ต่อไปเป็นนิทาน ปู่สังกะสา-ย่าสังกะสี ฉบับอีสาน
จากเนื้อหา จะเห็นได้ชัดเจนว่า นิทานเรื่องนี้ ผูกขึ้นมาหลังจากที่ลัทธิบูชาผีบรรพบุรุษ ได้ผสมเข้ากับพุทธศาสนาแล้ว ดังนั้น โครงเรื่องที่ใช้จึงนำมาจากคัมภีร์ที่มีเนื้อหาเกี่ยวกับการสร้างจักรวาล การสร้างโลก (ซึ่งพุทธศาสนาเองก็ได้อิทธิพลทางปรัชญานี้มาจากศาสนาพราหมณ์โบราณ) ซึ่งสามารถหาอ่านได้ใน จักกวาฬทีปนี หรือ ไตรภูมิพระร่วง
--------------------------------------------------
บทความนี้มาจาก อนุรักษ์อีสานบ้านเฮา
http://www.easan.org (ปัจจุบันไม่อยู่แล้วครับ แต่โชคดีที่ Google สำรองข้อมูลไว้)
วัน อังคาร 02 พ.ย. 04@ 10:49:31 ICT
หัวข้อ: ตำนานอีสาน
ตำนานความเชื่อ เรื่อง ปู่สังกะสา-ย่าสังกะสี
กาลครั้งหนี่งนานมาแล้ว ได้เกิดแผ่นดินและสิ่งมีชีวิตขึ้นในโลกนี้ มีทั้งสวรรค์นรก อเวจี ครุฑ นาค เทวดา พระอินทร์ พระพรหม และพระอาทิตย์พระจันทร์แต่ยังไม่มีแสงส่องพื้นโลก ได้บังเกิดมีอากาศแปรปรวน มืดมัว นานเข้าก็บังเกิดมีเมฆ ควันลอยอยู่ในอากาศ มีลมแรงพัดเมฆควันลอยไปมา เคว้งคว้างไปทางเหนือทีหนึ่ง แล้วก็ลอยมาทางใต้หาทิศทางไม่ได้ เป็นอย่างนั้นอยู่นานแสนนานจึงได้บังเกิดเป็นน้ำ มหาสมุทร ในคัมภีร์เรียกว่า " ปฐมมูล ปฐมกัป "
ก่อนที่จะมีปลาอานนท์หนุนแผ่นดินนั้น มีเพียงมหาสมุทรลอยไปมาอยู่ในอากาศ ลมพัดลอยเคว้งคว้างไปมาหาทิศทางไม่ได้ ลมพัดน้ำอยู่นานจนเกิดเป็นแผ่นดินเล็ก ๆ คือ "แผ่นดินท่อฮอยไก้ ต้นไม่ ท่อลำเทียน" (เป็นคำในภาษาอีสาน หมายถึง แผ่นดินเท่ากับรอยกระจง และต้นไม้เท่าลำเทียน) ลมพัดจนแผ่นดินเล็ก ๆ นี้แยกออกเป็นสองส่วน ลอยไปในมหาสมุทร ล่วงเวลาต่อมาอีกนานแผ่นดินทั้งสองก็เริ่มขยายตัวใหญ่ขึ้น บังเกิดมนุษย์ผู้ชายอยู่บนแผ่นดินหนึ่งชื่อว่า "ปู่สังไกยสา" และเกิดมนุษย์ผู้หญิงอีกแผ่นดินหนึ่งชื่อว่า "ย่าสังไกยสี"
มนุษย์คู่แรกทั้งสองนี้เกิดจากการรวมตัวของสรรพสิ่งต่างๆ ปั้นรูปสัตว์ก็เป็นสิ่งมีชีวิตจริงๆ มนุษย์คู่แรกทั้งสองนี้ได้สร้างสรรพสิ่งขึ้นในโลก
อยู่ต่อมาเกิดลมพายุพัดพาแผ่นดินทั้งสองลอยไปตามน้ำมาพบกัน ปู่สังไกยสา ย่าสังไกยสี ก็ได้พูดคุยกัน และอยู่ด้วยกัน แล้วจึงคิดจะสร้างมนุษย์ชายหญิงเพิ่มเติมเพราะรู้ว่าการที่มีผู้คนมาก ๆ จะสนุกสนานกว่าอยู่ผู้เดียวเหมือนแต่ก่อนที่แผ่นดินยังแยกกัน มนุษย์ชายหญิงที่ปู่สังไกยสา ย่าสังไกยสี สร้างขึ้นมามากมาย รวมกันอยู่
