระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัวเสด็จขึ้นครองราชย์  เจ้าฟ้าบุญรอดก็ทรงย้ายออกจากพระบรมมหาราชวัง พร้อมกับพระราชโอรสองค์เล็ก คือสมเด็จพระเจ้าน้องยาเธอ เจ้าฟ้าจุฑามณี กรมขุนอิศเรศรังสรรค์ (ต่อมาคือพระบาทสมเด็จพระปิ่นเกล้าเจ้าอยู่หัว) ข้ามแม่น้ำเจ้าพระยา ไปประทับ ณ พระราชวังเดิมที่สมเด็จพระอมรินทรามาตย์เคยอยู่ 
     พระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงรื้อหมู่ตำหนักภายในเขตพระราชฐานชั้นในเพื่อสร้างเปลี่ยนตำหนักไม้เป็นตำหนักตึก จึงโปรดเกล้าฯ ให้รื้อตำหนักแดงที่ประทับของเจ้าฟ้าบุญรอดไปปลูกที่พระราชวังเดิมด้วย
    เจ้าฟ้าบุญรอดทรงอยู่ ณ ตำหนักแดงจนสิ้นพระชนม์    ตำหนักแดงในส่วนที่ประทับได้รื้อไปถวายเป็นกุฏิเจ้าอาวาสวัดโมลีโลกยาราม แล้วย้ายไปเป็นกุฏิเจ้าอาวาสวัดเขมาภิรตาราม จังหวัดนนทบุรี อีกที


กระทู้: ขัติยราชปฏิพัทธ รักเร้นในพระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัย
เริ่มกระทู้โดย: เทาชมพู ที่ 03 ก.พ. 24, 09:23
   เจ้าฟ้าบุญรอดดำรงพระองค์ในปลายพระชนม์ชีพอย่างสงบ   ทรงใช้เวลาส่วนใหญ่ไปทางด้านบำรุงพระพุทธศาสนา  ทำบุญ สร้างวัด ทรงสดับธรรม ไม่เกี่ยวข้องกับเหตุการณ์บ้านเมืองใดๆ จนถึงพระชนม์ได้ 69 พรรษา ก็เสด็จสวรรคต เมื่อวันที่ 18 ต.ค. 2380 ด้วยพระโรคชรา ดังปรากฏในพระราชพงศาวดารรัชกาลที่ 3 ความว่า “วันที่ 18 ต.ค. 2380 เวลาเช้า 4 โมง สมเด็จพระพันวัสสาประชวรพระโรคชราสวรรคตในนั้น”
     ส่วนในหนังสือ จดหมายเหตุโหร ฉบับพระยาประมูลธนรักษ์ บันทึกไว้ว่า “ปีวอก จ.ศ. 1198 วันอังคาร ขึ้น 8 ค่ำ เดือน 11 พันวัสสานิพพาน เพลาเช้า 2 โมงเศษ พระชนมายุได้ 69 พรรษา”

     วันที่ 16 เม.ย. พระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว พร้อมด้วยพระบรมวงศานุวงศ์ และข้าราชการทั้งใหญ่น้อย ถวายพระเพลิงในวันต่อมา ได้แจงพระรูปลอยพระอังคารเก็บพระอัฐิไว้ในโกศทองคำ ทำการสมโภชอีกวันหนึ่งรวมเป็นสี่วันสี่คืน ครั้นรุ่งขึ้นจึงแห่พระอัฐิลงเรือเอกชัยที่ท่าพระมาสู่พระราชวังเดิม

      ล่วงมาจนรัชกาลที่ 4  พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวจึงทรงตั้งพระอัฐิพระราชชนนีเป็น "กรมสมเด็จพระศรีสุริเยนทรามาตย์"      ต่อมาพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้ออกพระนามว่า "สมเด็จพระศรีสุริเยนทราบรมราชินี"  ตามที่เป็นสมเด็จพระอัครมเหสีในพระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัย และเป็นสมเด็จพระบรมราชชนนีในพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว
     สมเด็จพระศรีสุริเยนทราบรมราชินี ทรงเป็นเจ้านายสตรี 1 ใน 3  ของไทยที่เป็นพระราชชนนีในพระมหากษัตริย์ 2  พระองค์ คือพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว  และพระบาทสมเด็จพระปิ่นเกล้าเจ้าอยู่หัว  
      พระองค์ที่ 2 คือ สมเด็จพระศรีพัชรินทราบรมราชินีนาถ ทรงเป็นพระราชชนนีในพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว และพระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว  
      และพระองค์ที่ 3 คือ สมเด็จพระศรีนครินทราบรมราชชนนี ในพระบาทสมเด็จพระปรเมนทรมหาอานันทมหิดล พระอัฐมรามาธิบดินทร (รัชกาลที่ ๘)  และพระบาทสมเด็จพระบรมชนกาธิเบศร มหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร (รัชกาลที่ 9)


