เรือนไทย

General Category => ประวัติศาสตร์ไทย => ข้อความที่เริ่มโดย: เทาชมพู ที่ 05 ต.ค. 04, 15:37



กระทู้: ก็อสสิปนอกกำแพงวัง
เริ่มกระทู้โดย: เทาชมพู ที่ 05 ต.ค. 04, 15:37
จู่ๆ ดร. เวบมาสเตอร์ ก็จัดการเปลี่ยนฮวงจุ้ยเรือนไทย  ทาสีใหม่เท่านั้นยังไม่พอ ยังจัดทางเข้าใหม่ ทำเอาคนเฝ้าบ้านโลว์เท็คอย่างดิฉัน  หาทางเข้าประตูบ้านไม่ถูกอยู่พักใหญ่  กว่าจะคลำหาทางเจอว่าเขาตั้งกระทู้ใหม่กันที่ไหนก็หลายวัน

วันนี้จะสลับเรื่องหนักๆด้วยเรื่องเบาๆ ในอดีต ประเภท " เขาเล่ากันว่า"     กระทู้นี้อย่าเอาเป็นหลักฐานอะไรนัก    เอาเป็นว่าดิฉันไม่ได้สร้างขึ้นเอง  มีผู้เล่ามา แล้วก็นำมาถ่ายทอดสู่กันฟังอีกต่อหนึ่ง

เรื่องที่จะเล่านี้ เก็บความมาจากหนังสือเก่าชื่อ นิทานชาวไร่ ที่คุรุสภาจัดพิมพ์ตั้งแต่พ.ศ. 2515   และเหตุการณ์ในเรื่องก็ย้อนหลังกลับไปอีก ถึง พ.ศ. 2502
ผู้บันทึก เป็นอดีตนายทหารเรือเกษียณชื่อ น.อ. สวัสดิ์ จันทนี
ท่านเล่าเรื่องเกร็ดประวัติศาสตร์ไว้หลายเรื่อง ลงในวารสารนาวิกศาสตร์ ก่อนพิมพ์รวมเล่มดังที่บอกมา
เรื่องแรกที่จะเล่า คือเรื่องผีบุญ ในสมัยรัชกาลที่ 5


กระทู้: ก็อสสิปนอกกำแพงวัง
เริ่มกระทู้โดย: เทาชมพู ที่ 05 ต.ค. 04, 15:53
 ผีบุญ  หมายถึงชาวบ้านที่ก่อกบฎขึ้นมาต่อเจ้าหน้าที่บ้านเมือง     เริ่มด้วยมีหัวหน้าตั้งตัวเป็นผู้มีบุญญาภินิหารต่างๆ   ชักชวนจนชาวบ้านด้วยกันเลื่อมใส  เมื่อรวบรวมคนได้พอสมควรแล้ว ก็เข้ายึดอำนาจจากเจ้าเมือง  ตั้งตัวเป็นใหญ่ไม่ขึ้นกับราชการ
บางครั้งผีบุญพวกนี้มีกำลังมากพอ อาจจะยึดอำนาจจากเจ้าเมืองได้   เมื่อรู้ไปถึงเมืองหลวง พระเจ้าแผ่นดินก็โปรดให้แม่ทัพยกทัพมาปราบปราม   จับตัวหัวหน้าประหาร  หรือไม่สู้กัน  ผีบุญตายในที่รบ ลูกน้องก็กระจัดกระจายกันไป
ผีบุญมีหลายครั้งหลายคราวในประวัติศาสตร์   แต่ว่าเรื่องที่จะเล่าให้ฟัง เป็นเรื่องที่เรือเอกสวัสดิ์บันทึกจากคำบอกเล่าของร้อยเอกหลวงวรภักดิ์ภูบาล   ว่าบิดาของคุณหลวงคือม.ร.ว. ร้าย สุริยกุล เคยไปผจญกบฎผีบุญมาเอง ในรัชกาลที่ 5


กระทู้: ก็อสสิปนอกกำแพงวัง
เริ่มกระทู้โดย: เทาชมพู ที่ 05 ต.ค. 04, 16:59
ม.ร.ว.ร้าย สุริยกุล พ่อของคุณหลวงวรภักดิ์ภูบาล (ม.ล. อาจ สุริยกุล)  เป็นบุตรของหม่อมเจ้าถมยา โอรสในพระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมพระรามอิศเรศ ( พระองค์เจ้าชายสุริยา) ซึ่งทรงเป็นพระเจ้าลูกยาเธอลำดับที่ 22 ในพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลก

ม.ร.ว. ร้ายหรือเรียกสมัยนี้ก็คือคุณชายร้าย   ท่านไม่ได้ชื่อร้ายมาแต่เดิม   ชื่อเดิมคือไล้(หมายถึงลูบไล้-เป็นภาษาไทยไม่ใช่ภาษาจีน) แต่คุณชายไล้ดูจะร้ายมากกว่าไล้     ถ้าเป็นสมัยนี้ก็น่าจะมีคำต่อท้ายชื่อว่าหัวโจก



ตัวคุณชายเติบโตขึ้นมาพร้อมกับพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว   เป็นมหาดเล็กรับใช้สนิทชิดใกล้ตั้งแต่เยาว์ ( ข้าเก่าของเจ้านาย มีศัพท์เรียกว่า 'ข้าหลวงเดิม' ) เพราะอายุห่างกันเพียง 1 ปี   คุณชายได้เรียนหนังสืออยู่ในวัง ตามแบบลูกผู้ดีมีเชื้อสายเจ้านาย    ตอนนั้นลูกชายแหม่มแอนนา ชื่อหลุยส์ ที เลียวโนเวนส์ก็เรียนหนังสืออยู่ด้วย

วันหนึ่ง พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าฯ ตอนนั้นทรงพระเยาว์  ดำรงพระยศเป็นสมเด็จพระเจ้าลูกยาเธอเจ้าฟ้าจุฬาลงกรณ์   เกิดอะไรไม่ทราบไม่พอพระทัยเด็กชายหลุยส์   จะเป็นเพราะเด็กชายหลุยส์ตีเสมอหรือทำตัวไม่รู้จักที่ต่ำที่สูงก็ไม่แน่    รับสั่งกับคุณชายว่า "อ้ายหลุยส์นี่ชักทะลึ่ง"

เจ้านายทรงบ่นแค่นั้น  ไม่ได้ทรงทำอะไรอีก   แต่คุณชายร้ายผู้ไม่ได้มีเรื่องมีราวกะเขาด้วยเลย ก็โดดถีบเด็กชายหลุยส์กระเด็นไปทันที  

ก็คงเพราะแบบนี้แหละ  และคงมีเรื่องอื่นๆอีกด้วย   ชื่อม.ร.ว.ไล้  จึงมีคนเรียกว่าร้ายกันทั้งวัง    จนกลายเป็นชื่อจริงไปในที่สุด



พอเป็นหนุ่มอายุ 16 ปี   ขึ้นแผ่นดินรัชกาลที่ 5    คุณชายก็ได้รับตำแหน่งงานแรก คือเป็นมหาดเล็กไล่กา    มีหน้าที่คอยไล่กาที่จะมาโฉบข้าวที่ชาววังเขากำลังจะใส่บาตรพระภิกษุที่มารับบาตรในวัง

หลังจากนั้นก็ได้ไปเป็นนายทหาร จนได้ยศร้อยเอก   แล้วลาออกมารับบำนาญเมื่ออายุ 46 ได้เดือนละสิบกว่าบาท พระพุทธเจ้าหลวงทรงเห็นว่าน้อยนัก  ก็พระราชทานให้อีก 50 บาทเพื่อเลี้ยงดูมารดาซึ่งเป็นหม่อมเจ้าหญิงพระนามว่าหม่อมเจ้าโกสุมภ์

แต่ชีวิตผจญภัยของคุณชายร้ายไม่ได้ยุติแค่ออกจากราชการ    พระเจ้าน้องยาเธอกรมหลวงสรรพสิทธิ์ประสงค์( พระเจ้าบรมวงศ์เธอพระองค์เจ้าชายชุมพลสมโภช พระราชโอรสในรัชกาลที่ 4) ทรงชวนไปเป็นคนสนิทติดตามไปอุบลราชธานี  ในฐานะที่ทรงเป็นข้าหลวงต่างพระองค์   คุณชายก็พาบุตรชายอายุ 10 ขวบ ชื่อม.ล.อาจ ไปด้วย

คุณชายร้ายอยู่เมืองอุบลได้ 2 ปี   ก็เกิดกบฎผีบุญขึ้น   ใน ร.ศ. 118


กระทู้: ก็อสสิปนอกกำแพงวัง
เริ่มกระทู้โดย: เทาชมพู ที่ 05 ต.ค. 04, 19:30
 กรมหลวงสรรพสิทธิ์ เจ้านายของคุณชายร้าย  ได้ข่าวรายงานเข้ามาว่า อำเภอเขมราษฎร์ซึ่งอยู่ใกล้แม่น้ำโขง เกิดมีการซ่องสุมผู้คนขึ้น   ทำท่าว่าจะเป็นภัยต่อราชการ     แต่ทางจังหวัดจะส่งกำลังทหารเข้าไปปราบปรามก็ไม่ได้  เพราะว่าอำเภอนี้อยู่ในเขตปลอดทหาร    
เนื่องจากรัฐบาลสยามกับอินโดจีนมีสัญญาต่อกันว่าภายในเขต 25 กิโลเมตรวัดจากแม่น้ำโขงทั้งสองฟาก  เป็นเขตที่ห้ามทหารของแต่ละฝ่ายล่วงล้ำเข้าไป

เมื่อส่งทหารเข้าไปปราบไม่ได้ ก็ต้องให้ทหารปลอมตัวเป็นพลเรือนเข้าไปสืบ    ได้จังหวะก็ค่อยล่อพวกนี้ออกมาให้พ้นเขตปลอดทหาร จะได้จับกุมตัวได้   คุณชายร้ายเป็นหัวหน้าหน่วยที่ถูกส่งตัวไปล่อผีบุญออกมา

ผีบุญพวกนี้เป็นคนไทย มีชั้นหัวหน้าหลายคน  ก็ราษฎรไทยนี่แหละค่ะ แต่ว่าตั้งตัวเป็นเจ้าญวน  ใช้คำนำหน้าว่า "อง" เช่น องมั่น องทอง   พวกนี้หลอกเอาเสบียงอาหารจากชาวบ้านว่า " หมูจะเป็นยักษ์ ฟักจะเป็นทอง"  

คือหลอกว่าหมูจะกลายเป็นยักษ์มาจับชาวบ้านกิน   ต้องฆ่าแล้วส่งเข้าค่าย  ชาวบ้านหลงเชื่อรีบฆ่าหมู แบกมาปล่อยที่ค่าย     นอกจากนี้ พวกผีบุญเสกฟักแฟงแตงกวาและมะละกอให้เป็นทอง  

วิธีทำก็ง่ายๆคือแอบเอาทองคำเปลวไปปิด ให้เหลืองอร่าม  ชาวบ้านก็ขนมาให้เสก   ฝ่ายซ่องสุมก็กินหมูกินผักกันอิ่มหมีพีมันไปเท่านั้น


กระทู้: ก็อสสิปนอกกำแพงวัง
เริ่มกระทู้โดย: เทาชมพู ที่ 05 ต.ค. 04, 21:05
คุณชายร้ายพาหน่วยสอดแนมจำนวน 100 คน ไปซุ่มดูอยู่ใกล้ค่าย  เห็นพวกนี้มีกองกำลังเยอะมาก  คะเนว่าราวหมื่นคน     แต่ดิฉันสงสัยว่าจะน้อยกว่านั้น  สมัยรัชกาลที่ 5  คนหมื่นคนก็เท่ากับคนทั้งจังหวัดใหญ่ๆแล้ว  น่าจะเป็นจำนวนหลายร้อยหรือถึงพัน

คุณชายล่อพวกนี้ด้วยการยิงปืนชไนเดอร์เข้าไปหลายนัด    พอพวกผีบุญเห็นก็ออกมาไล่ตาม  คุณชายก็ยิงพลางหนีพลาง    หนีกันมาหลายกิโลเมตรจนถึงตำบลคูรุ  ลุยลำธารหนีมาได้  เหลียวดูอีกทีพบว่ามีทหารหลบมาได้แค่ 2-3 คน  นอกนั้นถูกจับไปหมด   ตำบลที่ตกอยู่ในอำนาจของผีบุญก็มีทั้งคูรุและสะพือ

คุณชายร้ายเห็นฝ่ายนี้มีกำลังมากกว่าที่คิด  ขืนปล่อยไว้เป็นต้องยึดถึงในจังหวัดแน่  ก็เลยรีบส่งใบบอกไปถึงกรมหลวงสรรพสิทธิ์    เมื่อทรงทราบก็สั่งให้ผู้บังคับบัญชาทหารนำทหารไปตรวจสอบดูว่ามีจำนวนมากขนาดนั้นจริงหรือไม่    

ทางทหารส่งทหารไปดูลาดเลาก่อน 1 หมวด จำนวน 16 คน     ปรากฏว่าทหารจำนวนน้อยเคราะห์ร้ายถูกพวกผีบุญซุ่มจับไปได้  ร้อยตรีหลีผู้บังคับหมวดและลูกน้องรวม 12 คนถูกประหารด้วยการสับเป็นท่อนๆ  อย่างไม่เกรงกลัวอำนาจรัฐ
ชัยชนะต่อทหารรัฐบาลทำให้ผีบุญฮึกเหิมยิ่งขึ้น  ถึงขั้นคิดครอบครองมณฑลอีสานทั้งหมด

ทหารที่รอดตายไปได้ รวมทั้งคุณชายร้ายที่หนีทันตั้งแต่แรก  กลับไปอุบล   เมื่อกรมหลวงสรรพสิทธิ์ฯทรงทราบว่าเหตุร้ายลุกลามใหญ่โต  ก็รับสั่งว่า
"เราผิดเสียแล้ว"
คำนี้คงหมายความว่า  ไม่เชื่อใบบอกของคุณชายร้ายเสียแต่แรก   ส่งทหารกลุ่มย่อยไปให้ข้าศึกกินโต๊ะอย่างง่ายดาย     คราวนี้จึงทรงเตรียมกำลังแข็งแกร่ง   สั่งผู้บังคับการทหารให้เอาทหารปืนใหญ่ไปปราบให้ราบคาบ

หยุดรอผู้เข้ามาร่วมวง แค่นี้ก่อนค่ะ


กระทู้: ก็อสสิปนอกกำแพงวัง
เริ่มกระทู้โดย: จ้อ ที่ 06 ต.ค. 04, 09:36
 มานั่งฟังครับ บังเอิญสะดุดชื่ออำเภอเขมราษฎร์ เลยไปค้นใน google พบเว็บที่เกี่ยวข้องอยู่อันหนึ่งเลยเอามาฝากกันครับ
 http://www.lib.ubu.ac.th/html/ub_info/other/name/kemmarat.html

"อำเภอเขมราฐ ต้นตำรับรำตังหวาย ถิ่นไทยนักปราชญ์ เขมราฐเมืองงาม สุดเขตแดนสยาม มะขามหวานหลายหลาก กล้วยตากรสดี ประเพณีแข่งเรือยาว"


กระทู้: ก็อสสิปนอกกำแพงวัง
เริ่มกระทู้โดย: อ๊อฟ ที่ 06 ต.ค. 04, 10:30
 ขออภัยเป็นอย่างสูงครับ จริงๆแล้ว คนเปลี่ยนเองก็สับสนครับ ปรับไปเปลี่ยนมา ทาสีเสร็จ แต่ลืมใส่ประตูครับ    


กระทู้: ก็อสสิปนอกกำแพงวัง
เริ่มกระทู้โดย: เทาชมพู ที่ 06 ต.ค. 04, 11:35
หาประตูเจอแล้วค่ะคุณอ๊อฟ  ไม่ถึงขั้นต้องปีนรั้ว โจนลงกลางชานร้านดอกไม้ แบบขุนแผนขึ้นเรือนขุนช้าง
ว่าแต่เจ้าตัวสีน้ำเงินที่กระพริบตาปรี๊บๆอยู่ท้ายหัวข้อกระทู้บางกระทู้น่ะ หมายถึงกระทู้ hot ใช่ไหมคะ   ถ้า hot มันน่าจะแดงนะคะ   สีน้ำเงินมันอยู่ในกลุ่มโทนสีเย็นนี่นา ไม่ใช่โทนร้อน
*************************************************
เล่าต่อ

ปืนใหญ่ปราบผีบุญในสมัยนั้น ไทยไม่ได้ผลิตเอง  เป็นปืนใหญ่อิมพอร์ตจากยุโรปดูเหมือนจากออสเตรีย   เป็นปืนบรรจุลูกทางท้าย  กระบอกปืนทำด้วยทองแดง  ปากกระบอกโตเกือบเท่าปืน 6 ปอนด์ของฮอทสกิส  กระสุนมีทั้งแตกอากาศ กระทบแตก และลูกปราย
(ข้อความทั้งหมดนี้ลอกมาจากหนังสือ   จนปัญญา ไม่รู้เหมือนกันว่าศัพท์ทางปืนใหญ่พวกนี้หมายถึงอะไร    ใครรู้ช่วยอธิบายด้วย  แต่เดาว่าหน้าตามันคงคล้ายๆปืนใหญ่ที่ยิงกันสมัยสงครามกลางเมืองของอเมริกา  ส่วนชนิดกระสุน 3 แบบคงหมายถึงว่ามันออกฤทธิ์คนละแบบ)

ปืนใหญ่นี้ขนไปในเกวียนประทุน ซุ่มซ่อนไม่ให้ผีบุญเห็น     จะได้ไหวตัวไม่ทัน     มีกี่กระบอกในหนังสือไม่ได้บอก แต่ในพระราชหัตถเลขาระบุว่าเอาไปกระบอกเดียว
ส่วนกำลัง  ดูน้อยมาก  คือ มี 1 หมวด 24 คน  ทหารปืนใหญ่คุมเกวียนไป  ทหารพื้นเมืองอีก 100 คน
ไปปราบกบฏหมื่นคน(?) เนี่ยนะ


กระทู้: ก็อสสิปนอกกำแพงวัง
เริ่มกระทู้โดย: เทาชมพู ที่ 06 ต.ค. 04, 13:02
 ทหารหลวงเดินทางไปใกล้ค่ายของผีบุญได้อย่างสะดวกง่ายดาย ไม่เจอพวกนี้ซุ่มซ่อนคอยโจมตี
อาจเป็นเพราะผีบุญประมาทว่าปราบทหารไปได้หยกๆ  ไม่ทันระวังว่าจะมีพวกใหม่มาอีก  เป็นโอกาสให้ทหารหลวงบุกเข้าไปได้ถึงตัว  เอาปืนชไนเดอร์ยิงกราดเข้าไปก่อน  
ผีบุญก็กรูกันออกมาเหมือนมด  เข้าประจัญบานกับทหาร   ตัวนายวิ่งนำหน้าออกมาก่อนเป็นขวัญให้ลูกน้องเชื่อว่าตัวเองคงกระพันชาตรี
คราวนี้ทหารหลวงไม่เหมือนคราวก่อน    อาวุธดีกว่ามาก   พอผีบุญวิ่งรี่เข้ามาพร้อมลูกน้อง  ทหารปืนใหญ่ก็ยิงปืนใหญ่ตูมเข้าให้   ปืนชไนเดอร์ก็กระหน่ำเข้าไป     ถูกหัวหน้าร่างแหลกเหลว ลูกน้องล้มตายกันเป็นใบไม้ร่วง     ชาวบ้านที่หลงมาสมทบกับผีบุญก็โกยแน่บหนีกันหมด
พอผีบุญแพ้ ชาวบ้านก็เลิกนับถือ  กลับใจมาเป็นฝ่ายทหาร พาทหารหลวงไปจับผีบุญที่หลบหนี
ได้นักโทษมามากมายจนคุกไม่พอใส่ต้องเอาไปกักไว้ที่ค่ายทหารทุ่งศรีเมือง

ถึงตอนนี้ขอเล่าเกร็ดการควบคุมนักโทษอีกเรื่องว่า สมัยก่อนคุกไม่ได้แน่นหนาอย่างสมัยนี้ พอจับเชลยหรือนักโทษมาได้ ป้องกันการหลบหนี เขาก็ใช้วิธี "ร้อยหวาย"  คือเอาหวายมาร้อยที่เอ็นส้นเท้าตรงที่เรียกว่า เอ็นร้อยหวาย  โยงต่อๆกันไปเป็นพรวน  ก็จะเจ็บปวดสาหัสเดินกระโผลกกระ
เผลกหนีไม่ไหว   สมัยกรุงแตกครั้งที่สอง  เล่ากันว่าพม่าก็ผูกเอ็นร้อยหวายเชลยไทยแบบเดียวกัน
ส่วนการตระเวณไล่จับตัวผีบุญที่หนีไปได้นั้น     นอกจากจับเป็นแล้ว  ก็จับตายด้วย    หลักฐานการจับตายคือตัดหัวใส่ชะลอมหิ้วมาส่งผู้บังคับบัญชา  เป็นการยืนยันว่าคนนั้นตายจริงๆ ไม่ได้แจ้งเท็จ

กบฏผีบุญครั้งนี้ ม.ล.อาจ ติดตามคุณพ่อไปด้วย  ก็ไปป้วนเปี้ยนช่วยผู้ใหญ่อยู่ที่ค่ายทหารทุ่งศรีเมือง แล้วแต่ใครจะใช้สอยอะไร    เป็นเด็กคล่องแคล่วทำงานได้ดีเหมือนผู้ใหญ่ ก็เลยมีชื่อลงในราชกิจจานุเบกษาว่าเป็นผู้ปราบกบฏผีบุญด้วยคนหนึ่ง   ทั้งที่อายุแค่ 12 ขวบ
ม.ร.ว. ร้ายได้รับคำสั่งให้ไปประจำอยู่ที่ร้อยเอ็ดเผื่อเกิดสถานการณ์ร้ายขึ้น    แต่ไม่มีเรื่องอะไร  ครบ 3 ปี ก็ได้ย้ายกลับมากรุงเทพ  พาลูกชายกลับมาเข้าโรงเรียนนายร้อย   เรื่องกบฏผีบุญก็จบลงแค่นั้น

รายการต่อไปก็จะหาเวลาแวะเข้ามาเล่าเรื่องราชสกุลสุริยกุลอีกนิดหน่อยค่ะ  ในฐานะราชสกุลที่หายากและไม่ค่อยมีใครรู้เรื่องกันนัก   มีเรื่องซุบซิบเบื้องหลังบ้างนิดหน่อย


กระทู้: ก็อสสิปนอกกำแพงวัง
เริ่มกระทู้โดย: อ๊อฟ ที่ 06 ต.ค. 04, 13:09
ขอบคุณครับคุณเทาชมพู สำหรับไอเดียดีๆครับ

ตอนนี้เราเลยให้นายตาโตสีฟ้าทำตาปริ๊บๆ เป็นสัญลักษณ์บอกว่ากระทู้นี้มีคนเข้าชมแล้วกว่า 1000 ครั้งครับ กระทู้ร้อนซึ่งเป็นกระทู้ที่มีผู้เสนอความเห็นเพิ่มเติมเข้ามาแล้วกว่า 50 ความเห็นจะใช้สัญลักษณ์ v.Hot สีแดง เป็นตัวชี้แทนครับ

อาจารย์โพสต์บอกไว้หรือกริ๊งกร๊างมาบอกทีมงานได้เลยครับ หากเข้าเรือนไม่ได้ เราจะส่งคุณจ้อปีนไปเปิดประตูจากข้างในครับ เพราะคุณจ้อแกถนัดปีนประเภทนี้เป็นพิเศษ พอๆกับขุนแผนหล่ะครับ    (จริงๆแกถนัดประเภท "ปีนเกลียว" อีกประเภทด้วยครับ)


กระทู้: ก็อสสิปนอกกำแพงวัง
เริ่มกระทู้โดย: จ้อ ที่ 06 ต.ค. 04, 13:29
เอ่อ... ในบรรดาคาถาอาคมของขุนแผนนั้น ผมถนัด "คาถามหาละลวย" ครับ คาถาปีนกำแพง หรือคาถาแหกคุก สะเดาะกลอน นี่ไม่ได้ฝึกฝนเท่าไหร่  

งัดเอาความรู้สมัยเรียน รด. และจาก "รพินทร์ ไพรวัลย์" แห่งเพชรพระอุมา มาปัดฝุ่นตอบครับ ... กระสุนแตกอากาศ กระทบแตก และลูกปราย น่าจะหมายความประมาณนี้ คือกระสุนแตกอากาศ น่าจะเป็นลูกปืนใหญ่ที่ยิงไปให้ระเบิดบนอากาศเหนือเป้าหมาย หรือใกล้ๆกับเป้าหมาย เพื่อให้สะเก็ดระเบิดทำความเสียหายให้กับศัตรู

ส่วนกระสุนกระทบแตก เป็นลูกปืนที่จะระเบิดก็ต่อเมื่อมีการกระทบกับเป้า คือต้องชนอะไรซักอย่างก่อนถึงจะระเบิดครับ เป็นการจำกัดเป้าหมายให้แคบหน่อย

ลูกปราย คือกระสุนที่แตกออกเป็นลูกเล็กๆตั้งแต่ยิงออกจากปลายกระบอกปืนครับ จะต่างกับสองชนิดแรกซึ่งจะเป็นชนิดที่เรียกว่าลูกโดด คือ กระสุนออกจากปากกระบอกลูกเดียวแต่ค่อยไประเบิดออกเมื่อถึงเป้าหมายครับ

ถ้าโดนยิงด้วยลูกโดด ก็จะมีรูเดียว แต่ถ้าเป็นลูกปลายก็จะหลายรูหน่อย (พรุน ครับ พรุน)


กระทู้: ก็อสสิปนอกกำแพงวัง
เริ่มกระทู้โดย: เทาชมพู ที่ 06 ต.ค. 04, 14:22
 ขอบคุณที่มาอธิบายค่ะคุณจ้อ    ทหารหลวงคงกระหน่ำเข้าไปทั้ง 3 อย่าง  พวกผีบุญจำนวนมากถึงแตกกระจัดกระจายกันไปหมด   ไม่สามารถจะล้อมกรอบกินโต๊ะทหารได้อย่างคราวร.ต.หลี

ไหนๆคุณจ้อก็มีคาถามหาละลวย   ช่วยงัดออกมาใช้หน่อยได้ไหมคะ  คือช่วยเป่าให้หน้าเก่าๆ อย่างคุณนิลกังขา คุณแจ้งใบตอง  คุณถาวภักดิ์ คุณ CH  คุณนนทิรา และใครๆที่เคยเข้ามานั่งร่วมวง พากันกลับมาทีเถอะค่ะ
ดิฉันส่งเมล์ไปตามแล้ว แต่ไม่มีคาถาเด็ดกำกับ เลยไม่สำเร็จ  


กระทู้: ก็อสสิปนอกกำแพงวัง
เริ่มกระทู้โดย: พวงร้อย ที่ 06 ต.ค. 04, 22:42
 ตามมาอ่านไปไอไปค่ะ  พักนี้งอมพระลักษณ์ค่ะ  คือไม่หนักหนามากขนาดต้องถามหาพระราม  คุณเทาชมพูสบายดีนะคะ  

ขอเดาต่อตามความรู้จากที่ดูหนังเอาล้วนๆนะคะ  อย่างปืนกระทบแตก นี่  คงเอาไว้พังกำแพง หรือสิ่งก่อสร้างอะไรน่ะค่ะ   ไม่ยักทราบมาก่อนว่าเค้าทำกระสุนปืนไว้หลากหลายขนาดนั้น


กระทู้: ก็อสสิปนอกกำแพงวัง
เริ่มกระทู้โดย: CrazyHOrse ที่ 07 ต.ค. 04, 01:58
 ไม่ได้หายไปไหนหรอกครับ เมื่อวานมาอ่านกระทู้นี้ ว่าจะลงชื่อไว้สักหน่อย แต่ login ไม่ได้ครับ

