เรือนไทย

General Category => หน้าต่างโลก => ข้อความที่เริ่มโดย: ติบอ ที่ 11 ม.ค. 08, 21:00



กระทู้: 2550 - แบคแพค ตะลุยพม่า!!
เริ่มกระทู้โดย: ติบอ ที่ 11 ม.ค. 08, 21:00
นายติบอแอบหายไปจากบอร์ดมาช่วงนึงครับ
พอดีมีเพื่อน และพี่ที่น่ารักอีก 2 คนชวนไปเที่ยวพม่ามา
ตอนแรกว่าจะไป 10 วัน แต่เนื่องจากช่วงที่ไปสถานการณ์ในพม่ากำลังตึงเครี๊ยด

เครื่องบินที่ผมจะกลับก็เลยยกเลิก... สรุปว่าต้องค้างเติ่งอยู่พม่าอีก 1 คืน
รวมเป็นเดินทางทั้งหมด 11 วัน
เลยขอเก็บเรื่อง เก็บรูปมาฝากสมาชิกเวบกันเท่าที่มีครับผม




ปล. ผมให้เพื่อนตัวแสบที่ไปด้วยมาช่วยเล่าเรื่องอีกนะครับ


กระทู้: 2550 - แบคแพค ตะลุยพม่า!!
เริ่มกระทู้โดย: ติบอ ที่ 11 ม.ค. 08, 21:11
เหตุเกิดเมื่อหน้าร้อนที่ผ่านมา
ขณะที่ผมกำลังนั่งหน้าดำคร่ำเครียดอ่านหนังสือสอบใบประกอบฯอยู่
เพื่อนตัวแสบคนหนึ่งก็โทรมาหา พอผมรับสายก็มีเสียงจ๋อยๆดังมาจากอีกปลายสายหนึ่งว่า


"นี่ๆ ฉันจะไปพม่าล่ะ"

เท่านั้นล่ะครับผมก็หูผึ่ง... โห มันไปมาทั้งลาว ทั้งเขมร แล้วยังจะไปพม่าอีกเหรอ
เรียนคณะบ้าอะไรทำไมมันดีอย่างนี้วะ
ที่เราล่ะ เรียนอยู่กลางเมืองแท้ๆ สยามแสควร์ยังไม่มีปัญญาเจียดเวลาไปเดินเลย
.....อิจฉาวุ๊ยๆ

ในที่สุดด้วยความอิจฉาตาร้อนจนหนังสือในมือแทบลุกเป็นไฟ
นายติบอก็ตื้อแล้วตื้อเล่าให้เพื่อนเราไปขออาจารย์ให้นายติบอได้ไปด้วย
อีกสามสี่วันมันก็โทรมาบอกว่า "อาจารย์เขาไม่ว่าล่ะ ไปด้วยกันสิ"


(เย๊ๆ ได้ไปพม่าแย๊ว...)











แต่แล้ว เมื่อวัดเดินทางใกล้เข้ามา
สถานการณ์ทางการเมืองในพม่าก็มีปัญหาเคร่งเครียด
มีการชุมนุมประท้วง พระสงฆ์หลายรูปถูกจับ
จนในที่สุด.... อองซานซูจีถูกกักบริเวณ!!
ตายล่ะสิ จะทำยังไงดี

คุณพ่อคุณแม่จากที่เคยเตือนนายติบอว่า "ดูแลตัวเองดีๆนะ"
ก็เริ่มเปลี่ยนคำพูดเป็น "เพื่อนพ่อเขาบอกว่ามันอันตรายนะลูก"
"ลูกจะไปจริงๆหรือ แม่เป็นห่วงนะ"
"แม่ว่าอย่าไปเลยลูก เดี๋ยวน้าเขามาว่าแม่"
"พ่อจ่ายค่าตั๋วเครื่องบินคืนให้ก็ได้ อย่าไปเลย" ฯลฯ


แต่ในที่สุด.... นายติบอก้ดื้อทู่ซี้ไปเที่ยวพม่าจนได้...
(จะ see Myanmar and die หรือเปล่าก็ไม่รู้ เหอๆ)


กระทู้: 2550 - แบคแพค ตะลุยพม่า!!
เริ่มกระทู้โดย: ติบอ ที่ 11 ม.ค. 08, 21:26
ตั้งแต่เรียนประถมกันมา
นายติบอมั่นใจว่านักเรียนไทยทุกคนท่องกันมาเป็นนกแก้วนกขุนทองแล้วว่า
"ประเทศไทยมีพื้นที่ติดต่อกับประเทศเพื่อนบ้านได้แก่
ลาว เขมร มาเลเซีย และพม่า" (ขอแค่ชื่อย่อๆนะครับ)
แต่จากในบรรดาชื่อประเทศเพื่อนบ้านทั้งหมดที่ว่ามา
ดูเหมือนว่าความรู้ความเข้าใจเกี่ยวกับประเทศพม่าจะดูมืดมนอนธกาลที่สุดในสมองของคนไทยส่วนมาก


แล้วไอ้ที่รู้กัน..... ก็มักจะกระเดียดไปในทาง
"ที่อยุธยาเหลือเป็นเศษอิฐทุกวันนี้เพราะพม่าเผาทำลาย" (ถ้าไม่ไปรื้ออิฐมาสร้างกรุงใหม่มันคงไม่เหลือแค่นี้หรอก)
หรือไม่ก็ "ทองที่ชเวดากองเป็นของคนไทย" (แน่ใจนะ!!!)
"บุเรงนองเป็นผู้ชนะสิบทิศ" (เขาไปตีที่ไหนมามั่ง ตอบได้มะ 10 ทิศเนี่ยะ)
"คนพม่าโหดร้ายนะ ดูสิ ราชาธิราชสั่งประหารพ่อลาวแก่นเท้าได้ทั้งๆที่แกกัดนิ้วขาดไปหมดเพราะไม่ยอมไหว้แม่เลี้ยง" (ไปฟังสัมนาที่คุณ CHrazyHorse เอามาบอกสิ แล้วจะรู้ว่ามันไม่ใช่)
และอื่นๆอีกมากมายที่ดูจะคลาดเคลื่อนไปเยอะเลย


ฟังดูแล้ว.... โอวมายจ๊อด
ก๊อดเบสยูทีเถอะ ทำไมเขารู้กันแค่นี้อ่ะ... แง๊ว


กระทู้: 2550 - แบคแพค ตะลุยพม่า!!
เริ่มกระทู้โดย: กุ้งแห้งเยอรมัน ที่ 12 ม.ค. 08, 00:44
 ;) ;)โอ แค่คำนำก็รู้แล้วว่าต้องหนุกมาก ที่จริงพม่าน่าเที่ยวมาก คนพม่าก็คนไทยดีๆที่ต้อนไปตอนกรุงแตกนั่นหละ ว่ามั้ยคะ


กระทู้: 2550 - แบคแพค ตะลุยพม่า!!
เริ่มกระทู้โดย: Bana ที่ 12 ม.ค. 08, 01:04
ท่านติบอจั่วหัวซะน่าติดตาม  ไม่เล่าต่อโรกธตายเลย.......อิอิ ;)


กระทู้: 2550 - แบคแพค ตะลุยพม่า!!
เริ่มกระทู้โดย: pipat ที่ 12 ม.ค. 08, 01:12
มาค้านคุณกุ้งแห้ง......
คนพม่าแท้ๆ ที่เป็นชนชั้นปกครองนั้น เป็นอีกเผ่าต่างหากจากไตครับ
ร่างสูงใหญ่ รูปหน้าเข้ม เหี้ยม และมีบุคคลิกภาพแห่งอำนาจ

เคนเห็นที่มัณฑะเลย์หนหนึ่ง เป็นงานแต่งของไฮโซประจำเมือง
ผู้หลักผู้ใหญ่ที่มาในงาน เห็นปุ๊ปรู้ปั๊ป ว่าคนใหนใหญ่

เพื่อนที่ไปด้วยถึงกับเอ่ยปากว่า
เห็นรูปร่างท่าทีแล้ว เชื่อสนิทว่ายกทัพตีกรุงศรีฯ แตกได้แน่นอน

พวกนายพลข่วยๆ ห่วยๆ ที่เราเห็นเป็นข่าวอยู่ในปัจจุบันนั้น
สง่าราศรีไม่ถึงครึ่งหนึ่งของที่ผมเคยเห็นเลยละครับ


กระทู้: 2550 - แบคแพค ตะลุยพม่า!!
เริ่มกระทู้โดย: ติบอ ที่ 12 ม.ค. 08, 10:29
เห็นด้วยกับคุณพิพัฒน์ครับ
กุ้งแห้งครับคนไทยอยู่ในพม่าไม่มากครับครับ แต่ก็ไม่ใช่น้อยจนเกือบไม่มี
อย่างที่อินเลย์ เป็นคนไทยซะเกือบหมดครับ แต่เมืองเก่าอย่างหงสาฯ หาคนไทยก็ยากซะแล้ว
เพราะประเทศพม่าเป็นประเทศที่มีประชากรหลากหลายชนชาติมาก
เฉพาะคนเมืองก็มีเข้าไปตั้งหลายรัฐแล้ว แล้วยังจะมีชาวเขา - ชนเผ่าอีกกี่เผ่าก็ไม่รู้




ปล. ผมเคยมีเพื่อนเป็นคนพม่าคนนึงครับ
เห็นรูปเขาครั้งแรกตกใจแทบชอคว่าทำไมหน้ามันเหมือนรูปปั้นดินเผาสมัยทวารวดีอย่างงี้วะ เหอๆ
เหมือนทุกอย่างครับ ตาโต โปน ปากหนาเป็นรูปกระจับ หน้ากลม ผมหยิก....
จับไปเดินพิพิธภัณฑ์ที่คูบัวภัณฑารักษ์อาจจะหลอนนึกว่าดินเผาในตู้หลุดออกมามีชีวิตได้ครับ เหอๆ


กระทู้: 2550 - แบคแพค ตะลุยพม่า!!
เริ่มกระทู้โดย: ติบอ ที่ 12 ม.ค. 08, 11:04
ก่อนจะไปพม่า.... แน่นอนว่านายติบอต้องหาข้อมูลประเทศพม่าไว้นิดหน่อยก่อน
แล้วจะหาที่ไหนดีล่ะ..... ก็ วันๆก็นั่งอยู่หน้าอินเตอร์เนตแล้วเนาะ
งั้นก็หาเอาในสารานุกรมเด็กอ่อนแอเนี่ยะแหละ เพราะไม่ได้ซีเรียสอะไรอยู่แล้ว
http://th.wikipedia.org/wiki/%E0%B8%9B%E0%B8%A3%E0%B8%B0%E0%B9%80%E0%B8%97%E0%B8%A8%E0%B8%9E%E0%B8%A1%E0%B9%88%E0%B8%B2


จากแผนที่ทางภูมิศาสตร์ พม่าเป็นประเทศที่อยู่สูงที่สุดในบรรดาชาติอาเซียน
มีพรมแดนติดต่อกับประเทศ บังกลาเทศ อินเดีย จีน ลาว และไทย
และมีชายฝั่งทะเลอยู่ในมหาสมุทรอินเดีย


พม่าแบ่งการปกครองออกเป็น 7 เขต กับอีก 7 รัฐ
เท่าที่นายติบอเข้าใจ เขตเป็นที่อยู่ของชนเมือง
ส่วนรัฐก็เป็นที่อยู่ของชนเผ่า

ชื่อเขต และเมืองหลวงทั้งหมดคือ
1. เขตAyeyarwady (คนไทยอ่านว่าอิรวดี)
2. เขตBago (อ่านว่าพะโค)
3. เขตMagway (มาเกว)
4. เขตMandalay (มัณฑะเลย์)
5. เขตSagaing (สะกาย)
6. เขตTanintharyi (อันนี้ดูอ่านยาก แต่ที่จริงก็เมืองตะนาวศรีล่ะครับ)
7. เขตYangon (ย่างกุ้ง)

ส่วนรัฐอีก 7 รัฐได้แก่
1. รัฐชิน (Chin) 
2. รัฐกะฉิ่น (Kachin)
3. รัฐกะเหรี่ยง (Kayin) อันนี้สังเกตนิดนึงครับ ว่าภาษาอังกฤษใช้ตามที่คนพม่าออกเสียง
4. รัฐกะยา (Kayah)
5. รัฐมอญ (Mon)
6. รัฐยะไข่ (Rakhine)
7. รัฐฉาน (Shan)

เมืองหลวงปัจจุบันคือเมือง เนปีดอ
และเมืองที่ใหญ่ที่สุดคือเมืองย่างกุ้ง (พี่กุ้งแห้งจะกลัวเมืองนี้มั้ยเนี่ยะ)


มีสกุลภาษาในประเทศมากถึง 5 สกุล ได้แก่
1. ตระกูลภาษาออสโตรเอเชียติก ได้แก่ ภาษาภาษามอญ ภาษาปะหล่อง
2. ตระกูลภาษาซิโน-ทิเบตัน ได้แก่ ภาษาพม่า (ภาษาราชการ) ภาษากะเหรี่ยง ภาษาอารากัน (ยะไข่) ภาษาจิงผ่อ (กะฉิ่น) และ ภาษาอาข่า
3. ตระกูลภาษาไท-กะได ได้แก่ ภาษาฉาน ภาษาไทลื้อ ภาษาไทขึน และภาษาไทคำตี่
4. ตระกูลภาษาม้ง-เมี่ยน ได้แก่ ภาษาม้งและภาษาเย้า (เมี่ยน)
5. ตระกูลภาษาออสโตรนีเชี่ยน ได้แก่ ภาษามอเก็นและภาษาสะลน


