เรือนไทย

General Category => ภาษาวรรณคดี => ข้อความที่เริ่มโดย: เทาชมพู ที่ 02 ส.ค. 13, 13:42



กระทู้: นิพพานวังหน้า
เริ่มกระทู้โดย: เทาชมพู ที่ 02 ส.ค. 13, 13:42
  " นิพพานวังหน้า" หรือสะกดแบบเดิมว่า "นิพานวังน่า" เป็นงานนิพนธ์ที่คาบเกี่ยวอยู่  2 สาขา คือโดยลักษณะการแต่ง จัดเป็นวรรณคดี   ประเภทกลอนเพลงยาว  มีคำประพันธ์ทั้งกลอน โคลง กาพย์และร่าย    แต่โดยเนื้อหา เป็นประวัติศาสตร์  บันทึกอาการประชวร เรื่อยมาจนสิ้นพระชนม์ ในกรมพระราชวังบวรมหาสุรสีหนาท วังหน้าในรัชกาลที่ 1    คนอ่านก็จะได้รู้เกร็ดเล็กเกร็ดน้อยในตอนปลายรัชกาล แถมพกไปด้วย

   ผู้แต่งเรื่องนี้ไม่ได้ระบุชื่อตัวเอง แต่พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงวินิจฉัยว่าเป็น พระเจ้าราชวรวงศ์เธอพระองค์เจ้ากัมพุชฉัตร  พระธิดาในกรมพระราชวังบวรมหาสุรสีหนาท  ประสูติแต่เจ้าจอมมารดาชื่อนักองค์อี    ซึ่งเป็นพระธิดาสมเด็จพระอุไทยราชา  กษัตริย์กัมพูชา

   ขอเปิดกระทู้ไว้แค่นี้ตามเคยค่ะ     ขอเช็คชื่อนักเรียนก่อน


กระทู้: นิพพานวังหน้า
เริ่มกระทู้โดย: siamese ที่ 02 ส.ค. 13, 13:57
๑. หนุ่มสยาม มาคร้าบบบบบบบบบบบบ


กระทู้: นิพพานวังหน้า
เริ่มกระทู้โดย: mrpzone ที่ 02 ส.ค. 13, 21:37
๒. มิสเตอร์พี มารายงานตัวค้าบ  ;D


กระทู้: นิพพานวังหน้า
เริ่มกระทู้โดย: ประกอบ ที่ 02 ส.ค. 13, 21:48
มาแล้วเหมียนกันคร้าบบบบบบ แห่ะๆ ต้องให้คุณครูไปตาม  :-[  :-[  :-[


กระทู้: นิพพานวังหน้า
เริ่มกระทู้โดย: Jalito ที่ 02 ส.ค. 13, 21:49
    Jalito  มาครับ  อยู่มุมขวาแนวหน้าครับ


กระทู้: นิพพานวังหน้า
เริ่มกระทู้โดย: CVT ที่ 03 ส.ค. 13, 10:01
มาครับ


กระทู้: นิพพานวังหน้า
เริ่มกระทู้โดย: ประกอบ ที่ 03 ส.ค. 13, 13:44
รอคุณครู............


กระทู้: นิพพานวังหน้า
เริ่มกระทู้โดย: เทาชมพู ที่ 03 ส.ค. 13, 14:12
พอฝนตก เน็ต TOT ก็ดับ   เพราะฉะนั้น โพสต์ยาวนักไม่ได้ค่ะ    จะเปลี่ยนมาเป็นเจ้าใหม่ก็พบว่าในเขตนี้  สัญญาณของคู่แข่งยังมาไม่ถึง  เลยต้องใช้เจ้าเดิมไปก่อน

วัดดวงส่งข้อความก่อนว่าจะหลุดไหม


กระทู้: นิพพานวังหน้า
เริ่มกระทู้โดย: เทาชมพู ที่ 03 ส.ค. 13, 14:35
    "นิพพานวังหน้า"  เริ่มต้นแต่งเมื่อกรมพระราชวังบวรมหาสุรสีหนาทสิ้นพระชนม์แล้ว      มีบทพร่ำรำพันอาลัย ก่อนจะย้อนกลับไปเล่าถึงอาการประชวรว่ามีมาตั้งแต่ฤดูหนาว    ถึงขั้นพระฉวีผิวพรรณเผือดหมอง แต่ก็ยังแข็งแรงพอจะประทับนั่งบัลลังก์ได้  ท่ามกลางพวกเจ้านายสตรีและนางในหมอบเฝ้าอยู่
    ในประวัติศาสตร์ เล่าว่าประชวรเป็นนิ่ว  เมื่อครั้งทรงยกทัพขึ้นไปช่วยเมืองเชียงใหม่ เมื่อปีก่อน พ.ศ. ๒๓๔๕ พระอาการมาก เวลามีพิษร้อนถึงต้องเสด็จลงแช่อยู่ในน้ำ   แต่ก็ทรงทำศึกอยู่จนเสร็จศึก  พระโรคค่อยคลายลง จึงเสด็จยกกองทัพกลับลงมาถึงกรุงเทพ   จากนั้นก็ประชวรเรื่อยมา จนสิ้นพระชนม์ในพ.ศ. ๒๓๔๖ พระชนมายุ ๖๐ พรรษา
    แต่อาการที่พระองค์เจ้าหญิงกัมพุชฉัตรทรงบรรยายไว้   ประชวรโรคอื่นด้วยไม่ใช่โรคนิ่วอย่างเดียว      ถ้าจะถามว่าเป็นอะไรก็ขอตอบว่าเป็นวัณโรค   เห็นได้จากพระฉวีที่เผือดหมองผิดปกติ    พระอาการกำเริบหนักถึงขั้นเสวยอะไรไม่ลง
   หลังจากเสด็จไปปิดทองพระพุทธรูป   กรมพระราชวังบวรฯรับสั่งให้นำ น้ำ"รสอมฤตวิเชียรชล"  ในเรื่องไม่ได้บอกว่าเป็นน้ำเปล่าหรือเครื่องดื่มชนิดไหน    เมื่อได้น้ำมาก็ทรงเสี่ยงทายว่าจะหายประชวรหรือไม่   ถ้าหายขอให้เสวยน้ำได้คล่องพระศอ    แต่ถ้าพระชนม์ไม่ยืนยาวก็ขอให้เสวยไม่ลง    ปรากฏว่า เสวยน้ำเข้าไปแล้ว  ทรงอาเจียนออกมา  ทรงเสียพระทัยถึงกับตรัสว่า "คงจะไม่พ้นเคราะห์ "
   จากนั้น ก็ทรงเรียกพระธิดาทั้งหมดมาสั่งเสีย  ให้ฝากองค์กับสมเด็จพระปิตุลาคือพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลก ตลอดจนเจ้านายฝ่ายในของวังหลวงด้วย   ท่านก็ทรงรู้สึกอย่างพ่อทั่วๆไปที่รักลูกนั่นเอง คือเมื่อรู้ว่าตัวเองอายุไม่ยืน ก็เป็นห่วงลูกสาว   อยากให้มีผู้ใหญ่เป็นที่พึ่งต่อไปเมื่อไม่มีพ่อแล้ว


กระทู้: นิพพานวังหน้า
เริ่มกระทู้โดย: ศุศศิ ที่ 03 ส.ค. 13, 15:55
มาลงชื่อครับ


กระทู้: นิพพานวังหน้า
เริ่มกระทู้โดย: เทาชมพู ที่ 03 ส.ค. 13, 16:52
ตอนที่ทรงเรียกน้ำมาเสวย  ในกลอนเพลงยาวบรรยายว่า

เห็นพระทัยจะเป็นห่วงหน่วงถนอม      จะไกลกล่อมขวัญให้ระหวยหน
จึงเรียกรสอมฤตวิเชียรชล              เสี่ยงกุศลซึ่งสร้างพระโพธิญาณ
แม้นชนม์จะอยู่ช่วยบำรุงทวีป              ขอให้รีบรับน้ำรสาหาร
ถ้าชีวิตนั้นจะปลิดไม่เนาว์นาน      อย่าให้พานสอดคล่องนิยมยืน
(สะกดแบบปัจจุบัน)

คิดอยู่นานว่าเป็นน้ำอะไร   ถ้าหากว่าแปลตามตัว วิเชียรชล หมายถึงน้ำที่มีลักษณะใสเหมือนแก้ว     ก็อาจจะเป็นน้ำเปล่าก็ได้ แต่คำว่า อมฤต ความหมายดั้งเดิมคือสุรา   ถ้าเป็นอย่างหลังอาจหมายถึงเหล้ากลั่นที่ใสแจ๋วแบบสุราขาว   แต่ในนามานุกรมวรรณคดีไทย  เรียกกว้างๆว่า "พระสุธารส" หมายถึงเครื่องดื่ม


กระทู้: นิพพานวังหน้า
เริ่มกระทู้โดย: เทาชมพู ที่ 03 ส.ค. 13, 17:11
    ในเพลงยาวเรื่องนี้ ระบุไว้ชัดถึง 3 แห่ง ว่ากรมพระราชวังบวรฯ ไม่มีพระประสงค์จะมีพระชนม์ต่อไป   
    เรื่องแรกคือเมื่อสั่งเสียพระธิดาแล้ว    ก็ทรงปฏิเสธไม่เสวยพระโอสถอีก   เพราะเห็นว่าเป็นสิ่งหน่วงเหนี่ยวให้ทรงทรมานเพราะพระโรคยืดเยื้อเนิ่นนานต่อไป
     เรื่องที่สองคือเมื่อเสด็จไปวัดมหาธาตุ   ทรงนมัสการพระพุทธรูป และพระมณฑปที่ทรงปฏิสังขรณ์  ทรงบูชาอยู่ครู่หนึ่ง ขณะนั้นพออาการพระโรคกำเริบ   เกิดทุกขเวทนาแรงกล้า   ก็ทรงชักพระแสงออกจะแทงพระองค์  แต่พระโอรส(หมายถึงพระองค์เจ้าลำดวน พระโอรสองค์ใหญ่)ที่ตามเสด็จไปด้วย เข้าแย่งพระแสงไปเสียจากพระหัตถ์ แล้วทูลปลอบประโลมจนคืนพระสติ  จึงอัญเชิญเสด็จกลับวังหน้า
    เรื่องที่สาม   เมื่อเสด็จกลับวังหน้า ทรงทอดพระเนตรพระวิมานมณเทียรด้วยความอาลัย  จากนั้นเสด็จออกท้องพระโรง  ประชุมขุนนางวังหน้าทั้งปวง  เพื่อตรัสบอกว่าจะเสด็จสู่สวรรคาลัย  ขอให้ทุกคนรับราชการต่อไปกับสมเด็จพระบรมเชษฐาธิราชด้วยความซื่อตรง   


กระทู้: นิพพานวังหน้า
เริ่มกระทู้โดย: เทาชมพู ที่ 04 ส.ค. 13, 20:11
    เมื่อประชวรหนัก   พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าฯ เสด็จมาเยี่ยมพระราชอนุชา   พระองค์เจ้าหญิงกัมพุชฉัตรทรงบรรยายว่าทั้งสองพระองค์ต่างก็รำพันอาลัยรักกันหนักหนา   ตามธรรมเนียมไทย  เมื่อคนใกล้จะตาย  ผู้อยู่ใกล้ๆก็จะเตือนให้นึกถึงพระอรหันต์ หรือนิพพาน เพื่อให้อาสันนกรรมนำไปพ้นจากวัฏสังสาร    ทั้งสองพระองค์ก็เช่นกันพระเชษฐาก็ทรงปลอบพระทัยให้ยึดนิพพานเป็นที่พึ่งในช่วงสุดท้าย   เพื่อจะหลุดพ้นจากการเวียนว่ายตายเกิด     พระองค์เจ้าหญิงกัมพุชฉัตรทรงบรรยายว่าเมื่อฟังแล้วกรมพระราชวังบวรฯก็ค่อยสบายพระทัยขึ้น  แต่ก็ยังเหลือความห่วงใยอยู่ จึงทรงฝากฝังพระโอรสธิดา  และที่สำคัญคือ
    อนึ่งหน่อวรนาถผู้สืบสนอง                        โปรดให้ครองพระนิเวศน์เหมือนปางหลัง
อย่าบำราศให้นิราศแรมวัง                        ก็รับสั่งอวยเออพระโองการ
    พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าฯก็ทรงรับปาก   นี่ก็ธรรมเนียมไทยเช่นกัน  ถือกันว่าคำขอสุดท้ายของผู้ตาย เป็นสิ่งสำคัญที่สุด  ผู้ถูกขอจะต้องรับปาก 

จึงตรัสปลอบพระบัณฑูรอาดูรด้วย               ว่าจะช่วยเอาธุระแสนสงสาร
เป็นห่วงเป็นไยพ่อให้ทรมาน                     จะอุ้มหลานจูงลูกไม่ลืมคำ
อันเยาวยอดสืบสายโลหิตพ่อ                    พี่ตั้งต่อสุจริตอุปถัมภ์ 
ครั้นทรงสดับแน่นึกสำเนาคำ                     ก็คลายร่ำทุกข์ถ้อยบันเทาทน


  แต่ก็น่าเสียดายที่เหตุการณ์ภายหลังมิได้เป็นไปตามพระประสงค์     พงศาวดารบันทึกไว้ว่า หลังกรมพระราชวังบวรมหาสุรสีหนาทสิ้นพระชนม์แล้ว   พระองค์เจ้าลำดวนและพระองค์เจ้าอินทปัตพระโอรส ก็กระด้างกระเดื่อง  วางแผนรัฐประหาร  จึงถูกปราบปรามในฐานะกบฏวังหน้า และถูกสำเร็จโทษพร้อมกับพระยากลาโหมราชเสนา(ทองอิน)  กับพรรคพวกอีกหลายคน


กระทู้: นิพพานวังหน้า
เริ่มกระทู้โดย: เทาชมพู ที่ 04 ส.ค. 13, 20:31
    เรื่องที่กรมพระราชวังบวรฯ ทรงทูลขอพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าฯ ว่าเมื่อสิ้นพระชนม์แล้ว ขอให้พระโอรสธิดาได้อยู่ในวังหน้าต่อไป   อย่าต้องย้ายออกไปอยู่ข้างนอก    เป็นเรื่องตีความได้ 2 อย่าง  คือ
    1  เป็นคำขอกรณีพิเศษให้บรรดาเจ้านายวังหน้าได้อาศัยอยู่ในวังหน้าต่อไป  ไม่ต้องย้ายออก เพราะตามกฎหมาย   เมื่อเจ้านายองค์ใดสิ้นพระชนม์ลงไป     ตามกฎหมายในสมัยนั้น  ทั้งวังและทรัพย์สินจะต้องคืนกลับไปเป็นของหลวงครึ่งหนึ่ง     ถ้านึกถึงความเป็นจริงว่าเจ้านายวังหน้ามีจำนวนมาก  ถ้าต้องย้ายออกทั้งหมดไปหาวังใหม่ก็คงเป็นเรื่องยุ่งยากลำบากไม่ใช่เล่น    อีกอย่าง ตัวปราสาทราชมนเทียรก็เป็นสิ่งที่กรมพระราชวังบวรฯทรงสร้างขึ้นมาเองตั้งแต่ต้นรัชกาล     ท่านก็คงจะรู้สึกอย่างเจ้าของบ้านที่พึงรักและหวงบ้านที่ตัวเองสร้างมากับมือ  ไม่อยากให้คนอื่นมาอยู่ แล้วลูกๆท่านกลับต้องออกไปหาที่อยู่ใหม่
    2  เป็นคำขอที่แสดงว่า ขอให้พระโอรสได้สืบตำแหน่งกรมพระราชวังบวรสถานมงคลหรือวังหน้าต่อไป     เพราะเป็นเจ้าของวังหน้า ก็ต้องเป็นกรมพระราชวังบวรสถานมงคลในตัวอยู่แล้ว

      พงศาวดารเล่าว่า พระโอรสองค์ใหญ่และองค์รอง คือพระองค์เจ้าลำดวนและพระองค์เจ้าอินทปัตมีความกำเริบ รอจะได้เป็นวังหน้า  เมื่อไม่ได้เป็นสักทีจึงเกิดความโกรธแค้น  ไปร่วมคิดกับพระยากลาโหมทองอิน ผู้ที่กรมพระราชวังบวรฯทรงเมตตาเหมือนบุตรบุญธรรม จึงตั้งกองเกลี้ยกล่อมหาคนดีมีวิชาความรู้มาทดลองกันในวัง  ถ้าพลาดพลั้งล้มตายลงก็ฝังเสียข้างในกำแพงวังเป็นหลายคน  
   ความลับรั่วไหลว่าพวกเจ้านายวังหน้าทำอะไรไม่ชอบมาพากล  พระเจ้าอยู่หัวจึงให้แต่งข้าหลวงปลอมไปเข้าเป็นสมัครพรรคพวกของพระองค์เจ้าทั้งสอง  ก็ได้ความสมจริง จึงโปรดฯ ให้จับมาชำระ  ได้ความรับเป็นสัตย์ว่า คบคิดกันจะทำร้ายพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลก เมื่อวันเสด็จพระราชทานเพลิงพระศพกรมพระราชวังบวรฯ จริง
            


กระทู้: นิพพานวังหน้า
เริ่มกระทู้โดย: เทาชมพู ที่ 04 ส.ค. 13, 20:50
  ถ้าใครสงสัยว่ากบฏวังหน้ามีจริงไหม   หรือว่าเป็นการเขียนใส่สีใส่ไข่ขึ้นในภายหลังโดยผู้ชนะเป็นผู้เขียนประวัติศาสตร์     ตามคำอ้างที่เรามักจะได้ยินกันในหลายๆเรื่อง จนกลายเป็นสูตรสำเร็จในการคัดค้านพงศาวดารไทยอยู่แล้ว  ก็ขอตอบว่า "นิพพานวังหน้า" ซึ่งถือได้ว่าเป็นเอกสารขั้นปฐมภูมิในสมัยปลายรัชกาลที่ 1  ได้กล่าวถึงกบฏวังหน้าเอาไว้ว่ามีจริง    ไม่ใช่การปั้นเรื่องขึ้นมา
   พระองค์เจ้าหญิงกัมพุชฉัตรทรงบันทึกถึงเหตุการณ์เมื่อพระองค์เจ้าลำดวนและพระองค์เจ้าอินทปัตถูกจับได้ว่าเตรียมก่อการกบฏ   ว่าวันนั้น มีเทศน์ตามพระราชประเพณีขณะยังตั้งพระศพกรมพระราชวังบวรฯอยู่     พระองค์เจ้าหญิงทรงเป็นผู้เคาะพระโกศตามธรรมเนียมให้พระราชบิดาทรงสดับพระเทศนา   เสียงพระโกศก็ลั่นขึ้นมา    พอดีกับมีผู้มาทูลว่าพระเชษฐา 2 พระองค์ก่อการกบฏขึ้น    ปรากฏว่าเจ้านายวังหน้าที่ทรงสดับพระธรรมเทศนาอยู่ในงานสวด   ต่างก็ตกพระทัย  แต่ไม่มีใครเข้าข้างพระองค์เจ้าทั้งสองเลย    
    โดยเฉพาะพระองค์เจ้าหญิงกัมพุชฉัตร ทรงติเตียนพระเชษฐาว่าทำอะไรลงไปไม่คิดถึงพระคุณของพระบิดา และไม่เชื่อฟังที่ทรงขอฝากพระโอรสธิดาไว้ในพระเมตตาของพระเจ้าอยู่หัว  แต่ก็ทรงยกย่องพระองค์เจ้าลำดวนและพระองค์เจ้าอินทปัตว่า เป็นนักรบที่มีฝีมือ  เคยรบชนะศึกพม่าที่เชียงใหม่มาได้