วันนี้ลองอยู่นาน กว่าจะเจอว่าเป็นที่ Firefox (browser ที่ผมใช้อยู่) ก็แทบแย่ กลับมาเข้าจาก IE ก็ไม่มีปัญหาอะไรครับ

ผีบุญกรณีนี้ผมเคยอ่านเจอมาก่อนแล้ว แต่ไม่ใช่ version นี้ครับ คุ้นๆว่าเป็นพระนิพนธ์กรมพระยาดำรงฯ แต่ไม่แน่ใจนักครับ ต้องไปค้นดูสักตั้งครับ

เรื่องลูกกระสุนปืนใหญ่ ถ้าเป็นปืนโบราณลูกกระสุนจะไม่มีดินระเบิดครับ เอาดินปืนใส่เข้าทางปากกระบอกกระทุ้งเข้าแล้วหยอดลูกกระสุนตาม เวลายิงออกไปนี่ตัวใครตัวมันครับ หลบกันให้ดีๆ โดนเข้าคงแบนครับ แต่กระสุนแบบนี้ไม่มีอำนาจทำลายล้างในวงกว้าง น่าจะเหมาะในการทำลายโครงสร้าง พวกป้อมค่ายคูประตูหอรบนะครับ สมัยศึกไทรโยค(ร.1) พระราชวังบวรฯทรงใช้ท่อนซุงแทนกระสุน ยิงเท่าไหร่ก็ไม่หมด พม่าอ่วมอรทัยเลยครับ


กระทู้: ก็อสสิปนอกกำแพงวัง
เริ่มกระทู้โดย: เทาชมพู ที่ 07 ต.ค. 04, 08:36
 ฝนตกเกือบทุกเย็น   ไข้หวัดก็ระบาดกันงอมในเมืองไทยค่ะ ไข้หวัดคนระดับพระลักษณ์ แต่ไข้หวัดนกเห็นจะระดับพระรามยกกำลังสอง  คุณพวงร้อยรักษาสุขภาพด้วยค่ะ

ผีบุญมีหลายรุ่น  หลายจังหวัด  หลายยุค    ถ้าเป็นสมัยนี้อาจจะเข้าเค้าผู้ก่อการร้าย   ไม่ใช่โจรปล้นธรรมดา  
ผีบุญที่เขมราษฎร์ ถือว่าเป็นขนาดเล็ก   แต่ก็ก่อความเสียหายมากพอดู


กระทู้: ก็อสสิปนอกกำแพงวัง
เริ่มกระทู้โดย: เทาชมพู ที่ 07 ต.ค. 04, 17:06
 ราชสกุล สุริยกุล  อย่างที่เกริ่นไว้แล้วว่าสืบสายมาจากรัชกาลที่ 1     พระเจ้าบรมวงศ์เธอพระองค์เจ้าสุริยา กรมพระรามอิศเรศ ทรงมีพระอนุชาร่วมเจ้าจอมมารดาเดียวกันอีกองค์หนึ่งคือ กรมหมื่นศรีสุเทพ( พระองค์เจ้าชายดารากร   ต้นราชสกุล ดารากร)
วังเดิมของกรมหมื่นศรีสุเทพ อยู่ตรงกระทรวงกลาโหมในปัจจุบัน   ส่วนกรมพระรามฯ อยู่ใกล้ๆกันตรงศาลฎีกา  
ต่อมาในรัชกาลที่ 5 เมื่อมีการสร้างกระทรวงกลาโหมและกระทรวงยุติธรรม วังของเจ้านายทั้งสองพระองค์ที่เชื้อสายครอบครองอยู่ก็ย้ายมาอยู่ ณ ที่ดินพระราชทานตรงสี่แยกสะพานดำ
สะพานดำเรียกอีกชื่อว่าสะพานแม้นศรี  เดี๋ยวนี้กลายเป็นสี่แยก  ชื่อแม้นศรีตั้งเป็นอนุสรณ์รวมถึงของบุคคล 2 ท่านด้วยกัน คือหม่อมแม้นในสมเด็จเจ้าฟ้ากรมพระยาภาณุพันธุวงศ์วรเดช พระราชอนุชาในรัชกาลที่ 5     และพระองค์เจ้าศิริวงศ์พระโอรส
หลักฐานร่องรอยของราชสกุลนี้ที่มีให้เห็นสำหรับคนรุ่นหลัง คือคลองทางใต้ของสะพานแม้นศรี  ซึ่งปัจจุบันกลายเป็นซอย ชื่อซอยพระยาราชสีห์
พระยาราชสีห์เป็นบุตรของหม่อมเจ้าจันทรสุเทพ( ภายหลังเลื่อนขึ้นเป็นพระองค์เจ้า) ซึ่งเป็นโอรสในกรมหมื่นศรีสุเทพ พูดง่ายๆว่าพระยาราชสีห์เป็นหลานปู่กรมหมื่นศรีสุเทพ
ส่วนเชื้อสายทางสายกรมพระราชอิศเรศ  พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าฯก็โปรดให้ย้ายมาอยู่รวมกันในวังพระองค์เจ้าจันทรสุเทพ   ไม่ได้พระราชทานที่ดินแยกให้เป็นสัดส่วน  เพราะเชื้อสายทางด้านนี้ ไม่ได้รับราชการใหญ่โตอย่างเจ้านายอื่นๆ

สาเหตุที่เจ้านายสายนี้ไม่ค่อยเป็นใหญ่เป็นโต   ไม่ใช่เพราะขาดโอกาส       ตรงกันข้าม  เรียกว่ามีโอกาสดีเกินไปก็ว่าได้   เพราะกรมพระรามอิศเรศทรงค้าสำเภา  มีเรือสำเภาส่งสินค้าอิมพอร์ตเอกซพอร์ตกับเมืองจีนจนร่ำรวย  
บรรดาโอรสจึงไม่เห็นความจำเป็นจะต้องเข้ารับราชการกินเงินเดือนให้เหนื่อยยาก   แต่ละองค์ก็ขลุกอยู่ในวัง เล่นต้นไม้(ดัด) เล่นเครื่องกังไส  เพลิดเพลินไปตามเรื่อง  เพราะมีเงินมรดกมากพอแล้ว  
กรมพระรามฯ ทรงซื้อที่ดินที่บางกรวยในคลองบางกอกน้อยไว้ให้เป็นที่อยู่   เรียกชื่อกันว่า "สวนบ้านเจ้า"

พระโอรสของกรมพระรามอิศเรศ ชื่อหม่อมเจ้าถมยา  ได้ชายาเป็นหม่อมเจ้าหญิงพระธิดาในกรมพระศรีสุเทพ    เรียกว่าลูกพี่ลูกน้องแต่งงานกันเอง  สองสายนี้จึงผูกพันกันแน่นหนา  

ยุคสมัยล่วงมาถึงรัชกาลที่ 4   ลูกหลานในราชสกุลนี้ไม่เป็นที่โปรดปรานเท่าไร  นอกจากไม่รับราชการแล้ว   หม่อมเจ้าถมยาตกที่นั่งลำบาก  ถูกกริ้วเพราะมีเรื่องว่าทรงไปคบค้ากับเจ้าเขมรองค์หนึ่งที่มาสวามิภักดิ์ต่อไทย  และพระเจ้าลูกยาเธออีกพระองค์หนึ่งในรัชกาลที่ 4  ทำเรื่องไม่เหมาะสม
 
เรื่องที่ว่าก็คือแอบไปคบหาสูบฝิ่นด้วยกัน    ความล่วงรู้ถึงพระเนตรพระกรรณ   เจ้าเขมรกลัวพระราชอาญาก็หนีกลับเขมร   เหลือเจ้าไทยอีกสององค์ถูกกริ้วอยู่ทางนี้   แต่ไม่มีหลักฐานว่าถูกลงพระอาญาอย่างใดหรือไม่

แต่ก็โชคดีของราชสกุลนี้อยู่หน่อยที่มีเชื้อสายกอบกู้หน้าตาเอาไว้ได้    คือกรมพระรามอิศเรศทรงมีพระธิดาทรงพระนามว่าหม่อมเจ้าหญิงเป้า    ทรงเข้าไปเป็นพนักงานในวังหลวง รับราชการอยู่ช้านาน    เมื่อพระเจ้าอยู่หัวจะทรงตั้งชื่อสะพานข้างวัดชนะสงคราม   ก็พระราชทานเกียรติยศตั้งชื่อว่า "สะพานรามบุตรี"  
แต่เดี๋ยวนี้ไม่มีแล้ว กลายเป็นซอยรามบุตรี  อยู่ใกล้ๆบางลำพูระหว่างถนนจักรพงศ์กับถนนเจ้าฟ้า


กระทู้: ก็อสสิปนอกกำแพงวัง
เริ่มกระทู้โดย: เทาชมพู ที่ 08 ต.ค. 04, 11:03
 หม่อมเจ้าถมยาไม่เป็นที่โปรดปรานของสมเด็จพระจอมเกล้าฯ  ก็ทรงรู้ตัว จึงแก้ไขผ่อนหนักให้เป็นเบาด้วยการส่ง  ม.ร.ว. ร้าย บุตรชายเข้าไปเป็นมหาดเล็กในวังหลวง  ได้ไปเป็นข้าหลวงเดิมของพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าฯ  
แต่ม.ร.ว.ร้าย ก็เกิดไปทำเรื่องอย่างหนึ่งเข้า ทำให้อนาคตไม่รุ่งเรืองเท่าที่ควร  
เรื่องนั้น ถ้าเป็นสมัยนี้ก็ไม่แปลกอะไร  แต่ในสมัยรัชกาลที่ 5  ถือว่าเป็นความผิด  และถ้าย้อนไปถึงต้นรัตนโกสินทร์ถือว่าผิดอุกฉกรรจ์  เพราะผิดกฎมณเฑียรบาล
นั่นคือชายที่ไม่ใช่เจ้า จะไปสมรสกับเจ้านายฝ่ายหญิง ไม่ได้  ผูกสมัครรักใคร่ก็ไม่ได้

ม.ร.ว.ร้ายไปแต่งงานกับสตรีที่สูงศักดิ์กว่า  คือหม่อมเจ้าหญิงศรีเฉลิม เป็นพระธิดาในพระเจ้าบรมวงศ์เธอกรมพระพิทักษ์เทเวศร์  (พระองค์เจ้ากุญชร  พระราชโอรสในรัชกาลที่ 2)  ถือว่าเป็นความผิด  มีบทลงโทษตามกฎมณเฑียรบาล  
 แต่ลงโทษถึงขั้นไหนไม่ทราบ  ดิฉันทราบแต่ว่าการล่วงละเมิดหรือติดต่อฉันชู้สาวกับนางในนั้นโทษถึงประหาร  แต่หม่อมเจ้าหญิงศรีเฉลิมท่านไม่ใช่นางใน  เป็นเจ้านายฝ่ายหญิงที่อยู่นอกวังหลวง  โทษจะเท่ากันหรือเปล่าไม่แน่  

อย่างไรก็ตาม เมื่อม.ร.ว.ร้ายเป็นข้าหลวงเดิม    พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าฯ ก็ทรงเมตตาทำเมินกับความผิดข้อนี้  มิได้ลงโทษอย่างใด    แต่จะว่าโปรดปรานหรือสนับสนุนนั้นไม่ใช่แน่นอน  อาจจะไม่ให้อภัยเท่าไรนัก      เพราะเมื่อม.ร.ว.ร้ายกราบบังคมทูลลาออกจากราชการเมื่ออายุแค่ 46  ก็มิได้ทรงทักท้วง  โปรดเกล้าฯให้พ้นไปง่ายๆ ไม่ได้ทรงชุบเลี้ยง   แต่ก็ไม่ขัดข้องที่เจ้านายอื่นจะเอาตัวไปใช้สอย

ตัวม.ร.ว.ร้ายเองเมื่อสมัยเป็นมหาดเล็กเด็กๆ ก็ไม่ค่อยแฮปปี้กับการเป็นมหาดเล็ก  ถึงกับสั่งสอนบุตรชาย (คือคุณหลวงวรภักดิ์ภูบาลผู้เล่าเรื่องนี้) ว่าอย่าไปเป็นมหาดเล็กเชียว    เพราะพ่อเคยน่วมมาแล้ว

หยุดพัก ดื่มน้ำแก้คอแห้งก่อนค่ะ  ใครจะกระแอมกระไออะไรไหมคะ  


กระทู้: ก็อสสิปนอกกำแพงวัง
เริ่มกระทู้โดย: พวงร้อย ที่ 08 ต.ค. 04, 12:54

ค่อกๆแค่กๆ ค่อยไอเบาๆด้วยความเกรงใจค่ะ  ขอบคุณกับเรื่องก็อสสิปสนุกๆด้วยนะคะ   อืมม ดิฉันนึกว่า เรื่องโปรดไม่โปรดนี่จะเป็นเรื่องใหญ่กันแต่ในหมู่ข้าราชสำนักฝ่ายหญิงเท่านั้น  แต่ฝ่ายชายก็เป็นเรื่องใหญ่ไม่น้อยเหมือนกันนะคะ  แล้วเรื่องที่ทำให้ไม่เป็นที่ทรงโปรดก็นึกไม่ถึงเหมือนกันค่ะ  คือไม่ทราบว่าเคยเป็นเรื่องคอขาดบาดตายขนาดนั้น


กระทู้: ก็อสสิปนอกกำแพงวัง
เริ่มกระทู้โดย: เทาชมพู ที่ 09 ต.ค. 04, 17:52
เรื่องในอดีตหลายเรื่องก็ฟังแปลกประหลาดในสายตาคนปัจจุบัน  ดิฉันก็นึกอัศจรรย์ใจมาหลายครั้งแล้ว  คล้ายๆคุณพวงร้อยน่ะค่ะ
อีกร้อยกว่าปีข้างหน้า   คนไทยยุคนั้นเขาก็คงเห็นค่านิยมสมัยนี้แปลกประหลาดเหมือนกันนะคะ  ว่าไม่ได้

ขอย้อนกลับมาเล่าถึงชีวิตมหาดเล็กที่ ม.ร.ว. ร้ายไม่อยากให้ลูกชายเจริญรอยตาม   ทั้งที่ในยุคของท่าน ใครเป็นมหาดเล็กก็เป็นเรื่องโก้  ได้อยู่ใกล้ชิดเจ้านายและมีโอกาสจะเลื่อนขึ้นเป็นขุนนางใหญ่โตได้เร็วกว่าขุนนางอื่นๆ
แต่ม.ร.ว.ร้าย เห็นว่าเป็นมหาดเล็ก มีโอกาสเจ็บตัวมากกว่าคนอื่นๆเช่นกัน

เมื่อพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าฯผนวช   ม.ร.ว.ร้ายในฐานะมหาดเล็กข้าหลวงเดิมก็บวชเป็นเณร ตามไปปรนนิบัติรับใช้    ต้องรับใช้อยู่ดึกดื่นกว่าเจ้านายจะบรรทมหลับ  
ท่านทนง่วงไม่ไหว  ก็แอบไปนอนอยู่ใต้โต๊ะถมปัด (ทองแดงลงยา) ที่มีผ้าคลุมถึงพื้น  หลับอยู่ตรงนั้นมีแต่เท้าเท่านั้นยื่นออกมา ผ้าคลุมไม่มิด
พระเจ้าน้องยาเธอสองพระองค์ คือกรมพระจักรพรรดิพงษ์และเจ้าฟ้ากรมพระยาภาณุพันธุฯ ยังเล็กๆกันอยู่   ซนตามประสาเด็ก
ก็แอบย่องเข้ามา จุดไฟเย็น คือเอาไม้ขีดที่เคยขีดใช้งานแล้ว มาเหน็บเข้ากับเล็บเท้าของสามเณร  จุดไฟที่หัวคาร์บอนเข้าอีกครั้งแล้วปล่อยให้ลามไปตามก้าน  
ปล่อยให้ลามมาจนไหม้เท้า  คุณชายร้ายกำลังหลับก็สะดุ้งตื่นด้วยความเจ็บปวด  ดิ้นโครมครามถีบโต๊ะล้ม  ข้าวของหล่นระเนนระนาด
เจ้านายกำลังบรรทมอยู่ก็สะดุ้งตื่น  รับสั่งถามว่าใครทำอะไรโครมคราม  พอทรงทราบก็เป็นคุณชายร้าย ก็กริ้ว เรียกตัวมาหวดเสียน่วม
คุณชายโดนเฆี่ยนเข้าไปหลายที   กว่าจะกราบทูลได้ว่าเป็นฝีมือเจ้าฟ้าเล็กๆสองพระองค์แกล้ง   แต่สองพระองค์นั้นก็เปิดแน่บหนีไปแล้วจับไม่ทัน
เป็นอันว่าคุณชายเจ็บตัวฟรี สองซ้ำสองซ้อน
ถึงไม่อยากให้ลูกชายเจอแบบเดียวกัน  เพราะมีหลายครั้งที่คุณชายถูกเฆี่ยน ทั้งที่ท่านไม่ได้ทำผิด  แต่มีคนฟ้อง  เจ้าตัวแก้ตัวไม่ทันก็โดนไปก่อน
ม.ล.อาจบุตรชายจึงไม่ได้เป็นมหาดเล็ก  แต่ก็ได้เป็นนายทหาร   มีโอกาสเข้าเฝ้ารับใช้ฉลองพระเดชพระคุณเจ้านายหลายพระองค์


กระทู้: ก็อสสิปนอกกำแพงวัง
เริ่มกระทู้โดย: พวงร้อย ที่ 10 ต.ค. 04, 00:29
 เรื่องนี้  ดิฉันเข้าใจอย่างซาบซึ้งถึงกึ๋นเลยว่า  คุณชายร้ายท่านจะรู้สึกอย่างไรน่ะค่ะ

ขอวกกลับมาพูดถึงเรื่องความแปลกใจที่ว่านะคะ  หากเป็นการมิบังควรสถานใด  ดิฉันขออภัยไว้ล่วงหน้าด้วย  เพราะไม่ทราบขนบธรรมเนียมเท่าใดนัก

คือแปลกใจมากๆกับตรรกะของ ร.๕ น่ะค่ะ  พระองค์ท่านก็ทรงสถาปนาพระน้องนางเธอร่วมพระบิดา  เป็นพระชายาหลายพระองค์  พูดอย่างภาษาชาวบ้านนะคะ  ดิฉันจำพระราโชวาทไม่ได้แจ่มชัดเลยไม่อยากมั่วค่ะ  จำได้ว่าเคยอ่านมาว่า  ได้ทรงอบรมราชโอรสของพระองค์ท่านว่า   อย่าได้แต่งงานกับน้องสาว  สมัยพระองค์ท่านไม่เป็นไร  แต่สมัยลูกทำไม่ได้แล้ว

ก็เห็นว่า  พระองค์ท่านก็ได้ทรงเล็งเห็นถึงความไม่แน่นอนของขนบธรรมเนียมประเพณี  มีพระเนตรกว้างไกลถึงกับเห็นว่า  การกระทำบางอย่างของพระองค์ท่านเอง  ไม่เป้นที่ยอมรับของสังคมปัจจุบันเสียแล้ว  แต่เมื่อมาทราบว่า  ยังทรงมิโปรดการอาจเอื้อมแต่งงานกับหญิงศักดิ์สูงกว่า ของชายศักดิ์ต่ำกว่า  แม้จะมิใช่ชายสามัญด้วยซ้ำ  เลยแปลกใจมากน่ะค่ะ

แต่ก็อาจจะเป็นได้ว่า  ในสมัยนั้น  เราเพิ่งเปิดโลกทัศน์ให้รวมไปถึงการยอมรับจากชาวโลกด้วย  ขนบธรรมเนียมประเพณีที่ปฏิบัติกันมาช้านาน  ก็ยังยากที่จะให้หลุดพ้นจากความรู้สึกไปได้ง่ายๆมังคะ


กระทู้: ก็อสสิปนอกกำแพงวัง
เริ่มกระทู้โดย: paganini ที่ 10 ต.ค. 04, 03:49
 สวัสดีครับอาจารย์เทาชมพูและทุกท่าน
ไม่ได้เข้ามานานจนนึกว่าเขาจะลบชื่อทิ้งไปแล้ว
ดีใจที่อาจารย์ยังเขียนเรื่องสนุกๆให้อ่านกัน


กระทู้: ก็อสสิปนอกกำแพงวัง
เริ่มกระทู้โดย: เทาชมพู ที่ 10 ต.ค. 04, 12:00
 สวัสดีค่ะคุณ paganini หายหน้าไปพักใหญ่เชียวนะคะ  งานยุ่งมากหรือ
ยินดีที่กลับมาร่วมวงคุยกันอีกค่ะ

คุณพวงร้อยคะ   ข้อสังเกตของคุณพวงร้อยทำให้ดิฉันต้องกลับไปทบทวนเกี่ยวกับเรื่องการเสกสมรสของเจ้านายอีกครั้ง
ก็พบอะไรบางอย่างที่น่าสนใจ

ถ้าหากว่าเราลำดับถึงพระมหากษัตริย์และพระมเหสีในแต่ละรัชกาลแล้ว  จะเห็นได้ว่ามีรัชกาลเดียวเท่านั้นที่มีพระมเหสีเป็นพระกนิษฐภคินีต่างพระมารดากัน   คือในรัชกาลที่ ๕
นอกนั้นไม่ใช่
ในรัชกาลที่ ๑  พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าฯกับสมเด็จพระอมรินทร์ฯ ท่านไม่ได้เกี่ยวข้องกันทางสายเลือดเลย  ฝ่ายชายมีตระกูลอยู่ทางกรุงศรีอยุธยา  ฝ่ายหญิงอยู่ราชบุรี
แล้วมาสมรสกันด้วยความเห็นชอบของผู้ใหญ่
ในรัชกาลที่ ๒  พระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้าฯ กับสมเด็จพระศรีสุริเยนทราฯ ไม่ใช่พี่น้อง  แต่เป็นลูกพี่ลูกน้องกัน  แบบ first cousin  ฝ่ายหญิงเป็นลูกป้า  ฝ่ายชายเป็นลูกน้า(ชาย)
ในรัชกาลที่ ๓  ไม่ทรงมีพระมเหสีในราชวงศ์จักรี  ทรงมีแต่เจ้าจอม  ซึ่งไม่ได้เกี่ยวข้องกันทางสายเลือด
ในรัชกาลที่ ๔  สมเด็จพระจอมเกล้าฯ ทรงมีพระมเหสี ซึ่งนับตามลำดับญาติแล้ว เป็นหลานปู่  แต่ไม่ใช่หลานแท้ๆ
ในรัชกาลที่ ๖   พระนางเธอลักษมีฯ   เป็นลูกพี่ลูกน้องของพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าฯ  พระนางเจ้าอินทรศักดิศจีเป็นสามัญชน เช่นเดียวกับพระนางเจ้าสุวัทนา   ไม่มีสายเลือดเกี่ยวข้องกัน
ในรัชกาลที่ ๗   พระบาทสมเด็จพระปกเกล้าฯ และพระนางเจ้ารำไพพรรณี อยู่ในฐานะพระญาติ first cousin
ในรัชกาลปัจจุบัน  สมเด็จพระนางเจ้าฯพระบรมราชินีนาถ ทรงเป็นพระญาติในพระราชวงศ์จักรี   ดิฉันเข้าใจว่าถ้านับแบบฝรั่งเขาจะเรียกว่า second cousin


กระทู้: ก็อสสิปนอกกำแพงวัง
เริ่มกระทู้โดย: พวงร้อย ที่ 10 ต.ค. 04, 12:19
คิดว่าจากแหล่งเดียวกันนะคะ  เอ จะเป็นพระราชหัตถเลขาถึงพระราชโอรสองค์ใดดิฉันก็จำไม่ได้แล้วค่ะ (ความจำแย่จริงๆเลยค่ะ)  ที่ทรงอบรมเช่นนั้น  แล้วยังทรงกล่าวถึงว่า  สาเหตุที่พระองค์ทรงมีพระน้องนางเธอเป็นพระมเหสี  เพราะทรงขึ้นครองราชย์แต่ยังทรงพระเยาว์ สิ้นพระราชชนกชนนีเสียแล้ว  ในพระราชวังก็เป็นชายหนุ่มคนเดียวที่จะทรงทำอะไรก็ไม่มีใครว่ากล่าวตักเตือน  ถึงได้เป็นไปเช่นนั้นน่ะค่ะ

เรื่องนี้  ดิฉันเคยฟังคุณชายคึกฤทธิ์ตั้งข้อสังเกตไว้ค่ะ  ตอนนั้นยังเด็กมากอยู่  จำไม่ค่อยได้ว่าท่านพูดถึงเรื่องอะไร  แต่เป็นการเล่าพระราชจริยวัตรของในหลวง  ดิฉันก็ปะติดปะต่ออะไรไม่ได้  จำได้แม่นว่า  ท่านเอ่ยถึงเรื่อง ร.๕ กับพระมเหสีที่เป็นพระน้องนางเธอ  จึงทำให้พระราชโอรสหลายพระองค์  สิ้นพระชนม์แต่ยังทรงพระเยาว์  หรือพูดอย่างชาวบ้าน  ก็ว่าอายุไม่ยืนน่ะค่ะ  โดยยกตัวอย่างพระราชโอรสของสมเด็จพระพันปีหลวง  ว่าสิ้นพระชนม์แต่ยังทรงพระเยาว์ หรือยังหนุ่มแน่นทั้งนั้น   แล้วคุณชายท่านก็ยกตัวอย่างราชวงศ์ซาร์นิโคลาสว่า  แต่งงานระหว่างญาติเหมือนกัน  ดิฉันก็ไม่ค่อยแน่ใจในความจำของตัวเองนะคะ  เพราะมันนานมากจริงๆ  และท่านได้ใช้คำศัพท์ว่า  imbreeding ให้ดิฉันได้ยินเป็นครั้งแรก  ก็ไม่รู้เรื่องจนกลับบ้านมาต้องมานั่งเปิดดิคฯดูค่ะ  

เมื่อตอนที่ไปฮาวาย  ก็สนใจประวัติศาสตร์ของฮาวาย  จนไปซื้อหนังสือมาอ่าน  โดยเฉพาะเรื่องราชวงศ์ของเขา  ทางฮาวายก็มีธรรมเนียมในบรรดาเจ้าของเขา  ที่นิยมแต่งงานกันระหว่างพี่ชายน้องสาว  บางครั้งก็เป็นพี่น้องคลานตามกันมาด้วยซ้ำ  เพื่อรักษาความบริสุทธิ์ของสายเลือด  แต่มารุ่นหลัง  ช่วงที่อเมริกัน อังกฤษเริ่มเข้ามามีอิทธิพล  เลยมีความมั่นคงทางราชบัลลังก์  เพราะกษัตริย์คาเมฮาเมฮา  ได้ปืนจากชาวตะวันตก  สร้างความเป็นปึกแผ่นให้ตระกูลของพระองค์ให้ได้ผ่านราชบัลลังก์มาหลายรุ่น  แต่บรรดาเจ้าฮาวายทั้งหลายที่สืบทอดมาจากกษัตริย์คาเมฮาเมฮา  ซึ่งมักจะแต่งงานกันเองระหว่างพี่น้อง หรือญาติในวงศ์เดียวกัน  ก็สิ้นแต่ยังอายุน้อยๆกันทั้งสิ้น  ดิฉันเลยสงสัยมานานแล้วค่ะ  ว่าการแต่งงานระหว่างญาติใกล้ชิด  จะทำให้ลดภูมิต้านทานโรคหรืออย่างไรไม่ทราบนะคะ


กระทู้: ก็อสสิปนอกกำแพงวัง
เริ่มกระทู้โดย: เทาชมพู ที่ 10 ต.ค. 04, 12:23
 การแต่งงานในหมู่เครือญาติ   ในสมัยโบราณของไทยเป็นเรื่องธรรมดาค่ะ  ทั้งเจ้านายและสามัญชน  
คนเป็นลูกพี่ลูกน้องกัน แต่งงานกันเองก็มาก   เพราะสังคมไทยโบราณอยู่กันแบบครอบครัวขยาย ที่เห็นๆหน้าค่าตากันมาก็ญาติกันนี่แหละ   โตเป็นหนุ่มสาวก็เลยแต่งงานกันเองด้วยความเห็นชอบของผู้ใหญ่   นี่ก็ลูกชาย นั่นก็หลานสาวเราเอง   เมตตาเอ็นดูได้ง่าย

