กระทู้: จาก "หม่อมยิ่ง" ถึง พระศักดาพลรักษ์(เสข) เริ่มกระทู้โดย: เทาชมพู ที่ 25 ก.ย. 20, 08:22 ก่อนที่จะถูกถอดฐานันดรศักดิ์ลงเป็น "หม่อมยิ่ง" เจ้านายฝ่ายในพระองค์นี้ทรงมีพระนามว่า พระองค์เจ้ายิ่งเยาวลักษณ์ อรรคราชสุดา ประสูติเมื่อวันพุธที่ 21 มกราคม พ.ศ. 2395
ทรงเป็นพระองค์เจ้าสำดับสามในพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ประสูติแต่เจ้าจอมมารดาแพ (สกุลเดิม ธรรมสโรช)แต่เป็นพระราชธิดาพระองค์แรก ก่อนหน้านี้สมเด็จพระชนกนาถมีแต่พระราชโอรส 2 พระองค์ ประสูติก่อนเสด็จออกผนวชในปลายรัชกาลที่ 2 คือพระองค์เจ้านพวงศ์และพระองค์เจ้าสุประดิษฐ์ พระชนกนาถทรงเรียกพระองค์เจ้ายิ่งเยาวลักษณ์ว่า "แม่หนูใหญ่" ส่วนชาววังออกพระนามว่า เสด็จพระองค์ใหญ่ หรือ เสด็จพระองค์ใหญ่ยิ่ง ทรงมีพระอนุชาและพระขนิษฐาร่วมเจ้าจอมมารดา คือ พระเจ้าบรมวงศ์เธอ พระองค์เจ้าพักตร์พิมลพรรณ, พระเจ้าบรมวงศ์เธอ พระองค์เจ้าเกษมสันต์โสภาคย์ กรมหลวงพรหมวรานุรักษ์, พระองค์เจ้ามนุษยนาคมานพ สมเด็จพระมหาสมณเจ้า กรมพระยาวชิรญาณวโรรส และ พระเจ้าบรมวงศ์เธอ พระองค์เจ้าบัญจบเบญจมา กระทู้: จาก "หม่อมยิ่ง" ถึง พระศักดาพลรักษ์(เสข) เริ่มกระทู้โดย: เทาชมพู ที่ 25 ก.ย. 20, 08:54 พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว มีพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้พระราชธิดาได้ทรงศึกษาเล่าเรียนวิชาการสมัยใหม่ แอนนา ลีโอโนเวนส์ซึ่งเป็นครูสอนภาษาอังกฤษในพระบรมมหาราชวัง ประทับใจกับพระสิริโฉม พระฉวีอันงาม พระวรกายสมส่วนแบบบาง และแววพระเนตรนิ่งสงบของพระองค์เจ้ายิ่งเยาวลักษณ์ในพระชันษา 10 ปี
แอนนา ลีโอโนเวนส์ที่บันทึกไว้ว่า "...นอกจากโปรดให้ตามเสด็จแล้ว ในจดหมายเหตุต่าง ๆ ก็มีบันทึกไว้ว่าพระองค์ยิ่งเยาวลักษณ์ยังเป็นลูกสาวที่ปรนนิบัติพัดวีตราบจนพระบิดาสวรรคต" พระองค์เจ้ายิ่งเยาวลักษณ์คงจะทรงมีชีวิตที่ราบเรียบเช่นเดียวกับเจ้านายฝ่ายในพระองค์อื่นๆ ตลอดพระชนม์ชีพ ถ้าไม่ใช่เพราะมีเหตุอื้อฉาวเกิดขึ้นเมื่อพระชันษาได้ 34 ปีเศษ กล่าวคือเป็นที่เข้าใจกันในวังหลวงว่า เกิดประชวรเป็นโรคท้องมานอยู่หลายเดือน หมอไม่สามารถรักษาให้หายได้ ทำให้พระนาภีค่อยๆใหญ่ขึ้นทุกที เล่ากันว่าเจ้าจอมมารดาเปี่ยมได้ไปเข้าเฝ้าที่ตำหนัก ขอให้พระองค์หญิงเปิดพระภูษาเพื่อดูพระนาภี เมื่อเจ้าจอมมารดาเปี่ยมเห็นเช่นนั้นจึงทูลว่า "ขอประทานโทษเถอะนะเพคะ มองดูแล้วเหมือนกับคนท้องไม่มีผิด" พระองค์หญิงก็ทรงตอบว่า "ก็ดูเถอะค่ะ โรคเวรโรคกรรมอะไรก็ไม่รู้" กระทู้: จาก "หม่อมยิ่ง" ถึง พระศักดาพลรักษ์(เสข) เริ่มกระทู้โดย: unicorn9u ที่ 25 ก.ย. 20, 08:55 จองที่นั่งหน้าสุดครับวันนี้
กระทู้: จาก "หม่อมยิ่ง" ถึง พระศักดาพลรักษ์(เสข) เริ่มกระทู้โดย: เทาชมพู ที่ 25 ก.ย. 20, 08:56 ไม่นานหลังจากนั้น พระองค์เจ้ายิ่งเยาวลักษณ์ก็ประสูติทารกชายในตำหนัก แล้วเอาเด็กใส่กระโถนปิดฝาเอาไว้ พอดีพระเจ้าน้องนางเธอพระองค์หนึ่งเสด็จมาเยี่ยม แต่ได้ทรงเปิดดูกระโถนก็ทรงเห็นเด็กแดง ๆ ความจึงแตกออกมา
ดังปรากฏในจดหมายเหตุพระราชกิจรายวัน ลงวันที่ 19 กุมภาพันธ์ จ.ศ. 1245 (พ.ศ. 2429) บันทึกไว้ว่า "เกิดเป็นที่เสื่อมเสียพระเกียรติยศ คือพระองค์เจ้ายิ่งเยาวลักษณ์ซึ่งเดิมว่าเป็นโรคท้องมานนั้น ปวดครรภ์แลคลอดออกมาเป็นลูกชาย ที่เรือนภายในพระบรมมหาราชวัง สมเด็จกรมพระภาณุพันธุ กรมหมื่นนเรศร กรมหมื่นอดิศร กรมหลวงเทวะวงศ์ ได้จัดการที่จะชำระพิจารณาที่ได้เกิดขึ้นต่อไป แต่ลูกนั้นเอาออกไปไว้วังกรมหมื่นอดิศรอุดมเดช เวลา ๑๐ ทุ่ม สมเด็จกรมพระภาณุพันธุ์วงศ์วรเดช กรมหลวงเทวะวงศ์ได้ออกไปเมืองเพชรบุรี นำความนี้ออกไปกราบบังคมทูลพระกรุณา" กระทู้: จาก "หม่อมยิ่ง" ถึง พระศักดาพลรักษ์(เสข) เริ่มกระทู้โดย: เทาชมพู ที่ 25 ก.ย. 20, 09:00 มี "หรุ่ม" ของว่างชาววัง มาเสิฟนักเรียนค่ะ
กระทู้: จาก "หม่อมยิ่ง" ถึง พระศักดาพลรักษ์(เสข) เริ่มกระทู้โดย: Jalito ที่ 25 ก.ย. 20, 12:41 เข้ามายกมือแสดงตนครับ