กระทู้: นิพพานวังหน้า
เริ่มกระทู้โดย: NAVARAT.C ที่ 04 ส.ค. 13, 21:13
พระองค์เจ้าหญิงทรงเป็นผู้เคาะพระโกศตามธรรมเนียมให้พระราชบิดาทรงสดับพระเทศนา   เสียงพระโกศก็ลั่นขึ้นมา  ตรงนี้แปลความว่าอย่างไรหรือครับ


กระทู้: นิพพานวังหน้า
เริ่มกระทู้โดย: เทาชมพู ที่ 05 ส.ค. 13, 08:42
แปลจากกลอนตอนนี้ค่ะ

ต่างนิมนต์ราชาคณะเทศน์                   ถวายองค์อิศเรศวิเศษสิ้น
แล้วเคาะพระโกศกราบสุชลริน             เชิญพระปิ่นเกล้าโลกสดับธรรม
พระโกศลั่นยินแสยงพอแจ้งเหตุ           ถึงสองเชษฐ์ต้องคดีที่ข้อขำ
เขาว่าโทษลึกลับให้จับจำ                  ก็ค้างคำเทศนาเข้ามาฟัง

ธรรมเนียมการเคาะโลงบอกผู้ตาย  ให้ฟังสวด หรือเชิญให้รับประทานข้าวปลาที่จัดใส่สำรับเล็กๆมาให้  ยังมีมาจนถึงปัจจุบันนี้     ในเรื่องนี้  แสดงว่าแม้แต่ในพระราชพิธีก็มีอยู่เช่นกัน

ส่วนเหตุการณ์ประหลาดที่พระองค์เจ้าหญิงกัมพุชฉัตรทรงเล่าไว้ก็คือ ได้ยินเสียงพระโกศลั่น   แต่ท่านมิได้ทรงบอกว่าเสียงจากพระโกศที่ดังขึ้นเป็นเสียงประเภทไหน    เป็นเสียงเปรี๊ยะเหมือนไม้แตก  หรือว่าเสียงเอี๊ยดอ๊าดเหมือนใครเหยียบไม้กระดาน  หรือเสียงเคาะจากในพระโกศตอบกลับมา    
แต่ต้องเป็นเสียงที่ดังพอสมควร  ขนาดทำให้ขนลุกขนพอง  ตามที่ทรงบรรยายว่า
"ยินแสยงพอแจ้งเหตุ                 ถึงสองเชษฐ์ต้องคดีที่ข้อขำ"
คือเป็นลางร้ายบอกเหตุว่า พระองค์เจ้าลำดวนและพระองค์เจ้าอินทปัตถูกจับกุมองค์ข้อหากบฏ   ข้อหานี้โทษสถานเดียวคือประหารชีวิต


กระทู้: นิพพานวังหน้า
เริ่มกระทู้โดย: เทาชมพู ที่ 05 ส.ค. 13, 08:55
ก็ยังสงสัยเหมือนกันว่า เสียงพระโกศลั่นที่ว่านี้ เป็นเหตุธรรมชาติได้ไหม    เช่นเสียงของไม้โก่งตัว หรือหดตัว   ดิฉันไม่ทราบว่าการประกอบพระโกศ ใช้วิธีเรียงไม้เข้าลิ้น หรือว่าตอกตะปู หรือว่าทำด้วยวิธีไหน 
ต้องฝากท่านนวรัตนช่วยวิเคราะห์ด้วยค่ะ


กระทู้: นิพพานวังหน้า
เริ่มกระทู้โดย: เทาชมพู ที่ 05 ส.ค. 13, 09:42
บรรยากาศในงานสวดตอนนั้นคงจะปั่นป่วนเพราะข่าวร้ายกะทันหันที่ได้รับ    เจ้านายสตรีต่างก็งุนงงไม่ทราบว่าเกิดอะไรขึ้น จนกระทั่งรู้กันว่า "เป็นกบฏหมดทั้งวัง" คือไม่ใช่องค์ใดองค์หนึ่ง  แต่ว่าสมคบกันมุ่งร้าย ไม่จงรักภักดีต่อพระเจ้าแผ่นดิน  
 
ต่างคนึงสุดคะเนสนเท่ห์จิต         ไม่ทราบกิจโอ้ไฉนอย่างไรมั่ง
ครั้นรู้แน่ว่ากบฏหมดทั้งวัง              ชวนกันชังไม่มีภักดีปอง


มาดูกันว่าเจ้านายวังหน้าในรัชกาลที่ 1  มีพระองค์ใดบ้างนะคะ
1     พระราชธิดาพระองค์ใหญ่ คือพระเจ้าราชวรวงศ์วงศ์เธอ เจ้าฟ้าหญิงพิกุลทอง กรมขุนศรีสุนทร เป็นเจ้าฟ้าพระองค์เดียวของวังหน้า เพราะประสูติแต่พระอัครชายาเธอ เจ้าศิริรจจาหรือเจ้าศรีอโนชา พระขนิษฐาในพระเจ้ากาวิละ เมื่อครั้งกรมพระราชวังบวรฯยังดำรงพระยศเป็น เจ้าพระยาสุรสีห์พิษณุวาธิราช  ในรัชสมัยสมเด็จพระเจ้ากรุงธนบุรี
เมื่อกรมพระราชวังบวรฯสิ้นพระชนม์  เจ้าฟ้าพิกุลทองมีพระชันษา 26 ปี  ทรงเป็นเจ้านายอาวุโสที่สุดของวังหน้า    แต่ในเมื่อทรงเป็นเจ้านายสตรี ก็มิได้ทรงมีบทบาทอย่างใดทางบ้านเมือง

๒. พระองค์เจ้าชายลำดวน  เป็นพระโอรสองค์แรกในกรมพระราชวังบวรฯ ประสูติจากเจ้าจอมมารดาขะ     พระนามถูกออกควบคู่ไปกับพระอนุชา พระองค์เจ้าอินทปัต ซึ่งอ่อนพระชันษากว่าเล็กน้อย   ทั้งสององค์ถูกประหารพร้อมกันเมื่อพระชันษาได้ 25 ปี


กระทู้: นิพพานวังหน้า
เริ่มกระทู้โดย: เทาชมพู ที่ 05 ส.ค. 13, 09:52
4  พระองค์เจ้าหญิงเกสร  ประสูติปีเดียวกับพระองค์เจ้าอินทปัต  จากเจ้าจอมมารดาแก้ว  ไม่ปรากฏบทบาทใดๆ
5 พระองค์เจ้าชายก้อนแก้ว  ประสูติแต่เจ้าจอมมารดาล่า  พระชันษา 23 ปีเมื่อพระบิดาสิ้นพระชนม์    ไม่ปรากฏบทบาทว่าเกี่ยวข้องกับกบฏวังหน้า
6 พระองค์เจ้าชายช้าง   ประสูติแต่เจ้าจอมมารดาปุย  พระชันษาเท่ากับพระองค์เจ้าก้อนแก้ว     ไม่ปรากฏบทบาทว่าเกี่ยวข้องกับกบฏวังหน้า
ทั้งสองพระองค์มิได้ทรงกรม   แต่มีพระชนม์ยืนยาวมาจนสิ้นพระชนม์ในรัชกาลที่ 3 ด้วยกันทั้งคู่

ทั้ง 6 องค์ถือว่าเป็นพระโอรสธิดารุ่นใหญ่ ประสูติก่อนบวรราชาภิเษก


กระทู้: นิพพานวังหน้า
เริ่มกระทู้โดย: เทาชมพู ที่ 05 ส.ค. 13, 10:02
ส่วนเจ้านายวังหน้าที่มาประสูติหลังบวรราชาภิเษกมีอีก 37 องค์  เมื่อพระบิดาสิ้นพระชนม์ องค์ใหญ่สุดคือพระองค์เจ้าหญิงดวงจันทร์ มีพระชันษา 20 ปี    จากนั้นก็ไล่ลำดับลงไปเรื่อยๆ องค์เล็กสุดคือพระองค์เจ้าชายแตน ประสูติเมื่อพ.ศ. 2344  สองปีก่อนพระบิดาสิ้นพระชนม์
ทั้งหมดนี้ เจ้านายที่ได้ทรงกรมมีเพียง 3 องค์ คือ
1   เจ้าฟ้าพิกุลทอง กรมขุนศรีสุนทร   
2  พระองค์เจ้าชายอสุนี กรมหมื่นเสนีเทพ   ต้นราชสกุลอสุนี ณ อยุธยา    เมื่อพระบิดาสิ้นพระชนม์ พระชันษาได้ 20 ปี       
3  พระองค์เจ้าชายสังกะทัต  กรมขุนนรานุชิต   ต้นราชสกุลสังขะทัต ณ อยุธยา       เมื่อพระบิดาสิ้นพระชนม์  พระชันษาแค่ 14 ปี

ส่วนพระองค์เจ้าหญิงกัมพุชฉัตร ประสูติเมื่อพ.ศ. 2329 ประสูติแต่เจ้าจอมมารดานักองค์อี    เมื่อพระบิดาสิ้นพระชนม์ ทรงมีพระชันษา 17 ปี    ทรงมีพระขนิษฐาร่วมเจ้าจอมมารดาอีกองค์ พระชันษาเพิ่งจะได้ 10 ขวบ คือพระองค์เจ้าหญิงวงศ์มาลา   ทั้งสององค์มีพระชนม์ยืนยาวมาจนถึงรัชกาลที่ 4 ถึงสิ้นพระชนม์


กระทู้: นิพพานวังหน้า
เริ่มกระทู้โดย: siamese ที่ 05 ส.ค. 13, 10:51
เรื่องพระโกศลั่น ถ้าไม่คิดอะไรมาก ผมก็ว่ามาจากการที่ไม้ยืดหดตัวไม่เท่ากัน จากสภาพแวดล้อมนั้น ๆ ยืดหดไม่เท่ากันมันก็ลั่นได้


กระทู้: นิพพานวังหน้า
เริ่มกระทู้โดย: NAVARAT.C ที่ 05 ส.ค. 13, 10:52
อ้างถึง
ก็ยังสงสัยเหมือนกันว่า เสียงพระโกศลั่นที่ว่านี้ เป็นเหตุธรรมชาติได้ไหม    เช่นเสียงของไม้โก่งตัว หรือหดตัว   ดิฉันไม่ทราบว่าการประกอบพระโกศ ใช้วิธีเรียงไม้เข้าลิ้น หรือว่าตอกตะปู หรือว่าทำด้วยวิธีไหน  
ต้องฝากท่านนวรัตนช่วยวิเคราะห์ด้วยค่ะ

นำการบ้านมาส่งครับ

ก่อนอื่น ต้องเข้าใจว่าพระโกศที่ประกอบพระศพ มี๒ชั้น ชั้นในเรียกพระลอง มีลักษณะเป็นปล่องกลมวางตามแนวตั้ง ทำด้วยโลหะเช่นทองแดงปิดทอง หรือของพระมหากษัตริย์จะทำด้วยเงินแท้ เรียกพระลองเงิน
ส่วนชั้นนอกเรียกพระโกศ มีหลายแบบตามพระฐานันดรศักดิ์ ของพระมหากษัตริย์หรือพระราชินีหรือเจ้าฟ้า คือพระโกศทองใหญ่ ทำด้วยไม้หุ้มด้วยทองคำ จากนั้นก็เป็นพระโกศทองน้อย ทองเล็ก ตามลำดับ ซึ่งผมจะไม่ลงถึงรายละเอียดในเรื่องนี้

เมื่อทรงพระศพแล้ว พระโกศและพระลองจะอยู่ในลักษณะที่เห็นในภาพ


กระทู้: นิพพานวังหน้า
เริ่มกระทู้โดย: NAVARAT.C ที่ 05 ส.ค. 13, 10:53
เมื่อเปลื้องพระโกศออก จะเห็นพระลอง ในการออกพระเมรุ จะนำพระศพในพระลองขั้นตั้งบนพระจิตกาธาน ถวายเพลิงสุมเข้าใต้พระลอง เปลวเพลิงจะลอดจากก้นทะลุถึงปากปล่อง ซึ่งเปิดฝาไว้ ไม่นานพระศพก็เหลือแต่พระอัฐิธาตุ


กระทู้: นิพพานวังหน้า
เริ่มกระทู้โดย: NAVARAT.C ที่ 05 ส.ค. 13, 10:55
คราวนี้มาดูโครงสร้างของพระโกศ


กระทู้: นิพพานวังหน้า
เริ่มกระทู้โดย: NAVARAT.C ที่ 05 ส.ค. 13, 10:56
พระโกศนั้นถูกออกแบบทำขึ้นด้วยไม้ ประกอบกันเป็นชิ้นๆคล้ายเปลือก ยึดด้วยรางบัว(ร่องไม้)ที่ฐานและที่ฝาครอบ ถอดเข้าถอดออกง่าย เมื่อประกอบแล้วไม่มีวันหลุด

การเปลื้องพระโกศออก จะเริ่มต้นด้วยการยกฝาครอบออกก่อน


กระทู้: นิพพานวังหน้า
เริ่มกระทู้โดย: NAVARAT.C ที่ 05 ส.ค. 13, 11:05
แล้วถอดเปลือกออกทีละชิ้น


กระทู้: นิพพานวังหน้า
เริ่มกระทู้โดย: NAVARAT.C ที่ 05 ส.ค. 13, 11:05
มีอยู่๒ชิ้นเท่านั้นเองครับ


กระทู้: นิพพานวังหน้า
เริ่มกระทู้โดย: NAVARAT.C ที่ 05 ส.ค. 13, 11:09
ในภาพชุดนี้ที่ไม่เห็นลองใน เพราะศพ(พระเถระ)จริงๆอยู่ในหีบที่ตั้งไว้หลังม่านตามสมัยนิยม โกศถือเป็นเพียงเครื่องประดับเกียรติผู้วายชนม์


กระทู้: นิพพานวังหน้า
เริ่มกระทู้โดย: NAVARAT.C ที่ 05 ส.ค. 13, 11:10
ยกฐานออก ฐานก็มีเพียง๒ชิ้นเช่นกัน


กระทู้: นิพพานวังหน้า
เริ่มกระทู้โดย: NAVARAT.C ที่ 05 ส.ค. 13, 11:11
ทั้งหมด ชิ้นส่วนของโกศก็มีเพียง๕เท่านี้


กระทู้: นิพพานวังหน้า
เริ่มกระทู้โดย: NAVARAT.C ที่ 05 ส.ค. 13, 11:12
คราวนี้มาดูหลักฐานทางประวัติศาสตร์ พระโกศที่ทรงพระศพของกรมพระราชวังบวรมหาสุรสีหนาถ คือพระโกศไม้สิบสอง เช่นเดียวกับในรูปชุดข้างบนเลยทีเดียวแหละครับ หลักฐานที่ผมมีกล่าวว่า โกศแบบนี้มีอยู่เพียง๒ชุด คือชุดโบราณกับชุดที่สร้างขึ้นใหม่ ที่ว่าสร้างขึ้นใหม่ก็นานนมมาแล้วไม่ทราบแต่สมัยไหน พระในวัดบอกผมว่า โกศที่ผมถ่ายรูปมาให้ดูนั้นเป็นโกศเก่า อาจจะเก่าถึงรัชกาลที่๑ก็ได้

หากพิจารณาโครงสร้างของโกศ โอกาสที่ไม้จะลั่นเพราะยืดหดตัวแทบจะไม่มี แต่ก็ไม่ใช่จะเกิดขึ้นไม่ได้เลย เพราะเป็นแบบย่อมุมไม้สิบสอง ผนังมีด้านกว้างมากพอสมควร ถ้าไม่ใช่ไม้แผ่นเดียวแต่หลายชิ้นมาต่อกัน หากไม้ที่มาทำนั้นเป็นไม้ใหม่ยังไม่แห้งสนิท๑๐๐% ถึงจะมีเดือยมีสลัดยึดก็ต้องมีการทากาว กาวสมัยนั้นทำจากยางไม้หรือหนังสัตว์นำมาเคี่ยว ความสามารถในการยึดติดห่างไกลจากกาวสมัยนี้มาก อาจทนแรงบิดตัวของไม้ไม่ได้  ดังนั้น ถ้าใครไปเคาะเบาๆแต่ถูกที่ถูกเวลาก็อาจลั่นเปรี๊ยะออกมาค่อยๆแต่พอได้ยินได้เหมือนกัน

ส่วนที่ว่าจะดังมาจากพระลองได้ไหมนั้น ผมว่าตัดประเด็นไปได้เลยครับ


กระทู้: นิพพานวังหน้า
เริ่มกระทู้โดย: siamese ที่ 05 ส.ค. 13, 11:29
ร้านขายโลงศพ ก็มักจะมีเหตุการณ์ไม้โลงลั่น ซึ่งเป็นลางที่ไม่ดีสำหรับร้าน

ทำนองเดียวกัน ไม้สด ไม้แห้ง ต่างก็มีการขยาย หด ตัวอยู่แต่ในอัตราที่แตกต่างกัน ไม่เก่าก็ยืด หด ได้เช่นกันโดยเฉพาะมีอากาศเย็นๆ  ทั้งนี้การตั้งพระโกศของพระราชบิดาแห่งวังหน้านี้ เกิดขึ้นใน เดือนใด ครับ  ???