ส่วนเจ้านายในสมัยอยุธยาก็เคยมีตัวอย่างให้เห็นว่าพระเจ้าบรมโกศทรงสถาปนาพระขนิษฐาเป็นพระมเหสี
อาจจะเป็นได้ว่าเราเชื่อว่า สายเลือดเดียวกันจะบริสุทธิ์กว่าสายเลือดอื่น   หรือไม่ก็เป็นได้ว่าในกฎมณเฑียรบาล ให้ความสำคัญกับฐานันดรศักดิ์   เจ้านายที่พ่อเป็นเจ้า แม่เป็นเจ้าจะมีฐานันดรสูงกว่าเจ้านายที่พ่อเป็นเจ้าและแม่ไม่ใช่

สังคมไทยก็เช่นเดียวกับสังคมตะวันออกอีกหลายประเทศที่ให้ความสำคัญกับฝ่ายชายมากกว่าหญิง
การสืบตระกูลก็นับจากสายทางฝ่ายชาย  ถ้าจะยกเว้นก็มีน้อยมาก  
ในระบอบสมบูรณาญาสิทธิราชย์   กำเนิดของคนถือเป็นสิ่งสำคัญอันดับแรกในการจัดระดับฐานะคนนั้นในสังคม    ไม่ได้วัดด้วยพฤติกรรมหรือการเรียนหรือการทำงาน อย่างในสมัยนี้
ข้อนี้นำไปสู่คำตอบว่าทำไมเจ้านายหญิงถึงสมรสกับสามัญชนไม่ได้  

เพราะในสังคมโบราณ ไทยเราอยู่แบบสังคมขยาย   สามีเป็นหัวหน้าครอบครัว   ลูกเต้าเขาก็นับกันทางพ่อว่าเป็นลูกของพ่อชื่ออะไร     การเคารพนับถือยกย่องหรือดูถูกดูแคลนก็นับจากตัวพ่อเป็นหลัก  ไม่ใช่จากแม่
นอกจากนี้ เป็นสังคมที่ "เจ้า" ได้รับการให้เกียรติมากกว่าสามัญชน  เรียกว่าเจ้าองค์ไหนอุแว้ออกมา  เกียรตินี้ก็จะได้รับโดยอัตโนมัติทันที
ทีนี้ถ้าหากว่า "เจ้า" องค์นั้นเป็นหญิงซึ่งถือกันว่าเป็นช้างเท้าหลัง เกิดได้มาเป็นภรรยาของสามัญชน   ความประดักประเดิดในสังคมก็จะเกิดขึ้น  อย่างน้อยก็สังคมที่สามัญชนนั้นเป็นสมาชิกอยู่
พ่อผัวแม่ผัวที่เป็นสามัญชน  จะกราบไหว้ลูกสะใภ้ได้อย่างไร
สามีจะอยู่เหนือภรรยาได้หรือ
แขกเหรื่อญาติมิตรไปมาหาสู่จะจัดเจ้านายหญิงคนนั้นไว้ในระดับไหน  จะระดับสูงกว่าสามีก็ไม่เหมาะ  จะระดับต่ำกว่าก็ไม่ได้  จะระดับเดียวกันมันก็ไม่ถูกต้องในสังคมสมบูรณาฯอีกนั่นแหละ
มันขลุกขลักอย่างนี้ละค่ะ   เมื่อพระพุทธยอดฟ้าฯทรงสถาปนาเจ้าพี่เจ้าน้องฝ่ายหญิงของพระองค์ท่านขึ้นเป็นเจ้านาย   ก็ยังต้องสถาปนาน้องเขยขึ้นเป็นกรมหมื่น ให้เป็นเจ้าด้วยกันเลย
เพื่อจะได้มีระดับในสังคมได้เหมาะสม ลดปัญหาอย่างที่บอกมาข้างบนนี้  (แต่ก็ยังไม่วายไม่ลงตัวกันบ้าง   ว่างๆจะเล่าให้ฟัง)

ขออธิบายเพิ่มหน่อยนะคะสำหรับคนที่ยังไม่ทราบว่าม.ร.ว. และม.ล.  เป็นเจ้าหรือไม่
ม.ร.ว. และม.ล.  ไม่ใช่เจ้า  เป็นเชื้อพระวงศ์ ที่เติบโตในสังคมค่อนไปทางสามัญชน   รับราชการก็จะได้บรรดาศักดิ์แบบสามัญชน  เช่นเป็นหลวง พระ พระยา เจ้าพระยา
มีเว้นนิดหน่อย ที่แตกต่างจากสามัญชน  คือได้เป็น "หม่อม" ที่สามัญชนไม่ได้กัน  อย่างหม่อมราโชทัยหรือหม่อมทวีวงศ์ถวัลยศักดิ์ อดีตราชเลขาธิการสำนักพระราชวัง


กระทู้: ก็อสสิปนอกกำแพงวัง
เริ่มกระทู้โดย: พวงร้อย ที่ 10 ต.ค. 04, 12:26
 ลืมไปอีกอย่างนึงที่คุณเทาชมพูยกมาก็น่าคิดมากเลยค่ะ  ว่าเราไม่มีธรรมเนียมแต่งงานระหว่างพี่ชายน้องสาวในราชวงศ์มาก่อน  และกับคนอื่นๆทั่วไป  ก็เดาว่าคงไม่มีเหมือนกันมังคะ  มีพระองค์ท่านทรงกระทำอยู่พระองค์เดียว  ก็เป็นเกร็ดที่น่าสนใจมากๆเลยนะคะ


กระทู้: ก็อสสิปนอกกำแพงวัง
เริ่มกระทู้โดย: พวงร้อย ที่ 10 ต.ค. 04, 12:30
 ออนไลน์ตรงกันพอดีเลยค่ะ

ม.ร.ว. กับ ม.ล. ไม่ใช้เจ้า  ก็ไม่น่าจะเป็นปัญหามาก  สำหรับเราๆสมัยนี้นะคะ  เพราะถ้าสามีเป็นสามัญ  ต้องใช้ราชาศัพท์กับภรรยาเจ้า  แถมพ่อแม่สามีก็ต้องใช้ราชาศัพท์อีก  ก็คงประดักประเดิกอย่างคุณเทาชมพูว่าน่ะค่ะ


กระทู้: ก็อสสิปนอกกำแพงวัง
เริ่มกระทู้โดย: paganini ที่ 10 ต.ค. 04, 12:43
 ออนไลน์ตรงกันพอดีเลยครับ หุๆๆๆ
หวัดดีครับอาจารย์เทา และพี่พวงร้อย
ที่พี่พวงร้อยถามว่าการแต่งงานกับญาติพี่น้องมีผลอย่างไร
จริงๆครับได้ยินมาว่า การแต่งงานในสายเลือดเดียวกันมีโอกาสให้ลูกที่ออกมามียีนที่ด้อยของพ่อและแม่ เลยเชื่อกันว่าลูกจะอ่อนแอและขี้โรค ลองสังเกตดูสิครับ


กระทู้: ก็อสสิปนอกกำแพงวัง
เริ่มกระทู้โดย: เทาชมพู ที่ 10 ต.ค. 04, 12:54
 เรื่องสายเลือดเดียวกันทำให้ลูกที่ออกมาไม่แข็งแรง จริงหรือไม่  เห็นจะต้องถามแพทย์ หรือนักวิทยาศาสตร์แถวเรือนไทย
แต่ก็เคยได้ยินว่าจริง  อย่างน้อยโรคบางอย่างที่ถ่ายทอดกันได้ทางสายเลือดก็จะส่งผลให้เสี่ยงมากขึ้น อย่างเบาหวาน
หรือยุโรปก็เคยมีโรคฮีโมฟีเลียหรือเลือดไม่แข็งตัว ที่ระบาดกันอยู่ในหมู่เจ้านายที่แต่งกันไปแต่งกันมา
ความเชื่อสมัยโบราณนั้นตรงกันข้ามกับยุคนี้    การสมรสระหว่างพี่น้องเพื่อ"รักษาสายเลือดบริสุทธิ์" จึงย้อนกลับไปได้ถึงสมัยอียิปต์  คุณพวงร้อยคงจำได้

เมื่อถึงรัชกาลที่ ๕   พระเจ้าอยู่หัวทรงเห็นว่าเรื่องนี้ไม่สมควรอีกแล้ว     จึงมิได้สนับสนุนเรื่องปฏิพัทธ์ที่เจ้าฟ้ามหาวชิรุณหิศทรงมีต่อเจ้าฟ้ากรมหลวงศรีรัตนโกสินทร์
แต่ก็คงจะทรงเห็นว่าสภาพสังคมในสมัยนั้นยังไม่ลงตัวกับการที่สตรีสูงศักดิ์จะไปสมรสกับสามัญชน หรือแม้แต่เชื้อพระวงศ์
หรือแม้แต่เจ้านายที่ฐานันดรศักดิ์น้อยกว่า
ข้อนี้อาจจะเป็นคำตอบว่า พระราชธิดาทุกพระองค์ในรัชกาลที่ ๕ จึงไม่มีพระองค์ไหนอภิเษกสมรสเลยสักพระองค์เดียว

ต่อมา  เจ้านายสตรีสมรสกับสามัญชนได้ แต่ต้องกราบบังคมทูลลาออกจากฐานันดรศักดิ์ค่ะ  แต่จะโปรดเกล้าฯพระราชทานคืนหรือว่ายกเว้นให้ ก็แล้วแต่พระบรมราชวินิจฉัย


กระทู้: ก็อสสิปนอกกำแพงวัง
เริ่มกระทู้โดย: paganini ที่ 10 ต.ค. 04, 13:03
 อาจารย์ครับ เจ้าฟ้ากรมหลวงศรีรัตนโกสินทร์ นี่ทราบว่าทรงพระสิริโฉมมากๆทีเดียว ไม่ทราบว่าทรงมีพระราชมารดาองค์เดียวกับมกุฏราชกุมารพระองค์แรกของกรุงรัตนโกสินทร์รึเปล่าครับ
คิดว่าน่าจะเป็นพี่สาวของพระองค์ด้วยนะ ใช่รึเปล่าครับ


กระทู้: ก็อสสิปนอกกำแพงวัง
เริ่มกระทู้โดย: พวงร้อย ที่ 10 ต.ค. 04, 13:27
ใช่ค่ะ  คลีโอพัตราก็สมรสกับน้องชายตัวเองเหมือนกัน ขอบคุณคุณ paganini นะคะ

เป็นผู้หญิงสมัยโน้นนี่แย่นะคะ  เป็นคนชั้นต่ำก็มีชีวิตเหมือนสัตว์ใช้งาน  เป็นคนชั้นสูงก็เหมือนนกในกรงทอง  จะมีคู่ก็ยังไม่ได้เลย  เคยสังเกตมาบ้างเหมือนกันว่า  พระราชธิดาใน ร๕ นั้นเป็นโสดกันเป็นส่วนใหญ่  เพิ่งมาทราบจากคุณเทาชมพูนี่เองว่า  ไม่มีพระองค์ได้ได้เสกสมรสเลย  เป็นเรื่องน่าเศร้าจริงๆนะคะ

ต้องขอลาไปนอนแล้วล่ะค่ะ  คุณเทาชมพูและคุณ paganini มีความสุขกับวันอาทิตย์นะคะ  หวังว่าฝนคงซาบ้างแล้ว  แบ่งๆมาตกที่นี่บ้างก็จะดีไม่น้อยเลยค่ะ


กระทู้: ก็อสสิปนอกกำแพงวัง
เริ่มกระทู้โดย: เทาชมพู ที่ 10 ต.ค. 04, 21:13
ตอบคุณ paganini
สมเด็จเจ้าฟ้ามหาวชิรุณหิศ เป็นพระราชโอรสในสมเด็จพระศรีสวรินทิรา บรมราชเทวี  
แต่สมเด็จเจ้าฟ้าสุทธาทิพยรัตน์ ฯ กรมหลวงศรีรัตนโกสินทร์เป็นพระราชธิดาในสมเด็จพระนางเจ้าสุขุมาลมารศรี พระอัครราชเทวี ค่ะ
เจ้าฟ้ากรมหลวงศรีรัตนโกสินทร์ประสูติก่อนเจ้าฟ้ามหาวชิรุณหิศ ๙ เดือน


กระทู้: ก็อสสิปนอกกำแพงวัง
เริ่มกระทู้โดย: CrazyHOrse ที่ 11 ต.ค. 04, 00:32
 ไม่ใช่แพทย์หรือนักวิทยาศาสตร์หรอกครับ แต่พอนึกได้เลาๆเรื่องนี้นะครับ

โดยทั่วไปโครโมโซมของคนเราจะมาเป็นคู่ ข้างหนึ่งได้จากพ่อ อีกข้างหนึ่งได้จากแม่ ลักษณะทางพันธุกรรมที่เป็นลักษณะด้อยจะแสดงผลก็ต่อเมื่อ โครโมโซมของบุคคลนั้นๆมีพันธุกรรมนี้ทั้งสองข้าง หากมีเพียงข้างใดข้างหนึ่งที่มีพันธุกรรมนี้ บุคคลนั้นก็จะเป็นเพียงพาหะของพันธุกรรมนี้ต่อไปยังลูกหลาน

ในขณะที่พันธุกรรมที่เป็นลักษณะเด่นจะแสดงผล แม้มีเพียงข้างใดข้างหนึ่งที่มีพันธุกรรมนี้ครับ

ลักษณะโรคทางพันธุกรรมหลายๆอย่างจะเป็นลักษณะด้อย หากแต่งงานข้ามเชื้อสายไป โรคเหล่านี้ก็จะไม่เกิด แต่ถ้าหากมีการแต่งงานในหมู่ญาติใกล้ชิด โอกาสในการรับพันธุกรรมนี้มาทั้งสองข้างก็จะสูงขึ้นมาก ซึ่งจะทำให้เกิดโรคทางพันธุกรรมเหล่านี้ครับ

ลักษณะทางพันธุกรรมแบบนี้มีที่เจอกันบ่อยๆก็พวกอาการตาบอดสี, ธาลัสซีเมีย(อันนี้คนเอเชียเป็นกันมากครับ โดยเฉพาะคนไทยอีสาน-แต่เคยได้ยินว่าที่เป็นกันเยอะเพราะลักษณะทางพันธุกรรมนี้มีผลทางบวกช่วยให้ทนต่อโรคมาลาเรียได้ด้วยครับ)

นักกระยาสารทของจบก่อน รอนักวิทยาศาสตร์ตัวจริงมาครับ    


กระทู้: ก็อสสิปนอกกำแพงวัง
เริ่มกระทู้โดย: CrazyHOrse ที่ 11 ต.ค. 04, 00:37
 ขอแถมอีกนิด

การแต่งงานระหว่างลูกพี่ลูกน้อง(First Cousin) ในสามัญชนคนไทย เมื่อก่อนน่าจะเป็นเรื่องปกตินะครับ ประเพณีนี้น่าจะมาเปลี่ยนไม่นานนี้เอง

ผมจำได้ว่านิยายเรื่องกนกลายโบตั๋น เป็นความรักของ First Cousin นี่แหละครับ ในหนังสือจบอย่างสมหวัง แต่เมื่อมาทำเป็นละคร(คุณนพพลคู่กับคุณปรียานุช)เปลี่ยนให้จบแบบจำพรากด้วยความที่เป็นความรักที่ไม่ถูกต้องแทนครับ นัยว่าเพื่อให้สอดคล้องกับสังคมใหม่ครับ


กระทู้: ก็อสสิปนอกกำแพงวัง
เริ่มกระทู้โดย: พวงร้อย ที่ 11 ต.ค. 04, 01:19
ดิฉันตื่นมา ทางเมืองไทยคงไปนอนกันแล้วนะคะ

สวัสดีค่ะคุณ CrazyHOrse  ไม่ได้เจอเสียนาน  คราวก่อนเข้ามาอ่านเรื่องหลักศิลาจารึกได้ไม่เท่าไหร่แล้วรู้สึกสมองไม่ถึงเลยไม่ได้เข้ามาแจมค่ะ

ขอบคุณทั้งคุณ  paganini  และคุณ  CrazyHOrse ที่ทบทวนเรื่องยีนส์ด้อย  ที่ดิฉันสงสัยคือ  ในกรณีที่ไม่มีโรคอันอาจจะมีสาเหตุมาจากอุบัติเหตุทางยีนส์นั้น  แต่ก็ยังมีอายุสั้น  เช่นเจ้าฟ้าของไทย  และของฮาวาย  ก็ไม่ปรากฎว่ามีโรคประจำพระองค์ให้เป็นที่ทราบ  แต่ก็สิ้นพระชนม์ด้วยโรคอย่างอื่นน่ะค่ะ  ดิฉันไม่ได้ไปเช็คตัวเลขทางสถิติหรือข้อมูลยืนยันอย่างอื่นนะคะ  แต่ดูเหมือนว่า  จะสิ้นพระชนม์กันด้วยโรคทางเดินหายใจเป็นส่วนใหญ่  ไม่ใช่โรคทางกรรมพันธุ์ อย่าง ฮีโมฟีเลีย ฯลฯ เหล่านั้นน่ะค่ะ  ทำให้เกิดความสงสัยว่า  จะเป็นเพราะภูมิต้านทานน้อยกว่าคนทั่วๆไปหรือไม่นะคะ

ขออภัยคุณเทาชมพูด้วยนะคะที่คุยออกนอกลู่นอกทางไปเสียไกลเลย  เพราะเป็นเรื่องที่ข้องใจมานานแล้วน่ะค่ะ


กระทู้: ก็อสสิปนอกกำแพงวัง
เริ่มกระทู้โดย: เทาชมพู ที่ 11 ต.ค. 04, 12:55
เคยอ่านพบจากข้อเขียนของม.ร.ว. คึกฤทธิ์ ปราโมช ว่า พระโรคที่ทำให้พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าฯ เสด็จสวรรคต คือโรคไตวาย เป็นโรคที่ต่อเนื่องมาถึงเจ้านายหลายพระองค์  จนประชวรและสิ้นพระชนม์ค่ะ


กระทู้: ก็อสสิปนอกกำแพงวัง
เริ่มกระทู้โดย: พวงร้อย ที่ 11 ต.ค. 04, 22:50
 เพิ่งจะทราบนะคะเนี่ย ว่าพระองค์ท่านเป็นโรคไต  แล้วคุณเทาชมพูทราบมั้ยคะว่า  พระราชโอรสของพระองค์สิ้นพระชนม์ด้วยโรคอะไรบ้าง  เท่าที่จำได้  กรมขุนพิษณุโลก ทรงสิ้นพระชนม์ด้วยโรคปอดบวม  จำไม่ได้ว่า สมเด็จเจ้าฟ้ามหาวชิรุณหิศ ทรงสิ้นพระชนม์ด้วยโรคอะไร

ส่วนเจ้าทางฮาวาย  หลายๆองค์เลยทีเดียวที่สิ้นด้วยโรคปอดค่ะ  คงเป็นโรคปอดบวม  โดยเฉพาะองค์ที่เดินทางไปยุโรปมาน่ะค่ะ  แล้วพระราชโอรสใน พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าฯ  ก็เสด็จไปศึกษาต่างประเทศหลายพระองค์  โรคทางเดินหายใจในเมืองหนาวก็มีมากกว่าเมืองไทย  ไม่ทราบจะมีผลต่อสุขภาพโดยทั่วไปหรือไม่นะคะ


กระทู้: ก็อสสิปนอกกำแพงวัง
เริ่มกระทู้โดย: เทาชมพู ที่ 12 ต.ค. 04, 10:54
 เจ้าฟ้ามหาวชิรุณหิศ  เคยอ่านพบว่าสิ้นพระชนม์ด้วยพระโรคปอดบวม  แต่หนังสือบางเล่มบอกว่าไข้รากสาดน้อย      เจ้าฟ้ากรมหลวงพิษณุโลกฯ สิ้นพระชนม์ กล่าวกันว่าปอดบวม   ดิฉันเคยคุยกับแพทย์ท่านหนึ่ง ท่านบอกว่าน่าสงสัย เพราะปอดบวมจะไม่ส่งผลรุนแรงขนาดสองวันคนไข้ตาย น่าจะยืดเยื้ออยู่เป็นอาทิตย์   รักษาทัน   ก็เลยไม่แน่ใจว่าเป็นอะไร
ส่วนเจ้านายที่ประชวรด้วยพระโรคไต  มีเจ้าฟ้าวไลอลงกรณ์ กรมหลวงเพชรบุรีฯ และเจ้าฟ้ากรมหลวงศรีรัตนโกสินทร์ เท่าที่นึกออกในตอนนี้ค่ะ


กระทู้: ก็อสสิปนอกกำแพงวัง
เริ่มกระทู้โดย: เทาชมพู ที่ 12 ต.ค. 04, 11:18
 คุณถาวภักดิ์เคยถามถึงกรมหลวงพระจักษ์ศิลปาคม(พระองค์เจ้าทองกองก้อนใหญ่ พระราชโอรสในรัชกาลที่ 4 ต้นราชสกุลทองใหญ่ ณ อยุธยา)
ไม่มีเรื่องใหญ่ๆค่ะ  แต่มีเกร็ดเล็กๆน้อยๆ มาเล่า
คือกรมหลวงประจักษ์ฯ ท่านทรงเลี้ยงสัตว์เลี้ยงไม่เหมือนชาวบ้าน    นอกจากหมาอัลเซเชียนตัวเบ้อเร่อที่สมัยนั้นชาวบ้านไม่มีแล้ว   ท่านยังเลี้ยงเสืออีกด้วย
เสือที่ว่า  เป็นเสือดาว หรือเสือโคร่งก็ไม่ทราบ รู้แต่ว่าตัวใหญ่มาก   ท่านทรงกำราบให้เชื่องด้วยการเอาเสือขังกรงไว้ก่อน  แล้วเอาเหล็กเผาไฟร้อนจัดแหย่เข้าไปในกรง  
ธรรมชาติของเสือเห็นอะไรแหย่เข้าไปก็ต้องตบ    เลยเจอเหล็กไฟแดงๆ ตีนพองร้องอู้  
ต่อไปเอาเหล็กไม่เผาไฟแหย่เข้าไปทดสอบ เสือก็กลัวไม่กล้าตบ   ต่อจากนั้นเอาไม้แหย่เฉยๆ เสือก็ไม่กล้าอีกแล้ว   นี่คือวิธีทำให้เสือเชื่อง
พอเชื่องแล้ว  กรมหลวงประจักษ์ฯ ท่านพระทัยกล้ามาก    จูงเสือไปไหนๆด้วยกัน
ขนาดจูงเสือเข้าพระบรมมหาราชวัง   พวกโขลนทั้งหลายพอเห็นกรมหลวงฯเสด็จมาแต่ไกลก็ต้องร้องตะโกนบอกกันไปเป็นทอดๆ ว่า
" กรมหลวงประจักษ์ฯ เข้าวังแล้วเจ้าข้า"
คำนี้เป็นสัญญาณเตือน คล้ายกับสัญญาณหลบภัย  พวกโขลนพวกชาววังทั้งหลายก็ต้องเผ่นหาที่หลบกันจ้าละหวั่น  เพราะเป็นที่รู้ว่าทรงจูงเสือเข้ามาด้วย
อีกอย่างคือไม่โปรดผ้าที่ตากไว้คาราว  ทรงเข้าวังหลวง  ผ่านไปทางไหนเห็นใครตากผ้าไว้ทรงริบหมด ไม่สนใจว่าเป็นผ้าเจ้านายหรือบ่าว   ทรงตำหนิว่าตากผ้ารกรุงรัง  
เวลาเสด็จเข้าวังหลวง ชาววังจึงโกลาหล นอกจากต้องวิ่งหนีเสือแล้วยังจะต้องรีบเก็บผ้าที่เผอเรอตากไว้ใกล้ทางเสด็จอีกด้วย
เจ้าเสือตัวนั้นเมื่ออยู่ในวังก็อยู่คล้ายๆหมา  คือเล่นป้วนเปี้ยนกับพระโอรสธิดา   ส่วนหมาอัลเซเชียนมันกลัวกลิ่นเสือ  เห็นเสือเข้าก็ลงนอนหงายแหงแก๋กันหมด
ไม่รู้ตอนจบว่าทรงทำอย่างไรเมื่อเสือนั้นโตเต็มที่หรือว่าเมื่อถึงฤดูผสมพันธุ์ เพราะเสือมันจะดุร้ายมาก   จะทรงปล่อยเข้าป่าหรือว่าเลี้ยงจนแก่ตายไปเองก็ยังหาหลักฐานไม่พบ


กระทู้: ก็อสสิปนอกกำแพงวัง
เริ่มกระทู้โดย: พวงร้อย ที่ 12 ต.ค. 04, 21:28
 ขอบคุณมากค่ะ คุณเทาชมพู  วันหลังว่างเห็นจะต้องไปค้นดูว่า  โรคไต นี่เป็นโรคทางกรรมพันธุ์ด้วยหรือเปล่าน่ะค่ะ  ความจริงก็สงสัยว่า อาการ ไตวาย เกิดมาจากอะไร  ไม่เคยเห็นจากที่ไหนมาก่อนเลยค่ะ  ว่า ร๕ ทรงประชวรด้วยโรคไต  ขอบคุณอีกครั้งค่ะ


กระทู้: ก็อสสิปนอกกำแพงวัง
เริ่มกระทู้โดย: เทาชมพู ที่ 14 ต.ค. 04, 19:14
 ดูจากพระอาการ น่าจะเป็นไตวายเฉียบพลันค่ะ  ต้องหาบันทึกของหมอปัว หรือหมอสมิธมาอ่านดู
ความจริงพระสุขภาพ เสื่อมโทรมลงก่อนหน้านี้แล้วหลายปี   เมื่อเสด็จยุโรปครั้งที่สองก็เพื่อไปรักษาพระองค์ แพทย์ฝรั่งถวายคำแนะนำให้ทรงลดพระราชภารกิจลง เพราะทรงงานหนักมาก  มาหลายสิบปีแล้ว

ก่อนวันสวรรคต  มีอาการพระนาภีเสีย   ต่อจากนั้น พระบังคนเบาออกมาเพียงเล็กน้อย แค่ ๑ ช้อนกาแฟ  จนสมเด็จพระพันปีตกพระทัย ทรงเรียกหมอฝรั่งหมอไทยมาชุมนุมกันดูพระอาการ
แต่พระอาการทรุดหนักลงอย่างรวดเร็ว  มีไข้  และเสด็จสวรรคตอย่างสงบหลังจากนั้นไม่กี่ชั่วโมง
พระบรมศพเป็นปกติเหมือนบรรทมหลับ   ว่ากันว่าเจ้าพนักงานที่อัญเชิญลงพระโกศถึงกับประหม่าสะทกสะท้าน เพราะดูคล้ายบรรทมหลับธรรมดา  ไม่เหมือนเสด็จสวรรคต  
*******************************************
ขอย้อนกลับไปเล่าถึงเกร็ดเกี่ยวกับกรมหลวงรามอิศเรศ ว่าท่านแน่ขนาดไหนในฐานะพ่อที่มีลูกสาวสวย
ย้อนหลังไปสมัยรัชกาลที่ ๓  วังของกรมหลวงรามฯ ตั้งอยู่ที่บริเวณศาลฎีกาใกล้พระบรมมหาราชวัง     ตอนเย็นๆก็จะมีเจ้านายหนุ่มพระองค์หนึ่ง เป็นพระราชโอรสในรัชกาลที่ ๓ ทรงพระนามว่าพระองค์เจ้าชมพูนุท  เสด็จบนหลังช้าง ผ่านไปเป็นประจำ
เพราะเจ้าของวังมีพระธิดาสาวสวย

สมัยนั้นการมีช้างเป็นพาหนะเป็นเรื่องสง่าผ่าเผยโก้มาก  เจ้านายเท่านั้นจะมี    ชาวบ้านไม่มีสิทธิ์   เทียบกับสมัยนี้ก็คล้ายๆหนุ่มที่มีรถเบนซ์สปอร์ตราคาสัก ๑๒ ล้านไว้ขับโฉบฉาย  ผู้คนก็ต้องรู้ว่าไม่ธรรมดา
แต่เจ้าของวังก็ไม่ธรรมดาเช่นกัน