ปัจจุบันใช้สกุลเงินจั๊ต (kyats) มีตัวย่อเป็นตัว K
ใช้เวลา UTC + 6.30 (ช้ากว่าไทยนิดนึงเพราะอยู่ทางตะวันตกกว่า)
และมีรหัสอินเตอร์เนตเป็น .mm






แค่นี้คงพอก่อนเดินทางละ
ไปเที่ยวกะผมเลยมะกั๊บ


กระทู้: 2550 - แบคแพค ตะลุยพม่า!!
เริ่มกระทู้โดย: กุ้งแห้งเยอรมัน ที่ 12 ม.ค. 08, 11:10
ช้าก่อน ค้านได้ค่ะ คุณพพ. คนพม่ามีหลายเชื้อชาติ หลายเผ่าพันธุ์วะจนบ้านเมืองเป็นอย่างที่เห็น ภาษาพูดก็ดันต่างกันอีก ดิฉันกำลังจะพูดว่า มารยาทที่อ่อนน้อม น่ารักของคนไทย ตอนนี้ กลายไปอยู่ที่เมืองพม่าเสียส่วนใหญ่ ผิดถูกจะมาขยายให้ฟังนะคะ แต่ที่แน่ๆเสียยิ่งกว่าแช่แป้ง ก็คือ หน้าเหมือนเราแต่หน้าไม่ยิ้มค่า

อ้อ คุณตบ.รู้สึกไหม ว่ากุ้งแห้งพม่าตัวโตมาก ซื้อมาครั้งเดียว ไปครั้งต่อไปเลิก เพราะประกอบอาหารแล้ว อร่อยสู้กุ้งแห้งไทยไม่ได้เลย

เชิญสาธยายต่อค่ะ



กระทู้: 2550 - แบคแพค ตะลุยพม่า!!
เริ่มกระทู้โดย: ติบอ ที่ 12 ม.ค. 08, 16:51
เท่าที่ผมเข้าใจ กุ้งแห้งพม่าเป็นกุ้งก้ามกรามตัวไม่ใหญ่นัก
พอตากขึ้นมาก็เลยตัวโตมโหฬาร แต่เนื้อเหนียวหนึบหนับ
แถมรสชาติออกจะจืดๆอีกตะหาก
(ไม่ทราบว่าของร้านที่ผมได้ชิมมารสชาติต่างกับร้านอื่นหรือเปล่านะครับ)

กุ้งแบบนี้ถ้าทำให้ดีก็รสชาติดีครับ
อาจจะดีถึงขั้นถูกปากคนชอบกุ้งแห้งเนื้อเยอะ
เพราะซื้อมาทีไรผมก็ต้องทำใหม่ทุกครั้ง

วิธีการทำใหม่คือเอากุ้งมาล้างน้ำให้สะอาด
แล้วโรยเกลือทะเลลงไปจำนวนหนึ่ง
จากนั้นเอากุ้งไปตากให้แห้งใหม่อีกครั้ง แล้วเก็บไว้ในตู้เย็น
เวลาจะเอากลับมารับประทาน ให้คั่วหรือทอดก่อนนะครับ



ปล. เวลาซื้ออย่าซื้อตัวใหญ่เกินไปครับ
เพราะอาจจะเหนียวจนฟันปลอมหลุดได้ครับ เหอๆ


กระทู้: 2550 - แบคแพค ตะลุยพม่า!!
เริ่มกระทู้โดย: ติบอ ที่ 12 ม.ค. 08, 17:42
ก่อนจะไปไหนไกล มาแนะนำนักเดินทางกันก่อนนะครับ


นักเดินทางคราวนี้ มี 3 คน

คนแรก ก็ นายติบอล่ะครับ
คนที่ 2 เล่นบอร์ด ใช้ชื่อว่านายกุรุกุลา ขออนุญาตเรียกว่าไอ้ตั้ว
(ทำไมมันเอาชื่อศักติของพระโพธิสัตว์มาตั้งเป็นชื่อว๊า...)
คนที่ 3 เป็นพี่ชายใจดีคนหนึ่ง ขออนุญาตเรียกว่าพี่เชษฐ์นะครับ


เหตุเกิดจากพี่เชษฐ์ต้องการเดินทางไปประเทศพม่า
เพื่อถ่ายภาพโบราณสถานในเขตเมืองพุกาม ย่างกุ้ง และหงสาวดี
นายติบอกับไอ้ตั้วก็เลยได้โอกาสขอพี่เขาติดตามไปด้วย

และเนื่องจากเราไปกันแบบเบี้ยน้อยหอยน้อย
เราก็เลยต้องนั่ง low cost airline คือ Thai Air Asia ไปกัน
แต่สายการบินเจ้ากรรมนี่ดันมีไฟลต์ไปพม่าแต่เช้าตรู่อย่างเดียว
ก่อนจะเดินทางกันไปสุวรรณภูมิตอนเช้าตรู่ไก่ยังไม่ทันโห่ของวันที่ 26 ต.ค.
นายติบอกับไอ้ตั้วก็เลยขออนุญาตพี่เชษฐ์ไปนอนค้างคืนที่บ้านพี่เขาก่อน 1 คืน
ก่อนจะต้องเบิ่งตาตื่นไปสนามบินตั้งแต่ตี 4 ของวันที่ 26


ไปคราวนี้นายติบอทำตัวธรรมด๊าธรรมดาเหมือนทุกครั้งที่ไปเที่ยวชมโบราณสถาน
คือเอาเสื้อยืดไปประมาณ 3 ใน 4 ของจำนวนวันที่ไป
กางเกงยีนส์ 2 ตัว แจคเกตกันลม 1 ตัว
ถุงเท้า 11 คู่ ผ้ห่มคลุมไหล่ผืนใหญ่ 1 ผืน
ผ้าพันคอวูล 1 ผืน เชือกตากผ้า ไม้หนีบ หนังยางวง และกล้องถ่ายรูป
ส่วนคุณชายกุรุกุลาเป็นคนเตรียมยาสารพัดชนิดไป


กระทู้: 2550 - แบคแพค ตะลุยพม่า!!
เริ่มกระทู้โดย: กุ้งแห้งเยอรมัน ที่ 12 ม.ค. 08, 22:56
แล้วจะได้ดูรูปฝีมือท่านทั้งสามไหมล่ะคะ คุณติบอ


กระทู้: 2550 - แบคแพค ตะลุยพม่า!!
เริ่มกระทู้โดย: ติบอ ที่ 13 ม.ค. 08, 17:10
หลังจากรู้จักข้อมูลประเทศพม่ากันไปคร่าวๆแล้ว
คราวนี้.... นายติบอก็ต้องหาข้อมูลอีกล่ะ
ประเทศพม่าออกจะกว้างใหญ่ไพศาล ถ้าเปรียบเป็นบ้าน
เมืองที่นายติบอจะไปก็คงไม่ต่างอะไรกับที่ดินแค่กระแบะมือ


อย่างที่เล่าไปแล้ว ว่าเมืองที่จะไปคราวนี้มี 3 เมือง
ได้แก่ พุกาม หงสาวดี และ ย่างกุ้งครับ
แต่ไฮไลต์หลักจริงๆอยู่ที่พุกาม
เพราะจากเวลาทั้งหมด 10 วัน
เราจะเสียเวลาอยู่ในพุกามซะ 6 วันแล้ว
แล้วยังต้องเสียเดินทางไป - กลับอีก
นายติบอก็เลยเหลือเวลาชมเมืองย่างกุ้ง กับหงสาวดีซะเมืองละวันเท่านั้นเองครับ


เรื่องที่ 2 ที่นายติบอต้องค้นก็คือเรื่องประวัติศาสตร์พุกาม
คราวนี้ก็พึ่งอินเตอร์เนตอีกเช่นเคยครับ
แต่เป็นโชคดีของนายติบอ ที่มหาวิทยาลัยศิลปากรได้ทำฐานข้อมูลออนไลน์เอาไว้
และมีวิทยานิพนธ์ประญญาโทอยู่ฉบับนึง ที่ทำเรื่อง
พุทธศาสนากับพม่าในสมัยอาณาจักรพุกาม (ค.ศ. 1057-1287) (http://www.thapra.lib.su.ac.th/thesis/showthesis_th.asp?id=0000001813)
นายติบอเลยได้อ่านประวัติศาสตร์พุกามมาบ้าง


กระทู้: 2550 - แบคแพค ตะลุยพม่า!!
เริ่มกระทู้โดย: ติบอ ที่ 13 ม.ค. 08, 17:52
ไหนๆก็ไหนๆ พูดเรื่องวิทยานิพนธ์กันไปแล้ว
นายติบอขอเล่าประวัติอาณาจักรพุกามอย่างย่อๆให้ทุกท่านฟังไปก่อนนะครับ
ใครไม่ฟังก็กระโดดข้ามรีพลายนี้ของนายติบอ ไปจนถึง "บทที่ 0" ได้เลยครับ


พุกามเป็นเมืองหลวงแห่งแรกในประวัติศาสตร์ของชนชาติพม่า
มีอีกชื่อหนึ่งว่า "อริมนฺทนทวีปฺ" หรือดินแดนผู้ไม่เคยแพ้ใคร
ถึงแม้ว่าดินแดนแห่งนี้จะวางตัวอยู่บนริมฝั่งของเวิ้งน้ำใหญ่ของลำน้ำอิรวดี
แต่ตอนกลางของประเทศพม่าอย่างเช่นที่นี่ก็เป็นอาณาเขตที่แห้งแล้งมาก
จนรู้จักกันในอีกนามหนึ่งว่า "ตมฺพทวีป" หรือดินแดนอันมีดินสีแดง


เล่ามาถึงตรงนี้หลายคนคงสงสัย ว่าทำไมเขามาตั้งเมืองกันที่นี่
นายติบอขออนุญาตเล่าเพิ่มว่าที่กษัตริย์พุกามทรงมาตั้งมหานครยุคโบราณกันที่นี่
เพราะพุกามเป็นจุดเล็กๆที่แม่น้ำฉินวิน ไหลมาบรรจบกับแม่น้ำอิรวดี
และเป็นดินแดนที่อยู่ระหว่างดินแดนกสิกรรมขนาดใหญ่ 2 ผืน ทางเหนือและใต้
จึงถือเป็นจุดยุทธศาสตร์สำคัญในการปกครองอาณาเขตบริวเวณนี้ก็ว่าได้


ถึงแม้ว่าโดยทั่วไปแล้วเราจะเริ่มศึกษาประวัติศาสตร์ของอาณาจักรพุกาม
หลังจากที่พระเจ้าอนิรุทธ (อโนรธา) ขึ้นครองราชย์ในปี พ.ศ. 1587 แล้ว
แต่จากหลักฐานทางโบราณคดีที่ค้นพบในดินแดนแห่งนี้
แสดงให้เราเห็นว่าดินแดนแห่งนี้มีการตั้งชุมชนอยู่มาตั้งแต่ตอนปลายพุทธศตวรรษที่ 13 แล้ว
และนอกจากนั้นประวัติศาสตร์พุกามเองก็ได้กล่าวถึงพระเจ้าอนิรุทธ
ไว้ว่าพระองค์ทรงเป็นกษัตริย์องคที่ 42 ของพุกามด้วย


กระทู้: 2550 - แบคแพค ตะลุยพม่า!!
เริ่มกระทู้โดย: ติบอ ที่ 21 ม.ค. 08, 11:55
แอบแวะไปดูหนังสือเตรียมสอบมาพักนึงครับ เลยไม่ได้มาต่อกระทู้
ตอนนี้สอบเสร็จ พักหายเหนื่อยแล้ว ขออนุญาตมาต่อกระทู้นะคับ

หลังจากแนะนำเมืองพุกามไปแล้ว
นายติบอขอพาทุกท่านขึ้นเครื่องแอร์เอเชียไปเที่ยวพม่ากันเลยดีกว่า

นายติบอขอเริ่ม บทที่ 0
กันที่เช้าวันที่ 26 ต.ค. นะครับ


เช้าวันนั้นเราออกจากบ้านพี่เชษฐ์กันตั้งแต่ตี 4 กว่าๆ
เรียกรถ taxi ไปส่งเราที่สนามบินสุวรรณภูมิ
แล้วไปเข้าแถวเชคอินและตรวจพาสปอร์ด ก่อนจะเข้าไปเอ๊กซเรย์กระเป๋า
และโดนยึดครีมกันดดกันไป 2 ขวดตรงที่ตรวจกระเป๋าน่ะแหละ
(กลับจากพม่าคราวนี้ดำกันหมดแน่ๆทั้ง 3 คน เหอๆ)
สักพักเราก็ได้เดินไปขึ้นรถบัสเพื่อไปขึ้นเครื่องบินแอร์เอเชียลำจิ๋วๆ
ที่มีรูปกระโหลกควายอันบะเริ่มเทิ่มของวงคาราบาวอยู่ข้างๆเพื่อไปพม่า
จุดหมายปลายทางอยู่ที่.....ย่างกุ้ง


คณะเดินทาง 3 คนไปถึงสนามบินย่างกุ้งในเวลาอีกชั่วโมงกว่าๆ
แต่เราไม่ได้ไปไหนกัน เพราะต้องรอเครื่องบินไปพุกามตอนบ่าย
พวกเราก็นั่งคุยฆ่าเวลากันไปก่อน


(http://photos1.hi5.com/0015/050/543/SDCJvV050543-02.jpg)