กระทู้: ขัติยราชปฏิพัทธ รักเร้นในพระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัย
เริ่มกระทู้โดย: SILA ที่ 03 ก.พ. 24, 10:45
            คุณหญิงนาค ดำรงชนม์ชีพนานมาก(๕ แผ่นดิน) เกินอายุผู้คนสมัยก่อน (สิ้นเมื่อเกือบ ๙๐ พรรษา -๘๘)

            อาจเป็นต้นแบบให้เจ้าฟ้าบุญรอดเคืองแค้นแสนโกรธจนตายจากกัน
           
            นึกถึง จินตะหรา ในอิเหนา เว็บนี้ https://www.sac.or.th/databases/thailitdir/character-detail.php?n_id=687
เรียบเรียงว่า

             จินตะหราวาตี หรือจินตะหรา*เป็นตัวละครในบทละครเรื่องอิเหนา เป็นธิดาระตูหมันหยา*กับประไหมสุหรี อยู่ในวงศ์ระตูซึ่งต่ำศักดิ์
แม้จะมีศักดิ์เป็นน้องของอิเหนา* มารดาของนางจินตะหราเป็นขนิษฐาของประไหมสุหรีกุเรปันและประไหมสุหรีดาหา
             นางจินตะหรามีรูปโฉมงดงามยิ่งกว่าหญิงใดในเมืองหมันหยา* เมื่ออิเหนาคุมเครื่องสักการะไปคำนับศพพระอัยกีที่เมืองหมันหยาและ
ได้พบนางจินตะหรา อิเหนาหลงรักนาง นางจินตะหราจึงเป็นหญิงคนแรกที่อิเหนารัก

            ต่อมาอิเหนาต้องกลับเมืองกุเรปัน*เพราะประไหมสุหรีมีสารเรียกตัวกลับ แต่อิเหนาก็ลอบกลับมาหานางอีกครั้งโดยปลอมเป็นโจรป่าชื่อปันหยี*
แม้นางจินตะหราจะรู้ว่าอิเหนามีคู่ตุนาหงันแล้วคือนางบุษบา* ธิดาท้าวดาหา* แต่นางจินตะหราก็รักอิเหนาและยอมเป็นชายาอิเหนา อิเหนาอยู่กับนาง
จินตะหราที่เมืองหมันหยา และบอกเลิกการหมั้นหมายกับนางบุษบา

            ต่อมาอิเหนาต้องไปทำศึกกะหมังกุหนิง*ช่วยเมืองดาหา* นางจินตะหรากลัวอิเหนาทอดทิ้งนางกลับไปหานางบุษบาจึงแสดงความหึงหวง
และตัดพ้อต่อว่าอิเหนาดังนี้

แล้วว่าอนิจจาความรัก   พึ่งประจักษ์ดั่งสายน้ำไหล

ตั้งแต่จะเชี่ยวเป็นเกลียวไป   ที่ไหนเลยจะไหลคืนมา

สตรีใดในพิภพจบแดน   ไม่มีใครได้แค้นเหมือนอกข้า

ด้วยใฝ่รักให้เกินพักตรา   จะมีแต่เวทนาเป็นเนืองนิตย์

โอ้ว่าน่าเสียดายตัวนัก   เพราะเชื่อลิ้นหลงรักจึงช้ำจิต

จะออกชื่อลือชั่วไปทั่วทิศ   เมื่อพลั้งคิดผิดแล้วจะโทษใคร

             หลังจากอิเหนาไปทำศึกกะหมังกุหนิงแล้วก็ลืมนางจินตะหรา
             ตอนท้ายเรื่องเมื่อมีการอภิเษกสมรสอิเหนาที่เมืองกาหลัง* ท้าวกุเรปัน*จึงให้เชิญระตูหมันหยาและนางจินตะหรามาที่เมืองกาหลัง แต่งตั้ง
นางจินตะหราเป็นประไหมสุหรีฝ่ายขวา แม้อิเหนาจะงอนง้อขอโทษนางจินตะหราแต่นางไม่ยินยอมและกล่าววาจาล่วงเกินทำให้อิเหนากริ้ว ไม่ยอมไปหา
นางจินตะหราอีก ประไหมสุหรีดาหาต้องทำอุบายกักนางบุษบาไม่ให้พบอิเหนาเพื่อเป็นการทำโทษอิเหนา ระตูหมันหยาจึงเรียกนางจินตะหราไปสั่งสอน
นางจึงยอมคืนดีกับอิเหนา

ผู้เรียบเรียง
สุภัค มหาวรากร


กระทู้: ขัติยราชปฏิพัทธ รักเร้นในพระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัย
เริ่มกระทู้โดย: เทาชมพู ที่ 03 ก.พ. 24, 16:11
คำรำพันของนางจินตะหรา เป็นที่จดจำกันว่าไพเราะกินใจมาก  จนมีผู้นำมาเป็นเนื้อร้องเพลงไทยเดิม ชื่อ แขกปัตตานี
https://www.youtube.com/watch?v=5zM8V3piRkg