เพราะถ้าเป็นช่วงหน้าหนาวแล้ว ยิ่งมีโอกาสไม้ลั่นสูง


กระทู้: นิพพานวังหน้า
เริ่มกระทู้โดย: NAVARAT.C ที่ 05 ส.ค. 13, 12:54
เสด็จทิวงคตวันที่ 3 พฤศจิกายน พ.ศ. 2346


กระทู้: นิพพานวังหน้า
เริ่มกระทู้โดย: siamese ที่ 05 ส.ค. 13, 13:42
เสด็จทิวงคตวันที่ 3 พฤศจิกายน พ.ศ. 2346

ไม้เก่า 30 กว่าปีที่บ้าน พอลมหนาวเข้ามาเยือน ต่างพากันลั่นเปรี๊ย ๆ ตามความเย็นของลมหนาว


กระทู้: นิพพานวังหน้า
เริ่มกระทู้โดย: เทาชมพู ที่ 05 ส.ค. 13, 14:28
หากพิจารณาโครงสร้างของโกศ โอกาสที่ไม้จะลั่นเพราะยืดหดตัวแทบจะไม่มี แต่ก็ไม่ใช่จะเกิดขึ้นไม่ได้เลย เพราะเป็นแบบย่อมุมไม้สิบสอง ผนังมีด้านกว้างมากพอสมควร ถ้าไม่ใช่ไม้แผ่นเดียวแต่หลายชิ้นมาต่อกัน หากไม้ที่มาทำนั้นเป็นไม้ใหม่ยังไม่แห้งสนิท๑๐๐% ถึงจะมีเดือยมีสลัดยึดก็ต้องมีการทากาว กาวสมัยนั้นทำจากยางไม้หรือหนังสัตว์นำมาเคี่ยว ความสามารถในการยึดติดห่างไกลจากกาวสมัยนี้มาก อาจทนแรงบิดตัวของไม้ไม่ได้  ดังนั้น ถ้าใครไปเคาะเบาๆแต่ถูกที่ถูกเวลาก็อาจลั่นเปรี๊ยะออกมาค่อยๆแต่พอได้ยินได้เหมือนกัน
ส่วนที่ว่าจะดังมาจากพระลองได้ไหมนั้น ผมว่าตัดประเด็นไปได้เลยครับ
^
ก็เป็นคำอธิบายที่สมเหตุสมผลเท่าที่จะหาได้แล้วค่ะ

แล้วเคาะพระโกษฐกราบสุชลริน             เชิญพระปิ่นเกล้าโลกย์สดับธรรม
พระโกษฐลั่นยินแสยงพอแจ้งเหตุ               ถึงสองเชษฐต้องคดีที่ข้อขำ
เขาว่าโทษลึกลับให้จับจำ                       ก็ค้างคำเทศนาเข้ามาฟัง

ถอดความ  ลำดับเหตุการณ์ตามนี้
๑ พระสงฆ์รับนิมนต์มาเทศน์ถวายหน้าพระโกศ
๒ เจ้านายเคาะพระโกศเพื่ออัญเชิญให้ทรงฟังธรรม
๓ เสียงพระโกศลั่น  ได้ยินเพราะว่าพระยังไม่ได้สวด
๔ ข่าวด่วนเข้ามาในตอนนั้นว่าพระองค์เจ้าลำดวนและพระองค์เจ้าอินทปัตถูกจับ จำขื่อคาไว้
๕ เกิดความปั่นป่วนขึ้นในวงเจ้านายที่กำลังฟังพระเทศน์
๖ ทุกองค์ไม่มีกะจิตกะใจ  หยุดฟังพระเทศน์ ทรงแห่กันเข้ามาฟังผู้แจ้งข่าวนี้

ถ้าเป็นตามนี้ เสียงพระโกศลั่นก็น่าจะเกิดจากไม้ยืดหดตัว  ได้ยินชัดเพราะว่าพระยังไม่ได้เทศน์
แต่ถ้าพระเทศน์แล้ว ก็ยังได้ยินเสียงพระโกศลั่นอยู่อีก   แสดงว่าลั่นดังมาก และทิ้งช่วงเวลาระหว่างการเคาะกับเสียงลั่นอยู่พักหนึ่ง  
ถ้างั้นก็...หาคำอธิบายอื่นเอาเองนะคะ


กระทู้: นิพพานวังหน้า
เริ่มกระทู้โดย: เทาชมพู ที่ 05 ส.ค. 13, 15:15
พระองค์เจ้าหญิงกัมพุชฉัตร น่าจะเป็นพระธิดาที่ทรงใกล้ชิดกับพระบิดาอยู่ไม่น้อย  หรือไม่นักองอีผู้เป็นเจ้าจอมมารดาก็เป็นคนโปรด จึงทรงรู้รายละเอียดเล็กๆน้อยๆหลายอย่างซึ่งไม่ได้มีบันทึกไว้ในพระราชพงศาวดาร    เช่นเมื่อครั้งสมเด็จกรมพระราชวังบวรฯยังดำรงพระชนม์อยู่  จะเสด็จขึ้นไปปฏิสังขรณ์วัดที่กรุงเก่า   มีผู้ทิ้งหนังสือ (หมายถึงบัตรสนเท่ห์) ท้าทายขู่ว่าจะทำร้าย     
เมื่อความทราบถึงทางวังหลวง  สมเด็จพระพุทธยอดฟ้าฯก็ทรงเป็นห่วง รับสั่งให้คนไปทูลห้าม   กรมพระราชวังบวรฯก็ไม่ฟัง  ตั้งพระทัยจะเสด็จก็เสด็จไปจนได้   ผลก็คือไม่เกิดเหตุอันใดขึ้น   เสด็จไปเสด็จกลับมาได้อย่างปลอดภัย

เรื่องที่พระองค์เจ้าหญิงกัมพุชฉัตรทรงทราบว่าพระเชษฐาทั้งสองก่อกบฏ   เห็นได้จากพระนิพนธ์ว่า ไม่พอพระทัยที่ทั้งสององค์ทรงทำเช่นนี้   ทรงบริภาษเอาไว้ยาวพอสมควรว่าเป็นการไม่คิดถึงพระคุณ และไม่ทรงเชื่อฟังคำสั่ของพระบิดา   

แต่อย่างไรก็ตาม ก็ทรงยกย่องว่าทั้งสององค์เป็นนักรบแกล้วกล้า   เคยฝากผลงานไว้เมื่อคราวรบพม่าที่เชียงใหม่     พร้อมกับทรงเล่าเกร็ดเรื่องหนึ่งแทรกมาด้วย คือสมเด็จพระบวรราชเจ้าฯ ทรงอัญเชิญพระพุทธสิหิงค์ลงมากรุงเทพในคราวนั้น   
ปรากฏว่าพระพุทธรูปที่งามยิ่งพระองค์นี้ทรงมีนิ้วพระหัตถ์ชำรุดอยู่นิ้วหนึ่ง     พระเจ้าแผ่นดินหลายองค์พยายามจะต่อนิ้วให้สมบูรณ์ แต่ไม่มีใครทำได้   จนล่วงมาถึงครั้งกรมพระราชวังบวรฯได้พระพุทธสิหิงค์มา  สามารถต่อนิ้วพระหัตถ์ได้สำเร็จ


กระทู้: นิพพานวังหน้า
เริ่มกระทู้โดย: เทาชมพู ที่ 05 ส.ค. 13, 15:28
ในเรื่องนิพพานวังหน้า พระองค์เจ้ากัมพุชฉัตรทรงเล่าในทำนองตำนาน   ว่าเป็นเรื่องเล่ามาสืบต่อกันมา ว่ามีพระพุทธทำนาย ว่าต่อไปภายหน้าจะมีพระเจ้าแผ่นดินที่ทรงอานุภาพมาก มาต่อนิ้วพระหัตถ์ให้ครบถ้วนสมบูรณ์ได้   

พระมหากรุณาธิคุณตรัส                            แย้มพระโอษฐ์โปรดดำรัสพิกัดหมาย
เยื้อนพระพุทธฎีกาวาทีทาย                       จะมีบดินทร์ดังนารายณ์สี่กร
มายกพระศาสนาตถาคต                          ให้ปรากฏภิญโญสโมสร
จะต่อหัตถ์พระสิหิงค์ได้แน่นอน                   จะเลื่องยศฤาขจรเกียรติขจาย

   การที่กรมพระราชวังบวรฯโปรดให้เชิญพระพุทธสิหิงค์ลงมากรุงเทพฯ ก็เพราะทรงเห็นว่าเดิมพระพุทธสิหิงค์มิใช่พระพุทธรูปของเชียงใหม่ แค่เคยเป็นพระพุทธรูปสำคัญของกรุงศรีอยุธยา ครั้นกรุงแตกเมื่อ พ.ศ. 2310 มีผู้เชิญเอาไปเมืองเชียงใหม่  จึงโปรดให้นำกลับมาเมืองหลวง   ประดิษฐานอยู่ในพระราชวังบวรฯวังหน้า  ทรงอุทิศพระราชมณเฑียรองค์หนึ่งถวายเป็นที่ประดิษฐานพระพุทธสิหิงค์ พระราชทานนามว่า พระที่นั่งพุทไธสวรรย์
    เมื่อกรมพระราชวังบวรสุรสิงหนาทสิ้นพระชนม์   ไม่มีผู้ปฏิบัติบูชา   พระบามสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าฯโปรดให้เชิญพระพุทธสิหิงค์เข้าไปประดิษฐานในพระอุโบสถวัดพระศรีรัตนศาสดาราม ในวังหลวง อยู่อย่างนั้นตลอดรัชกาลที่ 2และที่ 3  จนรัชกาลที่ 4 จึงโปรดให้อัญเชิญกลับวังหน้าเหมือนเดิม

ร.4 โปรดให้สมเด็จพระอนุชาธิราช พระบาทสมเด็จพระปิ่นเกล้าเจ้าอยู่หัว ทรงเชิญพระพุทธสิหิงค์จากวังหลวงกลับขึ้นไปไว้พระราชวังบวรฯ เมื่อ พ.ศ. 2394

ทรงพระราชดำริจะให้ไปประดิษฐานไว้เป็นพระประธานในวัดบวรสถานสุทธาวาส ซึ่งกรมพระราชวังบวรมหาศักดิพลเทพ(วังหน้าสมัย ร.3) ทรงสร้างไว้ในพระราชวังบวรฯ ทำนองอย่างวัดพระแก้ว วังหน้า


กระทู้: นิพพานวังหน้า
เริ่มกระทู้โดย: เทาชมพู ที่ 05 ส.ค. 13, 15:33
    ส่วนเรื่องนิ้วพระหัตถ์    ไม่รู้เหมือนกันว่าจริงๆเป็นอย่างไร   เพราะอาจารย์พิเศษ เจียจันทร์พงษ์  ผู้เชี่ยวชาญประวัติศาสตร์โบราณคดี กรมศิลปากร  อธิบายความในเพลงยาวนิพพานวังหน้า ว่าพระองค์เจ้ากัมพุชฉัตรทรงบันทึกว่าตอนนี้ ผู้ที่ต่อพระหัตถ์พระพุทธสิหิงค์ได้สำเร็จ คือพระบิดา  หมายถึงกรมพระราชวังบวรมหาสุรสิงหนาท
เห็นได้จากกลอนตอนนี้ค่ะ

    คือจอมหริวงศ์องค์ปิตุเรศ                      เรืองพระเดชต่อได้ดังใจหมาย
เทวทั่วพรหมโลกก็โปรยปราย                     กราบถวายบุบผาสาธุการ

   แต่จากคำยืนยันของอาจารย์พิเศษ   บอกว่าไม่เคยเห็นว่าพระพุทธสิหิงค์องค์ใดมีร่องรอยการซ่อมแซมที่พระหัตถ์เลย

  ส่วนจริงๆจะเป็นอย่างไรนั้น ฝากชาวเรือนไทยพิจารณากันต่อไปค่ะ


กระทู้: นิพพานวังหน้า
เริ่มกระทู้โดย: NAVARAT.C ที่ 05 ส.ค. 13, 15:43
อ้างถึง
แต่จากคำยืนยันของอาจารย์พิเศษ   บอกว่าไม่เคยเห็นว่าพระพุทธสิหิงค์องค์ใดมีร่องรอยการซ่อมแซมที่พระหัตถ์เลย


แปลว่าพระพุทธสิหิงค์วังหน้ามีหลายองค์หรือครับ


กระทู้: นิพพานวังหน้า
เริ่มกระทู้โดย: เทาชมพู ที่ 05 ส.ค. 13, 16:15
โธ่   มาถามอะไรกับคนไกลวัดล่ะคะ   :(

ครูกู๊กบอกว่า

พระพุทธรูปที่ทรงพระนามว่าพระพุทธสิหิงค์ ที่มีชื่อเสียงเป็นที่รู้จักกันมีอยู่ ๓ องค์ ๓ แห่ง คือ
พระพุทธสิหิงค์ องค์ที่ ๑ ประดิษฐานในพระที่นั่งพุทไธศวรรย์ พิพิธภัณฑ์สถานแห่งชาติ กรุงเทพมหานคร
พระพุทธสิหิงค์ องค์ที่ ๒ ประดิษฐานในวิหารลายคำ วัดพระสิงห์ จ.เชียงใหม่
พระพุทธสิหิงค์ องค์ที่ ๓ ประดิษฐานในหอพระพุทธสิหิงค์ ข้างศาลากลาง จ.นครศรีธรรมราช

คุณโรม บุนนาคเขียนไว้ว่า  ยังมีพระพุทธสิหิงค์ที่ตรัง  (ถูกขโมยไปแล้ว) และที่โคกขาม จ.สมุทรสาคร  ทุกองค์ได้รับการอ้างว่าเป็นองค์จริงทั้งสิ้น


กระทู้: นิพพานวังหน้า
เริ่มกระทู้โดย: เทาชมพู ที่ 05 ส.ค. 13, 16:18
(ต่อ)
โรม บุนนาค เขียนเรื่องการเดินทางของพระพุทธสิหิงค์ไว้ในหนังสือมิติลี้ลับสุดมหัศจรรย์ (สำนักพิมพ์สยามบันทึก) ว่า

ตำนานพระพุทธสิหิงค์ของโบราณ เล่ากันไว้หลายสำนวน สำนวนที่กล่าวขานกันมาก พระโพธิรังสี พระภิกษุแห่งล้านนา แต่งเป็นภาษาบาลีไว้ เมื่อ พ.ศ.1985 ศ.ร.ต.ท.แสงมนวิทูร แปลเป็นภาษาไทย กรมศิลปากรจัดพิมพ์ไว้ในเทศกาลสงกรานต์ พ.ศ.2506

พ.ศ.700 พระราชาสามองค์ พระอรหันต์ 20 องค์ และนาค 1 ตน ของลังกา ประชุมหารือกันสร้างพระพุทธปฏิมา (รูปจำลองของพระพุทธเจ้า) พระราชาและ พระอรหันต์ ติดขัดไม่มีผู้ใดเคยเห็นองค์จริงของพระพุทธองค์ แต่นาคซึ่งมีฤทธิ์บอกว่าเคยเห็น เนรมิตตนเป็นพระพุทธองค์นั่งขัดสมาธิบนบัลลังก์แก้ว

พระราชาสั่งให้ช่างปั้นหุ่นพระพุทธเจ้าด้วยขี้ผึ้ง  แล้วสั่งให้ช่างหล่อออกมา  ระหว่างการหล่อ ช่างคนหนึ่งทำไม่ถูกพระทัย พระราชาทรงตวัดหางกระเบนถูกนิ้วมือนายช่าง ผลจึงปรากฏว่าเมื่อหล่อออกมาเสร็จ นิ้วพระหัตถ์นิ้วหนึ่งขององค์พระมีตำหนิ

พระราชาหารือกันว่า จะซ่อมแซมนิ้วพระหัตถ์ พระพุทธปฏิมาเสียใหม่ แต่พระอรหันต์ทักท้วงว่า ในภายภาคหน้า พระพุทธรูปองค์นี้ จะไปอยู่ชมพูทวีป และจะลอยทวนน้ำขึ้นไปอยู่ต้นลำน้ำ พระราชาองค์หนึ่ง ในประเทศนั้น จะเป็นผู้ซ่อมแซมนิ้วพระหัตถ์องค์พระปฏิมาให้เรียบร้อยสมบูรณ์เอง

สามพระราชาคล้อยตาม สั่งให้ช่างขัดแต่งพระพุทธรูปจนงดงาม เนื่องจากพุทธลักษณ์ องค์พระปฏิมาเหมือนราชสีห์ จึงให้ขนานพระนามว่า พระพุทธสิหิงค์


กระทู้: นิพพานวังหน้า
เริ่มกระทู้โดย: เทาชมพู ที่ 05 ส.ค. 13, 16:19
อีก 800 ปีต่อมา พ.ศ.1500 มีพระราชาพระนามว่า ไสยรงค์ แปลว่า พระร่วงองค์ประเสริฐ ครองสมบัติกรุงสุโขทัย ปกครองดินแดนจากเหนือจนใต้ถึงเมืองนครศรีธรรมราช วันหนึ่งพระร่วงเสด็จไปถึงนครศรีธรรมราช ได้ทราบว่ามีพระพุทธปฏิมางดงามมาก อยู่ที่เกาะสิงหล พระร่วงส่งสาส์นไปขอ พระราชาสิงหลซึ่งรู้คำพยากรณ์ของ 20 พระอรหันต์ อยู่แล้ว จึงยินดีถวายให้

ตำนานเล่าตอนนี้ว่า เรือขบวนที่อัญเชิญพระพุทธสิหิงค์ แล่นจากสิงหลมานครศรีธรรมราช ระหว่างทางเกยหินโสโครกจมอยู่กลางทะเล ลูกเรือจมน้ำตายหมด แต่พระพุทธสิหิงค์ได้สำแดงปาฏิหาริย์ ลอยน้ำไปถึงเมืองนครศรีธรรมราช พระร่วงอัญเชิญต่อไปประดิษฐานไว้ยังกรุงสุโขทัย

สมัยพระมหาธรรมราชาที่ 4 (บรมปาล) กรุงสุโขทัยอ่อนแอ พระเจ้าอู่ทองแห่งกรุงศรีอยุธยายึดสุโขทัยได้ ส่งขุนหลวงพะงั่วไปครองสุโขทัย แต่ก็ทรงพระเมตตาให้พระมหาธรรมราชาที่ 4 มาครองพิษณุโลก พระมหาธรรมราชาที่ 4 อัญเชิญพระพุทธสิหิงค์ มาพิษณุโลกด้วย

จนเมื่อพระมหาธรรมราชาที่ 4 ทิวงคต พระเจ้าอู่ทองจึงอัญเชิญพระพุทธสิหิงค์มาไว้ที่กรุงศรีอยุธยา

ในช่วงเวลาที่พระพุทธสิหิงค์อยู่กรุงศรีอยุธยา พระเจ้าณาณดิส แห่งเมืองกำแพงเพชร วางแผนส่งแม่หลวงผู้เป็นพระราชมารดามาถวายพระเจ้าอู่ทอง ใช้อุบายอัญเชิญพระพุทธสิหิงค์ไปเมืองกำแพงเพชร เจ้ามหาพรหม ผู้ครองเมืองเชียงราย เกิดความอยากได้พระพุทธสิหิงค์ ยกทัพมาเจรจาหว่านล้อมกัน พระเจ้าญาณดิสก็ยอมถวายให้

เจ้ามหาพรหมก็อัญเชิญพระพุทธสิหิงค์ไปทำพิธีฉลอง ที่หัวเกาะดอนแทน กลางลำแม่น้ำโขง หน้าเมืองเชียงแสน

เนื่องจากพระพุทธสิหิงค์มีตำหนิที่นิ้วพระหัตถ์ เจ้ามหาพรหมจึงตัดนิ้วพระหัตถ์นั้น และซ่อมเสริมให้เรียบร้อยสมบูรณ์ด้วยทองคำ การซ่อมนิ้วพระหัตถ์ และที่ประดิษฐานเกาะดอนแท่น แม่น้ำโขง จึงสมตามคำทำนายของ 20 อรหันต์ เมื่อครั้งหล่อองค์พระที่ลังกา ทุกประการ


กระทู้: นิพพานวังหน้า
เริ่มกระทู้โดย: เทาชมพู ที่ 05 ส.ค. 13, 16:21
พระพุทธสิหิงค์ถูกยื้อไปแย่งมา  จนเมื่อ พ.ศ.2338 อยู่ที่เชียงใหม่ เมื่อสมเด็จกรมพระราชวังบวรฯ ยกทัพขึ้นไปช่วยเจ้าเชียงใหม่ที่ถูกพม่าล้อม ตีกองทัพพม่าแตกพ่ายไป ตอนกลับได้อัญเชิญพระพุทธสิหิงค์ลงมาไว้ที่กรุงรัตนโกสินทร์ ประดิษฐานไว้ที่พระราชวังบวร โดยทรงอุทิศพระราชมณเฑียรองค์หนึ่งถวาย พระราชทานนามว่า พระที่นั่งพุทไธสวรรย์

เมื่อกรมพระราชวังบวรสวรรคต พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าฯ โปรดให้อัญเชิญไปไว้ที่พระอุโบสถวัดพระศรีรัตนศาสดาราม จนถึงรัชกาลที่ 4 โปรดให้อัญเชิญกลับไปไว้ที่พระราชวังบวรตามเดิม ทรงดำริที่จะนำไปเป็นพระประธานในโบสถ์วัดพระแก้ววังหน้า ที่กรมพระราชวังบวรในรัชกาลที่ 3 สร้างไว้

แต่ขณะซ่อมแซมโบสถ์ มีการเขียนภาพตำนานพระพุทธสิหิงค์ไว้ที่ผนังโบสถ์ พระบาทสมเด็จพระปิ่นเกล้าเสด็จสวรรคตเสียก่อน พระพุทธสิหิงค์จึงยังคงประดิษฐานอยู่ที่พระที่นั่งพุทไธสวรรย์จนถึงวันนี้

ประเด็น พระพุทธสิหิงค์ องค์ไหนจริง องค์ไหนปลอม อาจารย์พิเศษ เจียรจันทร์พงษ์ ยืนยันว่าทุกองค์เป็นพระพุทธสิหิงค์จริง เพียงแต่ก็ทราบกันดีว่า พระพุทธสิหิงค์เชียงใหม่สร้างขึ้นที่ล้านนา พระพุทธสิหิงค์นครศรีธรรมราชสร้างที่ภาคใต้ ส่วนพระพุทธสิหิงค์ที่กรุงเทพฯสร้างขึ้นที่สุโขทัย

คำยืนยันของผู้รู้ขั้นสุดท้าย ไม่มีพระพุทธสิหิงค์องค์ไหนในประเทศไทย สร้างขึ้นที่เกาะลังกา.

