มาเติมเกร็ดความรู้ สำหรับคนอ่านที่ไม่เข้าใจว่าสวดคฤหัสถ์คืออะไร
สำหรับคนที่เกิดไม่ทันหรือคาบลูกคาบดอก เกิดทันแต่ไม่เคยเห็นไม่เคยได้ยิน ...
ผมว่าได้อ่านงานเขียนหนังสือของ คุณตาอ้วนใหญ่ หรือ คุณครูสมาน นภายน ที่ผมคัดลอกเอามาให้อ่านอีกครั้งก็จะเข้าใจได้ไม่ยากนักนะครับ เพราะครูท่านเขียนหนังสืออ่านง่ายๆ ไม่ต้องแปล
เรื่องที่ผมหยิบยกมาให้ได้อ่านกันนั้นคือเรื่องของ การละเล่นสวดคฤหัสถ์ ซึ่งผมฟันธงว่าเป็นต้นกำเนิดของ จำอวด นั่นเอง
ครูใหญ่ นภายน ท่านเล่าเอาไว้ว่า
''การที่ผมพูดว่าการแสดงสวดคฤหัสถ์เป็นการละเล่นที่น่ายกย่องมากนัก ก็เป็นเพราะว่ามีผู้แสดงเพียงสี่คนเท่านั้น และก็นั่งแสดงอยู่บนเตียงแคบๆ ตามความสั้นยาวพอเหมาะกับสำหรับสี่คนนั่ง แถมยังต้องเสียเนื้อที่ด้านหน้าสำหรับตั้งหีบพระธรรมพร้อมกับตะเกียงทานหนึ่งดวงตามประเพณีเล่นสวดคฤหัสถ์ ส่วนผู้แสดงนั้นเขาก็จะนั่งเรียงกันเป็นแถวคล้ายพระท่านสวดพระอภิธรรมศพหลังหีบพระธรรม
ผู้ที่นั่งหัวแถวคนแรกเรียกว่า ตัวคุ้ย มีหน้าที่แสดงเป็นตัวหลัก ส่วนนั่งถัดไปเป็นคนที่สองเป็น แม่คู่คอหนึ่ง นั่งถัดไปเป็นคนที่สามเป็น แม่คู่คอสอง ส่วนคนที่สี่สุดท้ายนั้นเขาเรียกว่า ตัวภาษา มักจะทำหน้าที่เป็นตัวพระบ้าง ตัวนางบ้าง แล้วแต่ชุดที่จะแสดง สำหรับตัวตุ้ยกับตัวภาษานั้นจะมีกระเป๋าสำหรับเครื่องแต่งกายชุดต่างๆ วางไว้ที่ข้างหน้าคนละใบ
ท่านที่เคารพ ท่านลองนึกดูซิว่ามีการแสดงอะไรบ้างที่มีพื้นที่จำกัดบังคับให้ผู้แสดงนั้นใช้เพียงแต่ลุกขึ้นนั่งลงเท่านั้น แต่เขาก็สามารถแสดงกันได้อย่างสบายมาก เวลาจะเปลี่ยนเครื่องแต่งกายตามภาษาที่เล่น เขาก็จะเปลี่ยนและแต่งมันบนเตียงนั่นแหละ เพียงแต่มีตาลปัตรแบบที่พระท่านใช้สวดพระอภิธรรมศพมาบังไว้เท่านั้น เพราะว่าทุกคนมีตาลปัตรคนละหนึ่งอัน
ส่วนการแสดงอื่นๆ เช่น ลิเก จำอวด ลำตัด เพลงฉ่อย เสภารำ เขาจะยกพื้น มีที่กว้างให้แสดงกันอย่างเหลือเฟือ แถมยังมีดนตรีประกอบให้อีกด้วย เช่น ปี่พาทย์ กลองรำมะนา ลูกคู่อีกมากมาย ส่วนการเล่นสวดคฤหัสถ์นั้น เรียกว่าตัวใครตัวมัน ต้องช่วยกันเล่นช่วยกันร้อง บางครั้งเจ้าภาพรู้เท่าไม่ถึงการณ์ดันผ่าหาไปเล่นประชันโขนบ้าง ลิเกบ้าง ก็ต้องช่วยกันร้องตะเบ็งเสียงกันคอแทบแตกเพื่อสู้กับเสียงปี่พาทย์ แล้วอย่างนี้จะไม่ให้ผมยกย่องได้อย่างไร จริงไหมฮะ
ชุดต่างๆ ของการแสดงสวดคฤหัสถ์นี้เท่าที่ผมจำได้มีหลายชุดด้วยกัน อย่างเช่นชุดโนราห์ ผู้ที่แสดงเป็นตัวตลกก็จะต้องถอดเสื้อออก แล้วก็เอาผ้าโจงกระเบนที่นุ่งอยู่ลดลงไปไว้ที่ใต้สะดือ แล้วก็เอาแป้งมาผัดที่ขาอ่อน แล้วไปผัดที่พุง แล้วถึงจะไปผัดที่หน้า เท่านี้ก็เรียกเสียงฮาแล้ว ยังไม่ทันได้ร้องกลอนตลกเลย จากนั้นแม่คู่ก็ซักกันนิดหน่อยแล้วก็ร้องโนราห์''
หลับตานึกภาพจากการบอกเล่าของคุณครูใหญ่ นภายน แล้วน่าสนุกไม่น้อยเลย ไม่ทราบเหมือนกันว่าถ้าจะรื้อฟื้นจัดแสดงสวดคฤหัสถ์ย้อนยุคอีกสักครั้งจะหาใครมาเล่นได้บ้าง
http://www.siamdara.com/ColumnDetail.asp?cid=7945