กระทู้: จาก "หม่อมยิ่ง" ถึง พระศักดาพลรักษ์(เสข) เริ่มกระทู้โดย: เทาชมพู ที่ 25 ก.ย. 20, 13:14 สวัสดีค่ะคุณ Jalito เชิญนั่งแถวหน้าข้างหน้าต่างนะคะ
เราคงไม่ลืม ในเขตพระราชฐานชั้นในที่เจ้านายสตรีประทับอยู่ พร้อมกับบริวารอย่างนางข้าหลวงและบ่าวรับใช้ มีผู้ชายที่ไม่ใช่เด็กไว้จุกอยู่ได้เพียงคนเดียวคือพระเจ้าแผ่นดิน พระเจ้าลูกยาเธอพระองค์เล็กๆนั้น พอพระชันษามากพอจะโสกันต์ได้แล้วก็ต้องออกไปมีวังอยู่ข้างนอก ผู้หญิงที่อยู่ในวังหลวง-เว้นแต่เจ้าจอม-ต้องเป็นสาวโสดทั้งหมด ไม่ว่าเจ้านายหรือนางข้าหลวง ถ้าใครท้องขึ้นมาก็ต้องเป็นเรื่องใหญ่ขนาดฟ้าผ่า สั่นสะเทือนกันไปทั้งวัง ยิ่งถ้าเกิดกับเจ้านาย ก็เกินฟ้าผ่า ถึงขั้นสึนามิเลยทีเดียว ผู้เจอสึนามิเข้าเต็มๆคือบรรดาพระเจ้าน้องยาเธอที่เป็นหัวเรี่ยวหัวแรงของบ้านเมือง เนื่องจากช่วงนั้นพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าฯไม่ได้ทรงอยู่ในพระนคร แต่แปรพระราชฐานไปที่เพชรบุรี พระเจ้าน้องยาเธอเหล่านี้ทรงมีหน้าที่ดูแลความสงบเรียบร้อยทั้งในพระบรมมหาราชวังและในพระนคร กระทู้: จาก "หม่อมยิ่ง" ถึง พระศักดาพลรักษ์(เสข) เริ่มกระทู้โดย: เทาชมพู ที่ 25 ก.ย. 20, 13:15 เจ้านายที่ปรากฏพระนามในจดหมายเหตุพระราชกิจรายวัน ล้วนแต่เป็นพระเจ้าน้องยาเธอในพระเจ้าอยู่หัว จึงเป็นพระราชอนุชาในพระองค์เจ้ายิ่งเยาวลักษณ์ด้วย
ทั้งสี่พระองค์ได้แก่เจ้าฟ้าภาณุรังษีสว่างวงศ์ กรมพระยาภาณุพันธุวงศ์วรเดช ต้นราชสกุล ภาณุพันธ์, พระองค์เจ้ากฤษดาภินิหาร กรมพระนเรศรวรฤทธิ์ ต้นราชสกุลกฤดากร, พระองค์เจ้าศุขสวัสดี กรมหลวงอดิศรอุดมเดช ต้นราชสกุล ศุขสวัสดิ์ และพระองค์เจ้าเทวัญอุไทยวงศ์ สมเด็จกรมพระยาเทวะวงศ์วโรปการ ต้นราชสกุล เทวกุล ขณะนั้นทั้งสี่พระองค์ก็ยังหนุ่มๆ พระชันษา 20 ปลายๆถึง 30 ต้น ๆ กันทุกพระองค์ ก็คงเดากันได้ว่าจะทรงหนักพระทัยกันขนาดไหนที่จะต้องมาชำระความพระพี่นางพระองค์ใหญ่ที่พระชันษามากกว่าหลายปี และเป็นที่เคารพยำเกรงกันมาโดยตลอด พระองค์เจ้ายิ่งเยาวลักษณ์ทรงถูกพระราชอนุชา กรมหลวงอดิศรอุดมเดชสอบสวน แต่เท่าไหร่ๆก็ไม่ทรงยอมบอกท่าเดียวว่าผู้ชายตัวการนั้นคือใคร และเกิดเรื่องกันขึ้นมาได้อย่างไร ทั้งสี่พระองค์จะไปคาดคั้นบังคับ หรือลงทัณฑ์อะไรก็ไม่ได้ ในที่สุด กรมหลวงอดิศรก็ต้องเรียกข้าหลวงบ่าวไพร่ผู้ใกล้ชิดเสด็จพระองค์หญิงมาสอบสวนดะไปหมด กระทู้: จาก "หม่อมยิ่ง" ถึง พระศักดาพลรักษ์(เสข) เริ่มกระทู้โดย: เทาชมพู ที่ 26 ก.ย. 20, 09:00 ความก็แตกออกมาว่า มีบ่าวคนหนึ่งของพระองค์เจ้ายิ่งเยาวลักษณ์ ชื่อนางเผือก เป็นคนกลางชักนำเรื่องชู้สาว ระหว่างเจ้านายกับผู้ชายตัวการ ชื่อนายโต
นายโตเป็นสามัญชน ไม่มีสกุลรุณชาติหรือยศถาบรรดาศักดิ์ เดิมบวชเป็นพระอยู้วัดราชประดิษฐ์ สาเหตุที่เส้นทางชีวิตของนายโตพาดผ่านเส้นทางของพระราชธิดาพระเจ้าแผ่นดิน ก็เพราะเสด็จพระองค์หญิงทรงไปทำบุญที่วัดราชประดิษฐ์ เนื่องจากทรงรับเป็นโยมอุปัฏฐากพระในวัด ทรงให้นางเผือกเป็นคนนำข้าวปลาอาหารไปถวายพระเป็นประจำ รวมทั้งพระโตด้วย พระโตก็เลยสนิทสนมกับนางเผือก นางเผือกคนนี้เองเป็นแม่สื่อคนกลางติดต่อระหว่างเสด็จพระองค์หญิงและนายโต พระองค์เจ้ายิ่งเยาวลักษณ์ทรงประดิพัทธ์พระโต จนเมื่อพระโตสึกออกมา ก็หาที่อยู่แถวถนนเจริญกรุงให้พัก และส่งเงินส่งทองให้ จนพระโตคิดการใหญ่ ปีนกำแพงพระบรมมหาราชวังเข้าไปหาถึงพระตำหนัก กระทู้: จาก "หม่อมยิ่ง" ถึง พระศักดาพลรักษ์(เสข) เริ่มกระทู้โดย: เทาชมพู ที่ 26 ก.ย. 20, 09:03 ถึงเวลานัดนายโตก็แต่งกายเป็นผู้หญิง ปีนข้ามกำแพงวังทางพระที่นั่งศิวาลัยมหาปราสาท ซึ่งเป็นจุดที่รู้จักดีเพราะอยู่ทางด้านวัดราชประดิษฐ์