                                                                           "บาราย"

ไทยรัฐออนไลน์
http://www.thairath.co.th/column/pol/kumpee/148454


กระทู้: นิพพานวังหน้า
เริ่มกระทู้โดย: NAVARAT.C ที่ 05 ส.ค. 13, 16:36
นึกว่ากรมศิลป์เองมีหลายองค์ เวลาอัญเชิญออกไปให้ประชาชนสรงน้ำตอนสงกรานต์ที่สนามหลวงเมื่อก่อนกระโน้น เขาว่าเป็นองค์จำลองอีกที แต่เหมือนเสียจนไม่ทราบว่าองค์ไหนเป็นองค์แท้ องค์ไหนจำลองน่ะครับ


กระทู้: นิพพานวังหน้า
เริ่มกระทู้โดย: เทาชมพู ที่ 05 ส.ค. 13, 16:48
มีอีกค่ะ
พระพุทธสิหิงค์ (จำลอง) เป็นพระพุทธรูปหล่อด้วยโลหะ หน้าตักกว้าง ๑.๒๐ เมตร สูง ๑.๖๒ เมตร พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ ๔ โปรดให้หล่อจำลองจากพระพุทธสิหิงค์ ซึ่งประดิษฐานอยู่ภายใน พระที่นั่งพุทไธสวรรค์ ในพระบวรราชวัง แต่ขยายให้ใหญ่กว่าองค์เดิม แล้วโปรดให้อัญเชิญไปประดิษฐานไว้ที่ซุ้มจระนำ ณ องค์พระปฐมเจดีย์ ด้านทิศตะวันออก


กระทู้: นิพพานวังหน้า
เริ่มกระทู้โดย: เทาชมพู ที่ 05 ส.ค. 13, 17:22
นึกว่ากรมศิลป์เองมีหลายองค์ เวลาอัญเชิญออกไปให้ประชาชนสรงน้ำตอนสงกรานต์ที่สนามหลวงเมื่อก่อนกระโน้น เขาว่าเป็นองค์จำลองอีกที แต่เหมือนเสียจนไม่ทราบว่าองค์ไหนเป็นองค์แท้ องค์ไหนจำลองน่ะครับ
อ้าว ! ข้อนี้ไม่รู้มาก่อนค่ะ
เมื่อก่อนกระโน้นคือยุคไหนคะ    ยุคนี้เห็นเวลาแถลงข่าว บอกว่าเป็นองค์จริงจากพระที่นั่งพุทไธสวรรย์

กรุงเทพฯ 12 เม.ย. - เช้าวันนี้ที่ พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ พระนคร ม.ร.ว.สุขุมพันธุ์ บริพัตร ผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร (กทม.) เป็นประธานในพิธีอัญเชิญพระพุทธสิหิงค์ พระพุทธรูปคู่บ้านคู่เมือง จากพระที่นั่งพุทไธสวรรย์ ขึ้นขบวนรถแห่เพื่อให้ประชาชนได้สรงน้ำและสักการะบูชาในช่วงเทศกาลสงกรานต์ โดยจะหยุดรถที่วงเวียนใหญ่ เวลา 10.00 น. ที่สวนสันติชัยปราการ เวลา 13.00 น. และบริเวณวัดชนะสงคราม ถนนข้าวสาร เวลา 14.00 น. จากนั้นเวลา 15.00 น.จะอัญเชิญพระพุทธสิหิงค์ไปประดิษฐาน ณ พระมณฑป บริเวณลานคนเมือง ศาลาว่าการ กทม. ซึ่งเป็นสถานที่จัดงาน “ยิ้มสุขใจ สงกรานต์ไทยชุ่มฉ่ำ”  ให้ประชาชนได้สักการะบูชาอย่างใกล้ชิดตลอดช่วงเทศกาลสงกรานต์จนถึงวันที่ 15 เมษายนนี้ หลังจากนั้นจึงอัญเชิญกลับพิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ เขตพระนคร
-สำนักข่าวไทย


กระทู้: นิพพานวังหน้า
เริ่มกระทู้โดย: NAVARAT.C ที่ 05 ส.ค. 13, 17:36
จากความจำนะครับ สมัยก่อนบ้านอยู่ไม่ไกลจากสนามหลวง ผมเคยไปสรงน้ำพระพุทธสิหิงค์อยู่หลายๆปี สังเกตุว่าผิวพรรณขององค์พระแตกต่างกัน เคยดูว่าเก่าแบบขลังๆ แต่ต่อมาหลังๆ(ตอนนั้น)ดูเอี่ยมขึ้น จะว่าจากการขัดสีฉวีวรรณก็ไม่ใช่ ถามเจ้าหน้าที่ที่เฝ้าอยู่แถวนั้น เขาบอกว่าคนละองค์กัน ระยะหลังๆที่เอาออกมาให้สรงน้ำที่สนามหลวงไม่ได้เอาของแท้มา เพราะไม่คุ้มเสี่ยงหากเกิดอะไรขึ้น ผมถามอย่างงั้นทุกปี บางคนก็ทำงงๆ บอกว่ามีองค์เดียว ไม่รู้จะเชื่อใครเลยนึกว่าอาจารย์พิเศษ จันทร์เจียพงศ์กล่าวอะไรที่ข้องอยู่ในใจผม


กระทู้: นิพพานวังหน้า
เริ่มกระทู้โดย: เทาชมพู ที่ 05 ส.ค. 13, 18:27
อ้อ อย่างนี้นี่เอง  ฟังแล้ว    เป็นไปได้ที่จะเป็นองค์จำลองนะคะ    เพราะไม่คุ้มจริงๆถ้าจะเกิดเหตุไม่บังควรขึ้นกับพระพุทธรูปองค์จริง

กลับมาเรื่องนิพพานวังหน้า
พระองค์เจ้ากัมพุชฉัตรไม่เห็นด้วยกับการกระทำของพระเชษฐาทั้งสองเอามากๆ   เพราะทรงยึดคำสั่งของพระบิดาให้ฝากตัวกับพระปิตุลา      เมื่อเกิดเรื่องกบฏ  จึงทรงตำหนิพระองค์เจ้าลำดวนและอินทปัตอย่างไม่ไว้เอาจริงๆจังๆ

เสียแรงที่เป็นชายชาติกำแหง                   หาญเสียแรงรู้รบสยบสยอน
เสียพระเกียรติมงกุฏโลกลือขจร                 เสียแรงรอนอรินราบทุกบุรี
เสียดายเดชเยาวเรศปิโยรส                     เสียยศบุตรพระยาไกรสรสีห์
เสียชีวิตผิดแพ้พระบารมี                         เสียทีทางกตัญญุตาจริง

พระองค์เจ้าหญิงกัมพุชฉัตรในตอนนั้นก็พระชันษา 17-18 ปี   แต่พระนิสัยที่แสดงออกมาทางพระนิพนธ์ แกล้วกล้าเกินหญิงสาว     ความรู้ทางหนังสือก็ดีมาก   ฝีมือแต่งบทกวีทั้งโคลง ร่ายและกลอน แสดงออกมาได้คล่องแคล่วจัดเจนเกินวัย  แสดงว่าคงคลุกคลีอยู่กับหนังสือมาหลายปี     น่าจะได้ทั้งสองอย่างนี้มาจากพระบิดา  
ขอเดาว่าน่าจะเป็นพระธิดาองค์โปรดองค์หนึ่งที่กรมพระราชวังบวรฯ คงทรงให้รับใช้ใกล้ชิด   จึงทรงรู้เกร็ดเรื่องโน้นเรื่องนี้ในวัง เกร็ดเรื่องวรรณคดีและประวัติศาสตร์  จะทยอยเล่าให้ฟังในโอกาสต่อไปค่ะ

เรื่องกบฏวังหน้า เห็นได้ชัดว่าพระองค์เจ้าหญิงกัมพุชฉัตร ว่ามิได้ทรงสงสัยเลยว่าพระเชษฐาถูกใส่ร้ายหรือมีใครหาเรื่องแกล้งยัดเยียดข้อหาให้    พอทราบเรื่องก็กริ้วและบริภาษทันที   แสดงว่าทรงรู้นิสัยกันมาก่อน ว่าพระเชษฐาทั้งสองเป็นคนทนงองอาจเกินตัว   คิดการใหญ่เกินเหตุ    ไม่ประมาณตนว่ายังไงก็สู้พระบารมีพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าไม่ได้  ข้อหลังนี้พระองค์หญิงทรงดูออก  จึงเห็นว่าทรงทำตัวกตัญญูรู้คุณเสียจะถูกต้องกว่า


กระทู้: นิพพานวังหน้า
เริ่มกระทู้โดย: เทาชมพู ที่ 05 ส.ค. 13, 20:56
    เพลงยาวเรื่องนี้อ่านยากหน่อยตรงที่เนื้อความวกไปวนมา  ไม่ได้เรียงลำดับเหตุการณ์ก่อนหน้าหลังให้อ่านง่าย   แต่ว่าชอบย้อนกลับไปในอดีตเป็นระยะ   ถ้าไม่มีประวัติศาสตร์เป็นตัวเทียบก็จะไม่เข้าใจเลยว่าผู้นิพนธ์เล่าถึงอะไรอยู่
    หลังจากเกิดเหตุกบฏวังหน้าแล้ว   ฝ่ายในของวังหน้าคือเจ้าจอมมารดาอีของพระองค์เจ้ากัมพุชฉัตร ก็โดนพระราชอาญาเข้าด้วย    ทรงเท้าความไปถึงเหตุบาดหมางระหว่างวังหลวงกับวังหน้า ก่อนที่กรมพระราชวังบวรฯสิ้นพระชนม์    วังหลวงสั่งเกณฑ์ชาวเขมรลากปืนขึ้นประจำป้อม    ทางวังหน้าก็เคลือบแคลงว่าวังหลวงยกปืนใหญ่เล็งมาทางวังหน้าทำไม  จึงทรงสั่งให้นักองค์อี เจ้าจอมมารดาของพระองค์เจ้ากัมพุชฉัตรซึ่งเป็นชาวเขมร ใช้ชาวเขมรไปสืบความที่วังหน้ากับพวกเขมรที่ประจำป้อมอยู่   ครั้นได้ความว่านำขึ้นใช้ยิงในพิธีตรุษ  ความคลางแคลงก็จบลง     
แต่ผู้เคราะห์ร้ายคือนักองอี   เพราะความทราบถึงสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าฯ ว่านักองอีใช้คนไปสืบความ  ก็พิโรธเป็นอันมาก    หลังจากกรมพระราชวังบวรฯสิ้นพระชนม์ เกิดกบฏวังหน้าให้วุ่นวายขึ้นมา    ก็เจ็บพระทัยเรื่องนี้มาก  จึงทรงรื้อฟื้นคดีเก่าเรื่องนักองอีขึ้นมาอีก   ให้ชำระความเรื่องนี้ด้วย
เคราะห์ร้ายตรงที่ขุนนางเขมรคนหนึ่งซึ่งเป็นข้าเก่าของพระอุไทยราชา พระบิดาของนักองอี  เกิดให้การซัดทอดนักองอีว่าเป็นผู้ยุยงกรมพระราชวังบวรฯให้ทำ   นักองอีก็เลยต้องพระราชอาญา ถูกจองจำพร้อมบ่าวไพร่

เรื่องนักองอีต้องโทษ  ไม่มีบันทึกอยู่ในประวัติศาสตร์หรือพระราชพงศาวดาร    มีแต่ในเพลงยาวนิพพานวังหน้า  ทำให้เห็นความวุ่นวายหลังกรมพระราชวังบวรฯ สิ้นพระชนม์ ว่าเรื่องราวในวังหน้าคงเป็นหนามยอกอกสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าฯ    กลายเป็นว่าเจ้านายวังหน้าหลายคนช่วยกันก่อเรื่องแก่วังหลวงไม่หยุดไม่หย่อน  มีมาตั้งแต่กรมพระราชวังบวรฯยังดำรงพระชนม์อยู่



กระทู้: นิพพานวังหน้า
เริ่มกระทู้โดย: เทาชมพู ที่ 06 ส.ค. 13, 15:59
      ในบรรดากบฏวังหน้าที่ถูกจับและจองจำเพื่อรอประหารชีวิต มีเจ้าจอมวันทาของกรมพระราชวังบวรฯรวมอยู่ด้วย      เมื่อพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าฯทรงสอบสวนให้ละเอียดเพื่อความรอบคอบ   เจ้าจอมวันทาก็เลยรับสารภาพ ด้วยเห็นว่าไหนๆจะตายแล้วก็ขอให้การเป็นสัจจะ ว่านักองอีมิได้เป็นผู้ยุแยงกรมพระราชวังบวรฯ         ผลก็คือนักองอีหลุดพ้นจากข้อหา  โปรดประทานเบี้ยหวัดให้ดังเดิม   

   เกร็ดเล็กๆเหล่านี้ประวัติศาสตร์ไม่ได้บันทึกไว้      รวมทั้งเกร็ดบางเรื่องด้วย ที่เคยเกริ่นไว้ตอนต้นกระทู้   คือพระโรคของกรมพระราชวังบวรฯ   พงศาวดารบันทึกว่าประชวรด้วยพระโรคนิ่ว     แต่ในนิพพานวังหน้าบอกไว้ชัดเจนว่า พระโรคที่ทรมานพระองค์ท่านอยู่คือวัณโรค 

  พระวัณโรครึงรนไม่ทนทาน                         ทรมานนานเนิ่นก็เกินแรง

  สาเหตุที่สิ้นพระชนม์เร็วก็เพราะทรงปฏิเสธไม่เสวยพระโอสถทั้งหมด  เพราะเห็นว่ามีแต่จะเหนี่ยวรั้งให้ทรงทรมานกับพระโรคนานเกินไป      กรมพระราชวังบวรฯทรงทราบล่วงหน้าว่าจะมีพระชนม์อยู่อีกไม่กี่วัน จึงเตรียมพระองค์พร้อมสำหรับสู่สวรรคาลัย    แล้วก็สิ้นพระชนม์จริงๆดังพระประสงค์

   วัณโรคเป็นโรคที่น่ากลัวมากในสมัยโบราณ เพราะเป็นแล้วตายสถานเดียว ไม่มียารักษา     ที่สงสัยอยากจะถามผู้รู้ในเรือนไทยก็คือทำไมคนโบราณเป็นวัณโรคกันมาก  ในเมื่ออากาศสมัยโน้นก็สะอาด  ปราศจากมลพิษ สภาพแวดล้อมก็ใกล้ชิดธรรมชาติ  ไม่มีสารเคมี   ดีกว่าสมัยนี้อย่างเทียบกันไม่ได้


กระทู้: นิพพานวังหน้า
เริ่มกระทู้โดย: Rangson Boontham ที่ 06 ส.ค. 13, 21:41
นึกว่ากรมศิลป์เองมีหลายองค์ เวลาอัญเชิญออกไปให้ประชาชนสรงน้ำตอนสงกรานต์ที่สนามหลวงเมื่อก่อนกระโน้น เขาว่าเป็นองค์จำลองอีกที แต่เหมือนเสียจนไม่ทราบว่าองค์ไหนเป็นองค์แท้ องค์ไหนจำลองน่ะครับ
อ้าว ! ข้อนี้ไม่รู้มาก่อนค่ะ
เมื่อก่อนกระโน้นคือยุคไหนคะ    ยุคนี้เห็นเวลาแถลงข่าว บอกว่าเป็นองค์จริงจากพระที่นั่งพุทไธสวรรย์

กรุงเทพฯ 12 เม.ย. - เช้าวันนี้ที่ พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ พระนคร ม.ร.ว.สุขุมพันธุ์ บริพัตร ผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร (กทม.) เป็นประธานในพิธีอัญเชิญพระพุทธสิหิงค์ พระพุทธรูปคู่บ้านคู่เมือง จากพระที่นั่งพุทไธสวรรย์ ขึ้นขบวนรถแห่เพื่อให้ประชาชนได้สรงน้ำและสักการะบูชาในช่วงเทศกาลสงกรานต์ โดยจะหยุดรถที่วงเวียนใหญ่ เวลา 10.00 น. ที่สวนสันติชัยปราการ เวลา 13.00 น. และบริเวณวัดชนะสงคราม ถนนข้าวสาร เวลา 14.00 น. จากนั้นเวลา 15.00 น.จะอัญเชิญพระพุทธสิหิงค์ไปประดิษฐาน ณ พระมณฑป บริเวณลานคนเมือง ศาลาว่าการ กทม. ซึ่งเป็นสถานที่จัดงาน “ยิ้มสุขใจ สงกรานต์ไทยชุ่มฉ่ำ”  ให้ประชาชนได้สักการะบูชาอย่างใกล้ชิดตลอดช่วงเทศกาลสงกรานต์จนถึงวันที่ 15 เมษายนนี้ หลังจากนั้นจึงอัญเชิญกลับพิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ เขตพระนคร
-สำนักข่าวไทย

ขออนุญาตเสริมครับ ครั้งหนึ่งไปกราบพระพุทธสิงหิงค์ที่วังหน้า เห็นเจ้าหน้าที่กำลังขยับโต๊ะหมู่บูชาหน้าพระแท่นบุษบก สอบถามดูได้ความว่าจะอัญเชิญไปประดิษฐานที่ท้องสนามหลวงครับ ไม่อยากเชื่อว่าจะเชิญองค์จริงไปให้สรงน้ำกัน เพราะน้ำอบน้ำปรุงอาจส่งผลต่อองค์พระได้  ::) แต่ก็ได้ความว่าอย่างนั้นครับ
นำภาพพระพุทธสิงหิงค์จำลอง ประดิษฐาน ณ หอพระพุทธสิงหิงค์ จ.ชลบุรี มาฝากครับ  :)


กระทู้: นิพพานวังหน้า
เริ่มกระทู้โดย: siamese ที่ 07 ส.ค. 13, 07:32
พระพุทธสิหิงค์ อัญเชิญองค์จำลอง ครับ ตามเฟสบุ๊คของพิพิธภัณฑ์สถานแห่งชาติ


กระทู้: นิพพานวังหน้า
เริ่มกระทู้โดย: siamese ที่ 07 ส.ค. 13, 07:35
ในอดีตสมัยที่ อ. Navarat.c คงได้สรงน้ำองค์จริง