กระทู้: ขัติยราชปฏิพัทธ รักเร้นในพระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัย
เริ่มกระทู้โดย: เทาชมพู ที่ 03 ก.พ. 24, 16:13
และเป็นเนื้อของเพลงไทยสากล "อนิจจาความรัก"
https://www.youtube.com/watch?v=5-UUYPLqnYo


กระทู้: ขัติยราชปฏิพัทธ รักเร้นในพระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัย
เริ่มกระทู้โดย: เทาชมพู ที่ 03 ก.พ. 24, 16:35
            คุณหญิงนาค ดำรงชนม์ชีพนานมาก(๕ แผ่นดิน) เกินอายุผู้คนสมัยก่อน (สิ้นเมื่อเกือบ ๙๐ พรรษา -๘๘)
            อาจเป็นต้นแบบให้เจ้าฟ้าบุญรอดเคืองแค้นแสนโกรธจนตายจากกัน     
           

      ดิฉันก็วาดภาพไม่ออกเหมือนกันว่า เมื่อเกิดเรื่องเจ้าฟ้ากุณฑล  คุณหญิงนาคหรือสมเด็จพระอมรินทรามาตย์จะทรงไกล่เกลี่ยเจ้าฟ้าบุญรอดว่า
     " อย่าได้โกรธเคืองไปเลย  ถึงอย่างไรแม่รอดก็เป็นเมียเอกอยู่แล้ว   ขอให้อยู่กับพ่อฉิมต่อไปเถิด"


กระทู้: ขัติยราชปฏิพัทธ รักเร้นในพระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัย
เริ่มกระทู้โดย: เทาชมพู ที่ 03 ก.พ. 24, 16:35
    กลับมาเล่าสู่กันฟังถึงตัวละครเอกอีกท่านหนึ่งในเรื่องนี้บ้าง    นั่นก็คือตัว "บุษบา" หรือเจ้าฟ้ากุณฑลทิพยวดี    แม้ว่าเกิดมาสูงส่ง เป็นเชื้อเจ้าทั้งทางบิดามารดา  พ่อเป็นพระเจ้าแผ่นดิน  แม่เป็นเจ้าหญิง ตาก็เป็นพระเจ้าแผ่นดิน  ตัวเจ้าฟ้าเองก็มีรูปโฉมงดงาม แต่ชีวิตท่านก็ไม่ได้เป็นสุขสมกับชาติกำเนิด  
    มีคำเปรียบเทียบโบราณที่คนเดี๋ยวนี้คงไม่เคยได้ยินแล้ว ว่า "วาสนาไม่สมสวย" คนโบราณมีความเชื่อกันว่าผู้หญิงที่เกิดมาสวยจะมีโอกาสดีในชีวิตมากกว่าผู้หญิงไม่สวย  ลูกสาวบ้านไหนสวย พ่อแม่ก็หวังว่าผู้ชายรวยหรือมียศศักดิ์จะมาขอ   แต่ถ้าลูกสาวสวยคนนั้นเกิดมีชีวิตอาภัพ ได้สามีไม่ดี หรือกลายเป็นคนฐานะยากจน  ก็จะมีคำเปรียบเทียบอย่างที่ยกมานี้
   เจ้าฟ้ากุณฑลได้เป็นพระมเหสีของพระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้าฯก็จริง  แต่ก็ไม่ได้รับพระยศพระเกียรติมากกว่าที่ทรงเป็นอยู่แต่เดิม   พระราชโอรส 3 องค์ก็ไม่ได้รับการยกย่องจนตลอดรัชกาล เมื่อสิ้นรัชกาลที่ 2 เจ้าฟ้ากุณฑลมีพระชนม์เพียง 26 พรรษา เจ้าฟ้าองค์ใหญ่มีชันษา 8 ขวบ องค์กลาง 5 ขวบ  องค์ปิ๋ว แค่ 2 ขวบ  เราคงนึกออกว่าเมื่อส้ิ้นพระสวามีแล้ว  ในฐานะแม่ที่มีลูกเล็กๆ 3 คน ที่ชาววังเองก็ไม่ค่อยได้เหลียวแลมาแต่แรก  จะทรงลำบากสักแค่ไหน  
  