ก่อนหน้านี้นางเผือกคงมาดูลาดเลาและเคลียร์เส้นทางให้เรียบร้อยแล้ว จึงพานายโตที่แต่งกายเป็นหญิงเข้าไปถึงพระตำหนักได้ โดยไม่มีโขลนหรือใครในตำหนักอื่นสงสัย สมัยนั้นชายหญิงตัดผมสั้นเกรียนคล้ายๆกัน ไปไหนมาไหนก็นุ่งโจงกระเบนเหมือนกัน ถ้าเป็นผู้ชายรูปร่างสันทัด ไม่ล่ำสันบึกบึนก็คงปลอมเป็นหญิงได้ง่าย นอกจากนี้ ถึงข้าหลวงในตำหนักเสด็จพระองค์หญิงเกิดผิดสังเกตกับหญิงแปลกหน้า ก็คงไม่กล้าปริปากพูด เพราะมีนางเผือกเป็นคนกางกั้นอยู่ ไม่ให้คนอื่นๆเอะอะขึ้นมา นายโตจึงได้ลอบเข้าไปได้หลายครั้ง ค้างคืนได้ถึง 1 -2 คืน ก็ต้องถือว่านอกจากชะล่าใจแล้ว ยังกำแหงมากด้วย ในคำให้การ นายโตบอกว่าเข้าไป 4 ครั้ง แต่จริงๆแล้วน่าจะมากกว่านั้น ถ้าหากว่าเสด็จพระองค์หญิงไม่ทรงพระครรภ์ขึ้นมา นายโตคงลักลอบปีนเข้าปีนออกพระบรมมหาราชวังอยู่ได้อีกนาน เมื่อกรมหลวงหลวงอดิศรอุดมเดชทรงสอบสวนบรรดาข้าหลวงของเสด็จพระองค์หญิงจนได้ตัวนางเผือกแล้ว ขั้นต่อไปก็ง่าย เพราะนางเผือกไม่อาจปากแข็งต่อการสอบสวนได้นาน จึงสารภาพออกมาทั้งหมด นายโตจึงถูกจับกุมตัวเอามาสอบสวนต่อหน้าพระพักตร์ กรมหลวงอดิศร เจ้าตัวก็สารภาพหมดเปลือกเช่นกัน เมื่อได้ความจริงทั้งหมด กรมหลวงอดิศรอุดมเดชก็ทรงทำเป็นหนังสือกราบบังคมทูลพระเจ้าอยู่่หัว เพื่อพิจารณาโทษ กระทู้: จาก "หม่อมยิ่ง" ถึง พระศักดาพลรักษ์(เสข) เริ่มกระทู้โดย: Anna ที่ 26 ก.ย. 20, 11:41 ขออนุญาตเข้าชั้นเรียนค่ะ
กระทู้: จาก "หม่อมยิ่ง" ถึง พระศักดาพลรักษ์(เสข) เริ่มกระทู้โดย: Anna ที่ 26 ก.ย. 20, 11:57 พอดีพระเจ้าน้องนางเธอพระองค์หนึ่งเสด็จมาเยี่ยม แต่ได้ทรงเปิดดูกระโถนก็ทรงเห็นเด็กแดง ๆ ความจึงแตกออกมา ฟังดูแปลกๆค่ะ น้องไปเยี่ยมพี่สาว ถ้าเปิดตู้กับข้าวดูว่ามีอะไรกินก็เป็นเรื่องธรรมดาของพี่น้องถ้าสนิทกันมากพอ แต่นี่ไปเปิดกระโถนดู ???กระทู้: จาก "หม่อมยิ่ง" ถึง พระศักดาพลรักษ์(เสข) เริ่มกระทู้โดย: Jalito ที่ 26 ก.ย. 20, 16:09 น่าจะเป็นเรื่องเล่าข่าวกระซิบที่แถวเต๊งอยู่บ้างแล้วกระมังก่อนหน้านั้น
ผู้ชายที่ท้องใหญ่ก็เรียกว่าลงพุง เนื่องจากกินเยอะ ส่วนสตรีสาวที่เจริญอุทรขึ้นเรื่อยๆผิดไปรูปทรงปรกติ เป็นธรรมดาที่จะสันนิษฐานว่าตั้งครรภ์ แต่เนื่องจากมีพระเกียรติยศเป็นถึง “เสด็จพระองค์ใหญ่”จึงไม่มีใครกล้าเอะอะ คงได้แต่รอเวลาอยู่ กระทู้: จาก "หม่อมยิ่ง" ถึง พระศักดาพลรักษ์(เสข) เริ่มกระทู้โดย: เพ็ญชมพู ที่ 26 ก.ย. 20, 16:50 จากคำให้การของพระองค์เจ้าบรรจบเบญจมาซึ่งเป็นน้องสาวคนสุดท้องของหม่อมยิ่ง มีว่า
พระองค์ทรงเยี่ยมหม่อมยิ่งที่ตำหนักของพระองค์เจ้าพักตร์พิมลพรรณ พระยาสัมภาหะซึ่งเป็นหมอพยุงครรภ์นวดหม่อมยิ่งอยู่ในห้อง หม่อมยิ่งมีก้อนออกมา ไดยยินแต่เสียงอ๊อบ ไม่เป็นเสียงคน ได้ยินแต่พูดกันว่า มันเป็นตะพาบน้ำและไม่คาดคิดว่าจะเป็นเด็ก พระองค์เจ้าพักตร์พิมลพรรณมีรับสั่งว่า ครั้งน้ีถึงที่ตายแล้ว เด็กก็ร้องขึ้น หม่อมยิ่งเอามือปิดปากและอุดปากเด็ก กระทู้: จาก "หม่อมยิ่ง" ถึง พระศักดาพลรักษ์(เสข) เริ่มกระทู้โดย: เทาชมพู ที่ 26 ก.ย. 20, 17:05 อ้างถึง ได้ยินแต่พูดกันว่า มันเป็นตะพาบน้ำและไม่คาดคิดว่าจะเป็นเด็ก คุณเพ็ญชมพูและท่านอื่นๆเข้าใจว่าหมายถึงอะไรคะ กระทู้: จาก "หม่อมยิ่ง" ถึง พระศักดาพลรักษ์(เสข) เริ่มกระทู้โดย: เพ็ญชมพู ที่ 26 ก.ย. 20, 17:43 อ้างถึง ได้ยินแต่พูดกันว่า มันเป็นตะพาบน้ำและไม่คาดคิดว่าจะเป็นเด็ก คุณเพ็ญชมพูและท่านอื่นๆเข้าใจว่าหมายถึงอะไรคะ คำให้การของพระองค์เจ้ากาญจนากร มีว่า พระองค์ทรงได้จับท้องของหม่อมย่ิง ๒ คร้ังเห็นว่า ก้อนกระเพื่อมข้ึน แต่ไม่ได้สงสัยว่าหม่อมยิ่งมีครรภ์ และทรงเชื่อถือคำพูดของหม่อมยิ่งว่า เป็นโรคท้องมาน มีโลหิตอยู่ข้างใน และมีตะพาบน้ำสามตัวในท้อง กระทู้: จาก "หม่อมยิ่ง" ถึง พระศักดาพลรักษ์(เสข) เริ่มกระทู้โดย: เทาชมพู ที่ 26 ก.ย. 20, 19:18 คุณเพ็ญชมพูไปหาคำให้การมาอ่านได้แล้ว ก็ขอให้เว้นบางตอนไว้ก่อนนะคะ
