เรือนไทย

 ได้ยินประโยคนี้อยู่บ่อยๆ ในช่วงหน้าฝนแบบนี้ จริงๆ แล้ว มีที่มาอย่างไรคะ แล้วมีแค่ประโยคเดียว หรือมีมากกว่านี้คะ  ขอบคุณค่ะ

 มาจากคำทำนาย โบร่ำโบราณอะไรสักอย่างค่ะ
จำได้แค่นี้เอง
ดูเหมือนจะเกี่ยวกับน้ำท่วมโลก

 นึกว่ามาจากบทประพันธ์ของท่านอังคารซะอีก
สำนวนแนวๆนี้

 ว่าจะตอบคุณ paganini แล้วไม่ได้ตอบ
งานของคุณอังคาร กัลยาณพงศ์ ที่เอ่ยถึง  ชื่อว่า "วักทะเล"
เป็นวรรณกรรมในแนว surrealism ที่โดดเด่นชิ้นหนึ่งเมื่อ 40 กว่าปีก่อนค่ะ

วักทะเลเทใส่จาน...........รับประทานกับข้าวขาว
เอื้อมเก็บบางดวงดาว......มาคลุกข้าวซาวเกลือกิน
ดูปูหอยเริงระบำ.............เต้นรำทำเพลงวังเวงสิ้น
กิ้งก่ากิ้งกือบิน................ไปกินตะวันและจันทร์
คางคกขึ้นวอทอง.......... ลอยล่องท่องเที่ยวสวรรค์
อึ่งอ่างไปด้วยกัน............เทวดานั้นหนีเข้ากะลา
ไส้เดือนเที่ยวเกี้ยวสาว.... อัปสรหนาวสั่นชั้นฟ้า
ทุกจุลินทรีย์อมิบ้า.......... เชิดหน้าได้ดิบได้ดี
เทพไท้เบื่อหน่ายวิมาน....ทะยานลงดินมากินขี้
ชมอาจมว่ามี..................รสวิเศษสุดที่กล่าวคำ      
ป่าสุมทุมพุ่มไม้.............. พูดได้ปรัชญาลึกล้ำ
ขี้เลื่อยละเมอทำ.............. คำนวณน้ำหนักแห่งเงา
วิเศษใหญ่ใคร่เสวยฟ้า..... อยู่หล้าเหลวเลวโง่เขลา
โลภโกรธหลงมอมเมา...... งั่งเอาเถิดประเสริฐเอย

 มาจากความเชื่อของมนุษย์เกี่ยวกับวันสิ้นโลก
ในทางพุทธศาสนาเชื่อว่า เมื่อพุทธันดรนี้สิ้นสุดลงจะบังเกิดไฟบรรลัยกัลป์เผาผลาญโลก
โลกธาตุย่อมพินาศลงด้วยเหตุทั้ง ๓ ประการ คือ ราคะ โทสะ โมหะ
เมื่อสัตว์โลกมากด้วยราคะแล้ว เมื่อถึงกาล จักต้องพินาศลงด้วยไฟ เหตุด้วยราคะนั้นร้อนเหมือน…ไฟ
เมื่อสัตว์โลกมากด้วยโทสะ จักต้องพินาศด้วยน้ำ เหตุด้วยโทสะนั้นร้ายเหมือน…น้ำกรด
เมื่อสัตว์โลกมากด้วยโมหะ จักต้องพินาศด้วยวาตะ เหตุด้วยโมหะเหมือนหนึ่ง…ลมกรด

ไม่แต่เพียงพุทธศาสนาเท่านั้น ศาสนาเก่าแก่ของโลกที่มีกำเนิดในตะวันออกกลางอีก 3 ศาสนา
ได้แก่ ศาสนาคริสต์ ศาสนาอิสลาม และศาสนาจูเดอิ ก็มีความเชื่อว่าหลังจากการทำลายล้างโลกแล้ว
โลกจะเข้าสู่ยุคที่มีแต่สันติภาพ มนุษย์ล้วนเพียบพร้อมด้วยคุณธรรม ศีลธรรม
พืชพันธุ์ธัญญาหารจะอุดมสมบูรณ์ประดุจทิพยวิมาน
เช่นที่ศาสนาพุทธนิยามว่า “ยุคพระศรีอาริย์”
หรือที่รู้จักกันตามหนังสือของโทมัส มัวร์ ว่าโลกยูโธเปีย (Utopia: ou = no, topos = place)
ในความหมายที่รู้จักมักคุ้น คือความพยายามที่จะสร้างสันติสุขในมวลมนุษยชาติและสรรพสัตว์ทั้งหลายนั่นเอง