ครั้นอยู่รวมกันนานวันเข้า ธรรมชาติก็ดลใจให้เกิดตัณหาแก่มนุษย์ทั้งหลาย คนที่มีตัณหาสมสู่กันจึงมีลูกหลานสืบต่อมา เพราะมีตัณหาสมสู่กันมนุษย์ที่ปู่สังไกยสา ย่าสังไกยสี สร้างมานั้นจึงมีรูปร่างเปลี่ยนเป็นแก่ชรา และมนุษย์ชายหญิงก็ยิ่งมากทวีคูณสืบต่อมาถึงทุกวันนี้
ในตำนานยังเล่าถึงการสร้างโลกสร้างจักรวาลของปู่ย่าทั้งสองว่า ครั้นสร้างมนุษย์ชายหญิงแล้ว ปู่ย่าทั้สองก็สร้างเขาพระสุเมรุเป็นแกนกลางของจักรวาล มีทวีปทั้งสี่ คือ
=> ชมพูทวีป
=> อุตรกุรุทวีป
=> บรพวิเทหทวีป
=> และ อมรโคยานทวีป
อยู่ทั้งสี่ทิศของเขาพระสุเมรุ สร้างเขาสัตภัณฑ์คีรี 7 เทือกเขาล้อมรอบเขาพระสุเมรุ (มี เนมินธร ยุคธร อิสินธร กรวิก สุทัสน์ อัสกัณ และวิตกคีรี) มีแม่น้ำล้อมรอบเขาทั้งเจ็ดคาดว่าจะเป็นทะเลสีทันดร หลังจากนั้นก็ให้พระอาทิตย์และพระจันทร์ส่องแสงและเดินรอบจักรวาล ทวีปทั้งสี่ก็ได้รับแสงอาทิตย์โดยครบถ้วน แล้วจึงเกิดราศี 12 ราศี และฤดูทั้งสาม มีพระอาทิตย์เป็นตาโลกมาตั้งแต่ปฐมกัป ชักรถผ่านเขาพระสุเมรุผ่านจักรวาลโดยรอบ และเดินเร็วกว่าพระจันทร์ พระจันทร์จึงถูกพระอาทิตย์บังแสงเกิดเป็นเดือนดับ (ข้างแรม) และหากพระอาทิตย์ไม่บังแสงจันทร์จะเกิดเดือนเพ็ญ (เดือนเต็มดวงในวันเพ็ญ)
ณ ... ชมพูทวีป ที่เชิงเขาพระสุเมรุมีทางน้ำไหลออกมา 4 ทาง คือ ทางปากราชสีห์ ทางปากช้างแก้ว ทางปากม้าและทางปากวัวอุสุภราช ไหลรอบเขาพระสุเมรุออกมาผ่านโขดหิน ภูผาจนมาเป็น แม่น้ำมูล แม่น้ำโมง และแม่น้ำอโนมา มีสระอโนดาตน้ำใสสะอาด พื้นเป็นทรายเงินทรายทองริมท่าน้ำ ปู่สังไกยสาย่าสังไกยสีได้ตกแต่งเป็นที่บำเพ็ญเพียรของพระพุทธเจ้า และพระปัจเจกพุทโธ (พระพุทธเจ้าที่ตรัสรู้แต่ไม่ได้ตั้งตนเป็นศาสดาสั่งสอนพระธรรม) และพวกฤาษี
ณ ที่แห่งนั้นได้เกิดดอกไม้งามสะพรั่งในบริเวณฝั่งน้ำ ทั้งแม่น้ำคงคา ยมุนา อจิรวดี สรภู มหิมหาสาคเรศ น้ำไหลเรื่อยต่อไป แผ่กว้างสาขาอยู่ในชมพูทวีป มีแม่น้ำของ(โขง) เป็นเค้าในภาคพื้นชมพูทวีปและมีเกาะลังกาอยู่ฟากน้ำ ปู่สังไกยสาย่าสังไกยสี เป็นสามีภรรยาที่สร้างสรรพสิ่งในโลก และได้สั่งสอนให้มนุษย์โลกตั้งตนอยู่ในศีล สร้างกุศลบำเพ็ญ เพื่อจะได้ไปเกิดในสวรรค์ หากใครอยากจะไปเกิดอยู่ในนรกอเวจี ก็ให้สร้างกรรมเวร จะได้จมอยู่ใต้นรกอเวจี-------------------------------------------------------------