เพราะกระทู้นี้ไม่ได้เน้นเรื่องตั้งครรภ์ จากที่คุณเพ็ญชมพูไปหารายละเอียดมาได้ แสดงว่าพระนาภีของเสด็จพระองค์หญิงที่โตขึ้นๆ ก็เป็นที่รู้กันแพร่หลายในหมู่เจ้านาย เพียงแต่ไม่มีใครกล้าฟันธงลงไปว่าเป็นลักษณะของการตั้งครรภ์ จนกระทั่งคลอดทารกชายออกมา จากนั้นก็คือนำทารกไปซ่อนไว้ แต่ก็ไ่ม่จบแค่นั้น เพราะมีการหาจนกระทั่งเจอว่าซ่อนอยู่ที่ไหน กระทู้: จาก "หม่อมยิ่ง" ถึง พระศักดาพลรักษ์(เสข) เริ่มกระทู้โดย: เพ็ญชมพู ที่ 27 ก.ย. 20, 09:57 จนกระทั่งคลอดทารกชายออกมา จากนั้นก็คือนำทารกไปซ่อนไว้ แต่ก็ไ่ม่จบแค่นั้น เพราะมีการหาจนกระทั่งเจอว่าซ่อนอยู่ที่ไหน เรื่องการซ่อนทารกไว้ในกระโถน ไม่ปรากฏในคำให้การของบุคคลต่าง ๆ ในคดีนี้เลย น่าจะเป็น "เรื่องเล่าข่าวกระซิบที่แถวเต๊ง" อย่างที่คุณ Jalito ว่า ;D กระทู้: จาก "หม่อมยิ่ง" ถึง พระศักดาพลรักษ์(เสข) เริ่มกระทู้โดย: เทาชมพู ที่ 28 ก.ย. 20, 08:04 ย้อนไปถึงรัชกาลก่อน พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงเป็นผู้เชี่ยวชาญด้านโหราศาสตร์ ทรงผูกดวงพระชะตาของพระราชโอรสธิดาไว้ทุกพระองค์เมื่อประสูติ แล้วพระราชทานพรให้คลาดแคล้วจากข้อเสียในดวงชะตา และเน้นข้อดีในชะตาเอาไว้ให้หนักแน่นยิ่งขึ้น
ด้วยเหตุนี้ จึงทรงทำนายได้ว่าจะเกิดเหตุใดขึ้นกับเจ้านายเหล่านั้นในกาลภายหน้า จึงมีพระราชกระแสกับพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว เมื่อครั้งยังดำรงพระอิสริยยศเป็น กรมขุนพินิตประชานาถ ว่า "...ถ้าเจ้าได้เป็นใหญ่ในแผ่นดิน ในกระบวนพี่น้องทั้งหมด จะมีพระองค์หญิงหนึ่งองค์ และพระองค์ชายอีกหนึ่งองค์ ทรงกระทำความผิดเป็นมหันตโทษ ขอให้ไว้ชีวิตพระองค์เจ้าพี่น้องทั้งสองพระองค์ด้วย..." ในหนังสือกราบบังคมทูลเมื่อชำระความเสร็จแล้ว พิจารณาโทษว่าทั้งคู่ประพฤติการชั่วอย่างอุกฤษฏ์ เป็น "มหันตโทษ" ตามกฎมณเฑียรบาล จึงต้องรับโทษตามนี้ ๑. ให้ริบราชบาตรเป็นของหลวง ๒. ให้ถอดจากยศและบรรดาศักดิ์ ๓. ให้ลงพระราชอาญา ๙๐ ที (เฆี่ยน) แล้วประหารชีวิตเสีย แต่พระราชกระแสในอดีตของพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าฯ ได้ช่วยชีวิตเสด็จพระองค์หญิงยิ่งเยาวลักษณ์ให้รอดมาได้ ดังที่จดหมายเหตุพระราชกิจรายวัน ตรงกับวันที่ 21 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2429 บอกว่า “๔ ทุ่มเศษ เสด็จออกทรงสั่งเรื่องคลอดลูก ว่าด้วยพระองค์เจ้ายิ่งเยาวลักษณ์ประพฤติการชั่วอย่างอุกฤษฎ์ อย่างนี้เป็นมหันตโทษ ควรริบราชบาตรเป็นหลวง ถอดจากยศบรรดาศักดิ์ลงพระราชอาญา ๙๐ ที ประหารชีวิต แต่ทรงพระมหากรุณาอยู่ จึงโปรดเกล้าฯ ให้ริบราชบาตรสวิญญาณกทรัพย์อวิญญาณกทรัพย์เป็นของหลวง สำหรับจ่ายซ่อมแปลงพระอารามแลสิ่งที่พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าทรงสร้างไว้ แลให้ยกโทษเฆี่ยน ๙๐ ประหารชีวิต ให้ออกจากยศบรรดาศักดิ์ลงเป็นหม่อม เอาท้ายชื่อคือเยาวลักษณ์อรรคราชสุดาออกเสีย เรียกแต่หม่อมยิ่งคำเดียว...” สรุปว่าเสด็จพระองค์หญิงถูกริบทรัพย์ ถอดออกจากเจ้าเป็นสามัญชน เรียกชื่อเพียงว่า "หม่อมยิ่ง" แต่ไม่ได้รับโทษเฆี่ยนและประหาร เพียงแต่ถูก "จำสนม" คือถูกขังไว้ในที่ใดที่หนึ่งในเขตพระราชฐานชั้นใน จนกระทั่งสิ้นพระชนม์ในปีต่อมา กระทู้: จาก "หม่อมยิ่ง" ถึง พระศักดาพลรักษ์(เสข) เริ่มกระทู้โดย: เทาชมพู ที่ 28 ก.ย. 20, 08:05 ในจดหมายเหตุพระราชกิจรายวัน ตรงกับวันที่ 21 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2429 เช่นกัน มีข้อความอีกตอนหนึ่งว่า
"เวลาบ่าย ๔ โมงเศษ เสด็จออกรับสั่งเรื่องหม่อมยิ่ง ซึ่งลูกขุนปรึกษาวางบทลงโทษ หม่อมยิ่ง อ้ายโต อีเผือก ผู้ล่วงพระราชอาญามีความผิดเป็นมหันตโทษ ให้ริบราชบาตรสวิญญาณกทรัพย์อวิญญาณกทรัพย์เป็นของหลวง ให้ลงพระอาญา ๓ ยก ๙๐ ที เอาตัวไปประหารชีวิตอย่าให้ผู้ใดดูเยี่ยงอย่างนั้น หม่อมยิ่งแลอีเผือกผู้ชักสื่อ ให้งดโทษประหารชีวิต นอกนั้นให้ทำตามลูกขุนปรับแล้วเสด็จขึ้น" สรุปคืออีเผือกถูกเฆี่ยน 90 ทีแต่รอดตัวไม่ถูกประหาร แต่ถูกเฆี่ยนด้วยหวายขนาดนี้ ไม่ตายก็สาหัส อาจจะพิการไปตลอดชีวิตก็ได้ ถึงรอดตายมาได้ไม่พิการ อนาคตของอีเผือกก็มืดมนอยู่ดี ไม่มีใครกล้ารับไปเลี้ยงแน่นอน ส่วนอ้ายโตถูกประหาร ว่ากันว่าพูดจาโอหังมากจึงถูกตบปากด้วยกะลาทั้งขน ก่อนนำไปตัดศีรษะที่วัดพลับพลาไชย (ปัจจุบันคือบริเวณข้างธนาคารกรุงเทพจำกัด สาขาพลับพลาไชย) กระทู้: จาก "หม่อมยิ่ง" ถึง พระศักดาพลรักษ์(เสข) เริ่มกระทู้โดย: เทาชมพู ที่ 28 ก.ย. 20, 15:22 ย้อนไปถึงรัชกาลก่อน พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงเป็นผู้เชี่ยวชาญด้านโหราศาสตร์ ทรงผูกดวงพระชะตาของพระราชโอรสธิดาไว้ทุกพระองค์เมื่อประสูติ