พระองค์เจ้าหนุ่มเสด็จผ่านวังไปหลายครั้งเข้า  วันหนึ่งกรมวังก็ออกมากราบทูลเชิญให้เสด็จเข้าไปเฝ้าเจ้าของวัง
ผู้เป็นราชอาคันตุกะก็ทรงลงจากหลังช้างเสด็จเข้าไปตามคำเชิญ    พอเข้าไปก็เห็นเครื่องมือใช้สำหรับเฆี่ยนโบยหลัง วางเรียงรายราวกับนิทรรศการขนาดย่อย

กรมหลวงรามฯ ก็ทรงออกมาปราศรัยว่ามีเรื่องธุระปะปังอะไรหรือถึงผ่านวังบ่อย  แล้วก็ทรงปรารภเรียบๆว่า  ใครที่ผ่านวัง ไม่ดูตาม้าตาเรือ ทำตัวไม่เหมาะสม  เจ้าของสถานที่มีสิทธิ์เอามาเฆี่ยนได้ตามกฎหมาย
หลังจากทรงทักทายปราศรัยด้วยดีครั้งนั้นแล้ว   ต่อมาก็ไม่มีช้างผ่านหน้าวังในตอนเย็นๆอีกเลย


กระทู้: ก็อสสิปนอกกำแพงวัง
เริ่มกระทู้โดย: paganini ที่ 15 ต.ค. 04, 08:02
 มาอ่านอยู่เรื่อยๆครับ


กระทู้: ก็อสสิปนอกกำแพงวัง
เริ่มกระทู้โดย: พวงร้อย ที่ 15 ต.ค. 04, 10:31
 สนุกดีค่ะ  ขอบคุณมากนะคะ  ดิฉันกลับไปหาว่า  กรมหลวงรามอิศเรศ  คือใครตั้งแต่ต้นกระทู้ก็หาไม่เจอ  ไม่ทราบคุณเทาชมพูอธิบายถึงพระองค์ท่านไว้ที่ไหนคะ  จะไปอ่านก่อนน่ะค่ะ


กระทู้: ก็อสสิปนอกกำแพงวัง
เริ่มกระทู้โดย: เทาชมพู ที่ 15 ต.ค. 04, 10:42
 บอกทรงกรมผิดไปค่ะ  กรมพระรามอิศเรศ  ไม่ใช่กรมหลวง  อยู่ในความเห็นที่ ๒
พระนามเดิม พระองค์เจ้าสุริยา  เป็นพระราชโอรสในรัชกาลที่ ๑ ค่ะ
ถ้าลำดับญาติกัน ใช้ภาษาชาวบ้านก็คือทรงเป็นน้องชายของรัชกาลที่ ๒  และเป็นอาของรัชกาลที่ ๓  ก็อยู่ในฐานะปู่ของพระองค์เจ้าชมพูนุท  


กระทู้: ก็อสสิปนอกกำแพงวัง
เริ่มกระทู้โดย: เทาชมพู ที่ 16 ต.ค. 04, 11:43
 เกร็ดเล็กๆอีกเรื่องที่คุณหลวงวรภักดิ์ภูบาล( ม.ล.อาจ สุริยกุล) เล่าไว้ คือเรื่องของพระเจ้าบรมวงศ์เธอพระองค์เจ้าดิลกนพรัฐ กรมหมื่นสรรควิสัยนรบดี  พระราชโอรสในรัชกาลที่ 5 ประสูติแต่เจ้าจอมมารดาทิพเกสร ซึ่งเป็นชาวเหนือและเป็นพระญาติของพระราชชายา เจ้าดารารัศมี
เจ้าจอมมารดาทิพเกสรถึงแก่กรรมเมื่อพระองค์เจ้าชายยังทรงพระเยาว์  พระราชชายาทรงรับอุปการะดุจพระโอรสแท้ๆ

เรื่องของกรมหมื่นสรรควิสัยนรบดีเป็นเรื่องที่ไม่ค่อยมีใครเอ่ยถึงนัก   มักซุบๆซิบๆ  แล้วก็เลยลือไปคนละทางสองทาง   ทำให้ผิดความจริงกันไปใหญ่  

ตามประวัติ   เจ้านายพระองค์นี้ทรงปราดเปรื่องเรื่องวิชาความรู้มาก   เสด็จไปศึกษาที่อังกฤษและเยอรมนี   ทรงสำเร็จดอกเตอร์ วิสตาดส์ วิสเซนชัฟท์ หรือปริญญาเอก จากมหาวิทยาลัยทูบิงเงน
เมื่อเสด็จกลับมา ทรงรับราชการเป็นเจ้ากรมพลัมภัง กระทรวงมหาดไทย  
ทรงเสกสมรสกับเจ้าศิริมาบังอร  เป็นธิดาเจ้าเชียงใหม่ ว่ากันว่างามมาก งามกว่าสะใภ้หลวงทุกองค์
วังของกรมหมื่นสรรควิสัยอยู่ที่โรงไฟฟ้าสามเสนในปัจจุบัน  ดูเหมือนที่ทำการไฟฟ้าสามเสนนั่นแหละคือวังของท่าน

เรื่องเศร้าเกิดขึ้นเมื่อวันหนึ่งเจ้าศิริมาบังอรเสด็จไปที่พระราชวังสวนดุสิตโดยมีนางข้าหลวงชาวเหนือตามไปด้วย     แล้วไม่ทราบว่าเกิดพลาดพลั้งอะไรขึ้น   นางข้าหลวงตกน้ำลงไปที่อ่างหยก แล้วว่ายน้ำไม่เป็น   เจ้าศิริมาลงไปช่วย แต่ไม่สำเร็จก็เลยจมน้ำกันทั้งคู่
ตกเย็น  กรมหมื่นสรรควิสัยมารับพระชายากลับวัง แต่ไม่พบ  ค้นกันอยู่นานจึงพบที่อ่างหยก      พระสวามีเศร้าโศกเสียพระทัย ประกอบกับทรงคิดมากอยู่แล้ว   ทราบว่าพระโรคประสาทที่เป็นอยู่ไม่มีวันหายขาด  ก็เลยใช้ปืนปลงพระชนม์ตัวเอง    พระชนม์เพิ่งจะ 29 พรรษา  
ไม่มีพระโอรสธิดา


กระทู้: ก็อสสิปนอกกำแพงวัง
เริ่มกระทู้โดย: เทาชมพู ที่ 16 ต.ค. 04, 11:55
อีกเรื่องก็คือ  เมื่อพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าฯ ยังทรงเป็นสมเด็จพระบรมโอรสธิราชฯ อยู่ที่อังกฤษ  ประชวรด้วยโรคไส้ติ่งอักเสบต้องผ่าตัด
พระยาสิงหเสนีเอกอัครราชทูตประจำกรุงลอนดอน  ไม่ยอมให้หมอผ่าตัดก่อนได้รับพระบรมราชานุญาตจากพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าฯ เสียก่อนตามระเบียบ
พระยาสุริยานุวัฒน์  เอกอัครราชทูตประจำกรุงปารีสอยากให้รีบผ่าตัด  เจ้าคุณสิงหเสนีไม่ยอม  พระยาราชศุภมิตรพระพี่เลี้ยงก็ได้แต่ร้องไห้ทำอะไรไม่ได้
พระยาสิงหเสนีโทรเลขมากรุงเทพ    หลังจากนั้น พระยาสุริยานุวัฒน์ มาบอกว่า โทรเลขจากกรุงเทพตอบกลับมาแล้วว่าทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯให้ผ่าตัดได้
ก็เลยได้ผ่าตัด เรียบร้อยทันเวลา
ที่จริงแล้ว โทรเลขตอบกลับ ไม่มีตัวจริง   พระยาสุริยานุวัฒน์ไม่ได้รับโทรเลขสักนิดเดียว    เพราะโทรเลขไปถึงกรุงเทพจริง แต่ตอนนั้นพระเจ้าอยู่หัวเสด็จสีชัง   กว่าจะทรงทราบ กว่าจะโทรเลขกลับไปลอนดอน ก็นานอีกหลายวัน  ถึงตอนนั้นก็ผ่าตัดเสร็จกันไปนานแล้ว
พระเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่ 6 เคยรับสั่งว่า พระองค์ทรงเป็นหนี้บุญคุณพระยาสุริยานุวัฒน์มาก   ถ้าเจ้าคุณไม่หลอกพระยาสิงหเสนี  ป่านนี้อาจจะผ่าตัดไส้ติ่งไม่ทัน  เสด็จสวรรคตไปตั้งแต่คราวนั้น


กระทู้: ก็อสสิปนอกกำแพงวัง
เริ่มกระทู้โดย: เทาชมพู ที่ 16 ต.ค. 04, 15:37
 ขึ้นชื่อว่าผลไม้ดังที่สุดของไทยเห็นจะไม่มีอะไรเกินทุเรียน    
เมื่อสมัยโบราณ ที่ยังไม่มีทุเรียนกินกันทั้งปีเหมือนเดี๋ยวนี้   มีแต่เฉพาะหน้าของมัน   ราคาทุเรียนแพงมากเมื่อเทียบกับของกินอย่างอื่น    ถึงกับเปรียบกันว่าแพงเหมือนกินทองคำ แต่คนไทยก็ไม่ย่อท้อ  แพงแสนแพงก็ขวนขวายหามากิน   ถือว่าทุเรียนอร่อยที่สุด
ทบทวนชื่อเก่าๆของทุเรียน  หลายอย่างไม่ค่อยเห็นแล้ว บางชนิดก็หายไปเลยไม่รู้หน้าตาเป็นยังไง   เช่นย่ำมะหวาด  กำปั่น อีรวง กบ   ที่เห็นบ่อยคือหมอนทองกับชะนี  แต่ที่เขาว่าแพงที่สุดและอร่อยที่สุดคือก้านยาว

คุณหลวงวรภักดิ์ภูบาลเล่าเกี่ยวกับเรื่องนี้ว่า พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าฯ ไม่โปรดทุเรียน เพราะทรงเหม็นกลิ่นของมัน  จึงทรงห้ามเด็ดขาดในต้นรัชกาล ห้ามนำเข้าในพระบรมมหาราชวัง
จนถึงปลายรัชกาลจึงทรงผ่อนผันให้นำเข้าไปได้  แต่ต้องเป็นทุเรียนชนิดเนื้อแน่นไม่เละ  
พระเจ้าอยู่หัวเสวยแต่ทุเรียนเนื้อแข็ง  ไม่โปรดชนิดเนื้อเละเอาเลย


กระทู้: ก็อสสิปนอกกำแพงวัง
เริ่มกระทู้โดย: พวงร้อย ที่ 17 ต.ค. 04, 02:02
แปลกดีนะคะ  ตอนเด็กๆดิฉันก็ไม่ทานทุเรียนค่ะ  ทนกลิ่นไม่ได้เลย  มาอยู่นี่นานๆก็ไม่เคยอยาก  เมื่อหลายเดือนก่อนเห็นเค้าแกะเป็นพูมาขาย  นึกอย่างไรก็ไม่ทราบ  เลยซื้อมาทานพูนึง  ก็ไม่เหม็นแล้วค่ะ  

เกร็ดเล็กเกร็ดน้อยพวกนี้น่าสนใจดีนะคะ  เราอ่านประวัติศาสตร์อย่างเดียวนี่ก็ไม่ค่อยได้เห็นถึงชีวิตความเป็นอยู่ของคนสมัยโน้นเท่าไหร่  ดิฉันมีหนังสือเล่มหนึ่ง  ซื้อมานานแล้ว  ชื่อ อาหารทรงโปรด  เป็นตำราทำกับข้าวที่ ร ๕ ทรงโปรด และที่ทรงปรุงเองตอนเสด็จประพาสต้น  ดิฉันชอบ แกงเทโพ มาก  นานๆทำทีนึงก็อาศัยตำราเล่มนี้  แต่แปลกมากที่ตำราทำกับข้าวเล่มอื่นๆที่มีเยอะแยะ  ไม่มีสักเล่มที่ให้ตำราแกงเทโพไว้เลยค่ะ  ไม่ทราบเดี๋ยวนี้คนไม่นิยมทานแล้วหรือไรนะคะ


กระทู้: ก็อสสิปนอกกำแพงวัง
เริ่มกระทู้โดย: เทาชมพู ที่ 17 ต.ค. 04, 09:44
แกงเทโพตามร้านอาหารไทยยังพอมีให้เห็น ทั้งกรุงเทพและจังหวัดต่างๆ  ดิฉันลอง search ก็ได้มาหลายร้านเหมือนกัน  แต่ไม่ทราบว่ารสชาติจะดัดแปลงไปจากเดิมหรือว่าคงเดิม    

 http://www.siamguru.com/cgi-bin/search?q=%E1%A1%A7%E0%B7%E2%BE&t=1

ถ้าใครสนใจจะทำ  มีตำราของคุณหนานคำ ซึ่งเขียนคอลัมน์ "พ่อบ้านทำครัว" ในสกุลไทย  ตัดตอนมาฝาก.
*****************************
เมื่อเห็น”ผักบุ้งน้ำ” ก็อยากกิน”แกงเทโพ” เมื่อก่อนเขาใช้ปลาเทโพซึ่งมีรูปร่างคล้ายปลาสวายขนาดก็พอฟัดพอเหวี่ยงกันแหละครับ แต่ตัวสั้นและกว้างกว่าปลาสวาย ที่สำคัญตรงเหนือเงี่ยงที่หัวปลาทั้งสองด้านจะมีจุดดำคล้ายปานอยู่ทุกตัวเห็นชัดเจนนำมาแกง เพราะเป็นปลาที่มีไขมันมาก โดยเฉพาะตรงพื้นท้องด้วยแล้วมีเยอะมากและแทรกอยู่ในเนื้อปลาเสียด้วยกินอร่อย แต่หาปลาแม่น้ำยาก มีแต่ปลาเลี้ยงซึ่งเนื้อเหม็นสาบโคลนคาวจัด  ระยะหลังก็เลยใช้เนื้อหมูสามชั้นแกงแทน
        สำหรับ“แกงเทโพ” เป็นแกงคั่วชนิดหนึ่ง วันนี้ผมซื้อ”ผักบุ้งน้ำ” มา 2 กำ ,หมูสามชั้น 1 แพ็ค เกือบ 800 กรัม แต่จะใช้แค่ครึ่งเดียว,กะทิสำเร็จรูป 1 กล่อง(ขนาด 500 ML.) เครื่องแกง-เครื่องปรุงอย่างอื่นที่บ้านมีครบ

เข้าครัวหาน้ำพริกแกงก่อนอย่างอื่น ประกอบด้วยพริกแห้งบางช้าง 7-10 เม็ด ปลิดก้าน ผ่ากลางตามความยาวของเม็ดแคะเอาเมล็ดออกให้หมด แช่น้ำให้น่าย, กระเทียมปอกเปลือกให้เกลี้ยง 5-7 กลีบ, หอมแดงปอกเปลือก 3-5 หัว,กะปิ อย่างดีครึ่งช้อนคาว,ข่า ซอยละเอียด 1 ช้อนหวาน,ผิวมะกรูด 1 องคุลี ซอยละเอียด,ตะไคร้ซอยละเอียด 1 ช้อนคาว,พริกไทย 5 เม็ด,ปลาย่างแกะเอาแต่เนื้อป่นละเอียด 1 ช้อนคาวพูนๆ หรือจะใช้ปลาอินทรีเค็มปิ้งให้หอมแกะเอาแต่เนื้อขนาดหัวแม่มือก็ได้ และ เกลือ 1 หยิบมือ
          ใช้ครกโขลกเกลือ ผิวมะกรูด,ข่า เข้าด้วยกันให้ละเอียด ใส่ตะไคร้,พริกไทยโขลกต่อให้ละเอียด ใส่หอมและกระเทียมลงไปบุบพอแหลก  ต่อไปให้ตักเครื่องแกงจากครกทั้งหมดไปใส่เครื่องปั่นน้ำผลไม้ สงพริกแห้งขึ้นจากน้ำด้วยมือ บีบให้สะเด็ดน้ำ หั่นหยาบๆใส่ลงในเครื่องปั่น พร้อมกับปลาป่นหรือปลาเค็ม  เติมกะทิสำเร็จรูปตามลงไป 3 ทัพพี น้ำสุก 2 ทัพพี แล้วเปิดสวิตช์ปั่นให้ละเอียดเข้ากันแบบน้ำผลไม้  ได้น้ำพริกแกงแล้วพักไว้ก่อนครับ

   หันกลับมาล้างหมูสามชั้นถ้ามีขนก็ขูดให้สะอาด หั่นหมูตามขวางให้ติดกันมาทั้งหนัง-มัน-เนื้อขนาดหนาครึ่งเซ็นติเมตร  ส่วนผักบุ้งล้างให้สะอาดตัดโคนทิ้งเสียบ้าง ใบที่เหลืองและช้ำมากปลิดทิ้งไป หยิบผักบุ้งมาทีละ 4-5 ต้น กำทางโคนให้โผล่ออกมาสัก 2 องคุลีด้วยมือที่ไม่ถนัด  ตบด้วยมือที่ถนัดเข้าหามือที่กำไว้แล้วบิดผักบุ้งที่ตบแล้วแช่น้ำ(ควรผสมน้ำยาล้างผักหรือผงฟูลงในน้ำที่แช่ผักด้วย เพราะผักบุ้งอยู่ในน้ำและไม่ทราบแหล่งที่มา) “ตบและบิด” ไปเรื่อยๆจนหมดผักบุ้ง,
         ผลมะกรูด 2 ผล ล้างให้สะอาด หั่นตามขวางผลเป็น 2 ส่วน แคะเมล็ดทิ้งให้หมด, มะขามเปียก 10 ฝัก(ถ้าไม่เป็นฝักก็ประมาณ 1 กำมือ คั้นกับน้ำปลาดี 2 ช้อนคาวและน้ำสุก 1 แก้ว(หรือจะใช้น้ำมะขามเปียกแบบขวดที่มีขายก็ได้ สะดวกดี),ฉีกใบมะกรูดแช่น้ำไว้ 4-5 ใบ  พร้อมที่จะเริ่มแกงกันแล้วใช่ไหมครับ

   เทกะทิที่เหลือในกล่องใส่หม้อ  เปิดปากกล่องให้กว้างตวงน้ำสะอาดด้วยกล่องนี้ 2 กล่อง ตั้งไฟให้เดือดเคี่ยวจนแตกมัน  จากนั้นตั้งกระทะให้ร้อนโดยใช้ไฟกลาง เทน้ำพริกแกงจากเครื่องปั่นลงในกระทะผัดให้หอม ระหว่างน้ำพริกแกงยังไม่ได้ที่ ค่อยๆช้อนหน้ากะทิในหม้อที่เคี่ยวไว้โรยรอบกระทะเป็นระยะ พร้อมคนน้ำพริกแกงไปมาเพื่อไม่ให้น้ำพริกแกงไหม้  เมื่อผัดน้ำพริกแกงได้ที่ใส่เนื้อหมูสามชั้นลงไปผัด ตักกะทิที่เคี่ยวไว้จากหม้อ 5 ทัพพีใส่ลงในเครื่องปั่นที่เพิ่งเทน้ำพริกแกงออกไป เขย่าล้างให้ทั่ว เทลงในกระทะที่กำลังผัดน้ำพริกแกงกับหมูอยู่ เมื่อหมูสุกเทกะทิจากหม้อลงในกระทะทั้งหมดคนให้เข้ากัน  
          พอแกงเดือด ใส่ผักบุ้งที่แช่น้ำไว้ลงไป ปล่อยให้เดือดนานหน่อย คะเนว่าหมูและผักเปื่อยได้ที่ ปรุงรสด้วยน้ำมะขามเปียก,น้ำตาลปีบ,น้ำปลา,บีบน้ำมะกรูดที่ผ่าเป็นสองซีกลงในแกงทั้งสองผล เปลือกมะกรูดอย่าทิ้งนะครับใส่ตามลงไปในแกงด้วย  ชิมรสดูครับ ได้ที่แล้วใส่ใบมะกรูด ตักใส่หม้อตั้งไฟให้เดือดอีกครั้ง ยกลงพร้อมเสิร์ฟ

 แกงเทโพจะมีรสชาติเปรี้ยวกับหวานเท่ากัน ตามด้วยเค็มและเผ็ดเล็กน้อยเวลารับประทานแนมด้วย ไข่เค็ม หรือ ปลาสลิดเค็ม หรือ ปลาช่อนแดดเดียวทอด อร่อยจนคิดไม่ออกว่าพรุ่งนี้จะรับประทานข้าวกับอะไรจึงจะอร่อยได้เท่านี้เลยครับ

   หมายเหตุ และ ที่เด็ดเคล็ดไม่ลับ

1.   การ ”ตบและบิด” ผักบุ้งใช้ทั้งแกงเทโพและแกงส้ม เพราะจะทำให้ผักบุ้งอมน้ำแกงและเปื่อยเร็ว เวลาที่ผมแกงเทโพผักบุ้งหมดก่อนทุกทีเหลือแต่หมูสามชั้น จนบางครั้งต้องเติมผักบุ้ง”ตบและบิด” เพิ่มและปรุงรสใหม่
2.   น้ำมะขามเปียกหากคั้นเองควรคั้นกับน้ำปลาและน้ำสะอาดอย่างที่บอก  ถ้าจะให้ดียิ่งขึ้นเมื่อล้างมะขามเปียกจนสะอาดใส่ในถ้วยแล้ว  ใช้น้ำร้อน(แทนน้ำสะอาด)และน้ำปลาใส่ลงไปจะทำให้คั้นง่ายมาก  ส่วนน้ำมะขามเปียกสำเร็จรูปที่มีขายเปรี้ยวอย่างเดียวแต่ดีที่สะดวก เหลือใช้ก็เก็บไว้ในตู้เย็นได้


กระทู้: ก็อสสิปนอกกำแพงวัง
เริ่มกระทู้โดย: เทาชมพู ที่ 17 ต.ค. 04, 10:08
 ขอออกจากครัว   กลับมานั่งสนทนากันนอกกำแพงวังเหมือนเดิมค่ะ

เกร็ดในคห.นี้  เกี่ยวกับพระเจ้าบรมวงศ์เธอเจ้าฟ้ากรมพระยานริศรานุวัดติวงศ์   ทรงเป็นพระเจ้าน้องยาเธอในรัชกาลที่ 5    ทรงเป็นนายช่างเอกพระองค์หนึ่งของรัตนโกสินทร์
ผลงานสวยที่สุดชิ้นหนึ่งคือโบสถ์หินอ่อนวัดเบญจมบพิตร    พระนิพนธ์ที่ทรงคุณค่ายิ่งก็คือ "สาส์นสมเด็จ" ที่ทรงมีไปมากับสมเด็จกรมพระยาดำรงราชานุภาพ

เจ้าฟ้ากรมพระยานริศฯ ทรงเคยดำรงตำแหน่งเสนาบดีกลาโหม   วันที่เกิดเหตุ   พระองค์เสด็จจากวังที่ประทับ คือวังท่าพระ(ตรงมหาวิทยาลัยศิลปากร ในปัจจุบัน) จะไปหาเจ้าพระยาเทเวศร์ที่บ้านหม้อ   เพราะทรงสนิทสนมคุ้นเคยด้วย
เสด็จไปเพียงลำพังพระองค์เดียว  แต่งพระองค์ลำลอง ไม่ได้ทรงเครื่องแบบทหาร    มีแต่ไม้เท้ากับหมวกปานามา  
ขณะดำเนินไปใกล้ป้อมเผด็จดัสกร   ก็มีคนวิ่งตึ้กๆ มาทางด้านหลัง แล้วฉวยพระมาลาวิ่งแน่บหายไปทางสนามหลวง

ลักษณะนี้เรียกว่าวิ่งราวหมวก     หมวกแพงๆอย่างหมวกหางนกยูงและหมวกปานามา ถูกฉกไปบ่อยถ้าเจ้าของไม่ระวัง
สมเด็จฯก็ไม่ได้ทรงว่าอะไร   จะวิ่งตามก็ไม่ทัน   ก็เสด็จต่อไปจนถึงบ้านเจ้าพระยาเทเวศร์
ยังไม่ทันถึงที่หมาย ก็มีฝีเท้าวิ่งตึ้กๆไล่หลังมาอีก     แล้วพระมาลาใบเดิมก็ถูกแปะคืนกลับลงบนพระเศียร  ก่อนอ้ายหัวขโมยจะห้อแน่บหายลับตัวไปอีกทางสนามหลวง

วันรุ่งขึ้น สมเด็จฯทรงเรียกแถวทหารกลางกระทรวงกลาโหม  เพราะทรงแน่พระทัยว่า ไม่ใช่ใครอื่นต้องหนึ่งในพวกนี้แหละ
ตรัสเล่าเรื่องให้ฟังแล้วสำทับว่า " ไม่มีใครหรอก พวกเรานี่แหละ" ให้ไปหาตัวมา

ก็ได้ตัวมาจริงๆ  เป็นพลทหารปืนใหญ่    ตอนวิ่งราวพระมาลาได้   เพื่อนๆเห็น  รีบบอกว่าเป็นองค์เสนาบดี
หัวขโมยกลัวเลยวิ่งเอาพระมาลามาสวมคืน  

ในเรื่องไม่ได้เล่าต่อว่าถูกโทษขนาดไหน  แต่เดาว่าระดับนี้คงถูกขังหรือเข้าคุกไประยะหนึ่งตามระเบียบ


กระทู้: ก็อสสิปนอกกำแพงวัง
เริ่มกระทู้โดย: เหน่ง ที่ 17 ต.ค. 04, 18:11
 สวัสดีค่ะ
เป็นสมาชิกใหม่เดี๋ยวนี้เอง ฝากเนื้อฝากตัวด้วยค่ะ
อ่านเวบนี้มานาน เกิดคันขึ้นมา อยากแสดงความเห็นบ้างน่ะ ไม่มีอะไรหรอก แล้วจะโพสต์เข้ามาใหม่นะค่ะ ตอนนี้มีไอ้ตัวเล็กมาป้วนเปี้ยนอยู่ข้าง ๆ


กระทู้: ก็อสสิปนอกกำแพงวัง
เริ่มกระทู้โดย: เหน่ง ที่ 17 ต.ค. 04, 21:05
 สวัสดีอีกครั้งค่ะ

ไม่ทราบมีใครเคยอ่านหนังสือที่เขียนโดย เทพ สุนทรศารทูล หรือยัง เพิ่งซื้อมาอ่าน ชื่อเล่ม ฟ้าต่ำ แผ่นดินสูง เกี่ยวกับสารคดีชีวิตจริง ของ พระองค์เจ้าหญิงยอดยิ่งเยาวลักษณ์ พระองค์เจ้าพิสมัยพิมลสัตย์ และนางเทพจิตรา สละประเวศน์ ซึ่งในเนื้อเรื่องนี้เข้าหัวข้อกระทู้นี้มาก

จะยกตัวอย่างบทกลอนของพระองค์เจ้าหญิงพิสมัยพิมลสัตย์ ที่ปกหลัง เขียนว่า
ฉันอยากเกิดเป็นนกผกผิน
โผบินสู่ไพรสัณฑ์
มีอิสระเสรีในชีวัน
ไม่อุดตันถูกขังในวังทอง
พระองค์หญิงประสูติ เจริญชันษาจนล่วงมาถึงการเปลี่ยนแปลงการปกครอง ประสพวิบากกรรมมากมาย ถึงกับตัดพ้อกับนางเทพจิตรา อดีตข้าหลวงว่า "แม่เทพจิตราเอ๋ย แกอย่าเกิดเป็นเจ้าเหมือนข้าเลยนะ แกอธิษฐานให้ดีเถิดว่าชาติหน้าขอเกิดเป็นสามัญชนคนธรรมดา อย่ามาเกิดเป็นเจ้าเป็นอันขาด ฉันตายไปแล้ว ฉันจะไปกราบทูลพระทูลกระหม่อมแก้วว่าทูลกระหม่อมปล่อยทาสทั่วบ้านเมืองให้เขามีอิสระเสรีภาพ แต่ทูลกระหม่อมแก้ว ไม่ยอมปล่อยพระราชธิดาให้เป็นอิสระเสรีภาพ ถ้าทูลกระหม่อมปล่อยลูกไปเสียแต่ยังสาว ข้าก็จะไม่มีสภาพเป็นนางหงส์ปีกหักอย่างนี้"