สนามบินระหว่างประเทศของย่างกุ้งหรูหราพอสมควร คงดูเหมือนดอนเมืองเมื่อหลายสิบปีก่อน
ที่ถูกบรรยากาศของคนจำนวนมากที่มานังรอรับญาติกันเต็มไปหมดข่มบรรยากาศของสนามบินไป
มองไปทางไหนก็จะเห็นแต่คน คน คน และ คน บางคนก็หน้าเปรอะไปด้วยน้ำตาของการจากลา
บางคนก็มานั่งรอจนแอบหลับ หรือไม่ก็นั่งยองๆกับพื้น
บางคนก็มาทำธุระกิจรับแลกเงินจากดอลลาร์เป็นจั๊ต
และคนขับรถรับจ้างหลายอีกคนที่มายืนรอผู้โดยสาร

คนที่นี่จำนวนหนึ่งเคี้ยวหมากกันจนแก้มป่อง ปากแดงเปรอะ
แต่ก็น่าชื่นชมที่เขาไม่ถ่มน้ำหมากลงพื้นให้เปรอะเปื้อน
เราก็นั่งชมบรรยากาศแปลกตารอบๆตัวไปคุยกันไปพักใหญ่


(http://photos1.hi5.com/0014/343/717/UWiy47343717-02.jpg)


จนในที่สุดเมื่อเราเดินหาร้านอาหารและห้องน้ำกัน.....
เราถึงรู้ว่าตึกที่เรานั่งอยู่เป็นตึกสายการบินระหว่างประเทศ...
อ้าว ตายล่ะสิ พวกเราเลยต้องรีบวิ่งอย่างกระหืดกระหอบ
(จนนายตั้วทำสายเป้ข้างหนึ่งขาดเหวอะออกมา)
เพื่อไปอีกตึกนึง เพราะเราต้องไปขึ้นเครื่องที่ตึกสายการบินภายในประเทศที่นั่น


(http://photos1.hi5.com/0015/064/269/MHkKPS064269-02.jpg)


ตึกพักผู้โดยสารของสายการบินภายในฯของพม่า
แทบจะเรียกได้ว่าต่างกับตึกสายการบินระหว่างประเทศราวฟ้ากับเหว
... ที่นี่ทำให้ผมนึกถึงท่ารถทัวร์ที่โคราชเวลารถทัวร์ไม่ได้เข้า
หน้าต่างแต่ละบานมีทั้งฝุ่นทั้งคราบจับเขรอะ
คนเบียดกันแออัดยัดเยียดโดยไม่รุ้จักการเข้าแถวก่อน - หลัง
ร้านอาหารเปิดไฟสลัวๆจนดูหลอนตาได้แม้ในยามเที่ยงวัน

... เฮ่อ ในที่สุดเราก็ฝากกระเป๋าหนักๆ 3 ใบขึ้นเครื่องไปได้ (รวมทั้งใบที่ขาดนั่นด้วย)
และฝ่าฝูงชนไปนั่งจิบน้ำอัดลมกระป๋องจากเมืองไทยในตู้(เกือบ)เย็นเขรอะฝุ่น
ในส่วนพักรับรองที่ไม่มีเครื่องปรับอากาศและเต็มไปด้วหลอดฟลูออเรสเซนต์ดับๆติดๆ
แล้วเวลาสวรรค์ยามบ่าย 2 ที่พวกเราจะได้บอกลาสนามบินท่ารถแห่งนี้ก็มาถึง
บ๊ายบายจ๊า... กุ้งย่าง
เอ๊ย! ย่างกุ้ง!!!







(http://photos1.hi5.com/0012/481/225/IYw72x481225-02.jpg)


กระทู้: 2550 - แบคแพค ตะลุยพม่า!!
เริ่มกระทู้โดย: ติบอ ที่ 21 ม.ค. 08, 14:24
เครื่องบินของ Bagan air เป็นสายการบินหรูหรา
มีแอร์โฮสเตตสาวสวยยิ้มหวานนุ่งลองจียาวกรอมเท้า
คอยเดินให้บริการบนเครื่อง ด้วยน้ำอัดลมกระป๋องและน้ำแข็ง(จากเมืองไทย)
กับขนมเล็กน้อย และลูกออมรสแปลกๆ (ที่ผลิตในเมืองไทย แต่ไม่มีใครเคยเห็น)


แต่บนเครื่อง Bagan air ก็ยังมีเรื่องแปลกๆอีกเช่นเดียวกับหลายสิ่งหลายอย่างที่นี่
เช่น เวลาขึ้นเครื่องเขาไม่ได้นั่งตาม boarding แต่ใครจะนั่งตรงไหนก็ได้!!!
กว่าจะขึ้นเครื่องได้ที่ของเราที่จองติดกันไว้ 3 คนก็เลยกลายเป็นที่นั่งคุยขโมงโฉงเฉงของแขกกลุ่มนึงไปแล้ว.....

ในที่สุดนายติบอก็เลยต้องไปนั่งข้างผู้โดยสารชาวฮ่องกงสองคน เป็นอาม่ากับหลานสาว
ที่ถึงจะไม่ใช่คนพม่าแต่ก็แปลกอีกเช่นเคย เพราะอาม่าก็สามารถเรียกแอร์โฮสเตทมาวีนเรื่องเล็กๆน้อยได้ทุก 15 นาที
ตั้งแต่ทำไมฉันไม่ได้นั่งกับลูกสาว ขนมปังที่เธอเอามาเสิร์ฟนี่จืดไป เค้กไม่เย็นเลย ทำไมกาแฟมันใสล่ะ ฯลฯ
และอาหมวยก็ทำทุกอย่างในถาดอาหารที่คุณแอร์เอามาเสริฟหกได้ตลอดเวลา
ตั้งแต่เม็ดงาบนหน้าขนมปังไปจนถึงน้ำตาลทรายในซองที่เธอฉีกแล้วโปรยเล่น

ส่วนนายตั้ว กับพี่เชษฐ์ผู้น่าสงสาร นู่นครับ....
ต้องไปนั่งหน้าห้องน้ำที่มีกลิ่นโชยตลอดเวลาแทนล่ะครับ..... อ่ะ บรึ๋ย....


(http://photos1.hi5.com/0013/857/689/34RURr857689-02.jpg)


หลังจากทะยานขึ้นฟ้า ข้ามแม่น้ำย่างกุ้งแล้ว
เครื่องบินลำน้อยๆก็แวะพักที่สนามบินเฮะโฮ
มัณฑเลย์ และถึงสนามบินยองอูของเมืองพุกามในที่สุด


(http://photos1.hi5.com/0015/573/984/1OqGmf573984-02.jpg)


สนามบินที่ยองอูดูดีกว่าสนามบินภายในฯที่ย่างกุ้งมากทีเดียว
เพราะคนน้อยกว่า ใหม่กว่า แสงมากกว่า และมีฝุ่นน้อยกว่า
แต่บรรยากาศก็ยังชวนให้นึกถึงสนามบินร้างอยู่ดี

เนื่องจากหลายเดือนที่ผ่านมา การเมืองภายในประเทศพม่ามีปัญหามาก
ชาวต่างชาติจำนวนมากก็เลยไม่กล้าเข้ามาท่องเที่ยวในประเทศพม่ากัน
เมืองที่เศรษฐกิจกว่าครึ่งต้องดำเนินไปโดยพึ่งเม็ดเงินจากการท่องเที่ยวอย่างเมืองพุกาม
ก็เลยเงียบหงอยกันไปตามระเบียบ


เราจ่ายค่าเข้าเมืองกันคนละ 10 $ แล้วเรียก taxi
จากสนามบินไปยังโรงแรมที่พักชื่อ New Park Hotel
ถึงโรงแรมนี้จะหน้าตาเหมือนรีสอทราคาถูกแถวพิษณุโลก
แต่ห้องก็ดูสะอาดดี มีอาหารเช้าให้ และมีน้ำอุ่นสมกับค่าที่พักคืนละ 7 $ ต่อคน
แล้วเราก็แยกย้ายไปทำกิจกรรมส่วนตัวตามอัธยาศัยก่อนจะนัดเจอกันไปเดินเล่นช่วงหัวค่ำ


กระทู้: 2550 - แบคแพค ตะลุยพม่า!!
เริ่มกระทู้โดย: pipat ที่ 21 ม.ค. 08, 19:20
ถ้าเคยดูหนัง คืนที่คนตายมีชีวิต
สนามบินร่างกุ้งที่ผมเคยไป ได้อารมณ์อย่างนั้นเลย
เห็นรูปคุณติบอแล้วต๊กใจ นี่หรูเริ่ดปานนี้เชียวหรือ

ตลาดมืดยังรุ่งเรืองอยูใหมครับ
สมัยก่อนเราแลกเงินพม่าเพียงเท่าที่เขาบังคับ
แล้วไปขายดอลล่าร์ราคาเพิ่มสองเท่า ที่ตลาดหน้าชเวดากอง


กระทู้: 2550 - แบคแพค ตะลุยพม่า!!
เริ่มกระทู้โดย: ติบอ ที่ 24 ม.ค. 08, 17:14
เดี๋ยวนี้ตลาดมืดซบเซาลงบ้างแล้วล่ะครับ คุณพิพัฒน์
เพราะเราแลกเงินได้หลายที่ ทั้งกับร้านอาหาร หรือโรงแรมที่พักก็ได้ราคาสูงพอใช้
แต่เวลาไปเดินจับจ่ายซื้อของก็ยังมีหม่องนุ่งโสร่งถามว่า "จั๊ตๆ" อยู่บ่อยๆเหมือนกันครับ


ส่วนสนามบินหลอนๆที่คุณพิพัฒน์พูดถึงนั่น กลายเป็นสนามบินภายในประเทศไปแล้วครับ





ก่อนจะออกไปเดินเล่นกัน
นายติบอขอมาเล่าประวัติราชวงศ์พุกามกันคร่าวๆก่อนนะครับ
เพราะถ้าไม่เล่า เดี๋ยวคนอ่านจะพากันงงเวลาออกพระนามกษัตริย์พระองค์ต่างๆ


บทที่ 1: กษัตริย์ปรำปราแห่งอริมัทนประเทศ


อย่างที่เล่าไปแล้วว่าโดยปกตินักวิชาการจะกล่าวกันถึงกษัตริย์ที่ครองราชย์หลังสมัยพระเจ้าอนิรุทธลงมา
นายติบอก็เลยขออนุญาตเรียกประวัติศาสตร์พุกามก่อนหน้าว่า "สมัยปรำปรา" นะครับ

เพราะที่จริงแล้วพงศาวดารฉบับหอแก้วหรือ ฮมันนายาซเวงดอยี (Hman-nan-ya-zawin-daw-gyi)
ได้กล่าวถึงประวัติราชวงศ์พุกามย้อนขึ้นก่อนหน้าพระเจ้าอนิรุธไปราวร้อยปีเศษ
โดยเริ่มนับจากพระเจ้า 1.) นยองอู สอรหัน (Nyaung-u Sawrahan)
ซึ่งครองราชย์ในช่วง พ.ศ. 1474 - 1507 ไว้ว่าพระองค์ทรงเป็นกษัตริย์นักบุญ
และเล่าประวัติระองค์ไว้ทำนองเดียวกับพระเจ้าปทุมสุริยวงศ์ หรือพระเจ้าแตงหวาน
ที่ทำไร่แตงกวามาก่อนแต่ด้วยบุญญาธิการของพระองค์ จึงได้ขึ้นครองราชย์


พระเจ้านยองอู สอรหัน ทรงมีมเหสี 3 องค์ เป็นพี่น้องกัน
ในตอนท้ายรัชกาล ขณะที่มเหสี 2 องค์ ทรงครรภ์อยู่
2.) พระเจ้ากุนษอกยองพยู (Kunhsaw Kyaungbyu)
ได้เข้าชิงราชสมบัติของพระองค์ ในปี พ.ศ. 1507 -1529
และทรงอภิเษกมเหสีทั้งสามของพระเจ้านยองอู สอรหัน ขึ้นเป็นมเหสีของพระองค์


ในช่วงปลายรัชสมัยของพระเจ้าพระเจ้ากุนษอกยองพยู
เจ้าชายราชโอรสของพระเจ้านยองอู สอรหัน ซึ่งประสูติแต่มเหสีทั้ง 2
ได้แก่ 3.) พระเจ้ากะยิโส (Kyizo) และ 4.)พระเจ้า โสกกะเต (Sokkate)
ได้ชิงราชสมบัติของพระเจ้ากุนษอกยองพยู และบังคับให้พระองค์ออกผนวช


และพระเจ้ากะยิโส ได้ขึ้นครองราชย์ในปี พ.ศ. 1529 - 1535
และเมื่อพระเจ้ากะยิโสสวรรคตลง พระเจ้าโสกะเต
ก็เสด็จขึ้นครองราชย์ต่อจากพระเชษฐาต่างมารดา ในปี พ.ศ. 1535 - 1560


กระทู้: 2550 - แบคแพค ตะลุยพม่า!!
เริ่มกระทู้โดย: ติบอ ที่ 26 ม.ค. 08, 01:53
บทที่ 2 : พระเจ้าอนิรุทธ์


ส่วนพระนางมยอปปยินสี (Myauppyinthi) ซึ่งเป็นอดีตพระมเหสีของพระเจ้า นยองอู สอรหัน อีกองค์หนึ่งนั้น
ทรงครรภ์กับพระเจ้า กุนษอกยองพยู ให้กำเนิดพระโอรส คือ 5.) พระเจ้าอนิรุทธ์ (อโนรธา) (1587 - 1620)
พระเจ้าอนิรุทธ์ทรงเจริญวัยขึ้นในวัดที่พระบิดาทรงผนวชอยู่
และทรงได้รับการอบรมศิลปศาสตร์ต่างๆ ทั้งอักษรศาสตร์ และพิชัยสงครามมาเป็นอย่างดี