กระทู้: ขัติยราชปฏิพัทธ รักเร้นในพระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัย
เริ่มกระทู้โดย: เทาชมพู ที่ 04 ก.พ. 24, 11:11
    จริงอยู่ ความลำบากของท่านไม่ได้หมายถึงอดอยากยากแค้นอย่างชาวบ้าน   ท่านได้เบี้ยหวัดเจ้านายไว้ใช้จ่าย   มีตำหนักอยู่ มีข้าหลวงรับใช้ตามสมควร  แต่ว่าไม่มีใครเป็นที่พึ่ง  ไม่ได้รับการยกย่อง จนเหมือนถูกลืมไปจากโลกภายนอก
   พระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเองทรงพระเมตตาพระอนุชาองค์น้อยๆเหล่านี้  ในจดหมายเหตุเก่าเรื่อง "ว่าด้วยคำพูดของคนชั้นเก่า" เล่าว่า พระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว รับสั่งเรียกองค์ใหญ่ว่า "หนูอาภรณ์" รับสั่งเรียกองค์กลางว่า "เจ้าหนูกลาง" และรับสั่งเรียกองค์ปิ๋วว่า "เจ้าหนูปิ๋ว"
    แต่ตอนเริ่มรัชกาลที่ 3  ทั้งสามองค์ก็ยังเล็กเกินกว่าจะทำงานสนองพระเดชพระคุณได้  

   เจ้าฟ้ากุณฑลทรงเป็นผู้ยึดมั่นศรัทธาในพระพุทธศาสนา   พระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัย จึงทรงมอบหมายให้ทรงรับหน้าที่ถวายอาหารบิณฑบาตแก่พระสงฆ์เป็นงานหลวงมาจนตลอดรัชสมัย เมืื่อสิ้นรัชกาล เจ้าฟ้ากุณฑล ก็ยังทรงถือเป็นธุระในการถวายอาหารบิณฑบาตแก่พระสงฆ์ ตามที่พระราชสวามีทรงมอบหมายหน้าที่ไว้เช่นเดิม


กระทู้: ขัติยราชปฏิพัทธ รักเร้นในพระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัย
เริ่มกระทู้โดย: เทาชมพู ที่ 05 ก.พ. 24, 07:40
  สมเด็จเจ้าฟ้ากุณฑลทิพยวดีมีพระชนม์ไม่ยืนยาวนัก    สิ้นพระชนม์ในรัชกาลที่ 3 เมื่อวันเสาร์ เดือน 4 ขึ้น 3 ค่ำ ปีจอ ตรงกับวันที่ 16 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2381 พระชนมายุได้ 40 พรรษา ทรงได้รับพระราชทานเพลิงพระบรมศพ ณ พระเมรุท้องสนามหลวงเมื่อวันแรม 6 ค่ำ เดือน 5 ตรงกับวันศุกร์ที่ 5 เมษายน พ.ศ. 2382

   ส่วนเส้นทางชีวิตของพระราชโอรสทั้ง 3  คือทรงได้รับการศึกษาตามสมควร  ในรัชกาลที่ 2   เจ้าฟ้าอาภรณ์ได้เป็นศิษย์ของกวีเอกที่พระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้าฯ ทรงโปรดปราน คือสุนทรภู่    ต่อมาในรัชกาลที่ 3   สุนทรภู่ออกบวช  เจ้าฟ้ากุณฑลก็ทรงฝากเจ้าฟ้ากลาง กับเจ้าฟ้าปิ๋ว ซึ่งเวลานั้นพระชันษาได้ 11 ปีพระองค์หนึ่ง 8 ปีพระองค์หนึ่ง ให้เป็นศิษย์พระสุนทรภู่ เหมือนอย่างเจ้าฟ้าอาภรณ์ได้เคยเป็นศิษย์มาในรัชกาลที่ 2  ตัวท่านเองรับเป็นโยมอุปัฏฐากพระสุนทรภู่ต่อมา
    นอกจากนี้ เจ้าฟ้ากุณฑทิพยวดียังได้ทรงฝากเจ้าฟ้าพระราชโอรสทั้ง 3 พระองค์ให้เป็นศิษย์สมเด็จเจ้าฟ้ามงกุฎ คือ พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ขณะนั้นผนวชอยู่วัดบวรนิเวศวรวิหารอีกด้วย

    เมื่อทรงเจริญพระชันษาขึ้นในรัชกาลที่ 3   เส้นทางของพระราชโฮรสเริ่มเป็นไปอย่างที่เจ้านายควรจะเป็น    เจ้าฟ้าอาภรณ์เข้ารับราชการช่วยกำกับกรมพระคชบาล     เจ้าฟ้ากลาง เข้ารับราชการในกรมวัง ส่วนเจ้าฟ้าชายปิ๋วยังทรงพระเยาว์เกินกว่าจะเข้ารับราชการ  ต่อมาก็สิ้นพระชนม์เมื่อพระชันษาเพียง 19 ปี  ไม่ทันมีผู้สืบราชสกุล