ในเจเนซีส มีการจารึกเรื่องราวที่พระเจ้าเสด็จมาบอกโนอาห์ให้สร้างเรือขึ้น
เพื่อช่วยชีวิตสัตว์บนโลกนี้ ก่อนที่พระองค์จะบันดาลให้เกิดน้ำท่วมโลก
เพื่อชำระล้างความชั่วร้ายของเหล่ามนุษย์

โนอาห์เป็นสัตตบุรุษ (ผู้รู้/คนดี) ที่พระเจ้าสร้างขึ้น เป็นบุตรชายของพระเจ้า
และต่อมาได้ไปแต่งงานกับสตรีสายอื่นๆ ลูกหลานที่เกิดขึ้นมาในเจนเนอเรชั่นถัดๆไป
มีความกรุณาน้อยลง แต่ใจร้าย ทะเลาะวิวาทกันมากขึ้น

"And they came to Noah, two by two, male and female of every living creature,
just as God had commanded."

And the LORD was sorry that He had made man on the earth, and He was grieved in His heart.
And the LORD said, "I will blot out man whom I have created from the face of the land,
from man to animals to creeping things and to birds of the sky;
for I am sorry that I have made them". (Gen 6:5-7)

 ปัจจุบันที่เห็นการใช้ "น้ำท่วมฟ้า ปลากินดาว" มักต่อเป็นคำคล้องจองสั้นๆ ประณามคนคดโกงแผ่นดิน ที่ว่าการเบียดเบียนสรรพสัตว์ เป็นสิ่งพึงรังเกียจ และแช่งให้ผู้กระทำจักพบพานความหายนะในบั้นปลายค่ะ

 สุดยอดเลยครับ

 สุดยอดเลยครับ ละเอียดดีจังเลย ขอบคุณครับ

 ผมไม่แน่ใจว่า ประโยค "น้ำจะท่วมฟ้า ปลาจะกินดาว"

เป็นพุทธทำนาย (จากคนสมัยหลัง) หรือเปล่า

เท่าที่อ่านดูข้างบน เข้าใจว่า ประโยคนี้จะเป็นเหตุการณ์ของการม้างกัป หรือเปล่าครับ .... คือจากนี้ก็ต้องเป็นหลังสมัยของพระพุทธเจ้าศรีอาริยเมตเตยฺย

หรือว่ามันจะเป็นเหตุการณ์ในช่วงสิ้นพระศาสนาของพระพุทธเจ้าโคตมะกันแน่ครับผม

 พุทธประวัติ นึกไม่ออกว่ามีตอนไหนเล่าถึงน้ำท่วมโลก

แต่ที่จำได้คือในศาสนาพราหมณ์    เล่าไว้ในปางอวตารปางหนึ่งของพระนารายณ์  เรียกว่า "มัตสยาวตาร"
พระนารายณ์แปลงเป็นปลาใหญ่ จูงเรือของพระมนู ให้พ้นจากน้ำท่วมโลก
พระมนูก็เลยเป็นบรรพบุรุษของมนุษย์ทุกวันนี้

หาอ่านได้ในพระราชนิพนธ์ ลิลิตนารายณ์สิบปาง ในพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว ค่ะ

 ตำนานของชาวสุเมอเรียน (ลุ่ม น. ไทกรีส-ยูเฟตีส)   ใน   The Epic of  Gilgamesh เป็นอีกเรื่องหนึ่งที่คล้ายโนอาห์
เรื่องนี้และไบเบิลต่างก็ใช้น้ำท่วมเป็นสัญลักษณ์ในการทำลายล้างเผ่าพันธุ์มนุษย์ และเกิดโลกใหม่แห่งสันติสุข