เมื่อเจริญวัยขึ้น พระองค์ได้ยกพล กรีฑาทัพเข้ามายังเมืองพุกาม
และแต่งสารท้ารบไปยังพระเจ้าโสกะเต มีใจความว่า
พระเจ้าโสกะเตจะยินยอมคืนราชบัลลังก์ให้พระราชบิดาของพระองค์
หรือจะต่อสู้กับพระองค์ พระเจ้าโสกะเตทรงตกลงที่จะทำสงครามกับพระเจ้าอนิรุทธ์
ในที่สุดพระโสกะเตก็ทรงพ่ายแพ้ และ ถูกพระเจ้าอนิรุทธ์สังหาร

พระเจ้าอนิรุทธ์จึงนำราชบัลลังก์ถวายคืนแก่พระราชบิดา
แต่พระเจ้ากุนษอกยองพยูทรงมอบราชบัลลังก์คืนให้แก่พระเจ้าอนิรุทธ์
เนื่องจากพระองค์ทรงมีพระชนมายุมากแล้ว
พระเจ้าอนิรุทธ์จึงทรงขึ้นครองราชย์ในปี พ.ศ. 1587


พระนามของพระเจ้าอนิรุทธ์ที่เป็นที่รู้จัก มีหลายพระนามด้วยกัน
ได้แก่ พระเจ้าอนิรุทธ์ พระเจ้าอโนรธา พระเจ้าอโนรธามินสอ หรือพระเจ้าอนุรุธ์
และพระนามภาษาสันสกฤต คือ มหาราชาศรีอนิรุทธเทวะ (Maharaja Sri Aniruddha-deva)

หลังจากที่ทรงปกครองและจัดการปัญหาภายในอาณาจักรพุกามจนมั่นคงแล้ว
พระเจ้าอนิรุทธ์ทรงรวบรวมดินแดนต่างๆในเขตลุ่มน้ำอิรวดีเข้าไว้เป็นปึกแผ่น
และฟื้นฟูพระพุทธศาสนา โดยการแต่งตั้งคณะทูตเดินทางไปขอพระไตรปิฎกจากพระเจ้ามกุฏ (มนูหะ)
จากเมืองสะเทิมมาประดิษฐานไว้ที่พุกาม ฮมันนายาสเวงดอยีเล่าความตอนนี้เอาไว้ว่า
พระเจ้ามกุฏทรงตอบปฏิเสธคณะทูตของพระเจ้าอนิรุทธ์ด้วยถ้อยคำดูถูก
พระเจ้าอนิรุทธ์จึงส่งขุนศึกคู่ใจ 4 คนลงมาทำสงครามกับพระเจ้ามกุฏ จนได้รับชัยเหนือเมืองสะเทิม
ในครั้งนั้น พระเจ้ามกุฏ พระบรมวงศานุวงศ์ พระสงฆ์ และชาวสะเทิมจำนวนมากถูกกวาดต้อนมาไว้ที่พุกาม
ซึ่งเป็นสาเหตุให้พุกามได้รับวัฒนธรรมมอญ หลายประการ ทั้งทางด้านศาสนา ศิลปะ ภาษา และการเมืองการปกครอง

หลังจากทรงได้เมืองสะเทิมไว้แล้ว พระเจ้าอนิรุทธ์ทรงเดินทางไปยังดินแดนต่างๆ
และอ้างสิทธิธรรมในการปกครองอาณาจักรโดยรอบ เช่น อาณาจักรต้าหลี่ทางเหนือ
อารากันทางตะวันตก และ ฉานทางตะวันออก จึงทำให้พุกามเป็นศูนย์กลางของพุทธศาสนาที่สำคัญ
และสามารถติดต่อกับต่างประเทศทั้งจีน และ อินเดียได้ง่าย จนเกิดความมั่นคงทางการค้าขึ้น

และในปี ค.ศ. 1067 พระเจ้าวิชัยพาหุที่ 1 (Vijayabahu 1) แห่งลังกา
ทรงขอความช่วยเหลือจากพระเจ้าอนิรุทธ์ในการขับไล่โจฬะที่ปกครองลังกาออกไป
จึงเป็นสาเหตุให้พุทธศาสนาฝ่ายเถรวาทลัทธิลังกาวงศ์เจริญรุ่งเรืองในอาณาจักรพุกาม


พระเจ้าอนิรุทธ์เสด็จสวรรคตจากอุบัติเหตุในการล่าสัตว์เมื่อปี พ.ศ. 1620
ตลอดรัชสมัยของพระองค์ ได้ทรงรวบรวมแผ่นดินอริมัทนประเทศเข้าเป็นปึกแผ่น
สร้างความมั่นคงทั้งทางด้านการเมือง-การปกครอง และการติดต่อค้าขายกับต่างประเทศ
และทำนุบำรุงพุทธศาสนา จนพุกามเป็นศูนย์กลางของพุทธศาสนาแบบเถรวาทของภูมิภาคด้วย


กระทู้: 2550 - แบคแพค ตะลุยพม่า!!
เริ่มกระทู้โดย: Kurukula ที่ 26 ม.ค. 08, 18:13
เข้ามาให้กำลังใจคุณติบอเล่าต่อจนจบครับ :P


กระทู้: 2550 - แบคแพค ตะลุยพม่า!!
เริ่มกระทู้โดย: ติบอ ที่ 26 ม.ค. 08, 19:04
บทที่ 3 : เมื่อมอญครองพม่า


6.) พระเจ้าสอลู (พ.ศ. 1620-1627)
ทรงปกครองอาณาจักรพุกามต่อจากพระราชบิดา
เมื่อทรงขึ้นครองราชย์ทรงมีพระนามว่า ศรีพัชรภรณ์ตรีภูวติ
และยังทรงเป็นที่รู้จักว่า มังลูลาน (Man Lulan) ซึ่งแปลว่าพระราชาหนุ่ม

ฮมันนายาสเวงดอยี หรือ พงศาวดารฉบับหอแก้ว เล่าถึงประวัติของพระองค์ไว้ว่า
พระราชาพระองค์นี้มิได้สร้างความเจริญรุ่งเรืองให้แก่บ้านเมืองแต่ประการใด
ทรงปล่อยให้เหล่าเสนาอำมาตย์เป็นผู้จัดการบ้านเมืองแทนพระองค์
เสนาบดีผู้ใหญ่ในสมัยนี้ คือ จันสิตถา นักรบคู่ใจพระเจ้าอนิรุทธ์

แต่ในภายหลัง พระเจ้าสอลูทรงต้องการจำกัดอำนาจของเสนาบดีผู้นี้
จึงโปรดให้จันสิตถาไปทำราชการในแคว้นห่างไกลออกไป
แต่เมื่อมีปัญหาภายในก็จำเป็นต้องขอคำปรึกษาจากจันสิตถาอีก

ตอนปลายรัชกาล งะรมัน (Nga Raman) เจ้าเมืองพะโคก่อกบฎ
จับตัวพระเจ้าสอลูเป็นตัวประกัน จันสิตถาซึ่งครองเมืองถิเลง (Htilaing) อยู่
ไม่สามารถยกทัพกลับมาช่วยพระองค์ได้ทัน งะรมันได้สังหารพระเจ้าสอลูที่เมืองพวาสอ (Prantwsa)
และพยายามเข้ายึดครองอาณาจักรพุกามแต่จันสิตถาได้เข้าขัดขวาง
เหล่าเสนาอำมาตย์ และพระชินอรหันต์จึงได้อัญเชิญจันสิตถาขึ้นครองราชย์สมบัติ
เป็น 7.) พระเจ้าจันสิตถา (ค.ศ. 1627-1656)


เมื่อขึ้นครองราชย์ พระเจ้าจันสิตถาทรงมีพระนามว่า ศรีตรีภูวทิตย์ธรรมราชา
ในจารึกพม่ายังเรียกพระองค์ว่า ถิลุงมัง (T’iluin Man) แปลว่ากษัตริย์แห่งถิเลง
แต่เนื่องจากพระเจ้าจันสิตถามิได้มีเชื่อสายของผู้สืบราชบัลลังก์
พระองค์จึงอ้างสิทธิธรรมในการครองราชสมบัติว่าพระองค์ทรงเป็นภาคหนึ่งของพระโพธิสัตว์
และเป็นองค์อวตารของพระวิษณุของชาวพยูอีกด้วย
สมัยนี้จึงถือเป็นรัชสมัยที่ศิลปสาสตร์แบบมอญเจริญรุ่งเรืองถึงขีดสุดในตัมพทวีป


ในรัชสมัยของพระเจ้าจันสิตถา ทรงติดต่อกับต่างประเทศเป็นอย่างมาก
ในปี พ.ศ. 1638 พระองค์ทรงส่งคณะทูตและช่างฝีมือเดินทางไปพุทธคยา
เพื่อไปซ่อมแซมวัดศรีพัชรัส (Sri Bajras) หรือวัดวัสชราสนะ (Vajrassanas)
ซึ่งวัดแห่งนี้เป็นสถานที่พระพุทธองค์ ทรงตรัสรู้ที่ใต้ต้นมหาโพธิ์
พระเจ้าจันสิตถะทรงซื้อที่ดินกัลปนาให้แก่วัด ขุดอ่างเก็บน้ำ สร้างเขื่อน
เพื่อประโยชน์ในการปลูกข้าว ถวายตะเกียงเทียนจำนวนมาก
และทรงกัลปนาข้าทาสให้กับวัดอีกด้วย

นอกจากนั้นในรัชสมัยพระเจ้าจันสิตถะมีพระสงฆ์นิกายมหายาน
จากทางตะวันออกเฉียงเหนือของอินเดียหลบหนีอิทธิพลอิสลาม
เพื่อมาขอความช่วยเหลือจากพระองค์ พระองค์ทรงให้ความช่วยเหลือพระสงฆ์เหล่านี้
โดยการสร้างวัดเล็กๆถวายเป็นที่พำนัก อยู่ระหว่างเจดีย์ชเวซิกองกับหมู่บ้านมินนันถุ (Minnanthu)

ด้านความสัมพันธ์กับจีน ในปี พ.ศ. 1649 ทรงส่งคณะทูตไปยังเมืองไคเฟิง (K’ai feng)
ซึ่งเป็นเมืองหลวงของจีนสมัยราชวงศ์ซ่ง พระจักรพรรดิจีน
จักพรรดิจีนทรงให้การต้อนรับคณะทูตของพุกามเทียบเท่ากับทูตของอาณาจักรโจฬะ

ในรัชสมัยนี้จึงถือได้ว่าประสบความสำเร็จที่ทำให้พุกามเป็นที่รู้จักของดินแดนต่างๆ


กระทู้: 2550 - แบคแพค ตะลุยพม่า!!
เริ่มกระทู้โดย: Kurukula ที่ 26 ม.ค. 08, 19:31

มีจารึกของการซ่อมแซมพุทธคยาสมัยพระเจ้าจันสิทธาอยู่ที่อินเดียด้วยครับ


“รวบรวมสิ่งของมีค่าต่างๆ และส่งเรือไปเพื่อปฏิสังขรณ์ ศรี พัชราสะ (Sri bajras) หรือ ศรีวัชราสนะ เพื่อซื้อที่ดิน ขุดบ่อน้ำ สร้างระบบชลประทานสำหรับนาข้าว สร้างเขื่อน ยังให้ไฟในตะเกียงและเทียนจุดอยู่โดยมิรู้ดับ และพระราชทานกลอง กลองมโหระทึก เครื่องสายและเครื่องให้จังหวะต่างๆ นักขับและชาวละครซึ่งดีกว่าที่เคยมีมาก่อนหน้านี้” และ


“ดังนั้น อนุสรณ์อันยิ่งใหญ่ (Mahavatthu) ซึ่งสร้างโดยพระเจ้าธรรมโศก ซึ่งเก่าแก่และทรุดโทรม พระเจ้าแผ่นได้ทรงปฏิสังขรณ์ให้ยอดเยี่ยมขึ้นกว่าแต่ก่อน”
ศรีพัชราสะหรือพุทธคยาในอินเดียถูกทำลายลงด้วยการรุกรานของชนชาติต่างศาสนา ซึ่งอาจเป็นราชวงศ์ Ghaznavid ชาวมุสลิมที่รุกรานพาราณสี (Benares) ในปี พ.ศ.1576-1577 หรือเจ้าชายการณเทวะ (Karnadeva) ซึ่งรุกรานอาณาจักรปาละในแคว้นพิหารในปี พ.ศ.1582



ในรัชสมัยนี้ปรากฏว่าพระเจ้าจันสิทธาเคยได้รับรองพระสงฆ์ในพุทธศาสนามหายานจากภาคตะวันออกเฉียงเหนือของอินเดีย ซึ่งหลบหนีอิทธิพลของพวกมุสลิมเข้ามาในพุกาม และทรงให้ความช่วยเหลือด้วยการสร้างวัดเล็กๆให้เป็นที่พำนักแก่พระสงฆ์เหล่านี้ วัดนี้อยู่ระหว่างเจดีย์ชเวสิกงกับหมู่บ้านมินนันถุ


กระทู้: 2550 - แบคแพค ตะลุยพม่า!!
เริ่มกระทู้โดย: ติบอ ที่ 26 ม.ค. 08, 19:57
ขอบคุณหลายๆเด้อ บักตั้ว


กระทู้: 2550 - แบคแพค ตะลุยพม่า!!
เริ่มกระทู้โดย: ติบอ ที่ 28 ม.ค. 08, 10:26
บทที่ 4 : อลงอคสิทธู พระโพธิสัตว์แห่งอริมัทนะประเทศ