กระทู้: ขัติยราชปฏิพัทธ รักเร้นในพระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัย
เริ่มกระทู้โดย: เทาชมพู ที่ 05 ก.พ. 24, 07:51
   ชะตากรรมของเจ้าฟ้าอาภรณ์เป็นเรื่องน่าเศร้า   ก็เลยไม่ค่อยจะมีใครเอ่ยถึงกันนัก   ว่ากันว่าในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว เจ้าฟ้าอาภรณ์ได้รับราชการกำกับกรมนครบาล ครั้นถึงปี 2391 (หลังจากเจ้าฟ้ากุณฑลสิ้นพระชนม์ไป 10 ปี) เกิดกบฏหม่อมไกรสร คดีมีเรื่องพัวพันอย่างไรไม่ปรากฏชัด เจ้าฟ้าอาภรณ์ถูกสงสัยว่าเกี่ยวข้องด้วย จึงถูกคุมขัง  ประชวรเป็นอหิวาตกโรค  และสิ้นพระชนม์ในที่คุมขังด้วยอหิวาตกโรคในปีนั้นเอง มีพระชันษา 33 ปี  ทรงเป็นต้นราชสกุล อาภรณ์กุล ณ อยุธยา
    พระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัวโปรดให้นำพระศพไปฝังดินไว้ แต่พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ขณะทรงผนวชอยู่ที่วัดบวรนิเวศ ได้โปรดให้ขุดพระศพขึ้นมาและกราบบังคมทูลขอทำพิธีถวายพระเพลิงตามแบบอย่างพิธีถวายพระเพลิงศพเจ้านายชั้นเจ้าฟ้า

   


กระทู้: ขัติยราชปฏิพัทธ รักเร้นในพระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัย
เริ่มกระทู้โดย: เทาชมพู ที่ 05 ก.พ. 24, 07:56
   ส่วนหม่อมไกรสร  เดิมคือพระองค์เจ้าไกรสร พระราชโอรสในพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราชกับเจ้าจอมมารดาน้อยแก้ว  ทรงมีความรู้ทางด้านศาสนาพุทธอย่างดีเยี่ยม เหนือกว่าพระบรมวงศานุวงศ์อื่น ๆ  พระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้าฯ จึงทรงสถาปนาเป็น กรมหมื่นรักษรณเรศร กำกับกรมสังฆการี
   ต่อมาในรัชกาลที่ 3  ได้ทรงงานรับใช้ราชการ เคียงคู่กับพระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัวเกือบตลอดรัชกาล โปรดเกล้าฯ สถาปนาขึ้นเป็น กรมหลวงรักษ์รณเรศ และโปรดให้กำกับกรมวังทรงกำกับกรมวังและอธิบดีกรมพระคชบาล  เป็นเจ้านายอาวุโสที่สำคัญองค์หนึ่งในต้นรัชกาลที่ 3 
    กรมหลวงรักษ์รณเรศไม่ถูกกับเจ้าฟ้ามงกุฎ  น่าจะเป็นด้วยทรงไม่เห็นด้วยกับการสถาปนาธรรมยุติกนิกายขึ้นมาใหม่  พระสงฆ์นิกายใหม่จึงถูกกลั่นแกล้งหลายประการ เช่นตักข้าวต้มร้อนๆใส่บาตร   ต้องทนอุ้มบาตรมือพองกลับวัด   แต่ต่อมา กรมหลวงรักษ์รณเรศก็โดนข้อหากบฏ
    พระราชพงศาวดารกรุงรัตนโกสินทร์ รัชกาลที่ 3 ของ เจ้าพระยาทิพากรวงศ์มหาโกษาธิบดี (ขำ บุนนาค) บันทึกเกี่ยวกับหม่อมไกรสร ว่า
     "หม่อมไกรสรประพฤติกำเริบ ทำตนเทียมเจ้าในงานลอยกระทง เกลี้ยกล่อมเจ้านาย ขุนนางและซ่องสุมกองทหารรามัญไว้เป็นพวกพ้อง แต่ถูกสอบสวนว่าซ่องสุมผู้คนไว้มากเพื่อคิดกบฏหรือไม่ หม่อมไกรสรตอบปฏิเสธว่า "ไม่ได้คิดกบฏ" แต่หากเปลี่ยนแผ่นดินเมื่อไหร่ก็จะไม่ยอมเป็นข้าใคร    ตุลาการในสมัยนั้นจึงมีคำตัดสินออกมาส่วนหนึ่ง ว่า "...กรมหลวงรักษ์ณรเรศมีความผิด ต้องลดอิสริยศักดิ์สมญาเป็นหม่อม ตลอดทั้งวงศ์วาน"

     หม่อมไกรสรถูกสำเร็จโทษด้วยท่อนจันทน์ที่วัดปทุมคงคาราชวรวิหาร เมื่อวันพุธ เดือนอ้าย แรม 3 ค่ำ ปีวอก สัมฤทธิศก จ.ศ. 1210 ตรงกับวันที่ 13 ธันวาคม พ.ศ. 2391 รวมพระชันษา 56 ปี และเป็นพระราชวงศ์องค์สุดท้ายที่ถูกสำเร็จโทษด้วยวิธีนี้