หนังสือเล่มนี้หนาแค่ 84 หน้ารวมปก แต่เต็มไปด้วยเรื่องราวต่าง ๆ ที่ไม่เคยเห็นหรืออ่านจากที่ไหน อย่างเช่นสาเหตุเรื่องพระองค์เจ้าหญิงยอดยิ่งเยาวลักษณ์ถูกถอดออกจากฐานันดร และลูกที่เกิดไปไหน ชื่อ สกุลอะไร กิจกรรมภายในวังหลวง การสันนิษฐานสาเหตุที่ทำไมพระราชโอรส พระราชธิดาในรัชการที่ 5 ถึงมีพระชนมายุสั้น รวมไปถึงเหตุผลที่มาของชื่อหนังสือเล่มนี้ การก่อการเปลี่ยนแปลงการปกครอง โดยการถ่ายทอดผ่านทางนางเทพจิตรา อดีดข้าหลวงของพระองค์หญิงพิสมัยพิลัยลักษณ์

มีหลายครั้งที่อ่านเรื่องราวเกี่ยวกับพระราชวงศ์ทั้งในสมัยก่อน และปัจจุบันจากการเล่าลือ สงสัยเสียจริงว่าเป็นจริงเท็จขนาดไหน เคยมีสักครั้งมั้ยที่ตัวเชื้อพระวงศ์ หรือทายาทของท่านที่ถูกกล่าวถึงได้มีโอกาสออกมาแสดงตัวชี้แจงข้อเท็จจริงบ้าง


กระทู้: ก็อสสิปนอกกำแพงวัง
เริ่มกระทู้โดย: พวงร้อย ที่ 18 ต.ค. 04, 03:00
โอ๊ยยยย คุณเทาชมพู อ่านสูตรแล้วต่อมน้ำลายทำงานหนักเลยค่ะ ฮ่าๆๆ  อยากทานผักบุ้งไทยมากๆเลยค่ะ  ที่นี่หาเมล็ดผักบุ้งไทยไม่ได้  แต่ผักบุ้งจีนนี่มีขายมาก  ขอบคุณมากนะคะที่หาสูตรมาให้ค่ะ  เพิ่งทราบนะคะเนี่ยะว่า  เค้าใช้ปลาเทโพมาทำถึงได้เรียกชื่ออย่างนั้น  งงมาก่อนว่าทำไมถึงเรียก แกงเทโพ เดี๋ยวนี้ปลาแม่น้ำพวกนี้ไม่ทราบสูญพันธุ์ไปหมดแล้วยังนะคะ  คิดแล้วน่าเสียดาย

ขอบคุณคุณเหน่งมากเลยค่ะ  วันหลังมีโอกาสกลับไปเมืองไทยอยากไปหาหนังสือที่ว่าดูว่ายังมีขายหรือไม่  คิดว่าน่าเป็นไปได้มากนะคะ  ที่จะมีพระราชธิดาหลายพระองค์ทรงชีพด้วยความตรอมพระทัยขนาดนั้น  ความรักไม่เข้าใครออกใครจริงๆแหละค่ะ


กระทู้: ก็อสสิปนอกกำแพงวัง
เริ่มกระทู้โดย: เทาชมพู ที่ 18 ต.ค. 04, 08:22
 ขอสวัสดีและต้อนรับคุณเหน่งค่ะ
ดิฉันได้อ่านหนังสือของคุณเทพ สุนทรศารทูลแล้วค่ะคุณเหน่ง
แต่ไม่เคยนำมากล่าวถึงหรืออ้างอิงในที่นี้ เพราะดิฉันเคลือบแคลงว่าเรื่องนี้เป็นเรื่องแต่งหรือว่าสารคดีกันแน่    
คุณเทพไม่ได้ระบุออกมาชัดเจน    บก.ของสำนักพิมพ์ก็ไม่ได้แถลง  เป็นเรื่องที่ตีพิมพ์โดยไม่มีคำนำ ไม่มีคำอธิบายหรือหนังสืออ้างอิงอะไรเลย  แม้ว่าตัวบุคคลในเรื่องมีตัวจริงก็ตาม ก็ไม่ได้เป็นสิ่งยืนยันว่าเรื่องที่เขียนขึ้นนั้นมีเค้าความจริงอยู่มากน้อยแค่ไหน

ดิฉันรู้จักคุณเทพ สุนทรศารทูล ปัจจุบันท่านถึงแก่กรรมไปแล้ว  จนปัญญาที่จะไปถามได้   ท่านเป็นผู้สนใจเรื่องวัฒนธรรมและประวัติศาสตร์  ได้เคยเสนอข้อคิดใหม่ๆในเอาไว้หลายเรื่อง   เรื่องหนึ่งในจำนวนนี้คือคุณเทพเสนอว่า ผู้แต่งนิราศนรินทร์ ไม่ใช่นายนรินทรธิเบศร์ มหาดเล็กวังหน้ารัชกาลที่ ๒   แต่เป็นตัววังหน้า กรมพระราชวังบวรมหาเสนานุรักษ์เองน่ะแหละเป็นผู้แต่ง แต่อ้างว่ามหาดเล็กของท่านแต่ง
ดิฉันไม่เห็นด้วยกับคุณเทพ   เหตุผลของคุณเทพคือกวีได้บรรยายถึงนางในเรื่องไว้ สูงส่งเหนือหญิงสามัญชนมาก  เช่นสวมแหวนนพเก้า  นั่งเรือแผง ห่มสไบกรองทอง   เป็นนางในวังระดับเจ้านาย เกินกว่าจะเป็นภรรยาคนชั้นมหาดเล็ก ก็เลยเชื่อว่าคนแต่งต้องเป็นเจ้านายระดับสูง แต่ในบทท้ายเมื่อระบุชื่อผู้แต่งว่าเป็นมหาดเล็กชื่ออิน   คุณเทพก็เชื่อว่าเป็นการปิดบังตัวตนผู้แต่งแท้จริง
นอกเหนือจากภาพนางในฝัน ซึ่งกวีจะบรรยายให้หยดย้อยยังไงก็ได้ ไม่ได้หมายถึงตัวจริง  ดิฉันไม่เคยเห็นขนบธรรมเนียมการปิดบังตัวตนผู้แต่งด้วยการอ้างชื่อคนอื่นแทนในวรรณคดีไทย   เห็นแต่การไม่เปิดเผยตัวตนด้วยการไม่บอกชื่อ  กับการเปิดเผยด้วยการระบุชื่อไว้สั้นๆท้ายเรื่อง
จะว่าคนแต่งนิราศนรินทร์ปิดบังตัวเอง ไม่ใช่แน่นอน
เพราะในเรื่องบอกชัดว่าแต่งไว้ให้คนอื่นได้อ่านด้วย  ถึงกับบอกว่าถ้าใครอ่านแล้วเห็นว่าผิดพลาดตรงไหนจะติก็ได้ตามใจ  

ก็ในเมื่อแต่งอย่างเปิดเผย ให้คนอื่นอ่าน  กรมพระราชวังบวรฯ จะใส่ชื่อมหาดเล็กว่าเป็นคนแต่งทำไม    และไม่มีเหตุผลทางการเมืองหรืออะไรสักอย่างที่ทำให้ท่านต้องงุบงิบบอกใครไม่ได้ว่าเป็นกวี
ยุคของท่านก็เป็นยุคกวีนำหน้าเสียด้วย  ใครแต่งหนังสือได้ก็เป็นคนโปรดของรัชกาลที่ ๒  ไม่ต้องปิดบัง

ย้อนกลับมาถึงหนังสือเรื่องนี้
พระนามพระราชธิดาในรัชกาลที่ ๕  ผู้เป็นเจ้าของคำพูดที่คุณเหน่งยกมา   ดิฉันค้นแล้วมีพระองค์จริง   แต่...
ดิฉันไม่คิดว่าท่านจะพูดอะไรแบบนั้นกับผู้หญิงที่เป็นเพียงบ่าวในวัง  อย่างแม่เทพ  ตัวในเรื่องที่คุณเทพบอกว่าเป็นชาววังที่เล่าเรื่องให้ศึกษาธิการหนุ่มนิรนาม ฟัง
ชาววังมีหลายระดับ   ไม่ได้มีแต่เจ้านายแล้วก็สามัญชนที่ไปรับใช้เจ้านายเท่านั้น
สามัญชนก็แบ่งระดับลดหลั่นกันลงมาด้วย

หญิงชาววังที่ใกล้ชิดเจ้านาย เรียกว่านางข้าหลวง  มักเป็นลูกผู้ดีหรือเชื้อพระวงศ์ระดับม.ร.ว. หรือ ม.ล. ที่พ่อแม่เอาไปถวายตั้งแต่ยังเล็ก   คนเหล่านี้จะได้ขึ้นไปเฝ้าบนตำหนัก เรียนวิชาชั้นสูงต่างๆสำหรับแม่บ้าน เช่นร้อยดอกไม้ แกะสลักผัก   จีบพลู  ปอกมะปรางริ้ว  ทำกับข้าวประเภททำยาก   ผู้หญิงพวกนี้แหละที่ได้ใกล้ชิดเจ้านาย  มีโอกาสได้รู้ได้เห็นเรื่องราว และได้เรียนหนังสือ

แต่อีกระดับหนึ่ง คือบ่าว  เป็นลูกมืออยู่ในครัว  ใช้แรงงานแบกหาม ไปตลาด ทำสวน  ทั้งหมดใช้แรงงานหญิงเพราะผู้ชายเข้าไปไม่ได้
แบบหลังนี้จะไม่มีโอกาสได้พูดจากับเจ้านายเลย  และไม่ได้เรียนหนังสือด้วย  จะออกจากงานเมื่อไรก็ได้  จะไปเช้าเย็นกลับออกจากวังไปไหนมาไหนก็ได้

ดิฉันดูจากพื้นฐานของแม่เทพตัวละครในเรื่อง  แล้วคิดว่าหล่อนอยู่ในระดับบ่าว    เป็นการยากที่จะเชื่อว่าเจ้านายจะทรงข้ามนางข้าหลวงทั้งหลายมาเล่าความในพระทัยให้ฟังถึงขนาดนี้    ในหนังสือก็ไม่เห็นแม่เทพบอกสักนิดเดียวว่าข้าหลวงทั้งหลายหายไปไหนหมด   ไม่มีกล่าวถึงสักคน

 ตามธรรมเนียมเจ้านายแม้ว่าเปลี่ยนแปลงการปกครองต้องออกมาประทับอยู่นอกวัง ก็ต้องมีข้าหลวงเก่าแก่ตามเสด็จมาอยู่ด้วย  ไม่ได้อยู่โดดเดี่ยวอย่างในเรื่อง   ยิ่งเป็นระดับพระราชธิดาของพระเจ้าอยู่หัวยิ่งไม่มีทาง  

เดี๋ยวมาต่อค่ะ  


กระทู้: ก็อสสิปนอกกำแพงวัง
เริ่มกระทู้โดย: เทาชมพู ที่ 18 ต.ค. 04, 08:48
 คุณเทพ เป็นผู้ที่สนใจเรื่องเกร็ดประวัติศาสตร์   เคยเขียนบทความลงในวารสารศิลปวัฒนธรรมบ่อยๆ    ดิฉันไม่แปลกใจที่คุณเทพรู้เรื่องพระองค์ยิ่งเยาวลักษณ์  และเรื่องอื่นๆ  บางเรื่องก็ตรงกับที่รู้กันอยู่แล้ว  บางเรื่องก็เป็นการค้นคว้าของคุณเทพเอง

ข้อมูลของคุณเทพที่เขียนในเรื่องนี้  ผ่านทางคำบอกเล่าของแม่เทพจิตรา   หลายเรื่องดิฉันรู้สึกว่าหล่อนรู้ตรงกับคุณเทพ  จนทำให้อ่านแล้วเกิดความสงสัยขึ้นมาว่า  เทพจิตรานั่นแหละคือตัวคุณเทพเอง
เสด็จพระองค์หญิง พระราชธิดาที่คุณเทพเอ่ยถึง   เจ้าจอมมารดาของท่านมาจากตระกูลสุนทรศารทูล  เป็นไปได้ว่าคุณเทพอาจเคยได้ยินผู้ใหญ่เล่าถึงเรื่องราวต่างๆในวัง เกี่ยวกับเจ้านายสตรีพระองค์นี้
แต่รายละเอียดหลายอย่างมันค่อนข้างผิดแผกแปลกกว่าชีวิตในวัง
ยกตัวอย่างเช่นชื่อแม่เทพจิตราที่ว่าเสด็จพระองค์หญิงพระราชธิดาประทานให้บ่าวคนนี้แหละ     ธรรมเนียมการตั้งชื่อสามัญชนในสมัยนั้น เขาไม่ตั้งชื่อยาวๆเพราะๆ ถือว่าทำเทียมเจ้านาย เขาจะตั้งชื่อสั้นๆคำเดียวหรือสองคำอย่างมาก    ยิ่งในรั้วในวังแล้วเจ้านายย่อมจะทรงรู้ขนบธรรมเนียมข้อนี้ดี  
ท่านไม่น่าจะตั้งชื่อบ่าวซึ่งต่ำกว่านางข้าหลวงด้วยซ้ำไป ว่าเทพจิตรา   ชื่อนี้น่าจะเป็นชื่อหม่อมเจ้าเป็นอย่างต่ำ
ถ้าบ่าวชื่อเทพจิตรา  คนในวังเขม่นตายเลย


กระทู้: ก็อสสิปนอกกำแพงวัง
เริ่มกระทู้โดย: เทาชมพู ที่ 18 ต.ค. 04, 09:04
 ฉันอยากเกิดเป็นนกผกผิน
โผบินสู่ไพรสัณฑ์
มีอิสระเสรีในชีวัน
ไม่อุดตันถูกขังในวังทอง

สำนวนกลอนและวิธีแต่งกลอนแบบนี้ ไม่เหมือนวิธีแต่งในสมัยรัชกาลที่ ๕ หรือ ๖     แต่คล้ายกับการแต่งสมัยหลัง ๒๕๐๐ เป็นต้นมา
คือไม่บังคับจำนวนคำในแต่ละบาทเคร่งครัด    ไม่ใช่กลอนสุภาพ  เป็นกลอนหกบ้าง ห้าบ้าง แปดบ้าง  
คำว่า อิสระเสรี  เป็นคำที่ไม่ค่อยพบกันนักในกลอนสมัยรัชกาลที่ ๖ และ ๗  เขามักจะใช้ว่า เป็นไทแก่ตัว หรืออะไรคล้ายๆอย่างนั้น

อีกข้อหนึ่งที่ดิฉันอ่านแล้วตะขิดตะขวงใจ  คือเรื่องนี้ เสด็จพระองค์หญิงในเรื่องท่านรู้สึกว่าชีวิตในวังเหมือนนกในกรงทอง   ท่านอยากจะมีชีวิตคู่ อยากแต่งงานกับคนสามัญแล้วสืบสกุลกันทางฝ่ายหญิง   ย้ำข้อนี้อยู่หลายบทด้วยกัน  แต่ในเรื่องก็ไม่เห็นมีตอนไหนบอกว่าท่านเคยพบชายหนุ่มคนไหนจนเกิดความรัก      ฟังเหมือนกับว่าเป็นความอยากมีชีวิตอีกแบบหนึ่งเท่านั้น
โดยไม่คำนึงถึงความเป็นไปได้ในสังคม  ว่าพระราชธิดาของพระเจ้าแผ่นดินจะทำตัวให้เข้ากันอย่างไรกับครอบครัวของสามัญชน ในยุคที่คนไทยยังอยู่รวมกันปู่ย่าตายายพี่ป้าน้าอาในบ้านเดียวกัน

การไม่พอใจกับชีวิตที่ถูกจำกัดขอบเขตก็เป็นเรื่องหนึ่ง แต่การแต่งงานกับสามัญชนก็อีกเรื่องหนึ่ง   แยกได้เป็น ๒ ประเด็น

ความคิดเรื่องดอกฟ้าสละฐานันดรมารักกับสามัญชน เป็นแนวคิดที่แพร่หลายอยู่ในนิยายรักยุคก่อนสงครามโลกครั้งที่สอง
เรื่องดรรชนีนางของอิงอร ก็มีตัวอย่างให้เห็น
ดิฉันมีความเห็นส่วนตัว  ผิดถูกอย่างไรขอรับไว้แต่ผู้เดียว ว่าแนวคิดของเสด็จพระองค์หญิงในเรื่องนี้ช่างเหมือนนิยายรักในยุคนั้น
และมองอีกที ก็เหมือนกับความคิดของสามัญชน  มองว่าเจ้านายคิดอย่างไร  มากกว่าจะเป็นความคิดของเจ้านายมองเองจริงๆ

แต่ทั้งนี้ไม่ได้หมายความว่าดิฉันผูกขาดความคิดตัวเองว่าเป็นคำตอบเบ็ดเสร็จ ของเรื่องนี้    เป็นแค่ความคิดเห็นของคนหนึ่ง จะผิดหรือถูกก็ได้   แต่เห็นอย่างนี้จริงๆ   เมื่อเกิดความเคลือบแคลงขึ้นมายังพิสูจน์ไม่ได้ว่าตัวเองคิดผิดหรือถูก  ก็เลยลังเลไว้ก่อนไม่อ้างหนังสือเรื่องนี้ค่ะ


กระทู้: ก็อสสิปนอกกำแพงวัง
เริ่มกระทู้โดย: เทาชมพู ที่ 18 ต.ค. 04, 11:25
ดิฉันย้อนนึกดู  ว่าเจ้านายสตรีระดับพระเจ้าลูกเธอในรัชกาลที่  5  ไม่มีพระองค์ไหนเสกสมรสก็จริง  ส่วนหนึ่งอาจจะเป็นเพราะเจริญพระชนมายุขึ้นมาในระบอบสมบูรณาญาสิทธิราชย์  ซึ่งมีกฎมณเฑียรบาลบังคับอยู่  
แต่มาถึงยุคประชาธิปไตย   เจ้านายชั้นหลานเธอ   คือระดับหม่อมเจ้าหญิง ทรงสมรสไปกับสามัญชน ก็มีอยู่มากหลายองค์อยู่เหมือนกัน

ขอยกพระนาม พร้อมชื่อสวามีเป็นตัวอย่างก็คือ
-หม่อมเจ้าหญิงโสมะกานดา จันทรทัต  ทรงสมรสกับ พลตำรวจตรีพิบูลย์ ภาษวัธน์
-หม่อมเจ้าหญิงพิศเพี้ยงแขไข  ชยางกูร ทรงสมรสกับเรือเอกเพิ่ม วณิกสัมบัน
ยังมีหม่อมเจ้าหญิงในราชสกุลชยางกูร สมรสกับสามัญชนอีก 2 องค์คือ
-หม่อมเจ้าหญิงประไพพงษ์  ทรงสมรสกับพันเอกสมบูรณ์ ศิริเวทิน และหม่อมเจ้าหญิงทิพยลักษณสุดา ทรงสมรสกับขุนประทนคดี

ราชสกุลวรวรรณ
หม่อมเจ้าหญิงบรรเจิดวรรณวรางค์ วรวรรณ ทรงสมรสกับพลเอกมังกร พรหมโยธี
หม่อมเจ้าหญิงอุบลพรรณี วรวรรณ  ทรงสมรสกับนายฮาโรลด์ แคร็บบ์
หม่อมเจ้าหญิงฤดีวรวรรณ วรวรรณ ทรงสมรสกับนายปุ๊ ประไพลักษณ์ และต่อมากับนายโรเบิร์ต ส. อาร์โนลด์

ราชสกุลดิศกุล มี 2 องค์
หม่อมเจ้าหญิงสุมณีนงเยาว์ ดิศกุล ทรงสมรสกับพันเอกสุวัฒน์ วินิจฉัยกุล
หม่อมเจ้าหญิงพรพิลาศ  ดิศกุล ทรงสมรสกับ นายชวน บุนนาค

ในราชสกุลสวัสดิวัตน์ มี 4 องค์คือ
หม่อมเจ้าหญิงสุเลสลัลเวง สวัสดิวัตน์ ทรงสมรสกับนายประพันธ์ สิริกาญจน
หม่อมเจ้าหญิงอมิตดา  สวัสดิวัตน์ ทรงสมรสกับนายแพทย์สภร ธรรมารักษ์
หม่อมเจ้าหญิงมัทรโสภานา ทรงสมรสกับนายฟื้น ดุลยจินดา
หม่อมเจ้าหญิงวิสาขานุจฉวีย์  ทรงสมรสกับนายโนบูซูกุ  อุตากาว่า
หม่อมเจ้าหญิงศกุนดาลา(หรือศกุนตลา) ทรงสมรสกับนายราศี ปัทมะสังข์

ทั้งหมดนี้อาจจะยังไม่ครบ  ขอยกเป็นตัวอย่างเท่านี้ค่ะ


กระทู้: ก็อสสิปนอกกำแพงวัง
เริ่มกระทู้โดย: เหน่ง ที่ 18 ต.ค. 04, 12:50
 เท่าที่คุณเทาชมพูให้ข้อสังเกตเกี่ยวกับคุณเทพมา ก็เห็นจะเป็นจริง ตัวเองก็เพิ่งจะมาศึกษาเกี่ยวกับราชวงศ์ก็เมื่อมีสี่แผ่นดินทางช่อง 9 เค้าทำดีเหลือเกิน เรียกว่าสี่แผ่นดินฟีเวอร์ก้ได้ ไม่ว่าใครจะวิจารณ์อย่างไร เกี่ยวกับการผลิตละครเรื่องเปรียบเทียบของเก่าที่เขาทำมาแล้ว

สำหรับตัวอย่างที่คุณเทาชมพูยกมาเกี่ยวกับเจ้านายผู้หญิงที่สมรสกับสามัญชน สงสารแต่พระราชธิดาของรัชกาลที่ 5 ที่ไม่มีโอกาสได้สมรสเลย ในหนังสือของคุณเทพกล่าวไว้ว่าทูลกระหม่อมทรงรักลูกจนหลง ไม่อยากให้แต่งออกไป กลัวเขาจะเลี้ยงไม่ดีเหมือนตัว ไม่รู้สิ บางทีรักมากเกินเลยกลายเป็นการบังคับจิตใจ โดยเฉพาะพระองค์ท่านมีอำนาจล้นฟ้า ลูกเต้าถูกสั่งสอนให้เคารพนับถือเฉกเช่นเจ้าฟ้าเทวดา เสียมากกว่าที่จะเป็นพ่อ เลยไม่มีใครกล้าหือ คิดว่าอย่างนั้นนะ

อ้อ มีข่าวมาฝากนิดนึง ในงานสัปดาห์หนังสือแห่งชาติที่จะเริ่มต้นขึ้นในวันที่ 22-30 พฤศจิกายนนี้ จะมีหนังสือเกิดวังปารุสก์ขายด้วย เพิ่งจะโทรไปสอบถามมา เราติดตามมาเป็นปีแล้ว ราคา 895 บาท ไม่รู้เค้าจะลดราคาบ้างหรือเปล่า เราอยู่ไกลตั้งภูเก็ต เห็นทีจะต้องหาทางไปหาซื้อมาให้ได้เสียที เมื่อก่อนที่ยังอยู่กรุงเทพ เห็นขายเต็มไปหมด แต่ไม่มีปัญญาซื้อ เวลานี้มีทั้งกำลังทรัพย์และเวลา แต่หนังสือเกี่ยวกับเรื่องพวกนี้ กลับหายากเต็มทน ใครที่พอจะทราบแหล่งขายหนังสือเกี่ยวกับราชวงศ์ทั้งหลาย กรุณาเลียบ ๆ เคียง ๆ ให้ทราบบ้าง จะเป็นพระคุณอย่างยิ่ง

อีกอย่างที่สงสัยมาก คุณเทาชมพูค่ะ ทำไมคุณรู้เรื่องพวกนี้เยอะจังเลย นอกจากอ่านมาก ก็คงต้องทำอะไรเกี่ยวกับพวกนี้ด้วยเป็นแน่แท้ เพราะลำพังตัวเอง ถ้าหากไม่มีความสนใจส่วนตัว และกำลังซื้อที่พอเพียงก็คงจะเป็นการยากที่จะจัดซื้อจัดหามาอ่านได้ ราคาสูงใช้ได้ทีเดียวหากจะต้องซื้อมาเก็บไว้เป็นสมบัติส่วนตัว ห้องสมุดในจังหวัดภูเก็ตเองก็มีไม่มากมายอะไร หอสมุดแห่งชาติก็อยู่ไกลเกินกว่าเวลาและเงินจะอำนวยได้ มีแหล่งความรู้ผ่านทางอินเตอร์เนตและร้านหนังสือในจังหวัดเท่านั้นที่พอจะจัดสรรมาประดับความอยากรู้อยากเห็นได้ คุณเทาชมพูจะตอบหรือไม่ตอบก็ได้นะค่ะ ถ้าไม่เป็นรบกวนความเป็นส่วนตัวมากจนเกินไป


กระทู้: ก็อสสิปนอกกำแพงวัง
เริ่มกระทู้โดย: เทาชมพู ที่ 18 ต.ค. 04, 13:16
ถ้าหากว่าคุณเหน่งขึ้นมากรุงเทพ ตรงไปที่ศูนย์หนังสือจุฬา ที่สยามสแควร์  ในนั้นมีหนังสือแบ่งเป็นหมวดหมู่   และมีคอมพิวเตอร์ให้ค้นชื่อหนังสือได้  
ดูหนังสือเกี่ยวกับประวัติศาสตร์และวัฒนธรรมนะคะ มีเยอะเชียว  หนังสือเกี่ยวกับพระราชวงศ์ ก็มีมาก  โดยเฉพาะที่พิมพ์ใหม่    มติชนเอาหนังสือรุ่นเก่าแก่หายากมาพิมพ์ใหม่หลายเล่มค่ะ
ในงานมหกรรมหนังสือก็จะมีให้เลือก    ดิฉันชอบแวะบูธคุรุสภา บางปีเอาหนังสือเก่าๆมาขายด้วยราคาถูกมาก  บางปีก็ไม่เอามา น่าเสียดาย
ถ้าจะไปลุยอีกทีก็ร้านหนังสือเก่าที่จตุจักร   แต่ต้องต่อราคานะคะ เพราะขายแพงกว่าหนังสือใหม่เสียอีก

ดิฉันน่ะหรือคะ เป็นคนชอบอ่านหนังสือเก่า   อ่านหนักๆเข้า ก็อยากเล่าสู่กันฟัง   แต่ไม่ได้มีอาชีพตั้งสำนักพิมพ์หรือขายหนังสือค่ะ


กระทู้: ก็อสสิปนอกกำแพงวัง
เริ่มกระทู้โดย: นนทิรา ที่ 18 ต.ค. 04, 16:02
 กำลังอ่านสนุกเชียวค่ะ เกร็ดเรื่องน่าสนใจทั้งนั้น

ถ้าคุณเทาชมพูพอจะมีเวลา กรุณาเล่าเรื่อง ย่าเหล ให้ฟังบ้างนะคะ ย่าเหลเป็นสุนัขที่ทรงเลี้ยงมาตั้งแต่ย่าเหลยังเล็กๆ หรือเป็นสุนัขที่มีใครถวายคะ และท้ายสุดคือ เกิดอะไรขึ้นกับย่าเหลคะ จึงมีท่อนหนึ่งของพระราชนิพนธ์ว่า

อันความตายเป็นธรรมดาโลก....กูอยากตัดความโศกกมลหมอง
นี่เพื่อนตายเพราะผู้ร้ายมันมุ่งปอง.....เอาปืนจ้องสังหารผลาญชีวี
เพื่อนมอดม้วยด้วยมือทุรชน....เอารูปคนสรวมใส่คลุมใจผี
เป็นคนจริงหรือจะปราศซึ่งปรานี....นี่รากษสอัปรีย์ปราศเมตตา