ภาพการอัญเชิญพระพุทธสิงหิงค์ องค์จริง ออกมาสรงน้ำ เมื่อ พ.ศ. ๒๔๙๓

ภาพจากเฟสบุ๊คพิพิธภัณฑ์สถานแห่งชาติ พระนคร


กระทู้: นิพพานวังหน้า
เริ่มกระทู้โดย: NAVARAT.C ที่ 07 ส.ค. 13, 08:27
ขอบคุณคุณหนุ่มสยามนะครับ ที่ช่วยทำให้ผมโล่งใจขึ้นนิดนึงว่าความจำเก่าๆยังพอใช้ได้อยู่ แปลกนะ พออายุมากขึ้น ความจำก็เริ่มเสื่อม โดยเฉพาะเรื่องใหม่ๆ แปร๊บเดียวก็นึกไม่ออกแล้ว แต่ความจำเก่าๆนี้ หลายเรื่องมันยังชัดแจ๋วอยู่

แต่ก็ไม่แน่ไม่นอนเหมือนกัน ไอ้ที่ชัดๆน่ะ อาจผิดอาจเพี้ยนก็ได้

เท่าที่จำได้อีกนะครับ คือประชาชนสามารถไปสรงน้ำได้ถึงองค์ จึงติดตาว่าพระพุทธสิหิงส์องค์แท้นั้นออกสีทองคำเก่าชัดเจน ไปทางแดงๆไม่ใช่เหลือง มีคราบคล้ายจะรานๆหน่อยๆด้วย องค์ที่ผมรู้สึกว่าไม่ใช่นั้นจะผิวจะออกวาวๆ มองแล้วรู้ว่าอายุไม่ถึงโบราณวัตถุ


กระทู้: นิพพานวังหน้า
เริ่มกระทู้โดย: NAVARAT.C ที่ 07 ส.ค. 13, 09:11
ขออนุญาตนะครับ ไม่เกี่ยวกับหัวข้อเท่าไหร่ แต่หวังว่าจะไม่ทำให้กระทู้ออกทะเลนะครับ

ไหนๆก็พูดกันถึงเรื่องพระพุทธรูป ผมก็อยากจะให้ชมพระพุทธรูปโบราณพุทธศิลป์แบบสุโขทัย ขนาดเท่าๆกับพระพุทธสิหิงส์ ที่งามที่สุดในสายตาของผม คือหลวงพ่อเหลือ วัดพระศรีรัตนมหาธาตุ พิษณุโลก ที่องค์พระพุทธชินราช ประดิษฐานอยู่นั่นแหละครับ

รูปนี้ผมถ่ายมาเอง ดูที่พระพักตร์สิครับ ยิ่งดูยิ่งซึ้ง


กระทู้: นิพพานวังหน้า
เริ่มกระทู้โดย: NAVARAT.C ที่ 07 ส.ค. 13, 09:14
ตำนานกล่าวว่าหลังจากเททองสร้างพระพุทธชินราชและพระพุทธชินสีห์แล้ว ทองที่เตรียมไว้ยังเหลืออยู่ จึงได้สร้างพระขึ้นมาอีกหนึ่งองค์ ชื่อว่าพระเหลือ แล้วสร้างวิหารเล็กๆให้ประดิษฐานที่ลานโพธิ์ด้านหน้าของพระวิหารพระพุทธชินราช

คนไปกราบไหว้หลวงพ่อเหลือเพราะเชื่อว่าชื่อของท่านเป็นมงคลที่จะยังให้ผู้ที่ไปบูชาขอพรเหลือกินเหลือใช้ ส่วนที่จะไปดื่มด่ำความงามเพื่อชำระจิตใจให้ถึงพร้อมที่จะรำลึกถึงพระคุณของพระพุทธเจ้าเป็นปฐมปรารถนา คงจะมีไม่เท่าไหร่
 
ถ้าท่านมีโอกาส ควรจะได้ไปสักการะ จะเพื่อประสงค์สิ่งใดก็ตามอัธยาศัยนะครับ


กระทู้: นิพพานวังหน้า
เริ่มกระทู้โดย: เทาชมพู ที่ 07 ส.ค. 13, 09:57
ขออนุญาตนะครับ ไม่เกี่ยวกับหัวข้อเท่าไหร่ แต่หวังว่าจะไม่ทำให้กระทู้ออกทะเลนะครับ

ตามสบายค่ะ    แยกซอยบ้างก็ได้ จะได้อ่านเพลินๆหลายทิศทาง ไม่เครียด

พระพุทธรูปโบราณสมัยอยุธยาที่งดงามมีอยู่อีกมาก  ควรแก่การเคารพบูชา เพื่อน้อมนำจิตใจสงบนิ่งอยู่ในพระรัตนตรัย  ขึ้นกับว่าพวกเราจะค้นพบหรือเปล่าเท่านั้น
อย่างองค์นี้ พระพักตร์และพระกายงามได้สัดส่วนตามแบบศิลปะเมื่อปฏิสังขรณ์แล้ว  อยู่ไม่ไกล  แค่ปราจีณบุรีเท่านั้นเอง


กระทู้: นิพพานวังหน้า
เริ่มกระทู้โดย: NAVARAT.C ที่ 07 ส.ค. 13, 10:16
เห็นด้วยครับ ของดีในเมืองไทยยังถูกทอดทิ้งอีกมาก พระพุทธรูปองค์นี้ ต้องขอฝากให้คนปราจีนช่วยดูแลรักษาด้วยนะครับ


กระทู้: นิพพานวังหน้า
เริ่มกระทู้โดย: เทาชมพู ที่ 07 ส.ค. 13, 10:32
กลับมาเรื่องนิพพานวังหน้า

เรื่องนิพพานวังหน้าไม่เป็นที่รู้จัก  ไม่ได้รับสนใจของนักวรรณคดีและประวัติศาสตร์มากเท่าที่ควร  เพราะเป็นเรื่องอ่านยาก เรียกได้ว่าครบถ้วนทุกประการของความยาก  เช่นใช้คำขยายฟุ่มเฟือยมาก เป็นคำแปลกๆ จนบางบทก็อ่านไม่รู้เรื่อง    ไม่ได้เรียงลำดับเหตุการณ์  เขียนย้อนไปย้อนมา ยังมีเกร็ดเล็กเกร็ดน้อย เช่นเรื่องวรรณคดีบ้างประวัติศาสตร์บ้างปะ ปนเข้ามาทุกที่ ตามพระทัยผู้นิพนธ์ ให้อ่านยากหนักเข้าไปอีก
พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าฯ ทรงเห็นข้อนี้  จึงมีพระราชวิจารณ์ไว้ว่า

" ท่านผู่้แต่งไม่ทราบอักขรวิธี    เขียนด้วยความลำบาก    หาอะไรต่ออะไรบรรทุกลงไป  เพื่อจะสำแดงเครื่องหมายให้เข้าใจคำที่หวังจะกล่าว      จึงไม่เป็นการง่ายแก่ผู้ที่จะอ่าน   ถ้าจะอ่านตามตัว แทบจะไม่ได้ข้อความเท่าใด  จำจะต้องเดาอ่าน    แต่ถึงเดาอ่านดังนั้น  ยังจะกลั้นหัวเราะไม่ได้    ไปขันเสียในถ้อยคำที่จดลงไว้บ้าง    เบื่อคำครวญครางซ้ำซากให้ชวนพลิกข้ามไปเสียบ้าง   ไม่ใคร่จะได้ข้อความครบถ้วน"


กระทู้: นิพพานวังหน้า
เริ่มกระทู้โดย: siamese ที่ 07 ส.ค. 13, 10:48
ขอบคุณคุณหนุ่มสยามนะครับ ที่ช่วยทำให้ผมโล่งใจขึ้นนิดนึงว่าความจำเก่าๆยังพอใช้ได้อยู่ แปลกนะ พออายุมากขึ้น ความจำก็เริ่มเสื่อม โดยเฉพาะเรื่องใหม่ๆ แปร๊บเดียวก็นึกไม่ออกแล้ว แต่ความจำเก่าๆนี้ หลายเรื่องมันยังชัดแจ๋วอยู่

คุณเพ็ญฯ ไปญี่ปุ่นแวะซื้อแปะก๊วย มาฝากคุณ Navarat.C สักตัน ...อิอิ


กระทู้: นิพพานวังหน้า
เริ่มกระทู้โดย: NAVARAT.C ที่ 07 ส.ค. 13, 10:50
โฮ้ย ที่บ้านมีเยอะ จะกิน ๆ แต่ลืมทุกที


กระทู้: นิพพานวังหน้า
เริ่มกระทู้โดย: เทาชมพู ที่ 07 ส.ค. 13, 10:54
ความยากอีกอย่างคือ อ่านๆไปเจอคำพรรณนาเข้า  โดยไม่บอกว่าใคร เรื่องอะไร ที่ไหน ทำไม      เพราะท่านผู้นิพนธ์เองเมื่อเขียนเรื่องนี้ก็คงไม่ได้คิดเผยแพร่  อาจจะเอาไว้อ่านเอง  หรืออย่างมากก็อ่านกันสองสามคนที่ใกล้ชิด ไม่ได้เผื่อแผ่คนอ่านอีกสองร้อยปีหลังจากนั้นให้รู้เรื่องไปด้วย
เผอิญเรื่องนี้เหลือรอดกาลเวลามาได้  เรื่องส่วนตัวจึงกลายเป็นปริศนาให้ต้องตีความ    บางตอนอ่านแล้วก็ตาเหลือก อึ้งไปพักใหญ่   ไม่รู้จะตีความยังไง  บรรดาครูบาอาจารย์แถวหน้าที่เคยอ่านเรื่องนี้ก็ข้ามกันไป ไม่ได้พูดถึง  เหลือครูแถวหลังในเว็บเรือนไทยต้องมานั่งกอดเข่าตีความเอง

ตอนหนึ่งก็คือ หลังจากทรงเล่าเรื่องนักองอีว่าจบลงด้วยดี  ก่อนวันจะเชิญพระบรมศพกรมพระราชวังหน้าขึ้นถวายพระเพลิง     ท่านก็บรรยายอารมณ์วิปโยคที่จะต้องพลัดพรากจากคนรักขึ้นมา    ไม่ได้ให้รายละเอียดว่า ทำไมต้องจากกัน   จากไปไหน  และคนรักที่อาลัยอาวรณ์กันใจจะขาดนั้นเป็นใคร

ยิ่งยลมิตรคิดอาลัยใจจะขาด                    แสนสวาทหวั่นหวามถึงทรามสงวน
จึงกุมกรช้อนคู่ประคองชวน                     ถนอมนวลนุชขึ้นบนเพลาตรอม
เจ้าซบพักตร์ลงกับตักทั้งสะอื้น                 ทั้งเที่ยงคืนเปลี่ยนให้สไบหอม
ไหนจะโศกถึงพระมิ่งมงกุฏจอม                 ไหนจะผอมเพื่อนยากจะจากวัง

คำพรรณนาทุกข์ที่จากคนรัก  ถ้าคนเขียนเป็นสุนทรภู่หรือนายมีก็ไม่แปลกอะไร    เพราะกวีทั้งหลาย เมื่อต้องจากนางผู้เป็นที่รักก็รำพันอาลัยใจจะขาดกันทั้งนั้น  
แต่นี่...คนเขียนคือพระองค์เจ้าหญิงกัมพุชฉัตร    ท่านอาลัย "นาง" เป็นไปได้ยังไง?


กระทู้: นิพพานวังหน้า
เริ่มกระทู้โดย: NAVARAT.C ที่ 07 ส.ค. 13, 11:03
ยุ่งแล้ว


กระทู้: นิพพานวังหน้า
เริ่มกระทู้โดย: เทาชมพู ที่ 07 ส.ค. 13, 11:09
ถึงว่าซีคะ


กระทู้: นิพพานวังหน้า
เริ่มกระทู้โดย: เทาชมพู ที่ 07 ส.ค. 13, 11:41
อ่านครั้งแรก   เห็นมีบทอุ้มขึ้นนั่งตัก   ก็นึกแก้ตัวให้ว่าอาจทรงหมายถึงพระองค์เจ้าหญิงวงศ์มาลาพระขนิษฐาร่วมเจ้าจอมมารดา วัย 10 ขวบ  แต่อ่านต่อ  มีบทอีโรติคเปลี่ยนสไบให้เสียด้วย   ก็ชัวร์ว่าไม่ใช่เด็ก 10 ขวบซึ่งยังไม่โกนจุกจึงยังสวมเสื้อ ไม่ห่มสไบแน่ๆ
คำพรรณนารำพันอาลัยรักยาวเหยียดหลายบท  บางบทแต่งเป็นกลบทครอบจักรวาลเสียด้วย แสดงถึงฝีมือผู้แต่ง และความตั้งพระทัยบรรจงจะแต่งกลอนพรรณนาในส่วนนี้

กลบทครอบจักรวาล บังคับคำแรกในวรรคให้ซ้ำเสียง(และรูป)กับคำหลังสุดของวรรค

โฉมวิไลล้ำนางสำอางโฉม                          ไขแขเด่นโพยมเด่นแขไข
ไกลรักเรียมยิ่งรานด้วยการไกล                      นวลโหยนำพี่ไห้เมื่อสั่งนวล
สายเนตรชลนัยน์ไม่ขาดสาย                        หวนกระหายนึกนุชคะนึงหวน
จวนอรุณส่องฟ้าเวลาจวน                           กันแสงหวนทนทุกข์ที่จากกัน


กระทู้: นิพพานวังหน้า
เริ่มกระทู้โดย: เทาชมพู ที่ 07 ส.ค. 13, 12:18
เมื่ออ่าน  นึกว่า...น่ากลัวตัวเราจะอ่านผิดเสียแล้ว  คนแต่ง "นิพพานวังหน้า" ต้องเป็นชายหนุ่ม   ไม่ใช่หญิงสาว      ถ้าไม่ใช่พระองค์เจ้าหญิงกัมพุชฉัตรก็ต้องเป็นพระองค์เจ้าชายก้อนแก้วหรือพระองค์เจ้าช้างองค์ใดองค์หนึ่ง    เพราะพระอนุชาที่รองลงไปจากนี้ก็ยังพระชันษาน้อยๆกันทั้งนั้น    ยังไม่เข้าขั้นแต่งกาพย์กลอนโคลงฉันท์ได้คล่อง และเขียนงานนิพนธ์อย่างผู้หลักผู้ใหญ่

แต่ย้อนกลับไปอ่านอีกที   เมื่อผู้นิพนธ์ทรงเท้าความถึงคดีนักองอี ถูกกรมพระราชวังบวรฯทรงใช้ให้ไปสืบลาดเลาวังหน้าเอาปืนใหญ่ขึ้นตั้งบนป้อมกำแพง  ทรงเรียกนักองค์อีว่า "มาตุรงค์"  ความก็บอกชัดๆว่า ท่านเป็นพระองค์เจ้าอันประสูติแต่นักองอี     นักองอีท่านมีแต่พระธิดา ไม่มีพระโอรส     คนแต่งเรื่องนี้จึงเป็นใครไม่ได้นอกจากพระองค์เจ้าหญิงกัมพุชฉัตร

เมื่อหลักฐานชี้ว่าเป็นพระองค์เจ้าหญิงกัมพุชฉัตร    หลักฐานอีกแห่งก็ชี้เหมือนกันว่า ผู้นิพนธ์มีสัมพันธ์รักกับสาวงามในวังหน้าอย่างคนรัก ขั้นอยู่ร่วมห้องกันด้วยซ้ำ  อย่างกลอนข้างล่างนี้บอกว่าอยู่ด้วยกันทั้งคืน

พี่รับขวัญขวัญน้องอย่าหมองโฉม                 ปลอบประโลมจนแจ้งปัจจุสมัย

คำถามก็คือ ถ้าเป็นพระองค์เจ้าชายวังหน้ากับหม่อมสาวๆของท่าน   จะต้องจากกันด้วยเหตุอันใด    นอกจากพระองค์เจ้าลำดวนและอินทปัตแล้ว  เจ้าวังหน้าอื่นๆที่ไม่เกี่ยวข้องกับกบฏวังหน้าก็ไม่โดนพระราชอาญาแต่อย่างใด    ยังอยู่กันได้ตามปกติ


กระทู้: นิพพานวังหน้า
เริ่มกระทู้โดย: เทาชมพู ที่ 07 ส.ค. 13, 14:02
อ้างถึง
ไหนจะโศกถึงพระมิ่งมงกุฏจอม                 ไหนจะผอมเพื่อนยากจะจากวัง

กลอนวรรคหลัง น่าจะเป็นกุญแจไขปัญหาว่า ทำไมหนึ่งองค์กับหนึ่งนางที่ว่านี้ต้องจากกัน หลังจากกรมพระราชวังบวรฯสิ้นพระชนม์   วันที่จากกันก็มีกำหนดว่า เป็นวันหลังจากมีพระราชพิธีถวายพระเพลิงพระศพแล้ว
ธรรมเนียมในยุครัตนโกสินทร์มีอยู่ว่า เมื่อวังหน้าสิ้นพระชนม์ไป     บุคคลที่ต้องประสบความเปลี่ยนแปลงโยกย้ายคือข้าราชบริพาร   ขุนนางวังหน้าจะต้องย้ายไปสังกัดวังหลวง      เป็นอย่างนี้ทุกรัชกาล   ส่วนเจ้านายวังหน้าฝ่ายหน้าก็ยังประทับอยู่ในวังขององค์เองตามปกติ  เจ้านายฝ่ายในก็ยังอยู่ในวังหน้าเหมือนเดิม    จนถึงรัชกาลที่ 5  เมื่อสิ้นกรมพระราชวังบวรวิชัยชาญ  หลังจากนั้นพระเจ้าอยู่หัวจึงโปรดให้เจ้านายฝ่ายในของวังหน้าที่เหลือน้อยองค์แล้ว ย้ายไปประทับรวมกับเจ้านายฝ่ายในของวังหลวง

ชาววังหน้าอีกพวกหนึ่งที่ต้องย้ายเมื่อสิ้นเจ้านาย  คือบรรดานางในที่มิได้เป็นเจ้าจอม     ฝ่ายเจ้าจอมในรัชกาลที่ 1-3  ยังคงอยู่ในวังตามเดิม  จนถึงรัชกาลที่ 4 จึงโปรดให้ออกจากวัง กลับไปอยู่กับญาติพี่น้องหรือมีสามีใหม่ได้ หากว่าไม่มีพระองค์เจ้า     แต่นางในอย่างนางข้าหลวง หรือพนักงานหญิงทั้งหลาย (ซึ่งอยู่ในเกณฑ์ที่จะขึ้นเป็นเจ้าจอมหม่อมห้ามได้   หากยังมิได้เป็น)   เมื่อไม่มีเจ้านาย   พ่อแม่ก็สามารถมารับกลับไปอยู่บ้าน  เพื่อจัดการให้ออกเรือนมีสามีไปให้เป็นฝั่งเป็นฝา   เพราะไม่มีเจ้านายเป็นที่พึ่งแล้ว

ดิฉันจึงสันนิษฐานว่า "แฟน"ของผู้นิพนธ์  คือนางในที่มิใช่เจ้าจอม    อยู่ในวังหน้ามาได้เพื่อทำหน้าที่สักอย่างตามความรับผิดชอบ จนเสร็จงานพระราชพิธี     หมดหน้าที่แล้ว ก็ต้องออกจากวังกลับไปบ้านพ่อแม่      ไม่มีทางหลีกเลี่ยง
ด้วยเหตุนี้ จึงล่ำลาอาลัยอาวรณ์กันหนักหนา     ผู้นิพนธ์ยังต้องอยู่ในวังหน้าต่อไป ออกไปไหนไม่ได้  เพราะเป็นเจ้านายฝ่ายใน   ส่วนอีกฝ่ายก็ต้องกลับออกไปอยู่บ้าน   ไม่มีโอกาสอยู่ร่วมกันอีก