พระนัดดาของพระเจ้าจันสิ9ถา ทรงปกครองพุกามจากพระองค์
กษัตริย์พระองค์นี้ทรงสืบเชื้อสายมาจากพระโอรสชองพระเจ้าสอลู
และพระธิดาของพระเจ้าจันสิตถา

พระนามภาษาสันสกฤตเมื่อทรงครองพุกามนั้น
พบในจารึกที่วัด Shwe gu gyi (วัดใหญ่สุวรรณเจดีย์)
ทรงพระนามว่า ศรีตรีภูวนาทิตย์บวรธรรมราชา
ส่วนพระนามที่รู้จักกัน คือ สิทถุ (Sithu) ซึ่งแปลว่าวีรบุรุษผู้ชนะ
หรือ 8.) พระเจ้าอลองคสิทถุ (Alaungsithu) (พ.ศ. 1656 - 1706)
เนื่องจากทรงประกาศพระองค์เป็นพระโพธิสัตว์ด้วย
(อลอง แปลว่าพระโพธิสัตว์)


กว่า 50 ปีในรัชสมัยของกษัตริ์พระองค์นี้
ศิลปะมอญที่เคยรุ่งเรืองในรัชสมัยแรกๆของอาณาจักร
ถูกปรับเปลี่ยนให้เป็นแบบของพุกามมากขึ้น
จนถือได้ว่าเป็นจุดรุ่งเรืองสูงสุดของศิลปะพม่าแท้
รัชสมัยของพระองค์ เป็นรัชสมัยที่ทรงสร้างความรุ่งเรืองทาง
ศิลปะ วรรณกรรม สถาปัตยกรรม และ การเมืองการปกครอง อย่างแท้จริง

พระเจ้าอลองคสิทธู ทรงเป็นกษัตริย์นักเดินทางไม่แพ้พระอัยกาของพระองค์
เพราะทรงเดินทางไปเยือนดินแดนต่างๆในเขตลุ่มน้ำอริวดี และดินแดนโพ้นทะเล
เช่น ชวา สุมาตรา และศรีลังกา

ในทางการเมืองการปกครอง พระองค์สามารถยึดเมืองท่าตะนาวศรีได้
จึงสามารถควบคุมการติดต่อทางทะเลที่บริเวณคอคอดกระได้
เช่น การควบคุมการค้าช้างระหว่างขอม และลังกา
จนทำให้อาณาจักรพุกามรุ่งเรืองเป็นอย่างยิ่ง

ปลารัชสมัยพระเจ้าอลองคสิทธู
จัดเป็นจุดเริ่มต้นสำคัญของความเสื่อมของมหาอาณาจักรแห่งนี้
เมื่อพระองค์ถูกปลงพระชนม์โดยเจ้าชายพระราชโอรส
ตามตำนานเล่าว่าพระเจ้าอลองคสิทธูทรงประชวรพระวาโย สิ้นพระสติ
เจ้าชายนรถุ พระราชโอรสจึงให้เชิญพระวรกายไปยังวัดแห่งหนึ่ง
เมื่อฟื้นคืนพระสติเจ้าชายนรถุ ทรงใช้ผ้าปูพระแท่น
อุดพระนาสิก และพระโอษฐ์ จนพระเจ้าอลองคสิทธูเสด็จสวรรคต

เมื่อข่าวทราบถึงเจ้าชายมินชินสอ มกุฏราชกุมาร
ทรงยกพลกลับเข้าเมืองพุกามเพื่อเข้ามาจัดงานพระศพพระราชบิดา
เจ้าชายนรถุ ทรงถวายราชสมบัติคืนแก่พระเชษฐา
แต่ก็ลอบปลงพระชนม์ 9.) พระเจ้ามินชินสอ (พ.ศ. 1076 - 1076) ด้วยยาพิษ
ระหว่างงานฉลองในพระราชพิธีบรมราชาภิเษก
และปราบดาภิเษกขึ้นเป็น 10.) พระเจ้านรถุ (พ.ศ. 1076 - 1078)


กระทู้: 2550 - แบคแพค ตะลุยพม่า!!
เริ่มกระทู้โดย: ติบอ ที่ 28 ม.ค. 08, 12:42
บทที่ 5 : นรถุ รัชสมัยแห่งความวุ่นวาย


พระเจ้านรถุมีพระนามที่เป็นที่รู้จักคือ อิมตอสยัน (Im Taw Syan)
ทรงได้ชื่อว่าเป็นกษัตริย์ที่โหดเหี้ยมพระองค์หนึ่ง
เนื่องจากทรงประหารคนที่พระองค์หวาดระแวงเป็นจำนวนมาก
ไม่เว้นแม้แต่พระมเหสีของพระองค์เอง
ซึ่งตามตำนานเล่าว่าเป็นธิดาของกษัตริย์ลังกา

และพุกามยังขัดขวางการค้าช้างระหว่าง เขมร กับลังกา
ผ่านการควบคุมการค้าข้ามคาบสมุทร ที่พุกามได้ควบคุมไว้ตั้งแต่รัชกาลก่อน

พระเจ้าปรากรมพาหุที่ 1 แห่งลังกา (Prakrambahu)
จึงยกทัพเรือมาโจมตีเมืองพะสิมที่ปากแม่น้ำอิรวดี
และล่องเรือขึ้นมาถึงอาณาจักรพุกาม
จนสามารถจับพระเจ้านรถุและประหารพระองค์ในที่สุด

ชาวพม่าในสมัยหลังจึงเรียกพระองค์ว่า กุลากยา (Kula-Kya)
ซึ่งแปลว่ากษัตริย์ที่ถูกปลงพระชนม์โดยชาวอินเดีย
(กุลา แปลว่าชาวอินเดีย แต่ในที่นี้หมายรวมถึงลังกาด้วย)


หลังรัชสมัยของพระเจ้านรถุประวัติศาสตร์พุกามมีความสับสนมาก
นักประวัติศาสตร์เชื่อว่าเป็นช่วง ที่ไม่มีกษัตริย์ปกครองเป็นเวลา 9 ปี
คือระหว่าง พ.ศ. 1708-1717 แต่ยังมีหลักฐานบางส่วนที่
กล่าวถึงกษัตริย์ที่ปกครองพุกามทรงพระนามว่า 11.) พระเจ้านรเถขะ (Naratheinkha)
ซึ่งเป็น พระราชโอรสในพระเจ้านรถุ


กระทู้: 2550 - แบคแพค ตะลุยพม่า!!
เริ่มกระทู้โดย: ติบอ ที่ 28 ม.ค. 08, 15:53
บทที่ 6 : นรปฏิสิทธุ แสงสุดท้ายแห่งอริมัทนประเทศ


พระราชนัดดาของพระเจ้านรถุได้ขี้นครองราชสมบัติต่อมา
ทรงพระนามว่า 12.) พระเจ้านรปฏิสิทธุ (พ.ศ. 1717-1754)
หรือพระนามภาษาสันสกฤตว่า ศรีตรีภูวทิตย์บันฑิตธรรมราชานรปติ...ชัยสุระ
ส่วนพระนามในจารึกคือ สิทธุ เช่นเดียวกับพระอัยกาของพระองค์
ในรัชกาลนี้ พระเจ้านรปฏิสิทธุทรงสร้างรูปแบบอารยธรรมที่เป็นพม่าชัดเจนขึ้นมา
และส่งต่อวัฒนธรรมดังกล่าวให้แก่ชนชาติต่างๆโดยรอบ รวมถึงชาวมอญเดิมด้วย

นอกจากนี้ ยังทรงรับเอาพุทธศาสนาลัทธิลังกาวงศ์เข้ามายังพุกาม
มีการแต่งตำราทางพุทธศาสนา สร้างวัด และเจติยวิหาร
และกัลปนาข้าทาส - ที่ดิน เป็นของวัดเป็นจำนวนมาก

ยิ่งไปกว่านั้น การสร้างศาสนสถานด้วยสถาปัตยกรรมแบบพุกาม
ของพระองค์ ในดินแดนห่างไกลต่างๆ
ยังเป็นการแผ่ขยายอำนาจของมหาอาณาจักรออกไปภายนอก
ซึ่งทำให้ฐานการผลิตของอาณาจักรพุกามกว้างขวางขึ้นอีกด้วย
นับได้ว่าเป็นความมั่นคง และมั่งคั่งที่สุดในประวัติศาสตร์พุกาม


กระทู้: 2550 - แบคแพค ตะลุยพม่า!!
เริ่มกระทู้โดย: ติบอ ที่ 28 ม.ค. 08, 16:31
บทที่ 7 : สี่กษัตริย์สุดท้าย และจุดจบแห่งมหาอาณาจักร


13.) พระเจ้านดวงมยา (Nadaungmya) (พ.ศ. 1754-1774)
หรือพระเจ้าติโลมินโล (Htilominlo) (พระเจ้าติโลกมงคล)
ทรงปกครองอาณาจักรพุกามต่อจากพระราชบิดา
ในรัชกาลนี้แทบไม่มีความวุ่นวายทางการเมืองเลย
จึงเป็นยุคสมัยของการสร้างวัด และเจดีย์ขนาดใหญ่เป็นจำนวนมาก

จนในท้ายรัชกาลเกิดปัญหาจากการกัลปนาที่ดิน
และกำลังพลจำนวนมากให้เป็นข้าวัด
(เนื่องจากข้าวัดเหล่านี้ จะไม่ถูกเกณฑ์แรงงานจากหลวง)


ในรัชกาล 14.) พระเจ้ากกยอฉวา(Kyawsawa) (พ.ศ. 1778-1792)
จึงเกิดปัญหาจากการที่เงินในท้องพระคลังร่อยหรอลง
และสามารถเก็บภาษีได้น้อย เนื่องจากการกัลปนาที่ดิน
และแรงงานให้แก่วัดเป็นจำนวนมากในรัชกาลก่อน

พระองค์ทรงแก้ปัญหาโดยการเรียกคืนที่ดินมหาทาน
และแรงงานที่ได้บริจาคไป แต่ไม่เป็นผลสำเร็จ
จนพระองค์จำเป็นต้องสละราชสมบัติ


พระราชโอรสของพระเจ้ากกยอชวาเสด็จขึ้นเถลิงถวัลยราชสมบัติต่อจากพระบิดา
ทรงพระนามว่า 15.) พระเจ้าอุสานะ (Uzana) (พ.ศ. 1792-1799)
ประวัติศาสตร์บันทึกไว้ว่าพระองค์มิได้มีความสามารถแต่อย่างใด
จึงโปรดให้มหาอำมาตย์ราชสิงคาล (Yazathingyan) ดูแลบ้านเมืองแทนพระองค์

เมื่อพระเจ้าอุษานะเสด็จสวรรคตจากการคล้องช้าง
มหาอัมมาตย์ราชสิงคาลได้เลือกเจ้าชายพระราชโอรส
พระองค์เล็กที่สุดของพระเจ้าอุษาณะ ทรงพระนามว่า
16.) พระเจ้านรสีหปติ (Narathihapati) (พ.ศ.1799-1830)
ขึ้นครองราชย์ต่อจากพระราชบิดา
ในรัชกาลนี้จึงมีความวุ่นวายจากศึกชิงราชสมบัติหลายครั้ง
จนกระทั่งในที่สุด มหาอาณาจักรพุกามก็ตกเป็นเมืองขึ้นของราชวงศ์หยวน ในสมัยพระเจ้ากุบไลข่าน


กระทู้: 2550 - แบคแพค ตะลุยพม่า!!
เริ่มกระทู้โดย: ติบอ ที่ 28 ม.ค. 08, 17:01
บทที่ 8 : ไปเที่ยวซะที



หลังจากที่พาคนอ่านงงเต๊กกับประวัติศาสตร์พุกามมาซะหลายความเห็น
(แถมไม่มีรูปอีกตะหากเนาะ พี่กุ้งแห้งฯ)

นายติบอก็ขอพาคนอ่านไปเดินเล่นพุกามกันนะครับ
(ถ้ารูปไม่สวย ห้ามว่านะครับ นายติบอใช้กล้องไม่เป็นฮะ แหะๆ)





(http://photos1.hi5.com/0010/063/987/TZmIoh063987-02.jpg)





เราออกจากโรงแรมที่พักกันเมื่อพระอาทิตย์ลาลับฟ้าไปแล้ว
เดินลัดเลาะกันไป 3 คนตามถนนคอนกรีตตัดตรงสายยาว
ซึ่งคงเป็นไม่กี่สายในเขตเมืองพุกาม

แสงสุดท้ายของวันอาบเมฆที่ริมฟ้าทางทิศตะวันตกเป็นสีชมพูระเรื่อ
ตัดกับฟ้าสีครามสด ต้นไม้สีเข้ม และดาวดวงน้อยๆที่เริ่มทอแสงอาบฟ้าทีละดวงสองดวง




(http://photos1.hi5.com/0014/300/397/WVhElw300397-02.jpg)




คณะเดินทางทั้ง 3 คน ผ่านวัดเล็กวัดน้อยหลายวัดที่เห็นเพียงเงาเจดีย์ตะคุ่มๆอยู่สองฟากถนน
เข้าสู่ตัวหมู่บ้าน และตลาดยองอู บริเวณที่ถือได้ว่ามีคนพลุกพล่านที่สุดในเมืองพุกาม




ตอนออกมาเดินเล่นครั้งแรก เราหวังกันเพียงแค่จะได้เห็นวิถีชีวิตของคนพม่าในยามราตรี
ได้ดูตลาดที่พลุกพล่านมานานนับพันปี ตั้งแต่พุทธศตวรรษที่ 14 จนถึงทุกวันนี้
และหาอะไรซักอย่างที่รสชาติไม่แปลกประหลาดนัก มายาไส้แห้งๆของคณะเดินทาง

แต่ก่อนจะไปถึงตัวเมือง
เราขอแวะเยี่ยมชมเจดีย์องค์หนึ่งที่ผู้สนใจศึกษาประวัติศาสตร์ล้านนาทุกคนจำเป็นต้องรู้จัก
 "ชะปัต" ที่เราเห็นยอดโผล่พ้นแนวไม้ขึ้นมาลิบๆตัดกับเสาไฟฟ้าที่ทางแยกแรกของถนนซะก่อน

แต่ทว่า.... เราคิดผิดไป.....



