เขียน “เรื่องสั้น” ด้วยวิธีง่ายๆ กับชมัยพร แสงกระจ่าง
โดย ชมัยภร แสงกระจ่าง นายกสมาคมนักเขียนแห่งประเทศไทย
“เรื่องที่จะอามาเขียนต้องประทับใจสุดๆ มีแรงปรารถนามากที่สุด ถามตัวเองว่าตั้งแต่มีชีวิตมา อ่านชีวิตรอบๆ ตัว ทำข่าวที่หาข้อมูลมาทั้งหมด มีเรื่องอะไรกระทบใจสุด อยากเขียนมากที่สุด อะไรที่ร้ายแรง เศร้าที่สุดในชีวิตเรา ความตายครั้งแรกทีเรารู้จัก ของเหล่านี้กระตุ้นเรา เป็นกุญแจสำคัญที่จะไข ชีวิตเรา” คำกล่าวของ ชมัยภร แสงกระจ่าง นายกสมาคมนักเขียนแห่งประเทศไทย กำลังจุดประกายต่อมความอยากเขียนของคนข่าวขึ้นมา
คุณชมัยภร เริ่มต้นโดยให้ความรู้เรื่องการเขียนเรื่องสั้นว่า งานเขียนเรื่องสั้นเป็นอะไรก็ได้ที่ไม่ใช่ข่าว อะไรก็ได้ที่มีวรรณศิลป์เข้ามา หลายคนอาจจะรู้สึกแยกไม่ออกระหว่างวรรณศิลป์กับข่าว ขออธิบายว่า ตัววรรณกรรมคือตัวข้อเท็จจริง ผสมจินตนาการ จินตนาการคือสิ่งที่เราคิดไปข้างหน้าไปก่อน หรือจินตนาการมีเบื้องลึกเบื้องหลัง ดังนั้นใครที่เห็นสิ่งใดสิ่งหนึ่งแล้วมีมีจิตนาการขึ้นมาปั๊บ อันนั้นคือเราฝึกใช้จิตนาการอยู่บ่อยๆ เราชอบใช้ ถ้าเราเป็นนักข่าวเราอยากรู้อย่างเห็น และต้องไปหาข้อมูล หาข้อเท็จจริงเหตุใดจึงเกิดสิ่งนี้ขึ้น แต่นักเขียนอาจจะต้องไม่ไปหาข้อมูล แต่ใช้จินตนาการว่าเหตุใดจึงเกิดสิงนี้ขึ้น ผูกมาเป็นเรื่อง แต่นักข่าวเขียนข้อเท็จจริง
ความต่างของ 2 เรื่องในสมัยก่อนต่างกันชัดมาก คือข่าวเป็นลักษณะรายงาน ขณะที่จินตนาการเป็นลักษณะเรื่องแต่ง แต่ในปัจจุบันเราจะเห็นว่าโลก 2 โลกเชื่อมเข้าด้วยกัน จะเห็นงานสารคดี จำนวนมากเขียนเหมือนนวนิยาย สาระนิยายบางเรื่องมีตัวละครที่ไม่ใช่ตัวจริง แต่สารคดีมันมีตัวจริง
การเขียนเรื่องสั้นจะทำยังไงให้เข้าอยู่ในกรอบ คุณชัมยพรอธิบายว่า เรื้องสั้นที่มีความยาว 1-2 หน้า เอ4 เป็นเรื่องสั้นขนาดสั้น แต่ไม่ใช่เขียนง่ายๆ เขียนยากมาก คือจะเอาประเด็นที่สำคัญไปอยู่ใน 2 หน้าได้ยังไง ขณะเรื่องสั้นที่อ่านทั่วไป มีประมาณมี 5-8 หน้าก็ได้ หรือมากกว่านั้น แต่ไม่ควรเกิน 15 หน้า ส่วนเรื่องสั้นขนาดยาว คนที่ทำให้เกิดเรื่องสิ้นแบบนี้คือฝรั่ง เขาเขียนเรื่องสั้นยาวมาก เหมือนนิยายไทยเลย ประมาณ 30-50 หน้า