แล้วพระราชทานพรให้คลาดแคล้วจากข้อเสียในดวงชะตา และเน้นข้อดีในชะตาเอาไว้ให้หนักแน่นยิ่งขึ้น ด้วยเหตุนี้ จึงทรงทำนายได้ว่าจะเกิดเหตุใดขึ้นกับเจ้านายเหล่านั้นในกาลภายหน้า จึงมีพระราชกระแสกับพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว เมื่อครั้งยังดำรงพระอิสริยยศเป็น กรมขุนพินิตประชานาถ ว่า "...ถ้าเจ้าได้เป็นใหญ่ในแผ่นดิน ในกระบวนพี่น้องทั้งหมด จะมีพระองค์หญิงหนึ่งองค์ และพระองค์ชายอีกหนึ่งองค์ ทรงกระทำความผิดเป็นมหันตโทษ ขอให้ไว้ชีวิตพระองค์เจ้าพี่น้องทั้งสองพระองค์ด้วย..." ในหนังสือกราบบังคมทูลเมื่อชำระความเสร็จแล้ว พิจารณาโทษว่าทั้งคู่ประพฤติการชั่วอย่างอุกฤษฏ์ เป็น "มหันตโทษ" ตามกฎมณเฑียรบาล จึงต้องรับโทษตามนี้ ๑. ให้ริบราชบาตรเป็นของหลวง ๒. ให้ถอดจากยศและบรรดาศักดิ์ ๓. ให้ลงพระราชอาญา ๙๐ ที (เฆี่ยน) แล้วประหารชีวิตเสีย กระทู้: จาก "หม่อมยิ่ง" ถึง พระศักดาพลรักษ์(เสข) เริ่มกระทู้โดย: เทาชมพู ที่ 28 ก.ย. 20, 15:23 แต่พระราชกระแสในอดีตของพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าฯ ได้ช่วยชีวิตเสด็จพระองค์หญิงยิ่งเยาวลักษณ์ให้รอดมาได้ ดังที่จดหมายเหตุพระราชกิจรายวัน ตรงกับวันที่ 21 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2429 บอกว่า
“๔ ทุ่มเศษ เสด็จออกทรงสั่งเรื่องคลอดลูก ว่าด้วยพระองค์เจ้ายิ่งเยาวลักษณ์ประพฤติการชั่วอย่างอุกฤษฎ์ อย่างนี้เป็นมหันตโทษ ควรริบราชบาตรเป็นหลวง ถอดจากยศบรรดาศักดิ์ลงพระราชอาญา ๙๐ ที ประหารชีวิต แต่ทรงพระมหากรุณาอยู่ จึงโปรดเกล้าฯ ให้ริบราชบาตรสวิญญาณกทรัพย์อวิญญาณกทรัพย์เป็นของหลวง สำหรับจ่ายซ่อมแปลงพระอารามแลสิ่งที่พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าทรงสร้างไว้ แลให้ยกโทษเฆี่ยน ๙๐ ประหารชีวิต ให้ออกจากยศบรรดาศักดิ์ลงเป็นหม่อม เอาท้ายชื่อคือเยาวลักษณ์อรรคราชสุดาออกเสีย เรียกแต่หม่อมยิ่งคำเดียว...” สรุปว่าเสด็จพระองค์หญิงถูกริบทรัพย์ ถอดออกจากเจ้าเป็นสามัญชน เรียกชื่อเพียงว่า "หม่อมยิ่ง" แต่ไม่ได้รับโทษเฆี่ยนและประหาร เพียงแต่ถูก "จำสนม" คือถูกขังไว้ในที่ใดที่หนึ่งในเขตพระราชฐานชั้นใน จนกระทั่งสิ้นพระชนม์ในปีต่อมา กระทู้: จาก "หม่อมยิ่ง" ถึง พระศักดาพลรักษ์(เสข) เริ่มกระทู้โดย: เทาชมพู ที่ 28 ก.ย. 20, 19:02 จดหมายเหตุพระราชกิจรายวัน ลงวันที่ 19 กุมภาพันธ์ จ.ศ. 1245 (พ.ศ. 2429) บันทึกถึงทารกไว้ว่า
"เกิดเป็นที่เสื่อมเสียพระเกียรติยศ คือพระองค์เจ้ายิ่งเยาวลักษณ์ซึ่งเดิมว่าเป็นโรคท้องมานนั้น ปวดครรภ์แลคลอดออกมาเป็นลูกชาย ที่เรือนภายในพระบรมมหาราชวัง สมเด็จกรมพระภาณุพันธุ กรมหมื่นนเรศร กรมหมื่นอดิศร กรมหลวงเทวะวงศ์ ได้จัดการที่จะชำระพิจารณาที่ได้เกิดขึ้นต่อไป แต่ลูกนั้นเอาออกไปไว้วังกรมหมื่นอดิศรอุดมเดช" หลังจากนั้น ก็ไม่มีการกล่าวถึงทารกชายผู้นี้อีก ชะตากรรมของนายโตคือถูกประหาร ส่วนหม่อมยิ่งคือถูกถอดและจำสนม จนถึงแก่กรรมในเวลาอีกไม่นาน คือถ้าไม่ใช้ปี 2429 ที่เกิดเหตุ ก็ปีถัดมาคือ 2430 จากนั้นเรื่องของหม่อมยิ่งก็ถูกปิดสนิทจากปากของคนรอบด้าน แม้แต่พระนามก็กลายเป็นของต้องห้าม มิให้ใครเอ่ยถึงต่อมานับร้อยปี กระทู้: จาก "หม่อมยิ่ง" ถึง พระศักดาพลรักษ์(เสข) เริ่มกระทู้โดย: เทาชมพู ที่ 28 ก.ย. 20, 19:03 หลังจากนั้นอีกหนึ่งร้อยกว่าปี เมื่อ พ.ศ. 2547 มีหนังสือชื่อ ฟ้าสูงแผ่นดินต่ำ เขียนโดยคุณ เทพ สุนทรศารทูล เล่าไว้ตอนหนึ่งว่า