ทูลกระหม่อมรัชกาลที่ 6 ทรงโศกเศร้าอาดูร จนทรงพระราชนิพนธ์เหมือนเรื่องความตายของย่าเหล ไม่ใช่อุบัติเหตุ อ่านแล้วงงๆค่ะ


กระทู้: ก็อสสิปนอกกำแพงวัง
เริ่มกระทู้โดย: เหน่ง ที่ 18 ต.ค. 04, 17:29
 เคยอ่านจากที่ไหนจำไม่ได้ว่าเป็นเรื่องทางการเมืองอะไรทำนองนี้ เห็นว่ารู้ตัวผู้ประทุษร้ายย่าเหล จำไม่ได้อีกนั่นแหละว่าเพราะอะไรจึงไม่มีการลงโทษ คงเพราะการเมืองในหลวงเลยต้องโศกเศร้าอยู่แต่ผู้เดียว

ก็คงเช่นเดียวกับหลายเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นทั้งในอดีตและปัจจุบันที่เราไม่ทราบสาเหตุและเหตุผลว่าทำไมจึงเกิดขึ้น แล้วปรากฎภายหลังว่าทั้งหมดเนื่องมาจากเหตุผลทางการเมือง

ในหนังสือของคุณเทพเล่าถึงการสิ้นพระชนม์ของรัชการที่ 8 ว่าเป็นเพียงอุบัติเหตุ เพราะว่าพระองค์ท่านชอบเล่นปืน แล้วเกิดปืนลั่น ขณะเดียวกันที่ฝ่ายตรงข้ามของนายปรีดี กำลังหาเหตุอยุ่ ก็เลยโยงเข้าด้วยกัน เรามีญาติคนหนึ่งที่ตายเพราะสาเหตุเดียวกันกับพระองค์ คือ นอนลูบคลำปืนคนเดียวอยู่ในห้อง ซึ่งปกติก็ทำอย่างนั้นทุกครั้งที่มีเวลาว่าง วันที่เสียชีวิตก็ลักษณะท่าที่เสียชีวิตไม่แตกต่างจากพระองค์ท่านเท่าไหร่ ทั้งยังมีคนได้ยินเสียงปืนแต่เพียงเล็กน้อย พี่ ๆ ที่อยู่นอกห้องเอะใจนิดหน่อย แต่ก็ไม่ได้เข้าไปดู จนกระทั่งถึงเวลาอาหารเย็นจึงเข้าไปเรียก พบว่าเสียชีวิตแล้ว ตัวยังอุ่นอยู่เลย

ไม่รู้สิ สำหรับรัชกาลที่ 8 คนก็พูดกันไปต่าง ๆ นา ๆ หาข้อสรุปไม่ได้ แม้แต่คนที่รับกรรมการจากการณ์นี้ เมื่อวาระสุดท้ายจะมาถึงจำได้ว่าได้กระซิบบอกจอมพลคนหนึ่ง จำไม่ได้ว่าเป็นใคร แต่เป็นคนที่พยายามจะรื้อฟื้นคดีแต่ไม่สำเร็จ สุดท้ายเรื่องที่กระซิบก็ตายไปพร้อมกับตัว บางทีเรื่องที่กระซิบนั้น อาจจะเคยถูกเปิดเผยในหนังสือบางเล่มที่เราไม่เคยได้อ่าน ถ้าใครรู้เฉลยที จะเป็นพระคุณอย่างยิ่ง


กระทู้: ก็อสสิปนอกกำแพงวัง
เริ่มกระทู้โดย: เทาชมพู ที่ 18 ต.ค. 04, 19:50
 เรื่องย่าเหล ขอตัวไปเรียบเรียงก่อนนะคะคุณนนทิรา  ย่าเหลถูกยิงตายค่ะ  ในพระราชนิพนธ์มีอีกบทหนึ่งว่า
มันยิงเพื่อนเหมือนกูพลอยถูกด้วย
แทบจะม้วยมรณังสิ้นสังขาร์

เรื่องย่าเหลไม่ใช่เรื่องการเมืองค่ะคุณเหน่ง   ความเข้าใจว่าเป็นเรื่องการเมืองเพิ่งจะเล่าลือกันมาราว 30 ปีนี่เอง  ในตอนนั้นกระแสการเมืองกำลังแรง  แม้แต่เรื่องในอดีตบางเรื่องก็ถูกปลุกผีขึ้นมาใส่ไข่ใหม่ว่าเป็นการเมือง

ถ้าคุณเหน่งสนใจเรื่องรัชกาลที่ 8  ไปหาอ่านหนังสือ กรณีสวรรคต ของนายแพทย์ที่ชันสูตรพระบรมศพ  ในนั้นมีรายงานทางการแพทย์เอาไว้  คงจะหาได้ตามร้านหนังสือเก่า    ส่วนในหนังสือคุณเทพ  ดิฉันคิดว่าเป็นความเห็นส่วนตัวของคุณเทพค่ะ

ขอเล่าเรื่องคะนังให้ฟังนะคะ
คะนังเป็นคนป่า  เข้าใจว่าเป็นพวกที่เราเรียกว่า เงาะป่าซาไก  มีเผ่าพันธุ์อยู่ทางใต้ของสยามใกล้ชายแดนมาเลย์     เจ้าเมืองทางใต้นำมาถวายพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าตามพระราชประสงค์   โดยเลือกมาจากเด็กกำพร้าในกลุ่มเงาะ  ไม่มีพ่อแม่พี่น้อง    แล้วเอาตัวมาส่งถึงกรุงเทพ  คะเนว่าเกิดราวพ.ศ. ๒๔๓๖ แต่ตัวเล็กดูเหมือนเด็กกว่าวัย

คะนังมีสีผิวดำ    แต่ไม่ดำสนิทอย่างคนแอฟริกัน ยังมีสีน้ำตาลแก่เจืออยู่มาก แบบที่เรียกว่าดำแดง   ผมหยิกเป็นสปริงขอดติดหนังหัว จมูกแบน ปากหนาตัดกับฟันขาว  
เป็นเด็กร่าเริงฉลาดเฉลียว  พระเจ้าอยู่หัวจึงโปรดมาก ทรงเลี้ยงดังพระราชโอรสบุญธรรม เพียงแต่ว่าไม่ได้ยกให้เป็นเจ้า    ทรงมอบให้พระวิมาดาเธอพระองค์เจ้าสายสวลีภิรมย์ กรมพระสุทธาสินีนาฎ  ทรงดูแล    มีเตียงนอนมุ้งหมอนผ้าห่มอย่างดี   คะนังชอบสีแดงก็ได้ผ้าห่มแดงและเสื้อแดงสวมใส่     แต่ปกติแต่งกายอย่างมหาดเล็ก  เข้านอกออกในได้ทุกแห่ง และได้ตามเสด็จอยู่เสมอ
ครั้งหนึ่งคะนังเคยแต่งกายเป็นเจ้าเงาะในละครเรื่องสังข์ทอง   ไม่ต้องสวมหัวเงาะก็เป็นเงาะอย่างสมบูรณ์     เคยเห็นภาพถ่ายคะนัง แต่ไม่ทราบว่าคะนังได้รำละครจริงๆหรือว่าแค่แต่งแฟนซี
คะนังเคยเล่าเรื่องของคนในเผ่าเงาะถวายพระเจ้าอยู่หัว   เรื่องนี้เป็นที่มาของพระราชนิพนธ์ เงาะป่า  มีศัพท์แสงต่างๆของพวกเงาะปนอยู่หลายคำ  เป็นเรื่องราวความรักที่จบลงด้วยโศกนาฏกรรม  สำนวนไพเราะกินใจ

คะนังพูดภาษาไทยได้  แต่ไม่ยอมพูดราชาศัพท์   นอกจากนี้ก็ไม่ค่อยจะรู้จักขนบธรรมเนียม   ไม่รู้ที่ต่ำที่สูง   พระเจ้าอยู่หัวทรงเรียกพระบรมศานุวงศ์ด้วยพระนามสั้นๆอย่างไร คะนังก็เรียกตามอย่างนั้น    ถือเหมือนตัวเองเป็นเจ้า  คลุกคลีในหมู่เจ้านาย  เคยมีข่าวว่าคะนังกำเริบทะลึ่งกับพระราชธิดา   จะด้วยตั้งใจหรือว่าไม่รู้ประสาก็ตาม  แต่ก็ทำให้บรรดาเจ้านายสตรีเรื่อยลงมาถึงมหาดเล็กเด็กชาทั้งหลายพากันไม่ชอบคะนังไปตามๆกัน
แม้แต่พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าฯเมื่อทรงเป็นสมเด็จพระบรมโอรสาธิราชก็ไม่โปรดคะนัง ทรงเห็นว่าทะลึ่ง  แต่เกรงพระราชหฤทัยสมเด็จพระบรมชนกนาถจึงมิได้ทรงทำสิ่งใดออกมา

เมื่อสิ้นรัชกาลที่ ๕ คะนังก็ชะตาตก   ประกอบกับโตเป็นหนุ่ม  ต้องออกจากพระบรมมหาราชวังมาหาที่อาศัยอยู่ข้างนอก   แต่พระวิมาดาฯก็ทรงพระเมตตาให้เงินเลี้ยงชีพตามสมควร

มหาดเล็กหนุ่มๆชักนำคะนังไปในทางชั่ว   พาไปเที่ยวหญิงโสเภณี สมัยนั้นเรียกว่าหญิงโคมเขียว เพราะหน้าซ่องจะจุดโคมสีเขียวไว้เป็นสัญลักษณ์      คะนังก็ไม่รู้การควรมิควร  ตัวเองสมัครเข้าเสือป่าได้  ก็ขี่ม้าหลวงไปผูกไว้หน้าโรงโคมเขียว   ทำเอาชาวบ้านมาดูกันเอิกเกริกว่าคะนังไปเที่ยวซ่อง

วาระสุดท้ายของคะนังน่าเศร้า ตายตั้งแต่ยังหนุ่ม    เคยอ่านพบว่าคะนังไปหลงรักผู้หญิง  ปีนเข้าหาเลยถูกญาติฝ่ายหญิงทำร้ายถึงตาย   แต่ข่าวที่ยืนยันตรงกันมากกว่าคือคะนังตายเพราะติดโรคผู้หญิงจากหญิงโคมเขียว ตั้งแต่อายุยังไม่ถึงยี่สิบปี    
เมื่อตายแล้วก็แล้วกัน  คะนังมิได้ทำความดีพอที่ใครจะสรรเสริญอาลัย เรื่องของคะนังจึงเป็นเพียงเกร็ดย่อยๆเรื่องหนึ่งที่คนรุ่นหลังเกือบจะไม่รู้จักกันอีกแล้ว


กระทู้: ก็อสสิปนอกกำแพงวัง
เริ่มกระทู้โดย: เทาชมพู ที่ 18 ต.ค. 04, 20:39
 ย่าเหลเป็นสุนัขพันทางขนยาวเป็นปุย สีขาวสลับดำ เกิดในเรือนจำจังหวัดนครปฐม  เจ้าของซึ่งเป็นพัสดีทูลเกล้าฯถวายพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าฯ เมื่อเสด็จไปที่พระราชวังสนามจันทร์ จ.นครปฐม
ชื่อย่าเหลมาจากตัวละครชื่อ Jarlet  ในละครเรื่อง My Friend Jarlet ของ Arnold Goldsworthy ซึ่งพระเจ้าอยู่หัวทรงแปลเป็นไทยชื่อ "มิตร์แท้"

ย่าเหลช่างประจบและแสนรู้  เป็นที่โปรดปรานมาก     นอกจากนี้ยังรู้ว่าใครชอบมันไม่ชอบมัน    ใครที่ลับหลังทำร้ายย่าเหล มันก็จำไว้ เวลาบุคคลนั้นเข้าเฝ้ามันก็เห่าและกัด จนพระเจ้าอยู่หัวทรงจับได้ว่าเขาไม่ได้เมตตาย่าเหล   ข้าราชบริพารจำนวนหนึ่งจึงไม่ชอบย่าเหล
วันหนึ่งมีผู้พบย่าเหลถูกยิงตายนอกกำแพงวัง   ลือกันว่าถูกล่อออกไปให้ถูกฆ่า   พระเจ้าอยู่หัวทรงโทมนัสมาก      ทรงสร้างอนุสาวรีย์ไว้ตรงหน้าพระตำหนักชาลีมงคลอาสน์ พระราชวังสนามจันทร์ พร้อมกับบทกลอนอาลัย

ดิฉันเคยถามผู้ใหญ่อายุ 90 ขึ้นไปที่ทันรู้เห็นเหตุการณ์ในวัง  ได้รับคำตอบตรงกันว่าเป็นข้าราชบริพาร   ทรงทราบว่าใคร แต่เรื่องก็เงียบไปไม่ได้เปิดเผยต่อสาธารณชน ว่าถูกลงโทษอย่างใดบ้าง หรือว่าได้รับพระราชทานอภัยโทษ
ส่วนข่าวที่ว่าเป็นเจ้านายพระองค์หนึ่ง  เป็นข่าวที่เกิดขึ้นระยะหลัง  อาจจะเป็นเรื่องอื่นๆที่ว่ามีการขัดแย้งกัน  แล้วเอาเข้ามาบวกกับเรื่องย่าเหลเข้าไปด้วย  ชาววังรุ่นก่อนไม่ได้เล่าอย่างนั้น


กระทู้: ก็อสสิปนอกกำแพงวัง
เริ่มกระทู้โดย: นนทิรา ที่ 19 ต.ค. 04, 03:16
 ขอบพระคุณคุณเทาชมพูมากค่ะ น่าสงสารย่าเหลนะคะ เป็นสุนัขที่ซื่อสัตย์และจงรักภักดีต่อพระองค์ท่านจริงๆ พอจะจำได้ว่า อนุสาวรีย์ย่าเหล เป็นรูปสุนัขน่ารัก ท่าทางหน่วยก้านดีเชียวค่ะ เห็นแล้วยังรู้สึกเสียดายไปด้วย

คะนังนี่น่าสงสารอยู่เหมือนกันนะคะ ไม่มีความสามารถจะคิดเองว่าอะไรถูกอะไรผิด อะไรควรอะไรไม่ควร ดิฉันไม่เคยได้อ่านบทพระราชนิพนธ์เรื่องเงาะป่า  ได้แต่อ่านหนังสือที่เขาเอามาเล่าเป็นนิทาน ยังติดใจเลยค่ะ คะนัง ซมพลา ลำหับ อ่านไปก็จะนึกภาพนางลำหับ ผมหยิก ปากหนาและทัดดอกไม้แดง  อาวุธที่พวกเงาะใช้เป่าลูกดอกใส่กันนี่เรียกว่าอะไรนะคะ ตอนนี้นึกเท่าไหร่ก็นึกไม่ออก แย่จริงเชียว


กระทู้: ก็อสสิปนอกกำแพงวัง
เริ่มกระทู้โดย: เทาชมพู ที่ 19 ต.ค. 04, 09:48
 อาวุธของพวกเงาะเรียกว่า บอเลา ค่ะ     ส่วนตัวลูกดอกอาบยาพิษที่เป่าออกไป เรียกว่า ลูกบิลา


กระทู้: ก็อสสิปนอกกำแพงวัง
เริ่มกระทู้โดย: เทาชมพู ที่ 19 ต.ค. 04, 10:23
 ขอยกกลอนไพเราะในพระราชนิพนธ์ "เงาะป่า "มาให้อ่านสักสองสามบทนะคะ

ตอนนี้ ใช้ทำนอง จีนรำพัด ค่ะ

ชื่นใจ
ที่เงาไม้ราบร่มลมพัดฉิว
หอมกระถินกลิ่นไกลใจริ้วริ้ว
ฤๅใครลิ่วลมแฉลบมาแอบมอง
โลกนี้มีอะไรที่ไม่คู่
ได้เห็นอยู่ทั่วถ้วนล้วนเป็นสอง
ดวงจันทรนั้นยังมีอาทิตย์ปอง
เดินพบพ้องกันบางคราวเมื่อเช้าเย็น

บทนี้ ทำนองจำปาทองเทศ
นั่งเหนือแผ่นผาที่หน้าถ้ำ
เท้าราน้ำเอนอิงพิงพฤกษา
ตะวันชายฉายน้ำอร่ามตา
ตกตามซอกศิลาซ่ากระจาย
ที่น้ำอับลับช่องมองเห็นพื้น
ปลาน้อยน้อยลอยดื่นอยู่แหล่หลาย
พ่นน้ำฟูเป็นละอองต้องแมลงตาย
ตกเรี่ยรายเป็นภักษาน่าเอ็นดู
ยามลมตกนกร้องซ้องแซ่เสียง
เสนาะเพียงลำนำเฉื่อยฉ่ำหู
ลำดวนดงส่งกลิ่นประทิ่นชู
นางโฉมตรูฟังเพลงวังเวงใจ

ทำนองเพลง จีนแส
มัจฉา
ช่างฉลาดเสาะหาอาหารหนอ
ไฉนไม่ปรีชากล้าเพียงพอ
มาล่อปากปักษาที่ถาลง
สกุณาตาดีฉะนี้แล้ว
ยังไม่แคล้วบอเล่าเจ้าช่างหลง
อันมนุษย์สุดฉลาดทั้งอาจอง
อย่างวยงงให้เหมือนสัตว์บัดสีเอย

บทสุดท้ายนี้ขอถอดความว่า   ปลาไล่งับเหยื่อหาอาหารในลำธาร   แต่ตัวเองก็กลายเป็นเหยื่อของนกกินปลาที่ถาลงมาโฉบปลาไปกิน  แต่นกก็เป็นเหยื่อของลูกดอกมนุษย์ที่ยิงเอาไปกินเสียอีกที   ตอนท้าย เตือนว่า มนุษย์ควรระวังตัวให้ดีอย่าเป็นเหยื่อของใครเลย


กระทู้: ก็อสสิปนอกกำแพงวัง
เริ่มกระทู้โดย: นนทิรา ที่ 19 ต.ค. 04, 21:45
 เพราะทุกบทเลยนะคะ โดยเฉพาะบทที่สอง ได้ยินเสียงน้ำตกและเสียงนกแซ่ซ้องตามไปด้วยเลยค่ะ

ส่วนในบททำนองจีนรำพัด ชอบสองบาทแรกค่ะ เสียงคล้องจอง สัมผัสนอกใน เพราะพริ้งไปหมด

อาวุธของพวกเงาะเรียกอย่างนี้นี่เอง บอเลา และ ลูกบิลา มิน่าถึงนึกไม่ออก

ขอบพระคุณคุณเทาชมพูค่ะ รอฟังเกร็ดเล็กน้อยเรื่องถัดไป ถ้ามีอีกนะคะ


กระทู้: ก็อสสิปนอกกำแพงวัง
เริ่มกระทู้โดย: พวงร้อย ที่ 19 ต.ค. 04, 21:45
 ยังตามมาฟังอยู่ค่ะ  คุณนนทิราก็มาแล้ว สวัสดีค่ะ  เรื่องน่าสนุกทั้งนั้นเลยค่ะ  ขอบคุณนะคะ


กระทู้: ก็อสสิปนอกกำแพงวัง
เริ่มกระทู้โดย: เทาชมพู ที่ 20 ต.ค. 04, 09:26
 ก็อสสิปต่อมาคือเรื่องเจ้าฟ้ากรมหลวงพิษณุโลกฯ    หลังจากเสด็จไปรัสเซียอยู่หลายปี ก็ทรงกลับมาเยี่ยมบ้าน  เกิดต้องพระทัยพระองค์เจ้าหญิงเยาวภาพงศ์สนิท
เสด็จพระองค์หญิงเป็นพระเจ้าลูกเธอในรัชกาลที่ 5  ประสูติแต่เจ้าจอมมารดาเนื่อง   พูดอีกทีก็คือเป็นพระกนิษฐภคินีนั่นเอง
แต่ว่าไม่สมพระประสงค์  เพราะสมเด็จพระพันปีทรงหมายไว้ให้กับสมเด็จพระบรมโอรสาธิราชฯ
ก็ทรงกลับไปด้วยความผิดหวัง    และได้ไปสมรสกับหม่อมแคทยาในเวลาต่อมา

สตรีที่อยู่ในข่ายเหมาะสมกับสมเด็จพระบรมโอรสาธิราชฯ หรือสมเด็จพระมงกุฎเกล้าฯ  เขาว่ากันว่ามี 3 องค์  ล้วนแต่พิจารณาโดยสมเด็จพระพันปี
นอกจากเสด็จพระองค์หญิงเยาวภาฯ      ก็มีพระธิดาในกรมพระสวัสดิวัดนวิศิษฎ์อีกองค์หนึ่ง
อีกองค์คือสมเด็จหญิงน้อย เจ้าฟ้านิภานภดล  กรมขุนอู่ทองเขตขัตติยนารี  พระธิดาในพระวิมาดาเธอ กรมพระสุทธาสินีนาฎ
แต่พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้า ฯ ทรงตั้งพระราชหฤทัยว่าจะไม่อภิเษกสมรสกับพระกนิษฐภคินีไม่ว่าองค์ใด   ส่วนองค์ที่เป็นพระญาติสนิท  พระพันปีทรงเปลี่ยนพระทัยเองในเวลาต่อมา


กระทู้: ก็อสสิปนอกกำแพงวัง
เริ่มกระทู้โดย: นนทิรา ที่ 20 ต.ค. 04, 14:49
 นี่ถ้าสมเด็จพระพันปีหลวง ทรงตามพระทัยสมเด็จเจ้าฟ้ากรมหลวงพิษณุโลกฯ ก็อาจจะไม่มีหนังสือเรื่องเกิดวังปารุสก์นะคะ หรือถ้ามี เรื่องราวก็จะคงจะเป็นอีกโฉมหน้าไปเลย

ดิฉันอ่านหนังสือ "สิ่งที่ข้าพเจ้าพบเห็น" นิพนธ์โดย ม.จ.พูนพิศมัย ดิศกุล พบว่ามีเรื่องราวส่อเค้าไม่ถูกกันในหมู่เจ้าพี่เจ้าน้องอยู่เหมือนกัน โดยเฉพาะเมื่อเกิดเรื่องสมเด็จเจ้าฟ้ากรมหลวงพิษณุโลกฯทรงหย่าจากหม่อมคัธริน และขอพระราชทานเสกสมรสกับม.จ.ชวลิตโอภาศ

เมื่อคราวหม่อมคัธรินกลับมาเยี่ยมเมืองไทย และขอพักที่วังวรดิศ ก็มีเรื่องราวโดนรังควาญ จนหม่อมคัธรินเกรงพระทัยท่านเจ้าของวัง สมเด็จพระบรมราชชนก(ทูลกระหม่อมมหิดลฯ) จึงทรงรับหม่อมคัธรินให้ย้ายไปอยู่ที่วังสระปทุมแทน

อีกเกร็ดหนึ่งที่อ่านพบในหนังสือเล่มเดียวกันคือ เมื่อพระบาทสมเด็จพระพุทธเจ้าหลวงเสด็จสวรรคต เจ้านายพระเจ้าลูกเธอต้องเสด็จกลับจากต่างประเทศมาถวายพระเพลิงพระบรมศพกันทุกพระองค์ เวลานั้นสมเด็จเจ้าฟ้าประชาธิปกฯทรงมีพระชันษาได้ 17 ปี กลับมาเสด็จประทับอยู่กับสมเด็จพระพันปีหลวงที่พระตำหนักพญาไท จึงเกิดความคุ้นเคยกับม.จ.พิลัยเลขา ดิศกุล ที่สมเด็จพระพันปีหลวงทรงเลี้ยงมาตั้งแต่ยังทรงพระเยาว์ สมเด็จเจ้าฟ้าประชาธิปกฯทรงกราบทูลขอท่านหญิงพิลัยฯต่อพระชนนี ซึ่งพระชนนีก็ทรงยินดีเห็นชอบด้วย และทรงอนุญาตให้ติดต่อกันได้ทรงจดหมายเมื่อถึงเวลาที่สมเด็จเจ้าฟ้าประชาธิปกฯเสด็จกลับไปเรียนต่อแล้ว เรื่องนี้คงจะเรียกได้ว่า Summer Romance นะคะ เพราะหลังจากเสด็จกลับจากต่างประเทศ และทรงลาผนวชและลาสิกขาบทแล้ว สมเด็จเจ้าฟ้าประชาธิปกฯก็ทูลขอพระราชทานต่อสมเด็จพระพันปีหลวงฯ เพื่อเสกสมรสกับม.จ.รำไพพรรณีตามที่เราได้ทราบกันแล้ว


กระทู้: ก็อสสิปนอกกำแพงวัง
เริ่มกระทู้โดย: เทาชมพู ที่ 21 ต.ค. 04, 09:22
 พระนิพนธ์เล่มนี้บอกเบื้องหลังระหว่างพี่ๆน้องๆในครอบครัวใหญ่เอาไว้ได้สีสันมากทีเดียวค่ะ
ถ้าคุณนนทิรามีเกร็ดมาเล่าอีกก็เชิญเลยค่ะ

ก็อสสิปอีกเรื่องของคุณหลวงวรภักดิ์ฯ คือ พระราชนิพนธ์ไกลบ้านในพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าฯ ที่ทรงมีพระราชหัตถเลขามาถึงพระราชธิดา เจ้าฟ้านิภานภดล กรมขุนอู่ทองฯ เล่าเรื่องสิ่งต่างๆที่พบเห็นระหว่างเสด็จยุโรป  
ที่จริงมีพระราชประสงค์จะให้เจ้าจอมคนโปรด คือม.ร.ว. สดับ ลดาวัลย์ได้รู้เรื่องความเป็นไปที่เสด็จพระราชดำเนิน
แต่จะทรงเล่าโดยตรง ถึงเจ้าจอม ก็ไม่สมควร    จึงส่งถึงพระราชธิดา ที่เจ้าจอมสดับท่านอยู่ด้วย  ได้อ่านเรื่องราวด้วยกัน

เจ้าจอมสดับในตอนแรก เกือบตามเสด็จไปยุโรปด้วยแล้ว  เพราะว่าจะทรงนำกรมขุนอู่ทองไปด้วยในฐานะราชเลขานุการ    ส่วนเจ้าจอมสดับก็ตามเสด็จไปถวายการรับใช้กรมขุนอู่ทองอีกที
แต่ว่าเกิดอุปสรรคขัดข้อง    ว่ากันว่าพระพันปีไม่ทรงเห็นด้วย  จึงไม่ได้ไปทั้งกรมขุนอู่ทองและเจ้าจอมสดับ


กระทู้: ก็อสสิปนอกกำแพงวัง
เริ่มกระทู้โดย: วิรงรอง ที่ 21 ต.ค. 04, 10:10
 โดยบังเอิญมาเจอที่นี่เข้า คุยกันสนุกจริงเชียว
เลยลงชื่อสมัครสมาชิกเป็นครั้งแรก
สวัสดีค่ะคุณเทาชมพู คุณพวงร้อย และทุกท่าน

วันนี้ฝนตกทั้งวัน ว่างจัดเลยนั่งไล่อ่านเสียเพลิดเพลิน
แถมได้ปะติดปะต่อกับ เกิดวังปารุสก์ที่เคยอ่านนานนมเต็มทีแล้ว
คุณเทาชมพูกรุณาเล่าเรื่องเกร็ดในราชสำนัก ร. ๖ ให้ฟังมั่งได้ไหมคะ อะไรก็ได้
ต้องไปแล้วฝนหยุดแล้ว เจ้าแกนมันมากระดิกกระดี้ คงต้องพามันไปเดินแล้วค่ะ แล้วจะแวะมาอ่านเรื่อยๆค่ะ
   


กระทู้: ก็อสสิปนอกกำแพงวัง
เริ่มกระทู้โดย: เทาชมพู ที่ 21 ต.ค. 04, 11:37
 สวัสดีค่ะคุณวิรงรอง   ขอต้อนรับเข้าสู่วงคุย
เรื่องของรัชกาลที่ 6 มีปะปนอยู่ในหลายกระทู้  
ได้อ่านกระทู้ เจ้าวังปารุสก์  แล้วใช่ไหมคะ
เดี๋ยวจะไปเรียบเรียงเรื่องพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้า ฯ
กับกรมหลวงชุมพรฯ มาให้อ่านค่ะ
ขอเวลาหน่อย  