กระทู้: นิพพานวังหน้า
เริ่มกระทู้โดย: trijava ที่ 07 ส.ค. 13, 14:37
สวัสดีครับ ตามอ่านมานานครับ ไม่เคยเข้ามาร่วมพูดคุยเลย  ขออนุญาต อจ.เทาชมพู เลี้ยวกลับเข้า เรื่องพระสิหิงค์วังหน้า ครับ
พอดีเจอข้อมูล เรื่องการซ่อมนิ้วพระ  พร้อมรูปถ่าย ร่องรอยการซ่อมนิ้วชัดเจน เลยนำมาฝากกันครับ

นิ้วพระหัตถ์พระพุทธสิหิงค์
ตามตำนานพระพุทธสิหิงค์ ของพระโพธิรังษี ได้กล่าวถึงเหตุการณ์ตอนหล่อพระพุทธสิหิงค์ว่ามีพระราชาองค์หนึ่งทรงพระพิโรธหวดไม้มีนทัณฑ์ถูกนิ้วมือนายช่างหล่อคนหนึ่งซึ่งไม่สามารถทำตามพระอนุมัติของพระองค์ได้ พระพุทธสิหิงค์เมื่อหล่อสำเร็จจึงมีนิ้วพระหัตถ์นิ้วหนึ่งชำรุด พระอรหันต์ ๒๐ รูป ที่อยู่ในที่นั้นได้ทำนายไว้ดังนี้
“ไปภายหน้าพระพุทธรูปนี้จะเสด็จสู่ชมพูทวีป เมื่อพระพุทธรูปจะไปนั้นก็จะไปโดยสายน้ำพัดทวนกระแสขึ้นไปเหนือน้ำจนถึงที่สุดแดนน้ำในประเทศนั้น จะมีพระราชาองค์หนึ่งทรงศรัทธาอุปถัมภ์บำรุงพระพุทธรูปนี้ และพระราชานั้นจะตัดนิ้วพระหัตถ์พระพุทธรูปนี้ออกเสียแล้วทำให้บริสุทธิ์ดีขึ้น...”
ซึ่งตามตำนานพระพุทธสิหิงค์ ของพระโพธิรังษี ผู้ที่แก้นิ้วพระหัตถ์พระพุทธสิหิงค์นั้น คือ ท้าวมหาพรหม พระอนุชาของพระเจ้ากือนา ในช่วงต้นพุทธศตวรรษที่ ๒๐
หากสังเกตนิ้วอังคุฐพระหัตถ์ขวา (นิ้วหัวแม่มือขวา) จะเห็นความแตกต่างระหว่างพื้นผิวที่เรียบกับขรุขระได้อย่างชัดเจน


จาก FB พิพิธภัณฑ์สถานแห่งชาติ   ครับ


กระทู้: นิพพานวังหน้า
เริ่มกระทู้โดย: เทาชมพู ที่ 07 ส.ค. 13, 17:16
เห็นภาพข้างบนชัดค่ะ ว่านิ้วพระหัตถ์แตกต่างจากพระหัตถ์
แต่ก็แปลกใจว่า  ถ้างั้นส่วนที่กรมพระราชวังบวรฯทรงต่อให้สมบูรณ์ได้คือส่วนไหน  
ถ้าหากว่านิ้วพระหัตถ์ถูกต่อมาตั้งแต่สมัยพุทธศตวรรษที่ 20  โดยท้าวมหาพรหม    ก็มีคำถามว่า
1  น่าจะดูเก่ากว่านี้     นี่ดูใหม่
2  มาชำรุดหักไปต้องต่อใหม่อีกหรืออย่างไร

ในหนังสือ เขียนไว้ว่า
คือจอมหริวงศ์องค์บิตุเรศ                            เรืองพระเดชต่อได้ดังใจหมาย
เทวะทั่วพรหมโลกก็โปรยปราย                      กราบถวายบุปผาสาธุการ


กระทู้: นิพพานวังหน้า
เริ่มกระทู้โดย: ประกอบ ที่ 07 ส.ค. 13, 17:25
โฮ้ย ที่บ้านมีเยอะ จะกิน ๆ แต่ลืมทุกที

ระดับซายานวรัตน แปะก๊วยมันธรรมดาไป  สงสัยต้องถั่งเช่าน่าจะเหมาะกว่าครับ  เซนเซเพ็ญอาจต้องแวะเมืองจีนก่อน ไม่ก็ฝากคุณฮาบินซื้อ  :-X  :-X  :-X


กลับมาที่พระพุทธสิหิงห์ ถ้าดูตามศิลปะขององค์พระ น่าจะสร้างแถวๆ ภูมิภาคนี้นี่เองมากกว่าแล้วก็อยู่ในช่วงสุโขทัยหรืออยุธยา  ไม่น่าจะมาจากลังการึเปล่าครับ


กระทู้: นิพพานวังหน้า
เริ่มกระทู้โดย: เทาชมพู ที่ 07 ส.ค. 13, 17:31
    เกร็ดเล็กเกร็ดน้อยในเหตุการณ์ที่พระองค์หญิงกัมพุชฉัตรเล่าไว้  บางเรื่องก็ต้องสารภาพว่าไม่เข้าใจ     เพราะไม่ได้ทรงอธิบายแจ่มแจ้ง   อย่างเช่นเรื่องพระศพกรมพระราชวังบวรฯ เมื่อเผาไหม้เหลือแต่พระอัฐิแล้ว  จะนำไปลอยในแม่น้ำ   พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าฯ ทรงเห็นพระอัฐิเป็นสีคล้ำ ก็ระคายพระทัย

    อันสมเด็จบิตุลาฝ่าพระบาท                              อยู่เหนืออาสน์บัลลังก์แก้วเกิดสนอง
  พระทรงโศกวิโยคถึงฝ่าละออง                             ยลหมองอัฐิคล้ำจำระคาย

   ข้อนี้เห็นทีจะเป็นเรื่องใหญ่ไม่ใช่เล่นเหมือนกัน    พระองค์หญิงกัมพุชฉัตรจึงทรงย้ำไว้ในอีกที่หนึ่งว่า  พระอัฐิของกรมพระราชวังบวรฯที่เป็นสีคล้ำ (แสดงว่าผิดปกติ) ทำให้พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าฯ ไม่พอพระทัย กริ้วมาถึงเหล่าสนมและพระญาติพระวงศ์วังหน้า

    แต่ซึ่งทรงพระวิตกตรอมถวิล                                              เพราะนรินทร์แรมพงศ์อดิศร
  พระอัฐิคล้ำสีฉวีวร                                                           จึงเคียดแค้นค้อนสนมบรมวงศ์

    ยังไม่เข้าใจเหมือนกันว่า พระอัฐิกรมพระราชวังบวรฯที่เป็นสีคล้ำ  แสดงถึงการผิดปกติทำนองไหน  ถูกวางยาพิษ หรือว่าทรงได้รับการดูแลรักษาไม่ดี     พระเจ้าอยู่หัวจึง "เคียดแค้น" มาถึงเจ้านายและพระสนมของวังหน้า     
   พระองค์เจ้ากัมพุชฉัตรมิได้เล่าว่า เมื่อพระเจ้าอยู่หัวไม่พอพระทัยแล้ว  โปรดให้สอบสวนชำระความเอาผิดกับเจ้านายวังหน้าอย่างไรบ้าง      เหตุการณ์ตอนนี้เล่าลอยๆอยู่แค่นั้น    คนอ่านก็เลยต่อไม่ถูกเหมือนกัน  ต้องขอกลับไปอ่านอีกครั้งเผื่อจะเจอ


กระทู้: นิพพานวังหน้า
เริ่มกระทู้โดย: เทาชมพู ที่ 07 ส.ค. 13, 17:34
ถ้าใครอ่านค.ห. 67 ไม่เข้าใจว่าแฟนคู่นี้เป็นชายหรือหญิง หรืออะไรกันแน่    ขออธิบายสั้นๆก็แล้วกันค่ะ  ว่าเป็นหญิงกับหญิง  สมัยก่อนเรียกว่า "เล่นเพื่อน"   สมัยนี้เรียกอะไรไม่ต้องบอก


กระทู้: นิพพานวังหน้า
เริ่มกระทู้โดย: hobo ที่ 07 ส.ค. 13, 18:02
ผมจำได้ว่าเคยอ่านที่สมเด็จกรมพระยาดำรงฯ ทรงนิพนธ์ไว้ ท่านบอกว่าวังหน้าโดนของ มีเส้นผมเป็นต้น แต่ผมจำไม่ได้ว่าเป็นสมเด็จพระปิ่นเกล้า หรือกรมพระราชวังบวรมหาสุรสิงหนาทครับ ต้องรอผู้รู้ท่านอื่นมาเฉลย


กระทู้: นิพพานวังหน้า
เริ่มกระทู้โดย: NAVARAT.C ที่ 07 ส.ค. 13, 18:04
อ้างถึง
เท่าที่จำได้อีกนะครับ คือประชาชนสามารถไปสรงน้ำได้ถึงองค์ จึงติดตาว่าพระพุทธสิหิงส์องค์แท้นั้นออกสีทองคำเก่าชัดเจน ไปทางแดงๆไม่ใช่เหลือง มีคราบคล้ายจะรานๆหน่อยๆด้วย องค์ที่ผมรู้สึกว่าไม่ใช่นั้นจะผิวจะออกวาวๆ มองแล้วรู้ว่าอายุไม่ถึงโบราณวัตถุ

เห็นภาพนี้แล้วต้องบอกว่าใช่เลย ผิวพรรณเหมือนอย่างที่พระหัตถ์นั่น เต็มไปทั้งองค์พระ ดูเก่า ขลัง และน่าจะชำรุดง่าย ไม่แน่ นิ้วที่ต่อไว้ตามตำนานอาจหลุดให้ต้องซ่อมอีกครั้งหนึ่งเมื่ออัญเชิญลงมาที่กรุงเทพก็ได้ แล้วกรมพระราชวังบวรทรงซ่อมต่อใหม่ตามที่เห็น และเล่าสืบกันมา

พระพุทธรูปองค์นี้สร้างขึ้นในเมืองไทยแน่นอนครับ ไม่ได้มาจากลังกา


กระทู้: นิพพานวังหน้า
เริ่มกระทู้โดย: NAVARAT.C ที่ 07 ส.ค. 13, 18:06
อ้างถึง
ผมจำได้ว่าเคยอ่านที่สมเด็จกรมพระยาดำรงฯ ทรงนิพนธ์ไว้ ท่านบอกว่าวังหน้าโดนของ มีเส้นผมเป็นต้น แต่ผมจำไม่ได้ว่าเป็นสมเด็จพระปิ่นเกล้า หรือกรมพระราชวังบวรมหาสุรสิงหนาทครับ ต้องรอผู้รู้ท่านอื่นมาเฉลย


สมัยสมเด็จพระปิ่นเกล้าครับ เรื่องนี้ในเรือนไทยเคยเสนอกันมาแล้ว

http://www.reurnthai.com/index.php?topic=4184.165

จากคคห.๑๗๖ เป็นต้นไป


กระทู้: นิพพานวังหน้า
เริ่มกระทู้โดย: NAVARAT.C ที่ 07 ส.ค. 13, 18:38
อ้างถึง
" นิพพานวังหน้า" หรือสะกดแบบเดิมว่า "นิพานวังน่า" เป็นงานนิพนธ์ที่คาบเกี่ยวอยู่  2 สาขา คือโดยลักษณะการแต่ง จัดเป็นวรรณคดี   ประเภทกลอนเพลงยาว  มีคำประพันธ์ทั้งกลอน โคลง กาพย์และร่าย    แต่โดยเนื้อหา เป็นประวัติศาสตร์  บันทึกอาการประชวร เรื่อยมาจนสิ้นพระชนม์ ในกรมพระราชวังบวรมหาสุรสีหนาท วังหน้าในรัชกาลที่ 1    คนอ่านก็จะได้รู้เกร็ดเล็กเกร็ดน้อยในตอนปลายรัชกาล แถมพกไปด้วย

   ผู้แต่งเรื่องนี้ไม่ได้ระบุชื่อตัวเอง แต่พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงวินิจฉัยว่าเป็น พระเจ้าราชวรวงศ์เธอพระองค์เจ้ากัมพุชฉัตร  พระธิดาในกรมพระราชวังบวรมหาสุรสีหนาท  ประสูติแต่เจ้าจอมมารดาชื่อนักองค์อี    ซึ่งเป็นพระธิดาสมเด็จพระอุไทยราชา  กษัตริย์กัมพูชา

ขอถามหน่อยเถิดครับ

ชื่อเรื่องนิพพานวังน่า นี่ ผู้แต่งเป็นผู้ตั้งไว้ หรือว่าคนชั้นหลังไปตั้งให้

เท่าที่สังเกตุ บทนิพนธิ์โบราณประเภทนี้ ผู้แต่งมักจะบันทึกไว้ไม่ได้ประสงค์จะให้ใครอ่าน หรือถ้าให้อ่านก็เฉพาะในวงในจริงๆ และมักจะไม่ได้ตั้งชื่อเรือง ลูกหลานมาตั้งกันเองตามสมัยนิยมเท่านั้น

นิพพานวังน่าอาจจะเป็นแบบไดอารี่ของฝรั่ง คือผู้เขียนเขียนให้ตนเองอ่าน อยากจะบันทึกความรู้สึกนึกคิดอะไรก็เขียนไป ไม่ได้ระมัดระวังว่าวันหนึ่งสิ่งที่เขียนไว้จะถูกเผยออกมาให้ขายหน้าตนเอง



กระทู้: นิพพานวังหน้า
เริ่มกระทู้โดย: เทาชมพู ที่ 07 ส.ค. 13, 18:50
ผมจำได้ว่าเคยอ่านที่สมเด็จกรมพระยาดำรงฯ ทรงนิพนธ์ไว้ ท่านบอกว่าวังหน้าโดนของ มีเส้นผมเป็นต้น แต่ผมจำไม่ได้ว่าเป็นสมเด็จพระปิ่นเกล้า หรือกรมพระราชวังบวรมหาสุรสิงหนาทครับ ต้องรอผู้รู้ท่านอื่นมาเฉลย
น่าจะเป็นสมเด็จพระปิ่นเกล้าเจ้าอยู่หัว ค่ะ
มีเล่าไว้ในกระทู้เก่า
http://www.reurnthai.com/index.php?topic=4184.180

ในพระราชพงศาวดารบันทึกเรื่องราวไว้ว่า
        "ครั้นต่อมาถึงเดือน ๑ ปีฉลู (พ.ศ.๒๔๐๘) ทรงพระประชวรมากไป กลีบมารดาทำเครื่องแกงก๋วยเตี๋ยวให้เจ้าพนักงานตั้งถวาย พระบาทสมเด็จพระปิ่นเกล้าฯ ทรงเสวยได้ ๒ ฉลองพระหัตถ์ ทรงเห็นเป็นขนอยู่ในชามพระเครื่องแกงก๋วยเตี๋ยว"
        พงศาวดารไม่ได้บันทึกว่าเมื่อทรงเห็น "เป็นขน" แล้ว สืบสาวราวเรื่องขึ้นมา  หรือปล่อยไว้เฉยๆ  แต่คิดว่าน่าจะมีการทำอะไรสักอย่าง คงไม่ปล่อยไว้อย่างนั้น   พงศาวดารมาบันทึกอีกที ก็เมื่อเหตุการณ์ผ่านไปประมาณ ๑ เดือน
        "ครั้น ณ วันจันทร์ เดือน ๒ ขึ้น ๑ ค่ำ ปีฉลู  พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าฯ เสด็จฯขึ้นไปเยี่ยมประชวร พระบาทสมเด็จพระปิ่นเกล้าฯ จึงกราบบังคมทูลว่า ทรงประชวร ครั้งนี้ มีความสงสัยในกลีบทำเสน่ห์ยาแฝดจึงทรงประชวรมากไป ขอรับพระราชทานข้าทูลละอองธุลีพระบาทในพระบรมมหาราชวัง เป็นตระลาการชำระให้ได้ความจริง พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าฯ จึงทรงมีพระบรมราชโองการดำรัสสั่งให้ พระยามณเฑียรบาล พระยาอนุชิตชาญไชย พระยาบริรักษราชา พระยาอัษฎาเรืองเดช พระพรหมธิบาลพระพรหมสุรินทร์ เป็นตระลาการชำระ"


กระทู้: นิพพานวังหน้า
เริ่มกระทู้โดย: NAVARAT.C ที่ 07 ส.ค. 13, 19:02
อ้างถึง
ยังไม่เข้าใจเหมือนกันว่า พระอัฐิกรมพระราชวังบวรฯที่เป็นสีคล้ำ  แสดงถึงการผิดปกติทำนองไหน  ถูกวางยาพิษ หรือว่าทรงได้รับการดูแลรักษาไม่ดี     พระเจ้าอยู่หัวจึง "เคียดแค้น" มาถึงเจ้านายและพระสนมของวังหน้า

เชื่อกันว่าอัฐิของผู้ที่เคยเสพยาพิษ หรือโดนคุณไสย จะมีสีคล้ำดำ
 
แต่เรื่องนี้ก็น่าสงสัย สมเด็จพระพุทธยอดฟ้าท่านทรงเห็นพระอัฐิกรมพระราชวังบวรตอนไหน ท่านเสด็จขึ้นเก็บพระอัฐิลงพระโกศเองหรือจึงได้ทอดพระเนตรเห็น หากมิใช่ช่วงนั้นแล้วคงจะไม่โอกาสจะได้ทอดพระเนตรอีก เพราะตามพระราชประเพณีไม่ทำกัน

พระโกศพระอัฐิของกรมพระราชวังบวรปัจจุบันเก็บไว้ที่หอพระนาค วัดพระศรีรัตนศาสดาราม บนพระวิมานบนสุดด้านริมซ้ายของรูป

ส่วนพระสรีรังคาร อัญเชิญไปลอยน้ำที่หน้าวัดปทุมคงคา


กระทู้: นิพพานวังหน้า
เริ่มกระทู้โดย: เทาชมพู ที่ 07 ส.ค. 13, 20:03
สมเด็จพระพุทธยอดฟ้าฯทรงเห็นพระอัฐิเมื่อเสด็จพระราชดำเนินมาทรงเป็นประธานในพระราชพิธีเก็บพระอัฐิ ค่ะ    เมื่อลอยพระอังคารเสร็จก็เชิญพระโกศกลับพระราชวัง

พระโองการสั่งให้นำอังคารเสร็จ                    แห่เสด็จลงท่ากระสินธุ์ไหล
แล้วโปรดให้เชิญพระโกศแก้วครรไล               สถิตย์ในกรมพระราชวังคืน

  


กระทู้: นิพพานวังหน้า
เริ่มกระทู้โดย: เทาชมพู ที่ 07 ส.ค. 13, 20:39
ขอถามหน่อยเถิดครับ

ชื่อเรื่องนิพพานวังน่า นี่ ผู้แต่งเป็นผู้ตั้งไว้ หรือว่าคนชั้นหลังไปตั้งให้

เท่าที่สังเกตุ บทนิพนธิ์โบราณประเภทนี้ ผู้แต่งมักจะบันทึกไว้ไม่ได้ประสงค์จะให้ใครอ่าน หรือถ้าให้อ่านก็เฉพาะในวงในจริงๆ และมักจะไม่ได้ตั้งชื่อเรือง ลูกหลานมาตั้งกันเองตามสมัยนิยมเท่านั้น