“ทั้งพระองค์เจ้าหญิงยอดยิ่งเยาวลักษณ์อรรควรสุดา พระราชธิดาในรัชกาลที่ ๔ และนางเผือก นางข้าหลวงคนสนิทที่ชักนำมหาโตเข้าวัง มิได้ถูกประหารชีวิต มิได้ถูกเฆี่ยนหลัง ๙๐ ทีในคราวนั้น อาจเป็นไปได้ว่าเมื่อท่านถูกปลดลดยศลงเป็นหม่อมยอดแล้วท่านคงออกมาอยู่กับญาติของท่าน (ส่วนโอรสของท่าน)หลวงเทววงศ์วโรประการ(แสน) เจ้ากรมในกรมหลวงเทววงศ์วโรประการ รับเป็นบิดา เมื่อเติบโตจึงได้รับราชการเป็นนายพันตรี หลวงศักดาพลรักษ์(เสข) ตำแหน่งผู้อำนวยการโรงพยาบาลทหารบก ต่อมาได้รับพระราชทานนามสกุลในรัชกาลที่ ๖ ว่า"ธรรมสโรช" พ.ศ. ๒๔๕๗ อายุ ๔๘ ปี ต่อเมื่อพระศักดาพลรักษ์(เสข) ได้รับพระราชทานนามสกุลแล้ว ในวงญาติของพระสำราญหฤทัย(อ้าว) บิดาของเจ้าจอมมารดาแพ มารดาของพระองค์เจ้าหญิงยอดยิ่งเยาวลักษณ์อรรควรสุดา จึงใช้นามสกุลพระราชทานร่วมกันต่อมาทั้งตระกูล ตระกูลนี้จึงมีพระศักดาพลรักษ์(เสข) เป็นต้นตระกูล" กระทู้: จาก "หม่อมยิ่ง" ถึง พระศักดาพลรักษ์(เสข) เริ่มกระทู้โดย: เทาชมพู ที่ 29 ก.ย. 20, 07:23 หนังสือของคุณเทพ เม่ืออ่านแล้ว ดิฉันก็เกิดความสงสัยหลายข้อ จึงเรียบเรียงมาให้พิจารณากันตามนี้ ทีละข้อ
1 ทารกชายผู้นี้ แม้เป็นเลือดเนื้อเชื้อไขของเสด็จพระองค์หญิง แต่อย่าลืมว่าอีกครึ่งหนึ่งคือสายเลือดของนายโต ซึ่งถูกประหารในข้อหาล่วงละเมิดพระราชวงศ์ฝ่ายในอย่างรุนแรง ถ้าคุณหลวงเทววงศ์วโรประการ(เสนหรือพิมเสน) เจ้ากรมในกรมหลวงเทววงศ์วโรประการ (พระยศในขณะนั้น ต่อมาคือสมเด็จกรมพระยาเทววงศ์วโรปการ ต้นราชสกุล เทวกุล ) เกิดเมตตารับเป็นบุตรบุญธรรม ก็ต้องแน่ใจว่าเจ้านายของตนเห็นชอบ หรืออาจจะเป็นฝ่ายประทานเด็กมาให้เลี้ยงเสียด้วยซ้ำ ไม่งั้นคุณหลวงเทวะวงศฯ คงไม่เอาหน้าที่การงานมาเสี่ยงกับเรื่องราชภัยร้ายแรงอย่างยิ่งเรื่องนี้ อย่าลืมอีกข้อหนึ่งว่า เจ้านายพระองค์นี้เป็นหนึ่งในสี่พระองค์ที่ต้องทรงเหนื่อยยากจากความเสียหายที่เกิดขึ้น ทรงรู้เห็นรายละเอียด ทรงทราบความวุ่นวายที่เกิดในพระบรมวงศานุวงศ์ และทรงทราบดี่ว่าพระเจ้าอยู่หัวเสียพระราชหฤทัยขนาดไหน เป็นไปได้อย่างไรที่จะทรงสนับสนุนรับเด็กคนนี้มาให้ข้าราชบริพารของพระองค์เลี้ยงดูเป็นบุตรบุญธรรม ให้เติบโตขึ้นมามีการศึกษาดี มีเกียรติ มีบรรดาศักดิ์ โดยไม่นึกถึงที่มาของเด็ก และไม่นึกถึงพระเจ้าแผ่นดินและพระราชวงศ์ด้วยกัน กระทู้: จาก "หม่อมยิ่ง" ถึง พระศักดาพลรักษ์(เสข) เริ่มกระทู้โดย: เทาชมพู ที่ 29 ก.ย. 20, 07:25 2 สังคมคนไทยในยุคนั้น และแม้แต่ในยุคนี้ นับการสืบสายเลือดทางบิดาเป็นหลัก ไม่ใช่ทางมารดา
กฎหมายและประเพณีก็ถือหลักนี้เช่นกัน เห็นได้จากเด็กทั่วไปเกิดมาก็ใช้นามสกุลของบิดา ไม่ใช่มารดา เพิ่งมาเลือกได้เมื่อไม่กี่ปีนี้เอง ดังนั้นทารกชายผู้นี้ สังคมสมัยนั้นจึงนับว่าเป็นลูกของนายโต ไม่ได้นับว่าเป็นพระโอรสเสด็จพระองค์หญิง 3 คุณเทพเล่าว่า เด็กคนนี้เติบโตขึ้นได้บรรดาศักดิ์เป็นพันตรีพระศักดาพลรักษ์ (เสข) ได้ทำเรื่องขอพระราชทานนามสกุลในรัชกาลที่ 6 แต่คุณเทพไม่ได้อ้างหลักฐานรายละเอียดในหนังสือกราบบังคมทูลขอพระราชทานนามสกุล ข้อเท็จจริงคือหลวงศักดาพลรักษ์(ไม่ใช่พระศักดาพลรักษ์) ได้อธิบายละเอียดถึงเทือกเถาเหล่ากอของตน ว่าท่านเป็นบุตรของหลวงเทวะวงศวโรปการ (เสน หรือพิมเสน) อันเป็นบุตรของจมื่นสรสิทธิราช (จุ้ย) กับท่านไม้จีนบุตรของท่านคล้าย(ข้าหลวงเดิมในพระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัยรัชกาลที่ ๒) ส่วนทางมารดา พระศักดาฯระบุว่าท่านศิลาเป็นบุตรีของท่านทันและเป็นหลานตา ของพระยาอุทัยธรรม (นุด) ผู้เป็นบุตรของเจ้าฟ้าชายนเรนทรราชกุมารหรือพระนเรนทรราชา' (ต้นสกุลรุ่งไพโรจน์) ซึ่งเป็นพระราชโอรสองค์ที่ ๑๘ ของสมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราช และเป็นพระราชโอรสองค์ที่ ๓ ในกรมบริจาภกดีศรีสุดารักษ์ (เจ้าหญิงฉิม) ซึงเป็นพระราชธิดาของเจ้าพระยานครศรีธรรมราช กระทู้: จาก "หม่อมยิ่ง" ถึง พระศักดาพลรักษ์(เสข) เริ่มกระทู้โดย: เพ็ญชมพู ที่ 29 ก.ย. 20, 20:08 พันตรีหลวงศักดาพลรักษ์ (เสข) ได้ทำเรื่องขอพระราชทานนามสกุลในรัชกาลที่ 6 http://www.ratchakitcha.soc.go.th/DATA/PDF/2457/D/1033_1.PDF กระทู้: จาก "หม่อมยิ่ง" ถึง พระศักดาพลรักษ์(เสข) เริ่มกระทู้โดย: เทาชมพู ที่ 30 ก.ย. 20, 07:40 ขออนุญาตลบทิ้งข้อความของคุณเพ็ญชมพูนะคะ