กระทู้: ก็อสสิปนอกกำแพงวัง
เริ่มกระทู้โดย: เหน่ง ที่ 21 ต.ค. 04, 18:24
 จากที่อ่าน ๆ มา รู้สึกพระพันปีหลวงท่าทางจะเอาเรื่องน่าดู ไม่รู้พูดอย่างนี้ ได้หรือเปล่า (กลัวเข้าคุกน่ะ) เคยอ่านเจอเกี่ยวกับพระนางเจ้าสุขุมาลย์ฯ เรื่องฉายพระรูปคู่กับรัชกาลที่ 5 แล้วพระพันปีเกิดรู้เข้า ก็เลยสั่งทำลาย พระนางเจ้าสุขุมาลย์ฯเสียอกเสียใจน่าดูแต่ก็ต้องยอม เรื่องอิจฉาริษยาเนี่ยน่ากลัวเสียจริง

ยิ่งไปกว่านั้น ในหนังสือบางเล่มยังพาดพิงสาเหตุการสิ้นพระชนม์ของพระนางเรือล่มอีกว่าเกิดจากการอิจฉากันระหว่างพี่น้อง ไม่รู้จริงเท็จอย่างไร

มีเรื่องที่สงสัย เคยดูรายการคุณพระช่วย ตอนที่อาจารย์เผ่าทอง ทองเจือมาพูดเรื่องผ้าไทย และโชว์ผ้าไทยโบราณหลายชิ้น มีอยู่ชิ้นหนึ่ง งามมาก เป็นของพระพันปีหลวง ที่สงสัยก็คือว่าเค้าไปได้มาได้อย่างไร ไม่ได้บอกไว้ในรายการ ของอย่างนี้น่าจะเป็นมรดกตกทอด ถ้าหากจะบอกว่าทายาทตกยากแล้วเอาออกมาขาย ไม่น่าจะเป็นไปได้ เพราะพระองค์ท่านออกจะร่ำรวย และทายาทสายพระองค์ท่านก็มีไม่มากนัก ไม่รู้ซิ ใครรุ้ช่วยตอบทีนะค่ะ


กระทู้: ก็อสสิปนอกกำแพงวัง
เริ่มกระทู้โดย: เทาชมพู ที่ 21 ต.ค. 04, 19:16
 พระบรมฉายาลักษณ์ที่ว่า ทรงฉายคู่กับพระวิมาดาค่ะ  เมื่อสมเด็จพระพันปีทรงทราบก็ทรงเห็นว่าไม่สมควร   พระวิมาดาจึงถวายพระรูปนั้นให้ไป  เพื่อไม่ให้เรื่องลุกลามไปใหญ่โต

เรื่องผ้าในรายการคุณเผ่าทอง  อาจได้รับความเอื้อเฟื้อจากพิพิธภัณฑ์ หรือทายาทสายพระพันปีให้มาแสดงก็ได้นี่คะ

เรื่องพระนางเรือล่ม   ผู้ที่อ้างกฎมณเฑียรบาล มิให้พวกราษฎรแถวนั้นเข้าไปช่วย เพราะมีกฎห้ามเด็ดขาดไม่ให้แตะต้องฝ่ายใน    คือพระยามหามนตรี  เป็นเหตุให้สมเด็จพระนางเจ้าสุนันทากุมารีรัตน์สิ้นพระชนม์พร้อมพระธิดา   ขุนนางคนนี้ก็ถูกลงโทษไปตามระเบียบ  แต่ไม่ถึงตาย ตอนหลังก็ได้กลับเข้ารับราชการ
ส่วนข่าวก็อสสิปว่าเป็นคนโน้นคนนี้  ไม่มีหลักฐานค่ะ   พูดไปก็บาปเปล่าๆ


กระทู้: ก็อสสิปนอกกำแพงวัง
เริ่มกระทู้โดย: paganini ที่ 24 ต.ค. 04, 23:58
 มาแจม ไม่มีเรื่องมาเล่าแต่ขอถามท่านทั้งหลายครับ
คำว่าพระพันปีหลวง นี่มีความหมายอย่างไรครับ ถ้าเทียบกับ
พระพันวัสสา


กระทู้: ก็อสสิปนอกกำแพงวัง
เริ่มกระทู้โดย: เทาชมพู ที่ 25 ต.ค. 04, 10:51
พระพันปี เป็นคำที่ชาววังเรียกพระชนนีของพระเจ้าแผ่นดินค่ะ  ความหมายของคำ ตรงกับพระพันวสา  หรือพันวัสสา หรือพันวษา

คำว่า พระพันวษา ใช้เป็นคำกลางๆ เรียกพระเจ้าแผ่นดินได้ด้วย ในสมัยกรุงศรีอยูธยา     เห็นหลักฐานได้จากเรื่องขุนช้างขุนแผน ว่าเรียกกษัตริย์ในเรื่องว่าพระพันวษา
ในตอนต้นรัตนโกสินทร์   สมเด็จพระอมรินทราฯ ในรัชกาลที่ 1  ก็เรียกกันว่าพระพันวสา (ในเอกสารต่างๆสะกดแตกต่างกันไป ไม่ลงตัวแน่นอน) ส่วนพระนามอย่างเต็มยศนั้นมาถวายกันทีหลังเมื่อสิ้นพระชนม์ไปแล้ว

ตามความเข้าใจของดิฉัน    คำทั้งสองนี้ไม่ได้กำหนดแน่นอนลงไป แต่รวมความแล้วอาจเป็นพระมเหสีของพระเจ้าแผ่นดินในรัชกาลก่อน   พระชนนีของพระเจ้าแผ่นดินในรัชกาลหลังจากนั้น ก็ได้      สมเด็จพระศรีสวรินฯ แม้ว่าไม่ได้เป็นพระราชชนนีของรัชกาลที่ 6   แต่ก็ทรงอยู่ในฐานะพระมเหสีพระองค์หนึ่งในรัชกาลที่ 5     เป็นพระราชชนนีในสมเด็จพระบรมโอรสาธิราชฯ  พระองค์แรก  และต่อมาก็เป็นพระอัยกีในพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว  จึงได้รับการยกย่องเป็นสมเด็จพระพันวัสสาอัยยิกาเจ้าฯ

ส่วนพระพันปี หรือพระพันปีหลวง เป็นพระราชชนนีของพระเจ้าแผ่นดิน  เห็นได้จากสมเด็จพระศรีพัชรินทราฯ ข้อนี้ชัดอยู่แล้ว


กระทู้: ก็อสสิปนอกกำแพงวัง
เริ่มกระทู้โดย: paganini ที่ 25 ต.ค. 04, 20:12
 ขอบคุณครับอาจารย์
แล้วเจ้าฟ้ามหาวชิรุณหิศล่ะครับอยากทราบเรื่องราวเกี่ยวกับท่านบ้าง พอดีผมไปงานหนังสือที่ศูนย์ประชุมแห่งชาติสิริกิต มาน่ะครับไปยืนอ่านมานิดนึงว่า
อัครมเหสีหมายเลขของ ร.5 องค์ก่อนคือพระนางสุนันทากุมารีรัตน์แต่ทรงสิ้นพระชนม์ซะก่อน  อืม  จริงรึเปล่าครับ ผมไม่ค่อยเชื่อหนังสือที่เขียนๆกันทั่วไปเท่าไหร่ ถ้าจำไม่ผิด ทั้ง 4 ตำแหน่งมีศักดิ์เท่ากันไม่ใช่เหรอครับ


กระทู้: ก็อสสิปนอกกำแพงวัง
เริ่มกระทู้โดย: เทาชมพู ที่ 26 ต.ค. 04, 08:11
 เรื่องของเจ้าฟ้ามหาวชิรุณหิศเป็นเรื่องยาว    เหมาะจะตั้งกระทู้ใหม่เมื่อกระทู้นี้จบแล้วค่ะ    อาจจะเล่ารวมไปในกระทู้สมเด็จพระศรีสวรินฯ ที่ติดหนี้คุณพวงร้อยไว้นานแล้ว
พระมเหสีเทวีในรัชกาลที่ 5 มีมากกว่า 4 ค่ะ  บางพระองค์ ก็สิ้นพระชนม์ไปก่อนปลายรัชกาล     บางองค์ในตอนแรกไม่ได้มีการสถาปนาพระยศกันอย่างชัดเจนเป็นทางการ    มาสถาปนาภายหลัง บางองค์ก็เลื่อนพระยศขึ้นก็มี
4 ตำแหน่งที่คุณ paganini  ถาม คงหมายถึงในปลายรัชกาลที่ 5 ต่อถึงรัชกาลที่ 6   ขอเรียงลำดับดังนี้ค่ะ
1)  สมเด็จพระศรีพัชรินทราบรมราชินีนาถ
2) สมเด็จพระศรีสวรินทิรา บรมราชเทวี
3) สมเด็จพระนางเจ้าปิตุฉาเจ้า  สุขุมาลมารศรี
4) พระวิมาดาเธอ กรมพระสุทธาสินีนาฎ  ปิยมหาราชปดิวรัดา
ที่จริง  สมเด็จพระศรีสวรินทิรา ทรงอยู่ในอันดับหนึ่งเมื่อตอนกลางๆรัชกาล เพราะทรงเป็นพระราชชนนีในสมเด็จพระบรมโอรสาธิราชสยามมกุฎราชกุมารพระองค์แรก    แต่เมื่อเจ้าฟ้ามหาวชิรุณหิศสิ้นพระชนม์กะทันหัน  ตำแหน่งเลื่อนไปอยู่ที่พระราชโอรสที่มีอาวุโสรองลงไป  คือเจ้าฟ้ามหาวชิราวุธ   ซึ่งประสูติแต่สมเด็จพระนางเจ้าเสาวภาผ่องศรี หรือพระพันปี
พระราชชนนีจึงเลื่อนขึ้นเป็นอันดับหนึ่งแทน   ต่อมาก็ได้ดำรงพระยศเป็นสมเด็จพระบรมราชินีนาถ  สำเร็จราชการแทนพระเจ้าอยู่หัวเมื่อเสด็จยุโรป  ก็ถือได้ว่าเป็นอันดับหนึ่งชัดเจน


กระทู้: ก็อสสิปนอกกำแพงวัง
เริ่มกระทู้โดย: พวงร้อย ที่ 26 ต.ค. 04, 09:11
 ขอบพระคุณมากค่ะคุณเทาชมพู  ตามแต่สะดวกนะคะ  ของดีๆคุ้มค่าแก่การรอคอยเสมอค่ะ

เรื่องเสด็จประพาสยุโรปนี่  ดิฉันเคยอ่านพระราชหัตถเลขาที่ทรงมีถึงเจ้าฟ้าหญิงนิภานภดล ตั้งแต่เด็กๆก็ยังจำได้หลายตอนเลยค่ะ  ไม่ทราบว่า เจ้าฟ้าหญิงเกือบจะได้ตามเสด็จไปด้วย  แต่ไม่ได้ไปเพราะเรื่องเจ้าจอม มรว สดับ  น่าเสียดายแทนท่านจริงๆเลยนะคะ

ขอเรียนถามข้อนึงค่ะ  ว่า   พระวิมาดาเธอ  นี่มีเชื้อสายจากทางไหนคะ  เป็นพระน้องนางพระองค์หนึ่งด้วยหรือเปล่า  ดิฉันจำไม่ได้เสียแล้วค่ะ  นึกไม่ออกจริงๆว่าท่านเป็นใคร


กระทู้: ก็อสสิปนอกกำแพงวัง
เริ่มกระทู้โดย: เทาชมพู ที่ 26 ต.ค. 04, 11:00
พระประวัติย่อๆมีดังนี้ค่ะ
พระวิมาดาฯ ทรงมีพระนามเดิมว่า หม่อมเจ้าสาย  ลดาวัลย์ เป็นพระธิดาในพระเจ้าบรมวงศ์เธอกรมหมื่นภูมินทรภักดี  (พระองค์เจ้าลดาวัลย์  ต้นราชสกุลลดาวัลย์ ณ อยุธยา ) พระราชโอรสในรัชกาลที่ 3
พระชนก ด้วยความจงรักภักดีต่อพระเจ้าอยู่หัว  รับสั่งว่าท่านไม่มีสมบัติข้าวของเงินทองจะถวาย  ก็ขอถวายลูกหลานแทน พระธิดาสององค์ก็ได้เป็นพระอรรคชายา คือ พระวิมาดาฯ และพระอรรคชายาเธอพระองค์เจ้าเสาวภาคนารีรัตน์  องค์หลังนี้สิ้นพระชนม์ไปตั้งแต่ปี 2430

พระวิมาดาฯ ทรงมีตำแหน่งสำคัญมากในวัง   คือควบคุมดูแลห้องพระเครื่องต้น(หมายถึงห้องครัว) ของเสวยคาวหวานอยู่ในความดูแลของท่าน     ในพ.ศ. 2431  โปรดเกล้าฯสถาปนาขึ้นเป็นพระอรรคชายาเธอ พระองค์เจ้าสายสวลีภิรมย์  กรมขุนสินีนาฎ

พระวิมาดาฯทรงมีพระราชโอรสและธิดา 4 พระองค์คือ
1) พระองค์เจ้าชายยุคลทิฆัมพร  ต่อมาเฉลิมพระยศขึ้นเป็นสมเด็จเจ้าฟ้ายุคลทิฆัมพร  กรมหลวงลพบุรีราเมศวร์
2) พระองค์เจ้าหญิงนภาพรจำรัสศรี  ต่อมาเฉลิมพระยศเป็นเจ้าฟ้า  องค์นี้สิ้นพระชนม์เมื่อทรงพระเยาว์ ไม่ทันทรงกรม
3) พระองค์เจ้าหญิงมาลินีนพดารา  ต่อมาเฉลิมพระยศเป็นเจ้าฟ้ากรมขุนศรีสัชชนาลัยสุรกัญญา
4) พระองค์เจ้าหญิงนิภานภดล  ต่อมาเฉลิมพระยศเป็นเจ้าฟ้ากรมขุนอู่ทองเขตขันตติยนารี
เจ้าฟ้าทั้ง 4 พระองค์  เรียกกันว่าเจ้าฟ้าชั้นโท    คือมิได้เป็นเจ้าฟ้าตั้งแต่ประสูติ    ถ้าเป็นเจ้าฟ้าตั้งแต่ประสูติชาววังเรียกว่าทูลกระหม่อม    เจ้าฟ้าชั้นโทเรียกว่าสมเด็จชาย หรือสมเด็จหญิง)
อย่างเจ้าฟ้านิภานภดล  ชาววังเรียกว่าสมเด็จหญิงน้อย

พระวิมาดาฯเป็นพระองค์แรกที่ตั้งโรงเลี้ยงเด็กขึ้นในประเทศไทย ในรัชกาลที่ 5   เพื่อเป็นพระกุศลประทานพระธิดาที่สิ้นพระชนม์ไปตั้งแต่ทรงพระเยาว์   ที่ทำการอยู่ตรงตำบลสวนมะลิ ถนนบำรุงเมือง  รับเด็กกำพร้าและเด็กยากจนมาเลี้ยงดูอย่างดี  สอนให้เล่าเรียนเขียนอ่าน  ทำกับข้าว  ปลูกต้นไม้ เลี้ยงสัตว์ มีวิชาติดตัวทั้งหญิงและชาย  เด็กเหล่านี้หลายคนเมื่อเติบโตก็ได้เข้ารับราชการ มียศเป็นขุน หลวง พระ พระยา กันหลายคน

สิ้นพระชนม์เมื่อ พ.ศ. 2472  ได้รับพระราชทานโกศทองใหญ่ อันเป็นพระโกศสำหรับทรงพระบรมศพ พระมหากษัตริย์และสมเด็จพระราชินี


กระทู้: ก็อสสิปนอกกำแพงวัง
เริ่มกระทู้โดย: นนทิรา ที่ 26 ต.ค. 04, 13:42
 ดิฉันเคยอ่านพบว่า สมเด็จพระศรีพัชรินทราบรมราชินีนาถทรงทูลขอพระราชทานจากรัชกาลที่ 5 ให้การสืบสายรัชทายาทตกอยู่ในสายพระราชโอรสที่ประสูติในสมเด็จพระศรีพัชรินทรฯก่อนที่จะตกกลับไปสายอื่น คือจากสมเด็จพระบรมโอรสาธิราช เจ้าฟ้ามหาวชิราวุธแล้ว ให้สืบต่อที่พระอนุชาร่วมพระชนนี

จะทูลขอเมื่อไรก็จำไม่ได้แน่ชัดค่ะ ไม่ทราบจะเป็นหลังจากที่ได้รับความไว้วางพระราชหฤทัยให้เป็นควีนรีเจนท์ระหว่างเสด็จประพาสยุโรปครั้งแรกหรือเปล่า

คุณเทาชมพูทราบรายละเอียดของเหตุการณ์นี้ไหมคะ และไม่ทราบว่าสมเด็จพระศรีสวรินทิราฯ ซึ่งทรงโศกเศร้าเสียพระทัยเป็นอันมากจากการเสียพระราชโอรสองค์โตจะทรงรู้สึกอย่างไร เพราะยังทรงมีพระราชโอรสอยู่อีก คือสมเด็จเจ้าฟ้ามหิดลฯ


กระทู้: ก็อสสิปนอกกำแพงวัง
เริ่มกระทู้โดย: เทาชมพู ที่ 26 ต.ค. 04, 14:43
 เคยได้ยินมาสั้นๆตรงกับคุณนนทิราเล่าค่ะ แต่ไม่แน่ใจว่าหลังจากทรงเป็นสมเด็จรีเยนต์แล้วหรือยัง   แต่ว่าหลัง พ.ศ. 2347 แน่นอน เพราะปีนั้นเป็นปีที่เจ้าฟ้ามหาวชิราวุธทรงดำรงตำแหน่งสมเด็จพระบรมโอรสาธิราชฯ

สมเด็จพระศรีสวรินทิราฯ หลังจากสูญเสียพระราชโอรส ก็ทรงอยู่แต่ในพระตำหนักเป็นส่วนใหญ่   พระสุขภาพไม่สู้ดีนัก   แปรพระราชฐานไปพักที่ศรีราชาอยู่พักใหญ่  

คุณนนทิราพูดถึงสมเด็จเจ้าฟ้าชายมหิดล  ประสูติเมื่อ พ.ศ. 2434  ขณะนั้นพระชนม์แค่ 3 พรรษาเท่านั้นเองละค่ะ   ทรงมีพระเชษฐาที่เป็นเจ้าฟ้าเช่นกันอีกตั้งหลายพระองค์

ถ้าเป็นการเรียงลำดับอาวุโสตามพระชนมายุ  ตามแบบเก่าละก็   หากว่าเกิดเหตุอะไรกับสมเด็จพระบรมฯพระองค์ที่สอง    ผู้อยู่ในลำดับต่อไปคือสมเด็จเจ้าฟ้าชายบริพัตรสุขุมพันธ์   กรมพระนครสวรรค์วรพินิต ในสมเด็จพระนางเจ้าสุขุมาลมารศรี พระราชเทวี  ทรงอ่อนกว่าเจ้าฟ้ามหาวชิราวุธประมาณ 6 เดือน แต่นับพ.ศ. แล้วเป็นคนละปีกัน

การทูลขอในข้อนี้ ก็เท่ากับข้ามเจ้าฟ้ากรมพระนครสวรรค์ฯไปโดยปริยาย

ถ้าลำดับอายุกันต่อไปอีกก็จะได้แก่พระราชโอรสในสมเด็จพระพันปีทั้งนั้น  ก่อนจะมาถึงเจ้าฟ้ามหิดล


กระทู้: ก็อสสิปนอกกำแพงวัง
เริ่มกระทู้โดย: เทาชมพู ที่ 26 ต.ค. 04, 14:54
ขอกลับมาถึงเรื่องกรมหลวงชุมพรนะคะ
ข่าวลือเรื่องหนึ่งเกี่ยวกับรัชกาลที่ 6 คือ ความขัดแย้งระหว่างพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว กับพระเจ้าพี่ยาเธอกรมหลวงชุมพรเขตรอุดมศักดิ์      จนมีการเล่าเติมเสริมต่อกันไปอีกมาก
แต่ในความเป็นจริง  ไม่ใช่การขัดแย้งแบบตัวต่อตัวระหว่างเจ้านายสองพระองค์นี้   แต่เป็นเรื่องที่ก่อหวอดขึ้นมาโดยลูกน้อง  แล้วมีผลกระทบไปถึงนายของทั้งสองฝ่าย

ก่อนอื่นขอเท้าความถึงพระประวัติของพลเรือเอก พระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมหลวงชุมพรเขตรอุดมศักดิ์  หรือ "เสด็จเตี่ย" ที่กองทัพเรือให้ความเคารพนับถืออย่างสูง
ทรงเป็นพระราชโอรสลำดับที่ 28 ในพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว   ประสูติก่อนเจ้าฟ้ามหาวชิราวุธ หรือพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัวเพียงสิบกว่าวันเท่านั้นเอง  
ประสูติจากเจ้าจอมมารดาโหมด บุนนาค
พระนามเดิมคือพระองค์เจ้าชายอาภากรเกียรติวงศ์  เมื่อเจริญพระชนม์ขึ้นได้เสด็จไปศึกษาวิชาทหารเรือที่ประเทศอังกฤษ   กลับมาทรงรับราชการอยู่ในกองทัพเรือ จนได้เป็นเสนาบดีกระทรวงทหารเรือในรัชกาลที่ 6   สิ้นพระชนม์เมื่อพ.ศ. 2466  ก่อนสิ้นรัชกาลที่ 6 เพียงสองปี

เรื่องที่เป็นชนวนความขัดแย้ง   เริ่มตั้งแต่ปลายรัชกาลที่ 5 เมื่อพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าฯทรงดำรงพระยศเป็นสมเด็จพระบรมโอรสาธิราช   ประทับอยู่ที่วังสราญรมย์  
ทรงโปรดการเล่นโขนละคร ก็ทรงรับมหาดเล็กใหม่ๆเข้ามาฝึกเป็นตัวโขนตัวละคร    มหาดเล็กเหล่านี้บางคนก็เป็นลูกผู้ดีมีตระกูล บางคนเป็นลูกชาวบ้านธรรมดาแต่หน่วยก้านดี มีแววทางนาฏศิลป์  พวกแรกมักอยู่ในระเบียบดี ไม่มีปัญหา   แต่พวกหลัง บางคนนิสัยดี  แต่มีบางคนซ่าส์ถือว่าเป็นถึงมหาดเล็กของเจ้านายใหญ่ เลยคึกคะนองไม่ค่อยจะเกรงใคร

วันหนึ่ง  นักเรียนนายเรือหนุ่ม 2 คน ซึ่งก็เป็นศิษย์ของกรมหลวงชุมพรฯ  แต่งตัวชุดยูนิฟอร์มขาวสุดเท่   เดินสมาร์ทผ่านไปทางถนนสนามไชย   ผ่านพวกมหาดเล็กหนุ่มๆกลุ่มใหญ่ที่กำลังเตะฟุตบอลกันอยู่

นักเรียนนายเรือหนึ่งในสองชื่อจือ (หรือเจือ สหนาวิน  ต่อมาได้เป็นนาวาตรีหลวงจบเจนสมุทร์) ได้เขียนบันทึกเรื่องนี้เอาไว้   ดิฉันเล่าจากบันทึกของท่าน

พอมหาดเล็กเห็นนักเรียนนายเรือสองคนเดินอกผายไหล่ผึ่งผ่านไป   หยุดทำความเคารพธงชาติตอนหกโมงแล้วก้าวผึ่งผายออกเดินพร้อมกัน   ก็เกิดอยากแซวขึ้นมา  ในจำนวนพวกซ่าส์ก็เกิดมีหัวโจก ส่งเสียงเป็นจังหวะ ว่า หนึ่ง หนึ่ง หนึ่งสอง ตามจังหวะก้าวเดิน
นักเรียนนายเรือเห็นมหาดเล็กมาลูบคม ก็เอาจริงขึ้นมา   จึงเกิดถามทำนองต่อว่ากัน   ถามกันไปถามกันมาไม่มีใครยอมรับ ก็เลยเกิดเป็นมวยหมู่ขึ้นมาระหว่างนักเรียนนายเรือ 2 คนและมหาดเล็กหลายสิบ
ชกต่อยกันชุลมุนอยู่พักใหญ่   มหาดเล็กตะโกนให้ทหารยามหน้ากระทรวงกลาโหมจับนักเรียนนายเรือ   ทหารยามไม่กล้าจับ   มีนายทหารคนหนึ่งเห็นเหตุการณ์ก็ร้องบอกให้นักเรียนนายเรือหลบหนีไปเสียเพราะว่ากำลังของอีกฝ่ายมากกว่า   นักเรียนนายเรือทั้งสองก็เลยแหวกพวกมหาดเล็กซึ่งไม่กล้าทำอะไรจริง  กลับบ้านไปได้
ปรากฏว่านายจือได้รับบาดเจ็บ หน้าบวมปากเจ่อไปตามระเบียบ    แต่ก็ไปเรียนหนังสือต่อได้ไม่ถึงกับบาดเจ็บสาหัส  ความทราบไปถึงผู้บังคับการโรงเรียน น.ต. หลวงพินิจจักรพันธุ์(สุริเยศ อมาตยกุล ภายหลังเลื่อนขึ้นเป็นพระยาสาครสงคราม) เรียกตัวไปตักเตือน  ให้ทำรายงานเสนอขึ้นไป    แต่ก็แค่นั้น เพราะดูแล้วก็ไม่ใช่เรื่องร้ายแรงอะไร
 
ต่อมา 3-4 เดือนเรื่องที่นึกว่าจบกันไปแล้วก็กลับลุกลามเป็นเหตุใหญ่โต    มหาดเล็กกลุ่มนั้นไปทูลฟ้องสมเด็จพระบรมฯ ว่าถูกนักเรียนนายเรือมาข่มเหงถึงหน้าวัง    สมเด็จพระบรมฯก็กริ้วว่าผู้ก่อเหตุเป็นนักเรียนของกรมหลวงชุมพรฯ มารังแกมหาดเล็กของพระองค์ท่าน  จึงทรงทำเรื่องกราบบังคมทูลให้พระเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่ 5 ทรงทราบ
เมื่อกรมหลวงชุมพรฯ ทรงทราบ  สืบสาวราวเรื่องหาข้อเท็จจริงได้แล้วก็ไปเฝ้ากรมหมื่นราชบุรีดิเรกฤทธิ์ ชวนกันเข้าเฝ้าพระเจ้าอยู่หัว  กราบทูลว่าในความเป็นจริง มีนักเรียนนายเรือแค่ 2 คนเท่านั้น แต่มหาดเล็กหลายสิบคน   ใครข่มเหงใครกันแน่  
ไม่มีกฎหมายที่ไหนออกว่าคนน้อยข่มเหงคนมาก   กรมหลวงราชบุรีฯก็ทรงสนับสนุนว่าเป็นความจริง   ทั่วโลกไม่มีกฎหมายว่าคนน้อยข่มเหงคนมาก  มีแต่คนมากข่มเหงคนน้อย

พระเจ้าอยู่หัวก็เลยทรงหันพระพักตร์ไปทางสมเด็จพระบรมฯ รับสั่งว่า
" พ่อโตก็ไม่ควรเอาเรื่องเล็กๆน้อยๆเหล่านี้มากล่าวให้เป็นเรื่องเป็นราว เสียเวลา"

นายจือก็เลยรอดพ้นจากความผิด   เรียนจบเข้ารับราชการในกองทัพเรือ  เข้าวังได้ใกล้ชิดกับพระโอรสธิดาที่ทรงพระเยาว์  จนกระทั่งชราก็เขียนบันทึกเรื่องนี้ไว้ให้รู้กันสำหรับคนรุ่นหลัง