กระทู้: ขัติยราชปฏิพัทธ รักเร้นในพระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัย
เริ่มกระทู้โดย: เทาชมพู ที่ 07 ก.พ. 24, 19:32
       ขอเล่าถึงเจ้าฟ้ากลางบ้าง  เพื่อให้กระทู้นี้จบได้สมบูรณ์
       เมื่อสิ้นเจ้าฟ้าอาภรณ์และเจ้าฟ้าปิ๋ว ในรัชกาลที่ 3 ก็เหลือเจ้านายชั้นเจ้าฟ้าอยู่เพียง 3 พระองค์ คือเจ้าฟ้ามงกุฎ เจ้าฟ้าจุฑามณี และเจ้าฟ้ากลาง
        เจ้าฟ้ากลางดูจะมีดวงพระชะตาที่ดีกว่าพระเชษฐาและพระอนุชา  ท่านไม่มีโรคภัยไข้เจ็บมาบั่นรอน    ไม่มีการเมืองมากระทบกระทั่งให้เดือดร้อน     ทรงรับราชการในกรมวังมาด้วยความเรียบร้อย  ไม่มีปัญหาใดๆ  แต่ พระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าฯก็มิได้พระราชทานพระนามหรือโปรดเกล้าฯ ให้ทรงกรม    คงเป็นที่รู้จักในพระนามเจ้าฟ้ากลางตามเดิม
       จนสิ้นรัชกาลที่ 3   พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าฯเสด็จขึ้นครองราชย์     ในต้นรัชกาลที่ 4  เจ้าฟ้ากลางทรงกลายเป็นพระราชวงศ์ที่มีฐานันดรศักดิ์สูงสุด   เพราะเป็นเจ้านายชั้นเจ้าฟ้าเพียงองค์เดียว   ไม่นับเจ้าฟ้าจุฑามณีที่ทรงได้รับบวรราชาภิเษกขึ้นเป็นพระมหากษัตริย์พระองค์ที่ 2  ไปแล้ว   ถ้านับตามลำดับเจ้าฟ้ากลางท่านก็อยู่อันดับ 3 ในแผ่นดิน


กระทู้: ขัติยราชปฏิพัทธ รักเร้นในพระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัย
เริ่มกระทู้โดย: เทาชมพู ที่ 07 ก.พ. 24, 19:34
     พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าฯจึงพระราชทานพระนามใหม่ให้สมพระเกียรติว่า "เจ้าฟ้ามหามาลา" และพระราชทานพระสุพรรณบัฏจารึกพระนามว่า สมเด็จพระเจ้าน้องยาเธอ เจ้าฟ้ามหามาลา อิศวราธิราชรวิวงศ์ บรมพงศ์ปฏิพัทธ์ บุรุษรัตน์วโรภโตสุชาติ บริษัทยนาถนรินทราธิบดี ให้ตั้งเจ้ากรมเป็นกรมหมื่นบำราบปรปักษ์    ทรงบังคับบัญชากรมพระภูษามาลาคลังวิเศษคลังข้างใน
       เจ้าฟ้ามหามาลา กรมหมื่นบำราบปรปักษ์ทรงรับราชการได้เรียบร้อยถี่ถ้วน เป็นที่ไว้วางพระราชหฤทัย ในวันที่ 9 สิงหาคม พ.ศ. 2410 ได้รับพระกรุณาโปรดเกล้าฯ สถาปนาขึ้นเป็นสมเด็จพระเจ้าน้องยาเธอ เจ้าฟ้ามหามาลา กรมขุนบำราบปรปักษ์  ต่อมาได้สำเร็จราชการในกรมใหญ่น้อยต่างๆ หลายกรม คือกรมวัง กรมภูษามาลา กรมช้าง กรมพระธรรมการและโหรพราหมณ์เป็นต้น
     ต่อมาใน พ.ศ. 2421  เจ้าพระยาภูธราภัย (นุช  บุณยรัตพันธุ์) ที่สมุหนายกถึงอสัญกรรม จึงทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้สำเร็จราชการสิทธิขาดในกรมมหาดไทย  เมื่อพ.ศ. 2428  ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้สถาปนาเป็นสมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ เจ้าฟ้ามหามาลา กรมสมเด็จพระบำราบปรปักษ์