(http://photos1.hi5.com/0020/382/749/M1mmcG382749-02.jpg)



เพราะคืนนี้มีมากกว่าที่เราคิด !!!







2 B continue


กระทู้: 2550 - แบคแพค ตะลุยพม่า!!
เริ่มกระทู้โดย: กุ้งแห้งเยอรมัน ที่ 28 ม.ค. 08, 20:56
 ;) ถึงไม่มีรูปก็สนุกมากค่ะ เสียอย่างเดียว ฆ่ากันไปฆ่ากันมา คล้ายๆอยุธยาเลย จะตั้งใจฟังต่อค่ะ รีบมาเล่านะคะ คุณติบอและผู้ช่วย


กระทู้: 2550 - แบคแพค ตะลุยพม่า!!
เริ่มกระทู้โดย: Kurukula ที่ 28 ม.ค. 08, 22:33
คอมเจ๊ง รูปไปพม่าหายหมดเลยครับ


กระทู้: 2550 - แบคแพค ตะลุยพม่า!!
เริ่มกระทู้โดย: กุ้งแห้งเยอรมัน ที่ 28 ม.ค. 08, 22:36
 :) :o :( :'(


กระทู้: 2550 - แบคแพค ตะลุยพม่า!!
เริ่มกระทู้โดย: ติบอ ที่ 28 ม.ค. 08, 23:10
คอมเจ๊ง รูปไปพม่าหายหมดเลยครับ


อย่างน้อยในฮิฟิที่ upload ไว้ก็พอเหลือน่า
สู้ๆเว๊ย คุณเพื่อน!!!


กระทู้: 2550 - แบคแพค ตะลุยพม่า!!
เริ่มกระทู้โดย: pipat ที่ 29 ม.ค. 08, 10:38
รูปหายไม่เป็นไร
เรื่องอย่าหายเป็นใช้ได้

เล่าต่อนะครับ.....คนรอตรึม


กระทู้: 2550 - แบคแพค ตะลุยพม่า!!
เริ่มกระทู้โดย: CrazyHOrse ที่ 29 ม.ค. 08, 13:00
คอมเจ๊ง ใจเย็นๆครับ ฮาร์ดดิสก์อาจจะไม่เจ๊ง ถอดไปต่อกับเครื่องอื่น เอาข้อมูลออกมาดีกว่าครับ

เสียดาย


กระทู้: 2550 - แบคแพค ตะลุยพม่า!!
เริ่มกระทู้โดย: ศศิศ ที่ 29 ม.ค. 08, 14:49
สรีสวัสสดีครับผม

ภาวนาให้ข้อมุลยังคงอยู่นะครับผม แหม!! การไปแอ่วเมืองม่านนี้เป็นสิ่งที่ผมหวังไว้เหมือนกันว่าสักวันหนึ่งจะไปตะลุยเมืองม่าน ขึ้นไปถึงเมืองไต เลย

แต่ตอนนี้ รอดูรูปไปก่อนครับ
  ;D


กระทู้: 2550 - แบคแพค ตะลุยพม่า!!
เริ่มกระทู้โดย: ติบอ ที่ 29 ม.ค. 08, 17:31
ขอบพระคุณ คุณพิพัฒน์ คุณCHrazyHorse และอ้ายศศิศ นะครับ
ที่เข้ามาเป็นกำลังใจให้

รูปยังพอเหลือให้เล่าจนจบกระทู้ได้ครับ ไม่ต้องกังวลครับ
ส่วนเรื่อง อาจจะต้องตามเวลาที่พอจะเจียดได้ของคนเล่านะครับ แหะๆ




บทที่ 9: The Sapada



ก่อนจะพาคนอ่านงงไปมากกว่านี้ นายติบอขอเล่าถึงประวัติเจดีย์ฉปัฏ ก่อนคร่าวๆนะครับ

เจดีย์องค์นี้ปรากฏหลักฐานที่เล่าถึงไว้ในจารึกกัลยาณี มีใจความว่า
ในรัชสมัยของพระเจ้านรปติสิทธู มีสามเณรรูปหนึ่งเป็นชาวหมู่บ้าน ฉปฏคาม
ในแคว้นกุสิมราษฎร์ (พะสิม) ได้เดินทางไปจาริกแสวงบุญยังลังกาทวีป
พร้อมกับพระอุตรชีวะผู้เป็นอาจารย์ และได้อุปสมบทเป็นภิกษุในลังกา
ซึ่งในขณะนั้นพระเจ้าปากรมพาหุที่ 1 ทรงชำระศาสนาขึ้นใหม่
และตั้งนิกายมหาวิหาร (Mahavihara)

พระฉปัฏได้ร่ำเรียนอยู่ในลังกาเป็นเวลานานถึง 10 ปี
จนเมื่อได้กลับมายังอาณาจักรพุกาม จึงชักชวนเพื่อนพระสงฆ์ชาวต่างชาติอีก 4 รูป
มายังพม่าเพื่อให้มีพระสงฆ์ลังกาวงศ์ที่จะทำสังฆกรรมร่วมกัน
เนื่องจากคณะสงฆ์ที่มาจากลังกาไม่อาจทำสังฆกรรมร่วมกับคณะสงฆ์พม่าที่มีวัตรปฏิบัติแตกต่างกันได้

พระเจ้านรปฏิสิทธูก็มิทรงเข้าข้างใด แต่ทรงอุปถัมภ์ทั้งสองนิกาย
เพื่อให้นิกายลังกาวงศ์คานอำนาจกับพระสงฆ์นิกายเก่าจากเมืองมอญ
ซึ่งมีจำนวนเพิ่มขึ้นจนไม่สามารถควบคุมการเก็บภาษีได้

โดยพระเจ้านรปฏิสิทธูได้พระราชทานแพขนานลอยอยู่ในแม่น้ำอิรวดี
มอบให้แก่พระเถระทั้งห้า เพื่อที่จะได้ใช้อุปสมบทกุลบุตรชาวพุกามตามอย่างธรรมเนียมลังกา
และได้สร้างวัดถวายแก่พระรูปนี้ คือ วัดฉปัต แห่งนี้
จึงเป็นเหตุให้พุทธศาสนาลังกาวงศ์เข้าไปเจริญรุ่งเรืองอย่างเป็นทางการในพม่า
ตั้งแต่รัชสมัยของพระเจ้านรปฏิสิทธู
จนพุทธศาสนาจากตัมพปนิทวีป ได้เจริญรุ่งเรืองในตัมพทวีปอีกครั้ง

โดยพระฉปัฏได้แต่งคัมภีร์ต่างๆมากมาย เช่น สุตตนิเทส
สังเขปวัณณา วินยคูฬหัตถิทีปนี  สีมาลังการ  เป็นต้น



(http://photos1.hi5.com/0019/870/352/ZyUXaj870352-02.jpg)



ส่วนเจดีย์องค์นี้มีความสำคัญอย่างไรก็ขอเล่าย้อนกลับมาเมืองไทยซักกะน่อยนึง
(อันนี่พี่ศศิศน่าจะคล่องกว่าผม เพราะอยู่ใกล้กว่า และศึกษามามากกว่า)
ถ้าผิดยังไงรบกวนพี่ศศิศแก้ไขให้ด้วยนะครับ

อย่างที่เล่าไปแล้วว่าเจดีย์ฉปัต นี้สร้างในรัชสมัยของพระเจ้านรปติสิทธู
ซึ่งพุทธศาสนาแบบลังกาวงศ์ ลัทธิมหาวิหาร เข้ามาเจริญรุ่งเรืองในเมืองพุกาม
เจดีย์องค์นี้จึงเป็นเจดีย์องค์แรกๆ ที่เกิดความเปลี่ยนแปลงกับเจดีย์ทรงลังกาในอาณาจักรพุกาม

เนื่องจากเจดีย์ทรงลังกาเดิมแบบในสมัยพุกามตอนต้นนั้น เท่าที่พบอยู่บ้าง
เช่นเจดีย์บริวารที่เจดีย์ชเวสิกง ซึ่งสร้างขึ้นในรัชสมัยของพระเจ้าจันสิตถะ
นั้นเป็นเจดีย์ทรงลังกาแท้ บนฐานเขียงเตี้ยๆ 3 ชั้น



(http://photos1.hi5.com/0011/461/131/hE3FzM461131-02.jpg)



ในขณะที่เจดีย์ทรงลังกาในรัชสมัยของพระเจ้านรปติสิทธู นี้
เป็นสมัยแรกที่สร้างเจดีย์ทรงลังกาบนฐานเจาะช่องท้องไม้แบบพม่า แต่ปรับให้เป็นฐานกลม
เช่นเดียวกับเจดีย์ที่วัดอุโมงค์ ในจังหวัดเชียงใหม่ ซึ่งสร้างในรัชสมัยของพระเจ้ากือนาครับ



(http://photos1.hi5.com/0011/422/632/gZOAPH422632-02.jpg)





ปล. ภาพบนสุด เจดีย์ฉปัฏ (นายติบอถ่ายเอง ไม่สวยด่าได้)
ภาพกลาง เจดีย์บริวารที่วัดชเวสิกง-credit ไอ้ตั้ว
ภาพล่าง เจดีย์ที่วัดอุโมงค์ (อันนี้ก็ด่าได้ครับ อิอิ)




แต่เรื่องน่าตื่นเต้นของคืนนี้........




ไม่ได้เกี่ยวกับเจดีย์ครับ
(ใครเดาได้ว่าเรื่องอะไร ผมมีรางวัลชิ้นเล็กๆให้ชิ้นนึงเอ๊า!!)





2 B Continue


กระทู้: 2550 - แบคแพค ตะลุยพม่า!!
เริ่มกระทู้โดย: ศศิศ ที่ 29 ม.ค. 08, 17:45
สวัสดีครับผม

เห็นรูปวัดอุโมงค์ที่เชียงใหม่แล้ว ก็นึกไปถึงวัดต้นแบบของวัดนี้ ที่พุกาม

ไม่ทราบว่าคุณติบอได้ไปเห็นต้นแบบวัดอุโมงค์ที่พุกามไหมครับผม


กระทู้: 2550 - แบคแพค ตะลุยพม่า!!
เริ่มกระทู้โดย: Kurukula ที่ 29 ม.ค. 08, 21:51
เฮ่อออ........ในที่สุดก็กู้โลก เอ๊ย กู้รูปกลับมาได้แล้วครับ สยองเล็กๆ


เจดีย์ฉปัฏด้านบนครับ คุณศศิศ ที่คนไทยถือเป็นอนุสติเลยว่าเป็นต้นแบบของเจดีย์วัดอุโมงค์

แต่ถ้าสังเกตดีๆก็ยังมีความแตกต่าง เช่น


ฉปัฎ                                                                                 วัดอุโมงค์เถรจันทร์

ไม่มีรัดอกแบบลังกา                                                             องค์ระฆังมีรัดอก เป็นแบบพม่าแท้

ก้านฉัตรไม่มีรูปบุคคลแทนที่เสาหาน                                        ก้านฉัตรมีรูปบุคคล ตรงกับเทวาตาโกฏุวะของลังกา (แต่อาจซ่อม)

มีลานประทักษิณขนาดใหญ่                                                    ไม่มีลานประทักษิณ เพราะอยู่บนลานเหนืออุโมงค์

ชุดฐานมี 2 ชุด                                                                    ชุดฐานเจาะช่องท้องไม้ มี 3 ชุด

เหนือชุดฐานไม่มีกลีบบัว                                                         เหนือชุดฐานมีกลีบบัว ลักษณะคล้ายฐานแบบพม่าแท้

   
ยังไม่เคยเข้าไปดูในกรุวัดอุโมงค์เลยครับ อยากให้คุณ Pipat ที่น่าจะเคยเห็นเคยชมเข้ามาเล่าให้ฟังเกี่ยวกับจิตรกรรมข้างในบ้าง         


กระทู้: 2550 - แบคแพค ตะลุยพม่า!!
เริ่มกระทู้โดย: Kurukula ที่ 29 ม.ค. 08, 22:15

เอาเรื่องพระฉปัฏมาเล่าให้ฟังบ้างครับ

เนื้อความปรากฏในจารึกกัลยาณีสีมา กรุงหงสาวดี เล่าถึงการประดิษฐานพระสงฆ์ลังกาวงศ์ในพม่า

พระฉปัฏเป็นศิษย์พระอุตตราชีวมหาเถระ ซึ่งออกไปยังลังกาสมัยพระเจ้านรปติสิทธุ เหตุการณ์ในลังกาตรงกับรัชสมัยพระเจ้าปรากรมพาหุที่ 1 แห่งกรุงโปลนนารุวะ

“และที่ชนทั้งหลายเรียกสามเณรว่าฉปฏสามเณรนั้น เพราะว่าสามเณรนั้นเป็นบุตรของชาวบ้านฉปฏคาม ซึ่งมีอยู่ในแคว้นกุสิมราษฏร์ (เมืองพะสิม)