มันทำให้เรื่องที่ดิฉันค่อยๆลำดับความ เสียขั้นตอนหมดค่ะ กระทู้: จาก "หม่อมยิ่ง" ถึง พระศักดาพลรักษ์(เสข) เริ่มกระทู้โดย: เทาชมพู ที่ 30 ก.ย. 20, 11:06 ถ้าหากว่าคุณหลวงศักดาฯเป็นบุตรบุญธรรมของหลวงเทวะวงศ และภรรยา ก็ไม่สามารถจะกราบบังคมทูลได้ว่าตนเองเป็นเชื้อสายของจมื่นสรสิทธิราชบิดาคุณหลวงเทวะวงศ และยิ่งไม่่่มีสิทธิ์เข้าไปใหญ่ที่จะอ้างบรรพชนทางสายคุณนายศิลา ภรรยาหลวงเทวะวงศ ที่สามารถสืบเชื้อสายย้อนขึ้นไปได้ถึงเจ้าฟ้านเรนทร พระราชโอรสสมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราช
4 ถ้าหากว่าคุณเทพ ผู้เกิดทีหลังเรื่องนี้หลายสิบปียังสามารถสืบทราบได้ว่า หลวงเทวะวงศฯ รับบุตรของหม่อมยิ่งไปเลี้ยงเป็นบุตรบุญธรรม เรื่องนี้ก็ย่อมไม่ใช่ความลับสำหรับคนสมัยรัชกาลที่ 5 ยิ่งคนในวังเทวะเวสม์ ตลอดจนญาติๆของคุณหลวงเทวะวงศฯ ก็ต้องรู้กันหมด พันตรีหลวงศักดาฯคงไม่สามารถอ้างได้ว่าตนเองเป็นเชื้อสายคุณหลวงเทวะวงศ์และภรรยา จนเขียนหนังสือกราบบังคมทูลแบบนี้ได้ กระทู้: จาก "หม่อมยิ่ง" ถึง พระศักดาพลรักษ์(เสข) เริ่มกระทู้โดย: เทาชมพู ที่ 30 ก.ย. 20, 11:08 ในเมื่อหลวงศักดาพลรักษ์ทำหนังสือกราบบังคมทูล โดยแจกแจงบรรพชนได้โดยละเอียดเช่นนี้ ก็หมายความได้อย่างเดียวว่า พันตรีหลวงศักดาพลรักษ์คือบุตรที่แท้จริงของหลวงเทวะวงศฯ และคุณนายศิลา จึงเขียนไปตามข้อเท็จจริงที่บิดามารดาเล่าให้ฟัง
5 หลักฐานสำคัญที่สุดที่แสดงว่า พันตรีหลวงศักดาพลรักษ์ หรือต่อมาเลื่อนขึ้นเป็นพลตรีพระยาวิบุลอายุรเวท มิใช่บุตรของหม่อมยิ่งและอ้ายโต ก็คือในหนังสืออนุสรณ์งานพระราชทานเพลิงศพ แสดงประวัติของท่านไว้ว่า พลตรีพระยาวิบุลอายุรเวช (เสข ธรรมสโรช)เกิดเมื่อวันที่ 12 สิงหาคม พ.ศ. 2426 ส่วนหม่อมยิ่งตั้งครรภ์เมื่อพ.ศ. 2429 สามปีหลังพระยาวิบุลฯ เกิด พูดอีกทีคือตอนบุตรชายหม่อมยิ่งคลอดออกมา หลวงศักดาพลรักษ์หรือพระยาวิบุลอายุรเวท อายุ 3 ขวบแล้ว กระทู้: จาก "หม่อมยิ่ง" ถึง พระศักดาพลรักษ์(เสข) เริ่มกระทู้โดย: เทาชมพู ที่ 30 ก.ย. 20, 11:09 ข้อความอีกตอนหนึ่งของคุณเทพ สุนทรศารทูล คือ
"ต่อเมื่อพระศักดาพลรักษ์(เสข) ได้รับพระราชทานนามสกุลแล้ว ในวงญาติของพระสำราญหฤทัย(อ้าว) บิดาของเจ้าจอมมารดาแพ มารดาของพระองค์เจ้าหญิงยอดยิ่งเยาวลักษณ์อรรควรสุดา จึงใช้นามสกุลพระราชทานร่วมกันต่อมาทั้งตระกูล ตระกูลนี้จึงมีพระศักดาพลรักษ์(เสข) เป็นต้นตระกูล" ความจริง คือ หลวงศักดาพลรักษ์(เสข ธรรมสโรช) หรือพระยาวิบุลอายุรเวช ไม่ใช่ต้นตระกูลธรรมสโรช เป็นเพียงผู้ทำเรื่องกราบบังคมทูลของพระราชทานนามสกุล ตระกูลธรรมสโรชเป็นตระกูลเก่าย้อนไปได้ถึงสมัยอยุธยา แต่ผู้ที่นับกันว่าเป็นต้นตระกูลคือเจ้าพระยาธรรมาธิกร (ทองดี) เสนาบดีจตุสดมภ์กรมวัง ในรัชกาลที่ ๑ เชื้อสายตระกูลนี้มีจำนวนมาก แยกเป็นหลายสาย จึงได้รับพระราชทานนามสกุลต่างกันไป คือสโรบล ธรรมสโรช รัตนทัศนีย และอินทรวิมล ลูกหลานสายไหนก็ใช้นามสกุลนั้น แต่ความจริงสืบสายจากบรรพบุรุษเดียวกัน คุณเทพคงเชื่อว่าการที่บรรดาญาติๆของเจ้าจอมมารดาแพ ( มารดาของหม่อมยิ่ง) ใช้นามสกุลธรรมสโรชตามพระยาวิบุลอายุรเวท เป็นหลักฐานว่าพระยาวิบุล(เสข)คือหลานยายของเจ้าจอมมารดาแพ ญาติฝ่ายยายจึงตกลงใช้นามสกุลเดียวกันกับหลาน แต่เหตุผลน่าจะอธิบายได้ง่ายกว่านั้น คือพระสำราญหฤทัย(อ้น)บิดาของเจ้าจอมมารดาแพ เป็นลูกหลานเชื้อสายเจ้าพระยาธรรมาธิกร จึงให้ลูกหลานใช้นามสกุลธรรมสโรช ก็เท่านั้นเอง กระทู้: จาก "หม่อมยิ่ง" ถึง พระศักดาพลรักษ์(เสข) เริ่มกระทู้โดย: เทาชมพู ที่ 30 ก.ย. 20, 11:12 สรุปว่า พลตรีพระยาวิบุลอายุรเวท หรือพันตรีหลวงศักดาพลรักษ์ (เสข ธรรมสโรช)คือบุตรชายแท้ๆของหลวงเทวะวงศ์( เสน ธรรมสโรช) และคุณนายศิลา ไม่ได้เกี่ยวข้องอย่างใดกับนายโตและหม่อมยิ่ง