องค์ประกอบเรื่องสั้น กับองค์ประกอบนวนิยายต่างกัน
คุณชมัยพร อธิบายว่า เรื่องสั้นนั้นมีโครงเรื่องเดียว คือมีแนวคิดชัดเจน แก่นความคิดของเรื่อง แต่วางโครงเรื่อง เหตุการณ์ที่ต่อเนื่องกัน ตั้งแต่ต้นจนจบคือโครงเรื่องเดียว แต่ถ้าเหตุการณ์มีโรงเรื่องย่อยๆ ซ้อนๆ กันพ่วงเข้ามา มีที่มาซับซ้อนซ่อนเงื่อน คือนวนิยาย สรุปคือเรื่องสั้น เป็นโครงเรื่องเดียว ส่วนนวนิยาย มีโครงเรื่องเป็นพวงๆ เป็นชุด นำไปสู่ตัวละคร ใช้ตัวละคร 30 ตัวได้
เรื่องไหนก็ตามที่เป็นลักษณะนิยาย เราอ่านแล้วจะให้ความรู้สึกซาบซึ้ง ทีละนิด แต่เรื่องสั้น ต้องพุ่งตรงเจิมหน้าผากหงายทั้งยืน คือต้องแรงพอ เรื่องสั้นเหมือนลูกสร เหมือนธนู ยิงไปตรงแสกหน้าคนอ่านเลย ถ้ามีพลังพอ
นักเขียนนวนิยาย ก็เหมือนให้คนอ่านกินยาพิษ ซึมไปทีละนิด โดยให้ยาพิษซึมทั้งตัว จะเห็นว่านักเขียนที่หันไปเขียนนวนิยาย แล้วเขาจะไม่หันมาเขียนเรื่องสั้นอีก เพราะว่าเรื่องสั้นมันใช้พลังเยอะมาก เวลาที่เขาสร้างเรื่องสั้นเรื่องหนึ่งเขาใช้พลังเยอะพอๆ กับเขียนนวนิยายเลยเพื่อที่จะส่งไปให้เต็มที่ พอส่งไปแล้ว เหมือนเราจะต้องเอานักอ่านให้อยู่ด้วยธนูหนึ่งลูก แต่นักเขียนนวนิยายเอาผู้อ่านให้อยู่ด้วยยาพิษหนึ่งแก้ว พลังเท่ากันทำให้คนอ่านอยู่หมัดเหมือนกัน
เราจะเขียนเรื่องสั้นเขียนยังไง
นายกสมาคมนักเขียนแห่งประเทศไทย อธิบายว่า เวลาเราจะเขียนเรื่องสั้น โครงเรื่องง่ายๆ เราต้องมีตัวขึ้นต้นว่าจะขึ้นยังไง จะทำยังไงก็ได้ให้คนอ่านรู้สึกสนใจ บางคนขึ้นต้นด้วยความตื่นเต้น บางคนยิงกันเลยเปรี้ยงปร้าง บางคนระเบิด บางคนอาจจะขึ้นด้วยการพรรณา รำพันถึงฉากความงาม ทำยังไงให้ฉากนั้นเข้าไปอยู่ในใจ และต้องบอกด้วยว่าต้องขึ้นต้นฉากนั้นไปด้วยอะไร ต้องเลือกแล้วว่าทำไมเลือกฉากนี้ จะนำเสนออะไรต่อจากนี้
บางครั้งอาจจะขึ้นด้วยบทสนทนา ขึ้นต้นด้วยตัวละคร ขึ้นต้นด้วยฉากที่สำคัญที่สุด ขึ้นต้นด้วยความตื่นเต้น ขึ้นต้นด้วยเรื่องขนบแบบเฉยๆ ถ้าเรื่องข้างในมันดีทรงพลังเอารอด ขึ้นต้นด้วยเรื่องอะไรก็ต้องมีความสำคัญต่อเรื่อง ต้องคิดให้สัมพันธ์ต่อเรื่องที่เราจะเขียนต่อจากนั้น