กระทู้: ขัติยราชปฏิพัทธ รักเร้นในพระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัย
เริ่มกระทู้โดย: เทาชมพู ที่ 07 ก.พ. 24, 19:53
  หลังจากพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าฯเสด็จสวรรคต  พระบรมวงศานุวงศ์ และขุนนางชั้นผู้ใหญ่ประชุมกัน เห็นพ้องกันว่าถวายราชสมบัติให้สมเด็จพระเจ้าลูกยาเธอ เจ้าฟ้าจุฬาลงกรณ์ กรมขุนพินิตประชานาถ พระราชโอรสองค์ใหญ่  เป็นพระเจ้าแผ่นดินองค์ใหม่    โดยมีเจ้าพระยาศรีสุริยวงศ์ (ช่วง บุนนาค) เป็น “ผู้สำเร็จราชการ” จนกว่าพระเจ้าแผ่นดินใหม่จะมีพระชนมายุครบ 20 พรรษา  ภายหลังก็มีการตั้ง สมเด็จฯ เจ้าฟ้ามหามาลา ขึ้นเป็น ผู้สำเร็จราชการคนที่ 2
   เหตุผลสำคัญคือบัดนี้  เจ้าฟ้ามหามาลาทรงเป็นพระบรมวงศานุวงศ์ที่มีฐานันดรสูงสุด  ทรงเป็นพระราชปิตุลา (อา) ของพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว  นอกจากนี้เป็นบุคคลที่ค่อนข้างเก็บตัว ไม่ฝักใฝ่ฝ่ายใด ทรงสันทัดงานภายในราชสำนักที่เรียบง่าย และไม่ผาดโผน  ได้แก่ ภารกิจภายในกรมวัง กรมพระคชบาล และกรมสังฆการีธรรมการ    รอบรู้ในศิลปศาสตร์ต่าง ๆ เช่นเรื่องราชประเพณี พงศาวดาร พุทธศาสตร์ ไสยศาสตร์ ภูมิศาสตร์ เลขะวิทยา สรภาณ มนตราและพยากรณ์ แพทยศาสตร์ ธาตุมิศการ นวกรรม หัตถโกศล รัตนศาสตร์ ภูตศาสตร์ ดุริยานยุต นัจจะเวธี กิฬาโกศล และสูทศาสตร์  แต่ไม่เกี่ยวกับการบริหารบ้านเมือง  ก็นับวา่เป็นบุคคลที่เหมาะสมจะรับตำแหน่งหน้าที่ ที่จะช่วยรักษาความเป็นกลางทางการเมืองไว้    ไม่ทำให้คลื่นลมที่แรงในยุคต้นรัชกาลที่ 5  ต้องแรงมากขึ้น


กระทู้: ขัติยราชปฏิพัทธ รักเร้นในพระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัย
เริ่มกระทู้โดย: เทาชมพู ที่ 07 ก.พ. 24, 19:55
     สมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ เจ้าฟ้ามหามาลา กรมสมเด็จพระบำราบปรปักษ์สิ้นพระชนม์เมื่อวันที่ 1 กันยายน  พ.ศ.2429  พระชนมายุได้ 68 ปี  ทรงเป็นต้นราชสกุลมาลากุล
      ต่อมา ในรัชกาลพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว  เฉลิมพระยศขึ้นเป็น  สมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ เจ้าฟ้ามหามาลา กรมพระยาบำราบปรปักษ์


กระทู้: ขัติยราชปฏิพัทธ รักเร้นในพระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัย
เริ่มกระทู้โดย: Rangson Boontham ที่ 11 ก.พ. 24, 21:42
ขอบคุณ อ.เทาชมพู และทุกท่านที่กรุณานำเรื่องนี้มาให้อ่านครับ เห็นใจเจ้าฟ้าทั้ง 2 องค์ ได้ฟังนิยายเรื่อง บุญบรรพ์ ทางวิทยุศึกษาอยู่พักหนึ่ง แต่ตามไปซื้อหนังสือไม่ทัน จึงสงสารเจ้าคุณจอมมารดาเรียมอีกหนึ่งท่านเป็นทุน อ่านกระทู้ถึงตอนนี้นึกๆดูก็เห็นว่าความรักฉันสามีภรรยาดูจะไม่ค่อยยั่งยืน เหมือนอย่างวรรณคดีเรื่องขุนช้างขุนแผนตอนที่นางบัวคลี่ถูกพ่อของนางสั่งให้วางยาฆ่าขุนแผน นางก็เชื่อฟังพ่อ "อันสามีเขาจะรักเพียงไหน ลงบันไดสามขั้นก็ขาดผัว ที่ตรงท่านพ่อแม่จนแก่ตัว ถึงลูกชั่วฉันใดไม่ขาดกัน " จาก FB ห้องสมุด มสธ. แต่ความรักของแม่กับลูกนี่อยู่ยาวตลอดไป ตั้งแต่คุณหญิงนาคกับพระราชโอรสธิดาหรือจะเจ้าฟ้าบุญรอดกับพระราชโอรส ฯลฯ ครับ


กระทู้: ขัติยราชปฏิพัทธ รักเร้นในพระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัย
เริ่มกระทู้โดย: เทาชมพู ที่ 12 ก.พ. 24, 07:54
      ขอบคุณที่ติดตามอ่านและแสดงความคิดเห็นค่ะ
      สังคมไทยตั้งแต่สมัยอยุธยา อนุญาตให้ชายมีภรรยาได้หลายคนพร้อมกัน เป็นเรื่องถูกต้องตามกฎหมาย   (แต่ผู้หญิงถ้ามีชายอื่นนอกจากสามีจะผิดกฎหมาย ถูกลงโทษอย่างหนัก)     ถ้าเอามาตรฐานปัจจุบันไปวัดก็ไม่ยุติิธรรมกับเพศหญิง  แต่ยุคนั้นถือเป็นเรื่องธรรมดา  เป็นหน้าที่ภรรยาต้องยอมรับโดยดี
      สมเด็จพระอมรินทรฯ ในรัชกาลที่ 1  ดูว่าท่านไม่รับกฎหมายข้อนี้เลย    ส่วนสมเด็จพระศรีสุริเยนทราฯ ท่านทรงรับอนุภรรยาได้ แต่รับภรรยาเอกคู่คี่หรือเหนือท่านไม่ได้   จึงต้องจบลงด้วยการแยกทางกัน