นิพพานวังน่าอาจจะเป็นแบบไดอารี่ของฝรั่ง คือผู้เขียนเขียนให้ตนเองอ่าน อยากจะบันทึกความรู้สึกนึกคิดอะไรก็เขียนไป ไม่ได้ระมัดระวังว่าวันหนึ่งสิ่งที่เขียนไว้จะถูกเผยออกมาให้ขายหน้าตนเอง

ผู้แต่งเป็นผู้ตั้งชื่อว่า "นิพานวังน่า"  ตั้งแต่ในตอนต้นของเรื่อง  เริ่มด้วยโคลงกระทู้แบบนี้ค่ะ
(รักษาตัวสะกดแบบเดิม)

๏      นิ      ราศบาทเบื้องโอ้                  โมฬี
      พาน      จะโศกทั้งศรี                  อยุทธเยศ
      วัง      เย็นสงัดตี                       อกร่ำ ก่ำเอย
      น่า      มุขพิมานเมศร์                  เมื้อมิ่งแรมหมอง ฯ
๏      แต่      พระจอมมงกุฎโลกย์                  แรมวัง
      แผ่น      พิภพเพียงพัง                  ม้วยไหม้
      ดิน      โดยอดูรหวัง                  หวั่นเทวศ
      ต้น      แต่ตีทรวงให้                  ห่อนเว้นวันเสบย ฯ
                     
  เป็นโคลงนำเรื่องที่ผู้นิพนธ์แต่งเอง  เห็นจากระบุเรียกตัวเองว่า "ลูก" อยู่ในโคลงบทรองๆมาอีกสองสามครั้ง
            ๏ พระคุณเฮยแต่นี้เงียบ      วังเย็น
            เคยเผยสีหเหน              ลูกไห้
            ยามศุขกลับไปเปน      ทุกข์เทวศ
           คิดฤๅวายวางไข้              จิตรโอ้อาดูร


กระทู้: นิพพานวังหน้า
เริ่มกระทู้โดย: เทาชมพู ที่ 07 ส.ค. 13, 21:00
ตามประวัติ กล่าวว่าต้นฉบับดั้งเดิมตกอยู่ในหอวชิรญาณ  มี 2 ฉบับด้วยกัน คือฉบับสมุดไทยดำเส้นรง ซึ่งเป็นสมบัติเดิมของหอพระสมุด 1  ฉบับ    และฉบับสมุดไทยดำเส้นดินสอฝุ่น ซึ่งหอพระสมุดซื้อมาเมื่อพ.ศ. 2450  อีก 1 ฉบับ  เนื้อความในฉบับเส้นรงบางตอนไม่ปรากฏในฉบับดินสอฝุ่น  
หลักฐานตรงนี้ แสดงว่าฉบับสมุดไทยดำเส้นดินสอฝุ่นที่หอพระสมุดซื้อมาเป็นฉบับครบถ้วนสมบูรณ์   ไปตกอยู่กับเอกชนภายนอกวัง  หอพระสมุดจึงซื้อมาได้    ส่วนฉบับเส้นรงน่าจะตกค้างอยู่ในวังหน้ามาตั้งแต่พระองค์เจ้าหญิงกัมพุชฉัตรสิ้นพระชนม์ในรัชกาลที่ 4  ข้าวของที่ไม่สามารถแลกเปลี่ยนเป็นเงินได้ เช่นหนังสือส่วนพระองค์คงถูกเก็บรักษาไว้ไม่มีใครแตะต้อง  จึงเหลือรอดมาจนถูกรวมเข้ากับสมุดไทยอื่นๆ ไปเก็บรักษาอยู่ที่หอพระสมุด

ดิฉันเห็นด้วยกับท่านนวรัตนว่า เรื่องนี้ไม่น่าจะเขียนขึ้นเพื่อเผยแพร่สู่ผู้คนในวงกว้าง  แม้แต่วงกว้างในวังหน้าด้วยกันก็ไม่น่าจะใช่   เพราะบางตอนในเรื่องเป็นเรื่องส่วนตั๊วส่วนตัว   น่าเสียดายที่ดิฉันไม่ทราบว่า "เนื้อความในฉบับเส้นรงบางตอนไม่ปรากฏในฉบับดินสอฝุ่น" น่ะหมายถึงตอนไหน    
ถ้าเป็นตอนท่านรำพันอำลาอาลัยแฟน  ก็พอจะเข้าใจว่า ฉบับเส้นดินสอฝุ่นที่ตกไปอยู่นอกวังอย่างครบถ้วนนั้นน่าจะทรงมอบให้นางในคนโปรดของท่าน ทำนอง "สารนี้นุชแนบไว้ ในหมอน" กระมัง     เธอก็เก็บรักษาไว้อย่างดีไม่มีตกหล่น  จนถึงแก่กรรม ลูกหลานซึ่งอ่านไม่เข้าใจคุณค่าของสมุดไทยที่ว่าก็เลยนำออกขาย ทำให้ย้อนคืนกลับมาเป็นของหลวงอีก

อ้างถึง
นิพพานวังน่าอาจจะเป็นแบบไดอารี่ของฝรั่ง คือผู้เขียนเขียนให้ตนเองอ่าน อยากจะบันทึกความรู้สึกนึกคิดอะไรก็เขียนไป ไม่ได้ระมัดระวังว่าวันหนึ่งสิ่งที่เขียนไว้จะถูกเผยออกมาให้ขายหน้าตนเอง

ถูกเป๋งเลย
ที่จริงสมาชิกเจ้าประจำเรือนไทยก็เขียนอะไรกันเก่งๆทั้งนั้น   ถ้าจะเขียนไดอารี่เมื่อไหร่  อย่าลืมเตือนตัวเองว่าถ้าเขียนแล้วบอกใครไม่ได้ อย่าเขียนซะดีกว่า


กระทู้: นิพพานวังหน้า
เริ่มกระทู้โดย: เทาชมพู ที่ 07 ส.ค. 13, 21:31
ขอแยกซอยออกไปหน่อยนะคะ

ความสัมพันธ์แบบหญิงรักหญิง (Lesbianism)  ไทยโบราณเรียกว่า "เล่นเพื่อน"   ทำให้คำว่า "เพื่อน" กลายเป็นคำต้องห้ามของสาวชาววังซึ่งมีผู้หญิงรวมกันอยู่จำนวนมาก     ต่อให้ใครจะสนิทกับใครอย่างเพื่อนฝูงธรรมดา ไม่มีนัยยะมากกว่านั้น ก็ห้ามเรียกว่าเป็นเพื่อนกันเด็ดขาด ต้องเลี่ยงไปใช้คำอื่น   เช่นเป็นคนคุ้นเคยกันมาตั้งแต่เด็กๆ

ในเมื่อระบบพระราชฐานฝ่ายในของไทยตั้งแต่สมัยอยุธยา จำกัดพลเมืองเอาไว้แต่เพศหญิง  มีชายอยู่คนเดียวคือพระเจ้าแผ่นดิน   ความสนิทชิดใกล้ในเพศหญิงด้วยกันโดยไม่มีโอกาสคบหาผู้ชาย  ทำให้การเล่นเพื่อนระบาดกันแพร่หลาย      มีความขัดแย้งระหว่างประเพณีกับปฏิบัติ  คือโดยประเพณีซึ่งออกมาในรูปของคำห้ามปรามตลอดจนกฎระเบียบต่างๆ  การเล่นเพื่อนเป็นเรื่องต้องห้าม เป็นเรื่องลี้ลับน่าอับอาย ต้องถูกประณามหรือลงโทษอย่างรุนแรง  เช่นการสักหน้าและห้ามเข้าวัง      แต่ทางปฏิบัติ  ก็รู้ๆกันอยู่ว่ามีกันมากมาย  ห้ามไม่หวัดไม่ไหว

หลักฐานเรื่องรักร่วมเพศของสาวชาววัง เขียนไว้ชัดเจนในเพลงยาวเรื่องหม่อมเป็ดสวรรค์ แต่งโดยสาวชาววังชื่อ คุณสุวรรณ  ในรัชกาลที่ 3 เธอได้ถวายตัวเข้าเป็นนางข้าหลวงในตำหนักของ พระเจ้าลูกเธอ กรมหมื่นอัปสรสุดาเทพ  พระราชธิดาในพระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าฯ


กระทู้: นิพพานวังหน้า
เริ่มกระทู้โดย: เทาชมพู ที่ 07 ส.ค. 13, 21:38
คู่สาวเลสเบี้ยนตัวเอกในเพลงยาวเรื่องหม่อมเป็ดสวรรค์  และอีกเรื่องที่เกี่ยวข้องกันคือ คุณโม่ง  เป็นเรื่องแต่งขึ้นเพื่อล้อเลียนพฤติกรรมของ "หม่อมสุด" และ "หม่อมขำ" เป็นหม่อมห้ามของ กรมพระราชวังบวรฯ มหาศักดิพลเสพในรัชกาลที่ 3
หม่อมทั้งสองมีสนิทชิดเชื้อเป็นพิเศษกว่าเพื่อนฝูงธรรมดา   เมื่อกรมพระราชวังบวรฯ สวรรคตแล้ว หม่อมสุดเข้าไปรับราชการในพระบรมมหาราชวัง ประจำอยู่ที่ตำหนักกรมหมื่นอัปสรสุดาเทพ     ต่อมาไม่นาน หม่อมขำเพื่อนสาวก็ตามหม่อมสุดเข้าไปรับราชการอยู่กับกรมหมื่นอัปสรสุดาเทพเช่นเดียวกัน

หม่อมสุดเป็นผู้ที่รู้หนังสือดี กรมหมื่นอัปสรสุดาเทพจึงมักจะโปรดให้อ่านบทกลอนถวายเมื่อบรรทม   ต่อมาทรงเรียกว่าคุณโม่งแทนหม่อมสุดนี้ มีที่มาจากคืนหนึ่งเมื่ออ่านหนังสือพระราชนิพนธ์ถวาย หม่อมสุด สำคัญว่ากรมหมื่นอัปสรสุดาเทพบรรทมหลับแล้ว ก็ดับเทียนแล้วเอาผ้าคลุมโปง ชุลมุนกับหม่อมขำซึ่งนอนอยู่ปลายพระบาท คุณสุวรรณเขียนเพลงยาวบรรยายฉากนี้ไว้ว่า

ครั้นพระองค์ทรงพลิกพระกายกลับ          หมายว่าพระบรรทมหลับสนิทนิ่ง
ก็สมจิตคิดไว้ใจประวิง                                    ก็คลานชิงกันขยับดับเทียนชัย
เข้าชุลมุนวุ่นวายอยู่ปลายพระบาท                       ก็คิดคาดเอาว่าคนหาเห็นไม่
จึงกระทำเอาแต่อำเภอใจ                                 ด้วยแสงไฟมืดมิดไม่มีโพลง
กระซุบกระซิบซุ่มกายอยู่ปลายพระบาท                  อุตลุตอุดจาดทำอาจโถง
เอาเพลาะหอมกรอมหุ้มกันคลุมโปง                      จึงตรัสเรียกคุณโม่งแต่นั้นมา


น่าสังเกตว่ากรมหมื่นอัปสรสุดาเทพมิได้ทรงลงโทษหรือแม้แต่ตำหนิ  แต่กลับเห็นเป็นเรื่องตลก   จึงทรงล้อเลียนเรียกว่า "คุณโม่ง"   คงจะทรงเห็นว่าเป็นเรื่องธรรมดาๆของสาวชาววัง


กระทู้: นิพพานวังหน้า
เริ่มกระทู้โดย: เทาชมพู ที่ 08 ส.ค. 13, 09:07
เชื่อกันว่าอัฐิของผู้ที่เคยเสพยาพิษ หรือโดนคุณไสย จะมีสีคล้ำดำ

กลับไปอ่านนิพพานวังหน้าอีกครั้ง    พบว่าหลังจากเสร็จสิ้นพระราชพิธีไปแล้ว  พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าฯก็มิได้ทรงนิ่งนอนพระทัย    ยังคงสงสัยเรื่องพระอัฐิกรมพระราชวังบวรฯเป็นสีดำคล้ำ   คนที่อยู่ในข่ายต้องสงสัยคือบรรดาเจ้าจอมหม่อมห้ามทั้งหลาย  จึงโปรดเรียกตัวมาสอบสวนหมดทุกคน      วิธีสอบสวนก็คือให้สาบานต่อหน้าพระพุทธชินราช
ในยุคที่ยังไม่มีนิติเวช  คุณหญิงหมอพรทิพย์ก็ยังอยู่ในชาติก่อน      เห็นจะไม่มีวิธีไหนดีไปกว่าให้สาบานต่อหน้าพระพุทธรูปสิ่งศักดิ์สิทธิ์  เพราะคนไทยสมัยนั้นยังกลัวคำสาบานอยู่มาก

สงสัยในสุรางค์บำเรอประคอง                      พระทัยหมองทุกยุพาเป็นราคิน
จะใคร่ทราบซึ่งคนในกลเม็ด                        พระอิศเรศให้หาลงมาสิ้น
ต่างเทวษเนตรนองสุชลริน                         สุดถวิลหวั่นทรวงไม่สร่างเสบย
ให้สาบานต่อพระพุทธชิโนเนตร                    บ้างน้อมเกศแล้วก็ร่ำคำเฉลย
ขอบารมินปิ่นโลกที่ล่วงเลย                        พระคุณเคยปกเกล้าบันเทาทน


กระทู้: นิพพานวังหน้า
เริ่มกระทู้โดย: NAVARAT.C ที่ 08 ส.ค. 13, 09:37
ขอประทานโทษ พระพุทธชิโนเนตร อาจหมายถึงพระพุทธรูปแบบไม่เจาะจงก็คงได้กระมังครับ เพราะพระพุทธชินราชอยู่ที่พิษณุโลกนั่น องค์จำลองในกรุงเทพก็ยังไม่มี

ถ้าจะว่ากันถึงระดับไปจ้ดสาบานในพระวิหาร จะเป็นวัดพระแก้วคงไม่ใช่ที่ ถึงตอนนั้นวัดสุทัศน์ก็ยังสร้างไม่เสร็จ การจัดให้จำเลยสาบานคงจะเป็นแบบที่ศาลปัจจุบันถือธรรมเนียมปฏิบัติอยู่ คือให้โจทก์ จำเลย และพยานทุกปากสาบานหน้าพระพุทธรูปก่อนให้การต่อศาล


กระทู้: นิพพานวังหน้า
เริ่มกระทู้โดย: เทาชมพู ที่ 08 ส.ค. 13, 09:44
  เรื่องที่ทรงสงสัยนางในวังหน้าทั้งหลาย คงไม่ได้สงสัยว่ามีคนไหนบังอาจวางยาพิษกรมพระราชวังบวรฯ    แต่ที่สงสัยเห็นจะเป็นเรื่องการทำคุณไสยมากกว่า    คุณไสยประเภทดาษดื่นที่สุดในวังคือทำเสน่ห์  
   เหตุผลก็เห็นง่ายๆคือในวังทั้งหลายมีผู้ชายเป็นใหญ่อยู่คนเดียว  แวดล้อมด้วยผู้หญิงนับร้อย ต่างคนต่างอยากเป็นที่เสน่หาโปรดปรานมากกว่าคนอื่น      เพราะฉะนั้นการทำเสน่ห์จึงเป็นทางออกที่เห็นง่ายที่สุด   หมอที่รับจ้างทำเสน่ห์ก็พอหาได้ไม่ยาก  
   เรื่องทำเสน่ห์  ทำแล้วได้ผลมากน้อยแค่ไหนไม่มีใครทำสถิติไว้   แต่มีความเชื่อต่อมาว่าการทำเสน่ห์คุณไสยมีผลร้ายแรงต่อผู้ถูกกระทำ  อย่างหนึ่งอย่างที่ท่านนวรัตนบอกไว้คือ   เชื่อกันว่าอัฐิเป็นสีดำคล้ำแสดงว่าถูกยาพิษหรือคุณไสย      แต่จริงๆสีดำคล้ำนั้นเกิดจากโรคหรืออะไรก็ไม่ทราบเหมือนกัน
   ก็เป็นอย่างที่คิดคือทุกนางก็ร้องห่มร้องไห้ สาบานว่าไม่ได้ทำอะไรแบบนั้น    จะว่าไปของพรรค์นี้ก็พิสูจน์ยากเสียด้วยซีคะ


กระทู้: นิพพานวังหน้า
เริ่มกระทู้โดย: เทาชมพู ที่ 08 ส.ค. 13, 09:57
ขอประทานโทษ พระพุทธชิโนเนตร อาจหมายถึงพระพุทธรูปแบบไม่เจาะจงก็คงได้กระมังครับ เพราะพระพุทธชินราชอยู่ที่พิษณุโลกนั่น องค์จำลองในกรุงเทพก็ยังไม่มี

ถ้าจะว่ากันถึงระดับไปจ้ดสาบานในพระวิหาร จะเป็นวัดพระแก้วคงไม่ใช่ที่ ถึงตอนนั้นวัดสุทัศน์ก็ยังสร้างไม่เสร็จ การจัดให้จำเลยสาบานคงจะเป็นแบบที่ศาลปัจจุบันถือธรรมเนียมปฏิบัติอยู่ คือให้โจทก์ จำเลย และพยานทุกปากสาบานหน้าพระพุทธรูปก่อนให้การต่อศาล

อาจเป็นได้  ขอบคุณสำหรับคำอธิบายค่ะ  ดิฉันยังตีความไม่ได้ว่าพระพุทธชิโนเนตร หมายถึงพระพุทธรูปองค์ใดองค์หนึ่งโดยเฉพาะ  เช่นองค์ที่อัญเชิญมาสำหรับการสาบาน  หรือว่าไม่เจาะจง  เป็นองค์ไหนก็ได้อย่างท่านนวรัตนว่าไว้

ผลการสอบสวน  พระองค์หญิงกัมพุชฉัตรไม่ได้ให้รายละเอียดว่าพระเจ้าอยู่หัวทรงพบเงื่อนงำตื้นลึกหนาบางในเรื่องนี้มากน้อยแค่ไหน   ท่านสรุปผลไว้ว่า

ที่ไม่มีราคินมลทินระคน                   จอมสกลโลมเลี้ยงสำราญวัง
   ไหนราคีฝ่าธุลีละอองหมาง                คิดระคางมิได้เอื้อนสวาทหวัง
   จัดให้ออกนอกเขตทุเรศยัง                สั่งให้โปรดประทานประยูรวงศ์

    คือนางในคนไหนดูแล้วว่าบริสุทธิ์  ไม่ทำคุณไสย  ก็ทรงชุบเลี้ยงต่อไปในวัง  ในที่นี้น่าจะหมายถึงวังหลวง   เช่นอาจจะรับไปเป็นเจ้าจอมต่อไป   ส่วนคนไหนไม่มีพระราชประสงค์จะเลี้ยงต่อไป เพราะ(สงสัย)ว่าทำเสน่ห์  ก็โปรดออกไปให้พ้นวัง พระราชทานไปให้พระบรมวงศานุวงศ์เลี้ยงดูต่อไป 