ถ้าอย่างนั้น คุณเทพโยงหลวงศักดาพลรักษ์เข้าเป็นบุตรชายของหม่อมยิ่งได้อย่างไร ดิฉันสันนิษฐานว่า คงจะเริ่มที่คุณเทพพบว่าญาติๆของเจ้าจอมมารดาแพ แม่ของหม่อมยิ่ง ใช้นามสกุลธรรมสโรช ผู้ขอพระราชทานนามสกุลนี้คือบุตรชายของหลวงเทวะวงศ์ เจ้ากรมของสมเด็จกรมพระยาเทววงศ์ ฯ เจ้านายพระองค์หนึ่งในสี่ที่ชำระความเรื่องหม่อมยิ่ง คุณเทพจึงรวมเข้าด้วยกันว่า ญาติๆของเจ้าจอมมารดาแพกับบุตรชายหลวงเทวะวงศ์ต้องมีอะไรโยงถึงกันแน่ๆ แต่แทนที่จะคิดว่าคำตอบก็คือหลวงเทวะวงศ์เป็นญาติกับบิดาเจ้าจอมมารดาแพ ก็คิดไกลไปว่าบุตรชายหลวงเทวะวงศ์อาจเป็นพระโอรสที่สาบสูญไป เพราะหลวงเทวะวงศ์เป็นข้าราชบริพารของเจ้านายที่ชำระความเรื่องหม่อมยิ่ง อาจรับเลี้ยงเด็กเอาไว้ พอโตขึ้น ขอพระราชทานนามสกุล ญาติทางฝ่ายเจ้าจอมมารดาแพเลยใช้นามสกุลนี้ คุณเทพคงไม่ได้อ่านหนังสืองานพระราชทานเพลิงศพของพลตรีพระยาวิบุลอายุรเวท ซึ่งถึงแก่กรรมตั้งแต่พ.ศ. 2518 เกือบ 30 ปีก่อนคุณเทพพิมพ์จำหน่ายหนังสือฟ้าสูงแผ่นดินต่ำ จึงไม่ทราบว่าพระยาวิบุลฯหรืออดีตหลวงศักดาฯ เกิดก่อนบุตรชายหม่อมยิ่งตั้ง 3 ปี และมีพี่น้องร่วมบิดามารดาหลายคน ในหนังสือประวัติของท่านก็ไม่มีตอนไหนเกี่ยวข้องกับเรื่องของหม่อมยิ่งหรือนายโตเลย กระทู้: จาก "หม่อมยิ่ง" ถึง พระศักดาพลรักษ์(เสข) เริ่มกระทู้โดย: เทาชมพู ที่ 30 ก.ย. 20, 11:17 http://www.lungkitti.com/product.detail_844932_th_6695699#
กระทู้: จาก "หม่อมยิ่ง" ถึง พระศักดาพลรักษ์(เสข) เริ่มกระทู้โดย: เทาชมพู ที่ 30 ก.ย. 20, 11:19 *
กระทู้: จาก "หม่อมยิ่ง" ถึง พระศักดาพลรักษ์(เสข) เริ่มกระทู้โดย: เพ็ญชมพู ที่ 01 ต.ค. 20, 07:40 ขออนุญาตลบทิ้งข้อความของคุณเพ็ญชมพูนะคะ มันทำให้เรื่องที่ดิฉันค่อยๆลำดับความ เสียขั้นตอนหมดค่ะ ลำดับความเรื่องตามขั้นตอนคงเรียบร้อยแล้ว จึงขออนุญาตโพสต์ข้อความที่ถูกลบไป อีกครั้ง เหตุเกิดเป็นเรื่องอื้อฉาวทราบถึงพระเนตรพระกรรณเมื่อ พ.ศ. ๒๔๒๙ ดังปรากฏในจดหมายเหตุพระราชกิจรายวัน ลงวันที่ 19 กุมภาพันธ์ จ.ศ. 1245 (พ.ศ. 2429) บันทึกไว้ว่า "เกิดเป็นที่เสื่อมเสียพระเกียรติยศ คือพระองค์เจ้ายิ่งเยาวลักษณ์ซึ่งเดิมว่าเป็นโรคท้องมานนั้น ปวดครรภ์แลคลอดออกมาเป็นลูกชาย ที่เรือนภายในพระบรมมหาราชวัง สมเด็จกรมพระภาณุพันธุ กรมหมื่นนเรศร กรมหมื่นอดิศร กรมหลวงเทวะวงศ์ ได้จัดการที่จะชำระพิจารณาที่ได้เกิดขึ้นต่อไป แต่ลูกนั้นเอาออกไปไว้วังกรมหมื่นอดิศรอุดมเดช" ตำแหน่งสุดท้ายของพันตรี หลวงศักดาพลรักษ์ (เสข) คือ พลตรี พระยาวิบุลอายุรเวท ท่านเกิดเมื่อ พ.ศ. ๒๔๒๖ ใช่ลูกชายของหม่อมยิ่งจริง ๆ หรือ ? ภาพจาก อนุสรณ์ในงานพระราชทานเพลิงศพ พลตรี พระยาวิบุลอายุรเวท (เสข ธรรมสโรช) (http://www.lungkitti.com/product.detail_844932_th_6695699#) กระทู้: จาก "หม่อมยิ่ง" ถึง พระศักดาพลรักษ์(เสข) เริ่มกระทู้โดย: เพ็ญชมพู ที่ 01 ต.ค. 20, 08:00 พระยาวิบุลฯหรืออดีตหลวงศักดาฯ เกิดก่อนบุตรชายหม่อมยิ่งตั้ง 3 ปี และมีพี่น้องร่วมบิดามารดาหลายคน ในหนังสือประวัติของท่านก็ไม่มีตอนไหนเกี่ยวข้องกับเรื่องของหม่อมยิ่งหรือนายโตเลย กระทู้: จาก "หม่อมยิ่ง" ถึง พระศักดาพลรักษ์(เสข) เริ่มกระทู้โดย: เทาชมพู ที่ 01 ต.ค. 20, 08:10 สรุปว่าพลตรีพระยาวิบุลอายุรเวท(เสข ธรรมสโรช) ไม่ใช่บุตรชายของหม่อมยิ่งที่เกิดจากนายโต ตามความเข้าใจของคุณเทพ สุนทรศารทูล
พระยาวิบุลฯ คือบุตรชายแท้ๆของหลวงเทววงศ์วโรปการ เป็นเชื้อสายสกุลธรรมสโรช สืบมาจากเจ้าพระยาธรรมาธิกร(ทองดี) ส่วนบุตรชายของหม่อมยิ่ง ไม่ปรากฎชะตากรรม กระทู้: จาก "หม่อมยิ่ง" ถึง พระศักดาพลรักษ์(เสข) เริ่มกระทู้โดย: เพ็ญชมพู ที่ 01 ต.ค. 20, 08:30 สำหรับรายละเอียดคำให้การของบุคคลต่าง ๆ ในคดีหม่อมยิ่ง สามารถอ่านได้ที่
http://ejournals.swu.ac.th/index.php/JOH/article/download/11797/9785 |