กระทู้: ขัติยราชปฏิพัทธ รักเร้นในพระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัย
เริ่มกระทู้โดย: superboy ที่ 12 ก.พ. 24, 13:01
ช่วงนี้ผมติดซีรีส์จีนเรื่องราวในวังหลังยุคโน้นนั้นนี้ หนึ่งในภารกิจสำคัญของฮ่องเต้คือผลิตโอรสสวรรค์ เพื่อให้ราชวงศ์ไม่ขาดตอนแผ่นดินอยู่เย็นเป็นสุข มีโอรสแค่พระองค์เดียวถ้าไม่แข็งแรงก็ลำบาก มีโอรสหลายพระองค์ก็แกร่งแย่งชิงอำนาจสร้างความวุ่นวายทั่วแคว้น ใครแพ้กลายเป็นอ๋องถูกเฉดหัวส่งไปอยู่แคว้นชายแดน ในวังหลังก็แย่งชิงอำนาจตลอดเวลาสนุกมากไม่ต่างจากวังหน้า

หลายเหตุการณ์ในสมัยก่อนมีเหตุและผลแตกต่างจากปัจจุบัน เนื่องจากเมืองไทยไม่มีใครสร้างซีรีสประเภทนี้ (หรือมีแต่ผมไม่เห็น?) คนไม่ชอบอ่านหนังสือเลยค่อนข้างห่างเหินจากเรื่องในอดีต แม้ถูกดัดแปลงเพื่อการพาณิชย์มากบ้างน้อยบ้างก็ยังอ้างอิงเรื่องจริง เป็นเค้าโครงให้คนสนใจติดตามข้อมูลด้วยตัวเองต่อไป

แต่ซีรีสจีนยาวมากใส่อะไรเข้ามาเยอะมาก บางช่วงผมแผ่ดูผ่านๆ อะไรจะดราม่าเบอร์นี้


กระทู้: ขัติยราชปฏิพัทธ รักเร้นในพระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัย
เริ่มกระทู้โดย: เทาชมพู ที่ 22 ก.พ. 24, 20:07
 ในยุคก่อนมีหนังจีนทางทีวี  คนไทยยุคคุณปู่คุณทวดอ่านเกร็ดพงศาวดารจีนกัน  เรื่องก็คล้ายๆกับคุณ Superboy เล่า  คือดราม่ากันในวังหลวง  แย่งชิงบัลลังก์ หักหลังฆ่าฟันกันจนกระทั่งผู้มีบุญมาเกิด ก็ยกทัพเข้ามายึด สถาปนาราชวงศ์ใหม่ขึ้นมา
  ละครโทรทัศน์ที่อิงเรื่องประวัติศาสตร์ไทย มีให้ดูหลายเรื่องค่ะ    ตามดูใน Netflix ได้ อย่างบุพเพสันนิวาส และพรหมลิขิต

    ความจริงไทยเราก็มีประวัติศาสตร์ที่สีสันเข้มข้นไม่น้อยไปกว่าจีน    สมัยอยุธยานั้นเกิดดราม่ากันเกือบจะทุกรัชสมัย   ขึ้นอยู่กับว่าใครจะหยิบตรงไหนมาทำละคร  เรื่องราวอย่างพันท้ายนรสิงห์ นายขนมต้ม  พระยาพิชัยดาบหัก  คุณ Superboy น่าจะเคยผ่านหูผ่านตามาแล้ว


กระทู้: ขัติยราชปฏิพัทธ รักเร้นในพระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัย
เริ่มกระทู้โดย: paganini ที่ 07 มี.ค. 24, 21:14
ลงชื่อเริ่มอ่านครับ

ขอบอกว่าเมื่อผมมาเยือนเรือนไทย ถ้าเจออภิมหาซีรียส์เช่นเรื่องจอมพล ป. เรียกว่านั่งอ่านกันข้ามวันเลยทีเดียว แต่หลังๆนี้จังหวะชีวิตไม่อำนวยให้ทำแบบนั้นแล้ว เลยต้องกระมิดกระเมี้ยนอ่านไปวันละนิดหน่อยครับ


กระทู้: ขัติยราชปฏิพัทธ รักเร้นในพระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัย
เริ่มกระทู้โดย: เทาชมพู ที่ 08 มี.ค. 24, 14:37
กว่าจะอ่านจบ  กาแฟเย็นก็คงหมดพอดีค่ะ