กระทู้: นิพพานวังหน้า
เริ่มกระทู้โดย: เทาชมพู ที่ 08 ส.ค. 13, 10:28
กลอนเพลงยาวเรื่องนี้มีอารมณ์ส่วนตัวของผู้นิพนธ์แทรกอยู่เป็นระยะ  อารมณ์หลักคืออาลัยรำพันถึงพระบิดา  ทรงเขียนอย่างบรรจงแบบตั้งใจเขียนเฉลิมพระเกียรติ     แต่บางตอนก็เหมือนรำพึงแทรกเข้าไปเอง   อย่างหนึ่งที่สังเกตได้คือพระองค์หญิงกัมพุชฉัตรทรงเศร้าโศกเมื่อมองเห็นอนาคตของวังหน้าหลังสิ้นพระบิดาแล้ว    ทรงเสียดายที่วังหน้าไม่มีเจ้าฟ้า เพื่อจะทรงสืบพระเกียรติยศต่อจากพระบิดาให้สมศักดิ์ศรีของวัง   มีแต่พระองค์เจ้าอันประสูติแต่พระสนม   ยิ่งสองพระองค์ใหญ่ คือพระองค์เจ้าลำดวนและอินทปัตมาต้องพระราชอาญาในฐานะกบฏ  พระองค์เจ้าเล็กๆที่เหลือก็ยิ่งดูไร้ความหวังที่จะบำรุงวังหน้าให้เหมือนสมัยกรมพระราชวังบวรฯยังดำรงพระชนม์อยู่

ถ้าเรามองชะตากรรมของเจ้านายวังหน้าในรัชกาลที่ 1   ก็คงเห็นว่าไม่ต่างจากพระองค์เจ้าหญิงกัมพุชฉัตรทรงเห็นล่วงหน้า      นอกจากเจ้าฟ้าพิกุลทองแล้วก็มีเพียงพระองค์เจ้าชายอีก 2 องค์เท่านั้นที่ได้ทรงกรม   เจ้าฟ้าพิกุลทองเองก็พระชนม์สั้น สิ้นพระชนม์ในรัชกาลที่ 2  พระชนม์แค่ 34  ปี    พระองค์เจ้าอสุนีที่ได้ทรงกรมเป็นกรมหมื่นเสนีเทพ  ยังหาพระประวัติไม่พบว่าทรงรับราชการมีตำแหน่งการงานในด้านไหน     เช่นเดียวกับพระองค์เจ้าสังกะทัต กรมขุนนรานุชิต ก็ยังหาพระประวัติทางราชการไม่พบเช่นกัน

นิพพานวังหน้า จบลงด้วยบทเฉลิมพระเกียรติพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลก  


กระทู้: นิพพานวังหน้า
เริ่มกระทู้โดย: เทาชมพู ที่ 08 ส.ค. 13, 10:35
เกร็ดแถม

บวรราชสกุลในกรมพระราชวังบวรมหาสุรสีหนาท มี 4 ราชสกุลด้วยกัน ที่สืบต่อมาถึงรัชกาลที่ 6   จนโปรดเกล้าฯพระราชทานนามสกุลไว้   
เรียงตามลำดับอักษร  คือ
1  นีรสิงห์ ณ อยุธยา      สืบสายจากพระเจ้าราชวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้าเณร     
2  ปัทมสิงห์    ณ อยุธยา  สืบสายจากพระเจ้าราชวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้าบัว    
3  สังขทัต    ณ อยุธยา  สืบสายจากพระเจ้าราชวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้าสังกะทัต กรมขุนนรานุชิต    
4  อสุนี    ณ อยุธยา  สืบสายจากพระเจ้าราชวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้าอสุนี กรมหมื่นเสนีเทพ


กระทู้: นิพพานวังหน้า
เริ่มกระทู้โดย: NAVARAT.C ที่ 08 ส.ค. 13, 10:58
เป็นโชคชะตาฟ้าดินที่วังหน้าสมัยรัตนโกสินทร์ทุกพระองค์ทิวงคตก่อนวังหลวงจะเสด็จสวรรคต มิฉะนั้น ประวัติศาสตร์อาจซ้ำรอยสมัยอยุธยาที่คนไทยล้างกันเองจนกระทั่งเสียบ้านเสียเมืองให้ปัจจามิตร

เพราะจังหวะ และเป็นพระปรีชาของพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าฯประกอบกัน ทำให้ทรงตัดสินพระทัยให้เลิกวังหน้า แล้วสถาปนาสยามมกุฏราชกุมารขึ้นมาแทน ความคลุมเครือทางการเมืองจึงไม่เกิดขึ้น ทุกคนยอมรับลำดับการสืบพระราชสันตติวงศ์ด้วยดีนับแต่นั้น


กระทู้: นิพพานวังหน้า
เริ่มกระทู้โดย: เทาชมพู ที่ 08 ส.ค. 13, 13:26
สรุปว่าในบั้นปลายของวังหน้า  มีเหตุการณ์วุ่นวายเกิดขึ้นไม่หยุดไม่หย่อน   และหลายเรื่องก็น่าสงสาร  เป็นเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นมากกว่าที่เรารู้จากพระราชพงศาวดาร     ข้อนี้ก็ต้องถือว่าเป็นพระคุณของพระองค์เจ้าหญิงกัมพุชฉัตรที่ทรงบันทึกไว้

จากเรื่องนี้ เรารู้ว่าหลังจากตรากตรำศึกมาตลอดตั้งแต่กรุงแตก พ.ศ. 2310 จนพ.ศ. 2346  ปีที่สิ้นพระชนม์   กรมพระราชวังบวรมหาสุรสีหนาทมิได้ทรงมีโอกาสสุขกายสบายพระทัยเลยสักช่วงเดียวก็ว่าได้        ทรงชนะศัตรูมาทุกครั้ง แต่ก็ไม่อาจทรงเอาชนะโรคภัยไข้เจ็บหนักๆ ได้ถึง 2 โรคพร้อมกัน คือโรคนิ่วและวัณโรค    ซึ่งไม่มียารักษาทั้งสองอย่าง

อาการโรคกำเริบหนัก ทุกข์กายทุกข์ใจจนถึงขั้นยอมปลิดพระชนม์
1  ไม่เสวยยา  ปล่อยให้พระอาการทรุดหนักเร็ว  ดีกว่าให้ยาบรรเทาให้อาการยืดเยื้อต่อไป
2  ตั้งใจปลงพระชนม์ด้วยพระแสงดาบ   แสดงว่าทุกขเวทนาในขณะนั้นเหลือจะระงับได้อีกแล้ว

แม้ว่าทรงสั่งเสีย ฝากพระโอรสธิดาและผู้อยู่ในพระบารมีไว้กับสมเด็จพระบรมเชษฐาฯ และกรมพระราชวังหลังผู้เป็นหลาน  แต่เหตุการณ์ก็มิได้เป็นไปเรียบร้อยตามพระประสงค์       เพราะว่าพระโอรสทั้งสองคิดการณ์ใหญ่ถึงขั้นกบฏ   ตั้งแต่พระศพยังอยู่ในพระโกศ     ทำให้ต้องถูกสำเร็จโทษไปตามๆกัน   ผู้ที่ตายก็คือพระโอรสที่โปรดปรานและขุนนางที่ทรงเมตตาเป็นบุตรบุญธรรม

เมื่อเสร็จพระราชพิธีถวายพระเพลิงแล้ว  พระอัฐิก็ยังกลายเป็นปัญหา ให้พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าฯไม่สบายพระทัย ต้องไต่สวนชำระความบรรดาเจ้าจอมหม่อมห้ามของวังหน้าอีก      แม้ไม่มีหลักฐานว่ามีผู้กระทำผิดร้ายแรง  แต่ก็เกิดอาการ "แพแตก"ขึ้น   ส่วนหนึ่งย้ายไปอยู่วังหลวง  อีกส่วนต้องออกนอกวังไปอยู่ตามวังเจ้านายอื่นๆ

พระโอรสที่เหลืออยู่  มีลูกหลานสืบบวรราชสกุลมาเพียง 4 สายเท่านั้นเอง


กระทู้: นิพพานวังหน้า
เริ่มกระทู้โดย: เทาชมพู ที่ 08 ส.ค. 13, 18:12
เป็นโชคชะตาฟ้าดินที่วังหน้าสมัยรัตนโกสินทร์ทุกพระองค์ทิวงคตก่อนวังหลวงจะเสด็จสวรรคต มิฉะนั้น ประวัติศาสตร์อาจซ้ำรอยสมัยอยุธยาที่คนไทยล้างกันเองจนกระทั่งเสียบ้านเสียเมืองให้ปัจจามิตร

เพราะจังหวะ และเป็นพระปรีชาของพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าฯประกอบกัน ทำให้ทรงตัดสินพระทัยให้เลิกวังหน้า แล้วสถาปนาสยามมกุฏราชกุมารขึ้นมาแทน ความคลุมเครือทางการเมืองจึงไม่เกิดขึ้น ทุกคนยอมรับลำดับการสืบพระราชสันตติวงศ์ด้วยดีนับแต่นั้น

ขยายรายละเอียด
เมื่อสิ้นกรมพระราชวังบวรมหาสุรสิงหนาทแล้ว     ตำแหน่งวังหน้า หรือเรียกเป็นทางการว่ากรมพระราชวังบวรสถานมงคลถูกปล่อยให้ว่างเว้นอยู่ 3 ปี  พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าฯจึงโปรดให้พระราชโอรสพระองค์ใหญ่  สมเด็จพระเจ้าลูกยาเธอ เจ้าฟ้ากรมหลวงอิศรสุนทรขึ้นเป็นวังหน้าพระองค์ใหม่    ทรงครองวังหน้าอยู่ 3 ปีก็สิ้นรัชกาลที่ 1   จึงขึ้นครองราชย์เป็นพระเจ้าแผ่นดินรัชกาลที่ 2   คือพระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัย

ในแผ่นดินที่ 2 นี้เอง โปรดเกล้าฯให้สมเด็จพระราชอนุชา สมเด็จเจ้าฟ้าจุ้ย  กรมขุนเสนานุรักษ์ ขึ้นครองวังหน้า ทรงพระนามว่ากรมพระราชวังบวรมหาเสนานุรักษ์    ครองวังหน้าตั้งแต่พ.ศ. 2352 ถึง พ.ศ. 2360 รวม 8  ปีก็สิ้นพระชนม์   พระเจ้าอยู่หัวมิได้ทรงตั้งเจ้านายองค์ใดเป็นวังหน้าอีกจนสิ้นรัชกาลในอีก 7 ปีต่อมา 


กระทู้: นิพพานวังหน้า
เริ่มกระทู้โดย: เทาชมพู ที่ 08 ส.ค. 13, 18:18
ในแผ่นดินที่ 3   พระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าฯ ทรงตั้งพระราชอนุชาอีกองค์หนึ่งของพระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้า คือพระองค์เจ้าอรุโณทัย  กรมหมื่นศักดิพลเสพ ผู้เป็นพระปิตุลาหรืออาของสมเด็จพระนั่งเกล้าฯเป็นวังหน้าในรัชกาลที่ 3  ทรงกรมเป็นกรมพระราชวังบวรมหาศักดิพลเสพ(ในรัชกาลที่ 6 เฉลิมพระนามเป็น "สมเด็จพระบวรราชเจ้ามหาศักดิพลเสพ)    แต่วังหน้าพระองค์นี้ก็พระชนม์สั้นอีก  ครองวังหน้าได้ 7 ปีเศษก็สิ้นพระชนม์ เมื่อพ.ศ. 2375
พระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าฯทรงว่างเว้นตำแหน่งวังหน้าไว้   มิได้ทรงตั้งเจ้านายองค์ใด ตลอดจนสิ้นรัชกาลในอีก 19 ปีต่อมา

ในแผ่นดินที่ 4  พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าฯทรงสถาปนาสมเด็จพระเจ้าน้องยาเธอเจ้าฟ้าจุฑามณี กรมขุนอิศเรศรังสรรค์  ขึ้นเป็นพระบาทสมเด็จพระปิ่นเกล้าเจ้าอยู่หัว  ครองวังหน้าด้วยพระอิศริยยศสูงกว่าวังหน้าพระองค์ใดๆในอดีต   มีพระเกียรติยศเสมอด้วยพระเจ้าแผ่นดินพระองค์ที่ 2   ทรงครองวังหน้าอยู่ 14 ปีจนเสด็จสวรรคต ก่อนสิ้นรัชกาล 3 ปี


กระทู้: นิพพานวังหน้า
เริ่มกระทู้โดย: เทาชมพู ที่ 08 ส.ค. 13, 18:24
ในแผ่นดินที่ 5  พระองค์เจ้ายอดยิ่งยศ กรมหมื่นบวรวิไชยชาญ พระราชโอรสพระองค์ใหญ่ในพระบาทสมเด็จพระปิ่นเกล้าฯ ได้รับพระราชทานอุปราชาภิเษกเป็นกรมพระราชวังบวรสถานมงคลในรัชกาลที่ 5  โดยการสนับสนุนของผู้สำเร็จราชการ สมเด็จเจ้าพระยามหาสุริยวงศ์ (ช่วง บุนนาค)    เสด็จทิวงคตเมื่อพ.ศ. 2428  ก่อนสิ้นรัชกาลที่ 5  ถึง 25 ปี  พระชนมายุ 46 พรรษา 
พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวไม่ได้ทรงแต่งตั้งผู้ใดให้ตำแหน่งกรมพระราชวังบวรสถานมงคลอีก   จนถึง พ.ศ. 2429 จึงทรงสถาปนาสมเด็จพระบรมโอรสธิราช เจ้าฟ้ามหาวชิรุณหิศ เป็นมกุฎราชกุมาร  และยกเลิกตำแหน่งกรมพระราชวังบวรสถานมงคล นับแต่นั้นมา


กระทู้: นิพพานวังหน้า
เริ่มกระทู้โดย: แก้วกัลยา ที่ 09 พ.ย. 14, 12:55
หลังจากที่นักองค์อีท่านพ้นโทษแล้ว ในบั้นปลายชีวิต
ท่านต้องกลับไปกัมพูชา หรือใช้ชีวิตอยู่ในกรุงเทพคะ


กระทู้: นิพพานวังหน้า
เริ่มกระทู้โดย: เทาชมพู ที่ 09 พ.ย. 14, 13:40
ดิฉันยังหาหลักฐานไม่พบค่ะ   ถ้ามีใครทราบ กรุณาตอบคุณแก้วกัลยาด้วยนะคะ


กระทู้: นิพพานวังหน้า
เริ่มกระทู้โดย: NAVARAT.C ที่ 09 พ.ย. 14, 14:52
พบข้อความดังนี้

ความปรากฏในหนังสือพระราชพงศาวดารว่า เมื่อนักองค์จันทร์ได้เป็นสมเด็จพระอุไทยราชาแล้ว มีเหตุเกิดความโทมนัสขึ้นแต่ในรัชกาลที่ ๑ ด้วยความ ๓ ข้อ คือข้อ ๑ เมื่อจะกราบถวายบังคมลากลับออกไป สมเด็จพระอุไทยราชาเข้าไปกราบถวายบังคมลาเวลาเสด็จออกพระบัญชรพระที่นั่งไพศาลทักษิณโดยอำเภอใจ ไม่รอให้เสนาบดีกราบทูลเบิกตามราชประเพณี พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมีพระราชดำรัสติเตียนความประพฤติอันนั้น สมเด็จพระอุไทยราชาได้ความอัปยศนี้อย่าง ๑ อีกข้อ ๑ นั้น ว่าเมื่อกลับออกไปถึงกรุงกัมพูชาแล้ว สมเด็จพระอุไทยราชาเกิดวิวาทกับพระยาเดโช (เม็ง) สมเด็จพระอุไทยราชาสั่งให้จับ พระยาเดโช (เม็ง) รู้ตัวจึงหนีเข้ามาอยู่ในกรุงเทพฯ สมเด็จพระอุไทยราชามีศุภอักษรเข้ามากราบทูลขอตัว พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกไม่พระราชทานให้ตามใจ จึงเกิดความโทมนัส อีกข้อ ๑ ว่าสมเด็จพระอุไทยราชามีศุภอักษรเข้ามากราบทูลของนักองค์อีนักองค์เภาผู้เป็นป้าซึ่งยังอยู่ในกรุงเทพฯ พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกไม่ทรงอนุญาตให้กลับไป เพราะเหตุด้วยนักองค์อีมีพระเจ้าลูกเธอกับกรมพระราชวังบวรฯ พระองค์ ๑ คือ พระองค์เจ้าหญิงกัมพุชฉัตรแลนักองค์เภามีพระเจ้าลูกเธอพระองค์ ๑ คือ พระองค์เจ้าหญิงปุก ไม่ควรจะให้เจ้าจอมมารดาต้องพลัดพรากกับพระองค์เจ้าทั้ง ๒ พระองค์นั้น ความข้อนี้ว่าเป็นเหตุ อีกอย่าง ๑ ซึ่งสมเด็จพระอุไทยราชาเกิดความโทมนัสอย่างน้อยมาแต่ในรัชกาลที่ ๑ ครั้นถึงรัชกาลที่ ๒ สมเด็จพระอุไทยราชาทรงบิดพลิ้วบอกป่วยเสียไม่เข้ามาถวายบังคมพระบรมศพ แลเฝ้าถวายบังคมในพระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัยเมื่อเสด็จผ่านพิภพ ตามประเพณี ซึ่งเจ้าประเทศราชควรจะทำ เป็นแต่ให้นักองค์อิ่มผู้น้องกับพระองค์แก้วแลพระยากลาโหม (เมือง) พระยาจักรี (แบน) เข้ามาแทน มาถึงกรุงเทพฯ เมื่อเดือน ๔ ปีมะเส็งเอกศกนั้น

ความดังกล่าวน่าจะประมาณการณ์ได้ว่า นักองอีคงจะต้องพำนักอยู่ในพระบวรราชวังฝ่ายในกับพระธิดาต่อไปนั่นเอง


กระทู้: นิพพานวังหน้า
เริ่มกระทู้โดย: เทาชมพู ที่ 09 พ.ย. 14, 15:12
ขอบคุณค่ะ คุณ NAVARAT.C


กระทู้: นิพพานวังหน้า
เริ่มกระทู้โดย: NAVARAT.C ที่ 09 พ.ย. 14, 15:51
ยินดีครับ


กระทู้: นิพพานวังหน้า
เริ่มกระทู้โดย: แก้วกัลยา ที่ 09 พ.ย. 14, 16:45
ขอบคุณค่ะ


กระทู้: นิพพานวังหน้า
เริ่มกระทู้โดย: NAVARAT.C ที่ 09 พ.ย. 14, 17:42
^


กระทู้: นิพพานวังหน้า
เริ่มกระทู้โดย: แก้วกัลยา ที่ 11 พ.ย. 14, 07:06
สงสัยอีกนิดนึงค่ะว่านักองอีท่านถูกจองจำนานไหมคะ

อ่านประวัติแล้วรู้สึกสงสารท่านค่ะ... เป็นเจ้าหญิงจากกัมพูชา
หนีภัยมาพึ่งพระบรมโพธิสมภาร .. โชคดีที่สมเด็จวังหน้าท่านทรงเมตตารับชุบเลี้ยงไว้
พอสิ้นบุญท่านก็คงเคว้ง ... จะกลับไปอยู่บ้านเหมือนเจ้าจอมคนอื่นก็ไม่ได้
แล้วยังต้องมาถูกจองจำอีก...รู้สึกเศร้าจังค่ะ


กระทู้: นิพพานวังหน้า
เริ่มกระทู้โดย: กะออม ที่ 11 พ.ย. 14, 08:08
เคยอ่านพบว่า นักองอีท่านไปบวชเป็นชี พำนักอยู่ที่วัดสังเวชค่ะ


กระทู้: นิพพานวังหน้า
เริ่มกระทู้โดย: แก้วกัลยา ที่ 12 พ.ย. 14, 04:05
ขอบคุณค่ะ