“แม้เมื่อพระอุตตราชีวมหาเถระขึ้นสู่นาวาไปถึงลังกาทวีปแล้ว ในกาลนั้นพระมหาเถระชาวลังกาทวีปทั้งหลาย ก็ชักชวนกันมาสนทนาซักถามในข้อธรรมิกถา”

พระอุตตรชีวเถร และภิกษุชาวลังกาล้วนมีความรักใคร่กลมเกลียวกันดี เนื่องจากภิกษุพม่าก็ถือว่าตนเองสืบศาสนวงศ์มาจากพระโสณเถรและพระอุตตระ ซึ่งเป็นผู้ประดิษฐานพระศาสนาไว้ในสุวรรณภูมิ ขณะที่พระสงฆ์ลังกาเป็นเชื้อสายพระมหินทเถระ

“เหตุดังนั้น เราทั้งหลายทั้งปวง เปนผู้มีสมานสังวาสเสมอกัน จงกระทำสังฆกรรมร่วมกันเถิด ครั้งกล่าวดังนี้แล้ว จึงกระทำอุปสมบทฉปฏสามเณร ผู้มีอายุครบ 20 ปี เป็นภิกขุภาพในพุทธศาสนา”

เมื่อพระอุตตรชีวเถรนมัสการเจติยสถานในกรุงลังกาครบถ้วน และกระทำกิจต่างๆสำเร็จแล้ว ก็เดินทางกลับกรุงพุกาม ขณะที่พระฉปัฏขออยู่ศึกษาธรรมะต่อไปอีก จนมีพรรษาได้ 10 พรรษา ก็เดินทางกลับพุกาม

แต่พระฉปัฏก็ยังมีความกังวลใจว่า ตนเองเป็นลัทธิลังกาวงศ์ ถ้ากลับไปพุกามแต่ผู้เดียว แล้วหากพระอุตตรชีวเถรไม่อยู่เสียแล้ว ตนก็ไม่ปรารถนาจะทำสังฆกรรมกับผู้ใด

คิดดังนั้นแล้วจึงชวนเพื่อนภิกษุลังกาวงศ์ได้ 4 รูป คือ

“พระสิวลีเถระเป็นบุตรชาวตามลิตถิคาม (ตามรลิปติในอินเดียใต้)
พระตามลินทเถระ เป็นพระราชโอรสของพระเจ้ากัมโพช (เซเดส์ เชื่อว่าเป็นพระโอรสพระเจ้าชัยวรมันที่ 7)
พระอานันทเถระ ชาวกาญจีปุรัมในอินเดียใต้
และพระราหุล ชาวลังกา”


กระทู้: 2550 - แบคแพค ตะลุยพม่า!!
เริ่มกระทู้โดย: ติบอ ที่ 29 ม.ค. 08, 22:35
โอว เซียนตัวจริงประทับทรง คิคิ




ปล. ลืมบอกไปคับ ข้อมูลผมเรื่องพระฉปัฏ credit วิทยานิพนธ์ของคุณความคิดเห็นข้างบนนี่ล่ะครับ


กระทู้: 2550 - แบคแพค ตะลุยพม่า!!
เริ่มกระทู้โดย: ติบอ ที่ 29 ม.ค. 08, 22:36
ตายล่ะ มือผมหนักไปหน่อย
กดผิดซะละ ทำไงดี.....


ติ๊กต่อก ติ๊กต่อก



ไฮไลต์วันแรกต้องเอามาเล่าคืนนี้เลยเหรอเนี่ยะ!!!!
น่าตีมือจริงๆหนอ ตัวเรา เอ๊า... เล่าก็เล่าครับ





บทที่ 10 : เมื่อนครสังกัสสะคืนชีพ



ก่อนจะเล่าบทนี้ ขออนุญาตเท้าความตอนเดิมก่อนครับ
ว่านายติบอ และเพื่อนๆ ไปพม่ากันคืนวันที่ 26 ตุลาคมที่ผ่านมา
ถ้าใครสังเกตดีๆ จะเห็นว่าพระจันทร์ยังกลมๆ สวยๆ อยู่
เพราะเป็นวันขึ้น 15 ค่ำ เดือน 11 ครับ


ติ๊กต่อก ติ๊กต่อก ใครนึกออกมั่งครับ 15 ค่ำเดือน 11 สำคัญอย่างไร
(ห้ามตอบว่าชื่อหนัง หรือบั้งไฟพญานาคนะ ม่ะงั้นนายติบอตีตาย!!! อิรวดีนะ ม่ะใจ้แม่น้ำโขง)









































แอบเว้นมานาน ให้คนอ่านนึกไม่ออกหน่อยครับ ว่าวันอะไร
แล้วก็มาเฉลยตรงนี้ว่า "วันออกพรรษา" ครับ

แล้วถ้าจะถามต่อไปอีกว่าวันออกพรรษาในสมัยพุทธกาลสำคัญอย่างไร
ใครจะตอบนายติบอได้อีกมั่งหว่า



เฮ่อ.... ขี้เกียจเว้นละ เดี๋ยวหน้ากระทู้มันจะยาว
เล่าต่อเลยดีกว่าครับ ว่าเป็นวันที่พระพุทธองค์เสด็จลงจากสวรรค์ชั้นดาวดึงส์
(ที่นักล่าจิตรกรรมทั้งหลายมักจะพบอยู่ในจิตรกรรมรูปไตรภูมิโลกสัณฐานนั่นแหละครับ)

ตรงนี้นายติบอขอเล่าเรื่องในพุทธประวัติเพิ่มนิดนึงนะครับ
ว่าการเสด็จลงจากสวรรค์ชั้นดาวดึงษ์และเปิดโลกนั้น
พระพุทธองค์เสด็จลงจากสวรรค์ที่เมือง "สังกัสสะ" ครับ

เขาก็เล่ากันว่าคืนนั้น ชาวเมืองต่างจัดงานเฉลิมฉลองครั้งยิ่งใหญ่
ด้วยการเผาเทียน เล่นไฟ และลอยโคมกันทั้งเมือง
เพื่อแสดงความยินดีกับการเสด็จของพระพุทธองค์ ครั้งดังกล่าว

สิ่งที่นายติบอได้พบที่ฉปัฏ เมื่อ 2550 ปีให้หลังจากที่พระบรมศาสดาปรินิพพาน
ก็คือชาวพม่าที่ยังคงรักษาประเพณีการเฉลิมฉลองนี้ในวันเพ็ญเดือน 11 อยู่
(ไม่เหมือนชาติไหนไม่รู้เมืองพุทธแท้ๆ ดั๊นไปเอางานฉลองชัยชนะของพระรามในเดือน 12 มาใช้)



ที่เจดีย์ฉปัฏคณะเดินทาง 3 คนที่เหน็ดเหนื่อยมาทั้งวัน
และเดินล้ามาตลอดระยะทางเข้าเมือง
จึงได้พบกับเจดีย์ฉปัตที่อาบเรืองไปด้วยแสงไฟสีทองดวงน้อยๆจากตะคัน




(http://photos1.hi5.com/0011/144/021/.5y1ce144021-02.jpg)




ได้ยินเสียงแม่ชีกลุ่มใหญ่สวดมนต์บทที่เราคุ้นชินด้วยสำเนียงแปลกหู
ภายใต้ธงปฏากที่แสดงความเป็นพุทธศาสนาสีสดใสเป็นสายยาว




(http://photos1.hi5.com/0012/043/180/4VHAc2043180-02.jpg)




และได้พบกับคนพม่าตัวผอมเกร็งหลายคน
ที่ปีนป่ายขึ้นบนเจดีย์ เพื่อคอยที่ดับลงตามแรงลม
ให้ลุกสว่างขึ้นทีละดวง และส่องแสงอาบองค์เจดีย์อยู่ตลอดเวลา




(http://photos1.hi5.com/0011/150/021/6Es.Hs150021-02.jpg)




ในบัดดลนั้นคำบ่นเรื่อง หิว ง่วง เมื่อย ฯลฯ
ก็ดูเหมือนจะหายไปจากปากของนักเดินทางทั้ง 3 ลงในบัดดล
เหลือไว้แต่ความสุข จากความอิ่มเอิบใจในบรรยากาศของความศรัทธาเบื้องหน้า





(http://photos1.hi5.com/0010/509/869/CnNiFb509869-02.jpg)




ในที่สุด เรา 3 คนก็บ่ายหน้าจากฉปัตมาเข้าตัวเมือง
เพราะคืนนี้ยังอีกยาวไกล ที่เหลือเก็บไว้เล่าทีหลังนะครับ

(ม่ะได้ขยักนะครับ แต่รูปยังไม่ได้ตัด + upload อะคับ)


กระทู้: 2550 - แบคแพค ตะลุยพม่า!!
เริ่มกระทู้โดย: pipat ที่ 30 ม.ค. 08, 00:49
โอ้.....น้องเรา ซิ่งสบัดช่อ
แป๊ปเดียว จะ 50 กระทู้แล้วหรือ

อุโมง ที่วัดอุโมงค์นั้น มีคนทำเวบอธิบายเป็นอย่างดี
ขออภัยด้วย ที่หาลิ้งค์ไม่เจอ แต่ยอดฝีมือในการเล่นซ่อนหา คงหามาได้น่า

ผมเคยเข้าไปสมัยนู้น มีแต่แดดเป็นเครื่องนำทาง
เห็นว่าเป็นการทำตามคตินิยมแบบพุกาม ที่ต้องการสร้างคูหาในภูเขา เพื่อจำลองสถานภาวนาของพระอรหันต์
ศาสนวงศ์มีเล่าไว้ คุณสามศ คงเล่าได้

ท่านขุดภูเขาเข้าไปผสมกับการก่อสร้างเสริม กลายเป็นทางเดินสั้นๆ
(เมื่อสมบูรณ์ น่าจะทะลุถึงกัน แต่มาพังเหลือแค่ที่เข้าไปได้)
เขียนสีไว้ พอเห็นร่องรอยเป็นเรื่องอดีตพุทธ หรืออาจจะเป็นหมู่อรหันต์ก็ไม่เห็นชัด
แต่ต้นแบบนั้น มีหลายแห่งในพุกาม สองหนุ่มคงเจนตา
แห่งหนึ่งเป็นปูนปั้น เรื่องชาดก

แต่ที่เป็นของจริงในชีวิตก็คือ มีพระเถระรูปหนึ้ง อยู่ในอุโมงค์มา 60 ปีแล้ว
(เมื่อผมไปเยือน...สมัยคุณซูจียังอยู่ลอนดอน) ชาวบ้านนับถือว่าเป็นอรหันต์
ท่านติดต่อก็แต่กับศิษย์ที่นำอาหารไปส่ง บำเพ็ญเพียรไม่หยุดหย่อน
คิดว่าป่านนี้ คงไปสู่นิพพานแล้ว....สาธุ

ความคิดเรื่องอุโมงค์นี่ ครอบงำสถาปนิกพม่ามาทั้งประวัติศาสตร์
ยิ่งใหญ่สุดก็อานันทเจดีย์

ที่นักปราชญ์ไทยคิดว่าเป็นแบบเดียวกับวัดพระเมรุ นครปฐม
ได้ไปดมมาทั้งสองแห่ง คิดว่ามิใช่แนวคิดทางสถาปัตยกรรมเดียวกันครับ
วัดอุโมงค์แหละ จึงใช่


กระทู้: 2550 - แบคแพค ตะลุยพม่า!!
เริ่มกระทู้โดย: ศศิศ ที่ 30 ม.ค. 08, 07:23
สำหรับลิงค์เกี่ยวกับวัดอุโมงค์ น่าจะเปนลิงค์นี้นะครับ

(http://www.umong.thaiis.com/umongpainting/images/stories/012-01.jpg)

http://www.umongpainting.com (http://www.umongpainting.com)


กระทู้: 2550 - แบคแพค ตะลุยพม่า!!
เริ่มกระทู้โดย: ติบอ ที่ 30 ม.ค. 08, 08:49
ถึงคุณพิพัฒน์ครับ

ผมไม่กล้าปล่อยกระทู้ให้อืดเอื่อยเหมือนเมื่อก่อนแล้วครับ
ตอนนี้แอบกลัวกระทู้อยุธยาจะแซงหน้าครับ


ส่วนคุณศศิศ ครับ

อุโมงค์ ในวัดอุโมงค์ เป็นสถาปัตยกรรมแบบหนึ่งที่พบในพุกามจริงๆ
จิตรกรรมที่เหลืออยู่ที่นั่นยังเหลืออยู่มากกว่าเศษทรากของจิตรกรรมสมัยพุกามนัก
เดี๋ยวผมขอเอาไว้พูดถึงตอนที่เดินทางไปถึงนะครับ


กระทู้: 2550 - แบคแพค ตะลุยพม่า!!
เริ่มกระทู้โดย: Kurukula ที่ 30 ม.ค. 08, 19:41
อุโมงค์ในศิลปะพุกามมีมากมายเต็มไปหมดเลยครับ

ก็ไม่ทราบเหมือนกันว่าทำไมจึงหลุดเข้ามาในเมืองไทยที่เดียว

แล้วจิตรกรรมข้างในก็ค่อนข้างแตกต่างกัน ระหว่างไทย-พม่าด้วย




กระทู้: 2550 - แบคแพค ตะลุยพม่า!!
เริ่มกระทู้โดย: ติบอ ที่ 09 ก.พ. 08, 17:05
อู้มาซะนาน เล่าต่อครับ



บทที่ 11: งานเทศกาลวันออกพรรษา



ก่อนจะเล่าต่อ นายติบอขอทวนความจำนิดนึงครับ
ว่าประเพณีการเผาเทียนเล่นไฟของพุทธศาสนิกชนทุกชาติ
เราจะทำกันในคืนวันออกพรรษาเพื่อระลึกถึงการเสด็จลงจากสวรรค์ชั้นดาวดึงษ์ของพระพุทธองค์
ยกเว้นคนไทยที่รับอิทธิพลฮินดู ไปลอยกระทงกันเดือน 12 ฉลองให้พระรามแทน
(เหลือแต่พญานาค ที่ยังจำได้ เลยมาเล่นไฟกันอยู่กลางแม่น้ำโขงซะละ)

คืนนี้ทั่วเมืองพุกามก็เลยมีการเผาเทียน เล่นไฟ กัน



สืบเนื่องจากความ "น่าตื่นตาตื่นใจ" ของประเพณี และสถานที่
ความ "หิว" และความ "เหนื่อย" ก็เลยถูก "ความอยากรู้อยากเห็น" เข้าแทนที่ในบัดดล
เรา 3 คนก็เลยเลือกที่จะเดินลัดเลาะไปตามถนนกันก่อน
เพื่อชมบรรยากาศของสังกัสสะนครยุคพุทธศักราช 2550




(http://photos1.hi5.com/0023/545/190/7bT5sq545190-02.jpg)




ที่พระพุทธเจ้ายังคงเทศนาโปรดปัญจวคีย์ทั้ง 5 ในป่าอิสิปัตนมฤคทายวัน
เหมือนเมื่อครั้งพุทธกาล




(http://photos1.hi5.com/0015/533/299/XOqLPI533299-02.jpg)




(http://photos1.hi5.com/0013/458/307/qGMO90458307-02.jpg)



เราเดินตามแถวตะเกียงดินเผาดวงน้อยๆ
ที่ส่องแสงวับแวมนำทางไปตามริมรั้วไปจนสุดถนน
ถึงวัดแห่งหนึ่ง ชื่อ ที่เป็นสำนักสงฆ์มาตั้งแต่สมัยอาณาจักรพุกามยังเรืองอำนาจ
และยังคงเป็นสำนักสงฆ์ อยู่ในปัจจุบัน




(http://photos1.hi5.com/0020/060/486/rql7RK060486-02.jpg)




เราแวะไหว้พระกันที่นั่น ก่อนจะเดินจากมา




(http://photos1.hi5.com/0013/031/139/B2NQqC031139-02.jpg)




จนถึงลานชุมนุมขนาดใหญ่ใจกลางหมู่บ้านนยองอู


กระทู้: 2550 - แบคแพค ตะลุยพม่า!!
เริ่มกระทู้โดย: chai1960 ที่ 26 ก.พ. 08, 20:45
เล่าได้สนุกดี...แต่มีบทอู้มากไปหน่อย... ;D ;D ;D

อ่านข้าม ๆ ในบทราชวงศ์...ขออภัยด้วยนะ...ทศไว้ก่อน...วันหลังค่อยมาอ่าน... :P :P :P





กระทู้: 2550 - แบคแพค ตะลุยพม่า!!
เริ่มกระทู้โดย: ติบอ ที่ 12 เม.ย. 08, 15:11
แวะมาต่อกระทู้ก่อน
เพราะช่วงนี้นายติบอพอจะหาเวลาว่างได้
(เดี๋ยวจะพาลไม่ได้เล่าอีก)


ตอนที่ 12: ชเวสิกง


ลานกลางหมู่บ้านในเมืองนยองอู ก็เหมือนลานกลางหมู่บ้านทั่วไป
ที่ใช้ประกอบกิจกรรมต่างๆของคนในชุมชน
คืนนี้ บรรยากาศของงานเฉลิมฉลองของพุทธศาสนิกชน
ที่ยังคงศรัทธาในพระบรมศาสดาอยู่ทุกอนุสติของเขา จึงเริ่มต้นที่นี่

แม้ว่าช่วงที่คณะเดินทางจะไปเยี่ยมเยียนแดนอริมัทนประเทศ
จะเป็นเวลาอดอยากแร้นแค้นขาดแคลนนักท่องเที่ยว ของเมืองมรดกโลกอย่างไรก็ตาม....
แต่ประชาชนที่ขวนขวายหาเงินสักพันสองพันจั๊ตในแต่ละวัน...
ก็ยังคงจัดงานเฉลิมฉลองของพวกเขาตามประเพณี เพื่อระฦกถึงพระพุทธองค์ที่เขาเคารพรักอยู่อย่างมิเสื่อมคลาย

ตามปรกติ งานออกพรรษาที่นี่คงเนืองแน่นไปด้วยนักท่องเที่ยวทั้งหัวแดง หัวดำ
ที่แห่แหนกันมาดูงานบุญประเพณีที่ปีนึงจะมีสักหน.....
แต่เมื่อรัฐบาลและฝ่ายค้านมีปัญหากันขั้นรุนแรง..... นายติบอกะเพื่อนอีก 2 คน
ก็เลยกลายเป็นนักท่องเที่ยวแค่ไม่ถึงสิบคนที่อยู่ในขบวนแห่แหนตระการตา

ขบวนเริ่มจากหนุ่มพม่าตัวผอมเกร็งนุ่งอลองจียาวกรอมเท้า
สวมเสื้อผ้าป่านสีขาวมีผ้าคล้องสองบ่า ประทานาข่าเต็มสองข้ามแก้ม
เดินรำนำขบวนมากับพระเณร หลายรูป
ตามมาด้วยสาวพม่าประทานาข่ามากพอๆกับหนุ่มๆกลุ่มแรก
ถือโคมหลากสีรูปดอกบัวทำจากกระดาษโปร่งแสง
จุดเทียนดวงน้อยนิดส่องแสงวับแวมให้เห็นทางอีกกลุ่มใหญ่

และปิดท้ายด้วยรถกระบะคันเก่า ที่ตกแต่งด้วยไฟหลอดน้อยๆหลายร้อยหลอด
บรรทุกเอาคณะนักดนตรีที่บรรเลงเพลงพื้นบ้านด้วยเครื่องดนตรีหลากชนิดไว้
ตั้งแต่กลองแอวตัวยาวหลายเมตรรุ่นโบราณ ไปจนถึงคีย์บอร์ดสมัยใหม่
บรรเลงเพลงเป็นท่วงทำนองให้ขบวนแห่ของชาวพุกาม





(http://photos1.hi5.com/0016/862/939/.cymXN862939-02.jpg)





เรา 3 คนก็ได้แต่เดินตามขบวนมหาชนยาวหลายร้อยเมตรของชาวนยองอูไป
จนถึงจุดหมายของพวกเขา.... ที่พระมหาเจดีย์ชเวสิกง องค์สูงที่ปลายถนนเบื้องหน้า





(http://photos1.hi5.com/0028/949/479/F23YtX949479-02.jpg)





พระมหาเจดีย์ชเวสิงกง เป็นพระมหาเจดีย์ประจำเมืองพุกาม
ซึ่งสร้างขึ้นตามรูปแบบศิลปะแบบพุกามแท้ที่ปรับปรุงรูปแบบมาจากศิลปะแบบปยูเดิม
พระมหาเจดีย์องค์นี้เชื่อว่าเป็นที่บรรจุพระเขี้ยวแก้วจำลอง
ซึ่งพระเจาอโนรธาได้รับพระราชทานมาจากพระเจ้าวิชัยพาหุจากลังกา
เนื่องจากเมื่อพระเจ้าวิชัยพาหุทรงขับไล่ชาวโจฬะออกจากลังกาแล้ว
ในลังกาไม่เหลือพระสงฆ์ในการสืบทอดพระศาสนา
พระเจ้าอนิรุทธิ์จึงทรงให้ความช่วยเหลือในการทำนุบำรุงพระศาสนาแก่พระเจ้าวิชัยพาหุ
ทางลังกาจึงทรงตอบแทนโดยการส่งพระเขี้ยวแก้วจำลองมามอบให้เป็นของขวัญแก่ชาวพุกาม




(http://photos1.hi5.com/0018/117/411/vBhb9M117411-02.jpg)





แต่คืนนี้.... ใต้แสงตะเกียงนับพันนับหมื่นดวง.....
ประวัติศาสตร์ ไม่ได้มีความหมายกับนักเดินทางเท่าบรรยากาศตรงหน้าครับ
เสียดายนายติบอไม่มีความสามารถเก็บรูปมาฝากกันได้เท่าที่เห็น....
สมาชิกท่านอื่นอย่าต่อว่านะครับ :-X





(http://photos1.hi5.com/0018/572/573/IwgUyk572573-02.jpg)





แต่ไม่มีงานฉลองใดไม่มีวันเลิกรา....
คืนนี้นักเดินทางทั้ง 3 ก็จำต้องบอกลาพระเขี้ยวแก้วมาในที่สุด
และ... ก่อนจะกลับไปพักผ่อน
เราขอปิดท้ายกันที่อาหารตามสั่งแบบหาสัญชาติไม่เจอ
ใต้แสงเทียน(ที่เต็มไปด้วยแมลงรบกวน) ที่ร้านเชอรี่กันซักหน่อยครับ


อิ่ม.... อกอิ่มจัย งุงิ





(http://photos1.hi5.com/0019/083/574/YsfnOb083574-02.jpg)


กระทู้: 2550 - แบคแพค ตะลุยพม่า!!
เริ่มกระทู้โดย: Kurukula ที่ 15 เม.ย. 08, 12:50
คุณติบอถ่ายรูปเบลอเนาะ


กระทู้: 2550 - แบคแพค ตะลุยพม่า!!
เริ่มกระทู้โดย: ติบอ ที่ 18 ก.ค. 08, 22:13
กระทู้ข้ามชาติ.... บักตั้วก็ไม่มาเล่าต่อซะที
มีแต่มาแซวว่าเราถ่ายรูปเบลอ... แล้วก็ดับแนวไปเลย ฮึ

นายติบอเล่าต่อเองครับ


ตอนที่ 13: เช้าวันแรก

หลังจากคืนวันแรกที่มาถึงเมืองพุกาม เราตื่นขึ้นแล้วพบว่าไม่มีน้ำอุ่นให้อาบ!!!
อุ๋ย.... หนาวสะท้านแต่เช้าเลยครับ เหตุเกิดเพราะเรามาพม่ากันตอนที่คนอื่นเขาไม่กล้ามา
รีสอทยี่สิบกว่าห้องที่เราเข้าพักก็เลยไม่มีคนอยู่..... เครื่องทำน้ำอุ่นที่ควรจะเปิดตลอดเวลา....
ก็เลยเปิดเฉพาะตอนค่ำ แหม่ คิดว่าเราเป็นฝรั่งอาบน้ำกันวันละครั้งรึงาย...... ม่ายมีทางซะร๊อก
พี่ไทยจะวีนให้คราวนี้ล่ะ...... แต่หลังจากที่เราเข้าไปคุยกับโรงแรมแล้ว
เฮ่อ... เขาก็ได้แต่ say sorry มาอยู่ดี :'( อาบน้ำเย็นๆก็ได้เจ๊อะๆ

อาหารเช้าวันแรกมีขนมปังปิ้ง ไข่กวนที่ให้เลือกได้ว่าจะใส่อะไรบ้าง....
มี 2 ตัวเลือก คือหอมแขกที่ทอดยังไงก็ไม่สุก กับมะเขือเทศลูกไม่ใหญ่นัก
เนยสีส้มหน้าตาแปลกๆ และแยมสตรอว์เบอรี่สีน้ำตาล
เสริฟคู่กับชาแขกหวานอร่อยสีส้มแป๊ดใส่นมใสๆ กับกาแฟจางๆ
ผลไม้เป็นกล้วยหอมที่ยังเขียวปี๋และฝาดหน่อยๆ แตงไทย กับมะละกอห่ามๆ
แล้วเราก็กินกันหมด (เพราะมันเป็นสวรรค์บ้านไร่เลย ถ้าเอาไปเทียบกับการเที่ยวอินตะระดึ๋ยตะระเดีย หิหิ)



อาหารเช้าวันแรกพยายามถ่ายแล้วแต่มันก็ไม่สวยนะครับ
เอาดอกไม้หน้าโรงแรมมาฝากเป็นบรรณาการก่อนนำเที่ยวแล้วกันครับผม








(http://photos1.hi5.com/0045/180/673/qyjOjN180673-02.jpg)


กระทู้: 2550 - แบคแพค ตะลุยพม่า!!
เริ่มกระทู้โดย: Bana ที่ 19 ก.ค. 08, 00:22
เข้ามาให้กำลังใจท่านพี่  ว่าต่อเลยครับ (มีรูปสาวพม่าแจ่มๆมาฝากด้วยจะเป็นพระคุณ)....อิอิ  ;)


กระทู้: 2550 - แบคแพค ตะลุยพม่า!!
เริ่มกระทู้โดย: ติบอ ที่ 04 ก.พ. 10, 02:40
ทิ้งกระทู้ไว้นาน(มากกกกกกกกกกกกกกก) จนไปพม่ามาอีก 2 รอบ
และอาจจะมีรอบที่ 3 ในเร็ววัน.... จนโดนคุณมานิตบ่นถึงในกระทู้พม่า (อีกกระทู้ไปเสียแล้ว)
ขออนุญาตมาเคาะสนิมที่นี่นะครับ



ปล. ผมโดนเตือนว่าเป็นกระทู้ที่ไม่มีการตอบมากกว่า 120 วัน กรุณาเริ่มหัวข้อใหม่ล่ะครับ