กระทู้: ก็อสสิปนอกกำแพงวัง
เริ่มกระทู้โดย: Marty ที่ 26 ต.ค. 04, 16:06
 มาแสดงตัวเป็นครั้งแรกครับ ติดตามอ่านมานานพอสมควรแล้ว มีประโยชน์มากเลยครับ
คิดว่าเรื่องความขัดแย้งระหว่างในหลวงรัชกาลที่ 6 กับกรมหลวงชุมพรฯ คงยังไม่จบแค่นี้
รอฟังคุณเทาชมพูเล่าต่อครับ


กระทู้: ก็อสสิปนอกกำแพงวัง
เริ่มกระทู้โดย: วิรงรอง ที่ 26 ต.ค. 04, 18:15
 ขอบคุณค่ะคุณเทาชมพูที่เล่าเรื่องกรมหลวงชุมพรให้ฟัง
แต่ไหนแต่ไรตั้งแต่อ่านพระราชนิพนธ์ที่ทรงแปลเชคสเปียร์และบทละครอื่นๆ ก็ให้สนใจใคร่รู้เรื่องในสมัยนั้น ด้วยคิดว่าเป็นสมัยคาบตะวันตกตะวันออก  น่าพิศวง
ขอบคุณค่ะ    


กระทู้: ก็อสสิปนอกกำแพงวัง
เริ่มกระทู้โดย: เทาชมพู ที่ 26 ต.ค. 04, 19:41

มาทักทายคุณ Marty ค่ะ

เรื่องของกรมหลวงชุมพรฯยังมีอีก  รอหน่อยนะคะ


กระทู้: ก็อสสิปนอกกำแพงวัง
เริ่มกระทู้โดย: พวงร้อย ที่ 27 ต.ค. 04, 00:51
 ตามมาอ่านช้าหน่อย ขออภัยด้วยค่ะ  ขอบคุณคุณเทาชมพูสำหรับรายละเอียดของพระวิมาดาฯด้วยค่ะ  ไม่ทราบว่า  สมเด็จเจ้าฟ้ายุคลทิฆัมพร  เป็นพระชนกของ พระองค์เจ้า เฉลิมพรทิฆัมพร อนุสรมงคลการ ใช่มั้ยคะ  ขออภัยดิฉันจำชื่อพระองค์ชายใหญ่ไม่ได้ค่ะ


กระทู้: ก็อสสิปนอกกำแพงวัง
เริ่มกระทู้โดย: นนทิรา ที่ 27 ต.ค. 04, 01:51
 พอดีผ่านมา ตอนนี้ที่เมืองไทยก็ดึกแล้ว เลยขออนุญาตตอบพี่พวงร้อยค่ะ

พระเจ้าวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้าภาณุพันธุ์ยุคล พระองค์เจ้าเฉลิมพลทิฆัมพร และพระองค์เจ้าอนุสรมงคลการ เป็นพระโอรสในสมเด็จเจ้าฟ้ายุคลทิฆัมพรค่ะ และพระชนนีคือ พระเจ้าวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้าหญิงเฉลิมเขตรมงคล (พระธิดาในสมเด็จวังบูรพา)

เสด็จพระองค์ชายใหญ่ กลาง และเล็ก ล้วนสิ้นพระชนม์แล้วทั้งสิ้นค่ะ

กำลังรอฟังเรื่องราวตอนต่อไปของกรมหลวงชุมพรฯจากคุณเทาชมพูนะคะ  กรมหลวงราชบุรีฯก็ดูเหมือนมีเรื่องขัดแย้งในหมู่เจ้าพี่เจ้าน้องอยู่เหมือนกันใช่ไหมคะ คงเป็นอย่างที่คุณเทาชมพูว่าน่ะค่ะ ครอบครัวใหญ่ขนาดนี้ เรื่องกระทบกระทั่งย่อมมีบ้างเป็นเรื่องธรรมดา


กระทู้: ก็อสสิปนอกกำแพงวัง
เริ่มกระทู้โดย: พวงร้อย ที่ 27 ต.ค. 04, 09:37
 ขอบคุณมากค่ะ คุณนนทิรา ไม่น่าลืมพระนาม พระองค์เจ้าภาณุพันธุ์ยุคล ได้เลย


กระทู้: ก็อสสิปนอกกำแพงวัง
เริ่มกระทู้โดย: เทาชมพู ที่ 28 ต.ค. 04, 11:20
ขอโยงต่อไปอีกเรื่องว่า  นอกจากมีเรื่องกับนักเรียนนายเรือแล้ว   มหาดเล็กของสมเด็จพระบรมโอรสาธิราชฯ ยังเคยไปมีเรื่องกับนายทหารรักษาพระองค์ที่วังสวนดุสิตด้วย  ในปลายรัชกาลที่ 5
สมเด็จพระบรมโอรสธิราชฯ ทูลฟ้องต่อพระเจ้าอยู่หัว ว่าทหารรักษาพระองค์รังแกมหาดเล็ก  
ผลการไต่สวน ตรงกันข้ามกับนักเรียนนายเรือ    ทหารรักษาพระองค์ถูกสอบสวนว่าผิดจริง  ก็เลยถูกเฆี่ยนต่อหน้าแถวทหารที่กระทรวงกลาโหม แล้วปลด
ผู้เฆี่ยน คือเสนาบดีกลาโหม  พระเจ้าบรมวงศ์เธอ  กรมหลวงนครไชยศรีสุรเดช ( พระองค์เจ้าชายจิรประวัติวรเดช  ต้นราชสกุล จิรประวัติ ณ อยุธยา) ตามพระบรมราชโองการของพระเจ้าอยู่หัว

หลังจากทหารบกถูกเฆี่ยนแล้ว  ก็เลยไม่ถูกกันระหว่างทหารกับมหาดเล็ก   เป็นความขุ่นข้องที่ยาวนาน จนทหารหนุ่มกลุ่มหนึ่งคิดก่อการกบฏขึ้นในรัชกาลที่ 6 เรียกว่ากบฏ ร.ศ. 130  แต่ว่าไม่สำเร็จ  ถูกจับติดคุกระนาว


กระทู้: ก็อสสิปนอกกำแพงวัง
เริ่มกระทู้โดย: เทาชมพู ที่ 28 ต.ค. 04, 11:53
 ย้อนกลับมาเรื่องกรมหลวงชุมพรฯ อีกครั้งค่ะ
เมื่อพระเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่ 6 เสด็จขึ้นครองราชย์ใหม่ๆ    กรมหลวงชุมพรฯทูลเชิญเสด็จพระราชดำเนินไปเยี่ยมชมโรงเรียนนายเรือที่พระราชวังเดิม  และจัดดินเนอร์ถวาย
ทุกอย่างก็ดำเนินไปอย่างเรียบร้อย   จนเสด็จกลับแล้วถึงได้เกิดเรื่องขึ้นมา

นักเรียนนายเรือหนุ่มๆบางคนไม่ระวังปาก   พูดจาพาดพิงถึงพระเจ้าอยู่หัว  ในทำนองล้อเลียนว่าพระเกศาบางบ้าง   อวดว่าเจ้านายตนเก่งกว่าบ้าง
พูดจากันเสียงดังไปหน่อย  สันนิษฐานว่าเสียงลอยลมข้ามคลองวัดแจ้งไปถึงบ้านพระยานรฤทธิ์ราชหัตถ์
ความก็ทรงทราบถึงพระเนตรพระกรรณ  เพราะเป็นไปได้ว่าเจ้าคุณไปกราบทูล   ไม่ใช่ว่าเป็นคนช่างฟ้อง   แต่ว่าเรื่องหมิ่นเบื้องสูงนี่ถ้ารู้แล้วอุบเงียบไว้  ก็เท่ากับสมรู้ร่วมคิด  ในระบอบสมบูรณาฯ อาจจะติดคุกหัวโต  หรือไม่ก็หัวขาดกันทั้งกลุ่ม
แต่เจ้าคุณเองก็ต้องระวังตัวกลัวทหารเรือเอาเรื่อง   ประตูหน้าบ้านจึงต้องตีไม้ทับปิดตายเอาไว้   ตัวเจ้าคุณเดินเข้าออกทางหลังบ้าน ทะลุตรอกไปทำงาน

เรื่องนี้อาจจะเป็นสาเหตุหนึ่งที่ทำให้พระเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่ 6 ไม่ไว้วางพระทัยกรมหลวงชุมพรฯ    ว่าอาจจะคบคิดกับสมเด็จเจ้าฟ้ากรมพระนครสวรรค์ฯ ชิงราชสมบัติ    เพราะเรื่องนี้กลายเป็นข่าวลือกันหนาหู   เพราะเจ้าจอมมารดาโหมดของกรมหลวงชุมพรฯกับ พระนางเจ้าสุขุมาล พระชนนีในเจ้าฟ้ากรมพระนครสวรรค์ฯ มาจากสกุลบุนนาค    ไม่ทรงโปรดพวกสกุลนี้มาตั้งแต่เรื่องสมเด็จเจ้าพระยาบรมมหาศรีสุริยวงศ์เมื่อต้นรัชกาลที่ 5

หลังจากเสด็จขึ้นครองราชย์ได้ 6 เดือน  พระเจ้าอยู่หัวก็ทรงปลดกรมหลวงชุมพรฯจากกองทัพเรือ แบบสายฟ้าแลบ    เมื่อถูกปลด ก็มีข่าวว่าข่าวลือทำท่าจะเป็นข่าวจริง
แต่หลวงพ่อวัดมะขามเฒ่าพระอาจารย์ทรงห้ามไว้  โดยเตือนสติว่า "ท่านเป็นพระเจ้าแผ่นดิน อย่าไปขัดท่านเลย"  กรงหลวงชุมพรฯก็ทรงได้สติ ถึงกับก้มลงกราบพระบาทพระเจ้าอยู่หัว
แต่หลังจากนั้นก็ยังไม่ได้กลับเข้ารับราชการในทันที   ทรงหาเลี้ยงชีพเป็นหมอยา ใช้พระนามว่า "หมอพร" ในช่วงนี้เองที่ทรงปราบนักเลงนางเลิ้งอยู่หมัด  ได้นักเลงมาเป็นลูกน้องด้วย

กรมหลวงชุมพรฯ ทรงอยู่นอกราชการถึง 6 ปีจึงได้กลับเข้ากองทัพเรืออีกครั้ง  หลังจากสยามประกาศสงครามกับเยอรมัน
ทรงดำรงตำแหน่งเสนาบดีกระทรวงทหารเรือได้ 1 ปีก็สิ้นพระชนม์ในพ.ศ. 2466 พระชันษา 44 ปี  เป็นต้นราชสกุล อาภากร ณ อยุธยา


กระทู้: ก็อสสิปนอกกำแพงวัง
เริ่มกระทู้โดย: ถาวภักดิ์ ที่ 29 ต.ค. 04, 17:37
 ขอบคุณอาจารย์เทาครับ ยังอุตส่าห์จำได้ที่ผมเคยถามเกี่ยวกับกรมหลวงประจักษ์ฯท่านไว้

ขอช่วยเสริมในส่วนการประชวรด้วยพระอาการไตวายของพระพุทธเจ้าหลวง ในความเห็นผม น่าจะมีผลสืบเนื่องจากการประชวรหนักครั้งโดยเสด็จหว้ากอกับพระราชชนก  พระองค์ท่านก็แทบจะเอาพระชนม์ชีพไม่รอด พระวักกะ(ไต)คงจะพิการหรือไม่สู้สมบูรณ์มาตั้งแต่ครั้งนั้น ซึ่งเป็นผลอย่างหนึ่งของการติดเชื้อมาเลเรีย ที่เมื่อเม็ดเลือดถูกทำลายมาก ของเสียก็จะไปคั่งอยู่ที่ไต จนอาจมีอาการไตวายจนเสียชีวิตได้  โชคดีที่พระพุทธเจ้าหลวงไม่สิ้นพระชนม์ในครั้งนั้น แต่ก็มามีผลในบั้นปลาย

ประกอบกับคงต้องเสวยพระกระยาหารแบบยุโรปบ่อย ที่ประกอบด้วยเนื้อสัตว์มาก และเครื่องดื่มแอลกอฮอล ซึ่งล้วนไม่เป็นผลดีต่อไต

พระราชกรณียกิจที่หนักหน่วงในช่วงหัวเลี้ยวหัวต่อของประเทศ เช่น ต้องเผชิญหน้ากับมหาอำนาจตะวันตก หรือแม้แต่การเมืองภายในเองก็ทรงอยู่ในภาวะประทับอยู่บนปลายหอกปลายดาบตั้งแต่ยังทรงพระเยาว์  ภาวะทางเคมีของพระวรกายจึงเสี่ยงต่อสภาพไขมันในเลือดและยูริคสูง อันเป็นตัวการทำลายไตอีกแรง


กระทู้: ก็อสสิปนอกกำแพงวัง
เริ่มกระทู้โดย: ลายคราม ที่ 31 ต.ค. 04, 16:48
 เเต่คุณถาวภักดิ์  พระบาทสมเด็จฯพระจุลจอมเกล้า  ไม่ทรงเสวยน้ำจัณฑ์นะคะ  เเอลกอฮอลน่าจะมาจากอะไรได้อีก
ในนี้มีใครร่วมสนทนา  ในห้องประวัติศาสคร์พันทิป  บ้างหรือไม่คะ


กระทู้: ก็อสสิปนอกกำแพงวัง
เริ่มกระทู้โดย: ลายคราม ที่ 31 ต.ค. 04, 21:03
 เรียนถามคุณเทาชมพูตัวจริงคือใครคะ


กระทู้: ก็อสสิปนอกกำแพงวัง
เริ่มกระทู้โดย: Marty ที่ 01 พ.ย. 04, 08:30
 ถามคุณเทาชมพูและเพื่อน ๆ ในนี้ครับ

ขอย้อนไปความเห็นที่ 38 ของคุณเทาชมพูครับ

"เจ้าฟ้ากรมหลวงพิษณุโลกฯ สิ้นพระชนม์ กล่าวกันว่าปอดบวม ดิฉันเคยคุยกับแพทย์ท่านหนึ่ง ท่านบอกว่าน่าสงสัย เพราะปอดบวมจะไม่ส่งผลรุนแรงขนาดสองวันคนไข้ตาย น่าจะยืดเยื้ออยู่เป็นอาทิตย์ รักษาทัน ก็เลยไม่แน่ใจว่าเป็นอะไร"

พอดีพึ่งได้อ่านเกิดวังปารุสก์ ในนั้นกล่าวถึงเรื่องนี้ว่า เป็นไปได้ว่า กรมหลวงพิษณุโลกฯ อาจถูกลอบวางยาพิษ โดยนำเชื้อโรคทาบนช้อนส้อมของพระองค์ ในระหว่างที่เกิดไฟฟ้าดับในงานเลี้ยงแห่งหนึ่ง โดยที่นายทหารที่ร่วมโต๊ะเสวยกับพระองค์หลายท่านก็ตายในระยะเวลาไล่เลี่ยกัน ในสาเหตุคล้าย ๆ กัน พระองค์จุลฯท่านยังกล่าวอีกว่า จากการสนทนากับ สมเด็จพระบรมราชชนก (ของในหลวงพระองค์ปัจจุบัน) พระองค์ท่านก็เชื่อว่า กรมหลวงพิษณุโลกฯน่าจะถูกวางยาพิษ มากกว่าเป็นโรคธรรมดา

ไม่แน่ใจว่า มีเอกสารหลักฐานอื่นที่กล่าวถึงเรื่องนี้อีกไหมครับ


กระทู้: ก็อสสิปนอกกำแพงวัง
เริ่มกระทู้โดย: เทาชมพู ที่ 01 พ.ย. 04, 08:52
 ในหนังสือ Katya and the Prince of Siam กล่าวไว้นิดหน่อย ว่าเป็นเรื่องที่คลุมเครืออยู่   เรื่องที่คุณ monty เอ่ยถึงเป็นการสันนิษฐาน  ไม่มีหลักฐานเรื่องยาพิษหรือบุคคลที่เกี่ยวข้องค่ะ
ถ้าใครทราบมากกว่านี้ช่วยตอบด้วย

ในอินเทอร์เนต  การใช้นามแฝงหมายความว่าคนนั้นไม่ประสงค์จะเปิดเผยนามจริง ต่อสาธารณชน   ทุกคนในเว็บนี้ ก็ทำเช่นนั้นรวมทั้งคุณลายครามด้วย

แอลกอฮอล์ อาจจะมาได้จากแชมเปญ  ไวน์ เหล้าฝรั่งชนิดอื่นๆ  ที่ประกอบพระกระยาหารแบบฝรั่งด้วย เป็นไปได้ไหมคะ  


กระทู้: ก็อสสิปนอกกำแพงวัง
เริ่มกระทู้โดย: เทาชมพู ที่ 01 พ.ย. 04, 11:27
 มีเกร็ดนิดหน่อยเกี่ยวกับพระองค์ชายใหญ่  พระเจ้าวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้าภาณุพันธุ์ยุคล ว่าเมื่อทรงพระเยาว์ โปรดเสวยแก้วตาปลาทู
ข้าหลวงของพระวิมาดาฯ พวกห้องเครื่อง ต้องหาปลาทูมาทีละมากๆ แคะเอาเฉพาะตาปลาทูออกมา แล้วทอดกรอบเป็นของเสวย
สมัยนั้นเขากินอะไรกันแปลกๆ เช่นเจ้าฟ้ากรมหลวงลพบุรีฯ เมื่ออยู่ภาคใต้  ส่งมดดำตัวใหญ่ๆทอดกรอบทั้งตัว จำนวนมาก ใส่ปีบส่งมาถวายพระวิมาดา  หัวหูขามดยังอยู่ครบเหมือนเป็น ๆ    เวลากินก็กินเข้าไปทั้งตัว

สงสัยจะจบเรื่องเล่าแค่นี้ละค่ะ  แต่ยังไม่ปิดกระทู้  ใครจะชวนคุยต่อก็ขอเชิญ


กระทู้: ก็อสสิปนอกกำแพงวัง
เริ่มกระทู้โดย: ถาวภักดิ์ ที่ 01 พ.ย. 04, 11:45
 ครับ ถูกต้องแล้ว

เคยผ่านตาบันทึกการขอขมาสงฆ์ของพระพุทธเจ้าหลวงก่อนเสด็จยุโรป โดยทรงปฏิญาณต่อคณะสงฆ์ว่าจะเสวยเสวยสุราเมรัยแต่เพียงตามธรรมเนียมปฏิบัติของชาติมหาอำนาจ จะไม่เสวยจนครองพระสติไม่ได้  แสดงว่าโดยปกติแล้วจะทรงรักษาศีลห้า  แต่ก็จำต้องแสดงความเป็นศิวิไลซ์ตามแบบธรรมเนียมตะวันตก  ซึ่งการเสวยพระกระยาหารในพระราชพิธี หรืองานเลี้ยงอาหารค่ำเต็มรูปแบนั้น จะมีสุราเมรัยแบบต่างๆประกอบอาหารทุกจาน ซึ่งมักมีประมาณ 5 จานขึ้นไป  ฉะนั้นในหนึ่งมื้อก็จำเป็นต้องเสวยไม่ต่ำกว่าห้าแก้ว

และบางแก้วซึ่งเป็นของที่ผลิตในประเทศนั้นๆ ก็ย่อมต้องแสดงความนิยมชมชอบ เสวยเอาใจเจ้าบ้านมากหน่อย

แถมยังมีธรรมเนียมการดื่มถวายพระพรกลับไปกลับมา อีกมื้อละหลายรอบ ปริมาณที่อาจดูเหมือนไม่มาก แท้จริงแล้วมากอย่างเลี่ยงไม่ได้

สาเหตุทางพันธุกรรมที่ อ.เทาฯนำเสนอไว้ ก็ยังน่าคันคว้าเพิ่มครับ เพราะอย่างน้อยทราบว่ามีราชสกุลหนึ่ง ที่สมาชิกบางสายมีอาการไตวายเรื้อรังสืบต่อกันมา

ดูเหมือนผ่านตาการวิเคราะห์ของผู้มีพื้นฐานทางแพทย์แผนปัจจุบัน อย่างนายแพทย์วิบุล วิจิตรวาทการ ให้ความเห็นไว้ว่าพระอาการไตวายจนสวรรคตมีสาเหตุจากการติดเชื้อ


กระทู้: ก็อสสิปนอกกำแพงวัง
เริ่มกระทู้โดย: ลายคราม ที่ 01 พ.ย. 04, 20:10
 ดิฉันต้องขอประทานโทษ  คุณเทาชมพูเป็นอย่างสูงนะคะ  ที่ได้ละลาบละล้วงจาบจ้วงก้าวร้าวคุณ  เพียงเเต่ดิฉันอยากทราบว่าโดยส่วนตัวเเล้ว  คุณรู้จักหม่อมชุลีในห้อประวัติศาสตร์พันทิปไหมคะ  กรุณตอบด้วยค่ะ  เเละเพื่อเป็นการรับผิดชอบต่อความผิดครั้งนี้ดิฉันจะไม่ร่วมสนทนา  ในกระดานเสวนานี้อีกในชื่อลายครามเท่านั้นนะคะ


กระทู้: ก็อสสิปนอกกำแพงวัง
เริ่มกระทู้โดย: เทาชมพู ที่ 01 พ.ย. 04, 20:36
 ดิฉันไม่ได้ถือว่าเป็นการก้าวร้าวจาบจ้วงล่วงเกินอะไรหรอกค่ะ  คือบางทีเราก็เดาความคิดของชาวเน็ตไม่ได้     โดยเฉพาะชาวเน็ตหน้าใหม่ ที่ไม่ได้สนทนากันจนคุ้นเคย  จึงเดาสำนวนและความคิดไม่ถูก
บางคนอาจจะถามว่าตัวจริงเป็นใครเพราะนึกว่าเปิดเผยได้ถ้าถาม  บางคนก็ถามเพราะเข้าใจว่าเป็นคนเดียวกับคนโน้นคนนี้
ดิฉันก็ได้แต่เดา
เดาว่าเป็นข้อแรก คือนึกว่าดิฉันจะเปิดเผยได้ถ้าถาม   คำตอบคือยังไม่ประสงค์จะเปิดเผย เท่านั้นเอง

เเต่ดิฉันอยากทราบว่าโดยส่วนตัวเเล้ว คุณรู้จักหม่อมชุลีในห้องประวัติศาสตร์พันทิปไหมคะ กรุณาตอบด้วยค่ะ?

นี่ก็ต้องพยายามเดาอีก ว่าถามเพราะสงสัยอะไร  แต่ยังเดาไม่ถูก ช่วยขยายความหน่อยได้ไหมคะ


กระทู้: ก็อสสิปนอกกำแพงวัง
เริ่มกระทู้โดย: Cinnabar ที่ 02 พ.ย. 04, 10:41
 แปลกจริง  เรื่องหม่อมชุลีนี่ก็เกิดขึ้นมานานหลายเดือนจนใครต่อใครลืมไปแล้วด้วยซ้ำ
คุณลายครามนึกอย่างไรขึ้นมา ถึงมาถามถึงในนี้ มิหนำซ้ำยังไปตั้งกระทู้ถามในพันทิพอีก
อยากหาตัวหม่อมชุลีจริงๆก็ไม่ยาก เพราะเป็นครูบาอาจารย์ ลูกศิษย์ลูกหาเยอะ เดี๋ยวก็มีคนมาบอกเองแหละ


กระทู้: ก็อสสิปนอกกำแพงวัง
เริ่มกระทู้โดย: ลายคราม ที่ 02 พ.ย. 04, 18:37
 คิดว่าจะไม่พูดอะไรอีกเเล้ว  เเต่ก็อยากชี้เเจงให้คุณเทาชมพู  เเละคุณcinnabar ให้ทราบว่าไม่ต้องสงสัยเเละเเปลกจริงหรือว่าเเปลกใจ  เพราะดิฉันจะบอกว่า  ตัวดิฉันเองเป็นคนที่อยากพูดอะไรก็พูด  อยากทำอะไรก็ทำ  เเละอยากถามอะไรก็ถาม  คิดอะไรก็ทำอย่างนั้น  เเละในชีวิตจริงดิฉันก็ยังเคยมีเรื่องกับคนอยู่เรื่อยๆ  เพราะไอ้การพูดไม่คิดของดิฉันเเอง  ถึงเเม้เรื่องหม่อมชุลี  จะผ่านไปหลายเดือนเเล้ว  มันก็จริงค่ะ  คุณถามว่าดิฉันนึกอย่างไรขึ้นมา  ก็คงจะบอกว่านึกได้นึกดีมังคะ  เเต่ถ้าตอบจริงก็คงเพราะนึกถึงหม่อมชุลีขึ้นมา  หรือว่าจะเห็นว่าประวัติศาสตร์ห้องสมุดพันทิป  เงียบเหงาลงมาก  เมื่อหม่อมชุลีไป  ดิฉันปกติก็ไม่มีอะไรจะทำอยู่เเล้ว  วันๆหนึ่งก็มีเเต่เล่นเน็ตเป็นส่วนใหญ่  เเล้วเว็บไซต์  ที่ดิฉันเข้าทุกวันก็มีอยู่ไม่มาก  ดิฉันก็เลยฟุ้งซ่านน่ะสิคะ  เเละก็ไม่ใด้ถึงกับจะตามตัวอะไร  อย่าไปใส่ใจกับคำพูดของดิฉันเลยค่ะ  เเต่ถ้าทราบก็ดีเหมือนกันนะคะ  ว่าอันที่จริงเเล้วหม่อมชุลีชีวิตจริงคือใคร จะได้สิ้นสงสัยไปสักที ยิ่งคุณcinnabarพูดว่าเป็นอาจารย์  มีลูกศิษย์ลูกหาเยอะ  ดิฉันก็อยากทราบสิคะ  เเล้วที่ว่าเป็นอาจารย์ไม่ทราบที่วิทยาลัยในวังหรือเปล่าคะ


กระทู้: ก็อสสิปนอกกำแพงวัง
เริ่มกระทู้โดย: เทาชมพู ที่ 02 พ.ย. 04, 19:16
 ข้อสงสัยของคุณลายคราม เป็นเรื่องเกี่ยวกับบุคคลที่ไม่ใช่สมาชิกของเรือนไทย   และเป็นคำถามที่ไม่เกี่ยวกับเรือนไทย  ดิฉันไม่ตอบนะคะ
ถ้าสมาชิกท่านใดประสงค์จะตอบคุณลายคราม ก็แล้วแต่สมัครใจ


กระทู้: ก็อสสิปนอกกำแพงวัง
เริ่มกระทู้โดย: Cinnabar ที่ 03 พ.ย. 04, 02:11
 ถ้าคุณลายครามยังสงสัยอยู่ก็จะตอบให้ในเรื่องของกระทู้คุณหม่อมชุลี  
คุณว่าคุณอ่านแล้วจึง"นึกได้" "นึกดี" ถึงได้มาถาม จนอยากรู้จักว่า คุณเทาชมพูเป็นใคร พร้อมสงสัยว่าน่าจะรู้จักกันเป็นการส่วนตัว  อย่างนั้นใช่ไหม?

ถ้าคุณยังจำได้ กระทู้นั้น เป็นกระทู้ในห้องประวัติศาสตร์ เกี่ยวกับเรื่องพิธีการของเจ้านาย อันเป็นเป็นพระราชวินิจฉัยส่วนพระองค์
ไม่สมควรที่ใครจะมาตั้งข้อเสนอแนะอย่างมีเงื่อนงำ
คุณเทาชมพู เป็นท่านแรก ที่แย้งว่า ไม่เป็นการสมควร
ซึ่งคุณหม่อมชุลีก็คงเพิ่งรู้สึกตัว ว่า เป็นการกระทำที่ไม่ถูกต้อง
อีกทั้งในโลกของอินเตอร์เน็ทสมัยนี้ ใครเป็นใครย่อมไม่ใช่ความลับที่ดำมืด
กระทู้นั้น จึงถูกลบไปด้วยการตัดสินใจของคุณหม่อมชุลีเอง
ไม่เกี่ยวกับการรู้จักกันเป็นส่วนตัวหรือไม่ เพราะ ไม่ว่า คุณเทาชมพูหรือใครๆที่พบข้อความเช่นกัน ย่อมมีผลสรุปเหมือนๆกัน
คือ เสนอให้ลบทิ้ง

ขอแถมอีกหน่อย เดี๋ยวจะไม่แจ่มแจ้ง ว่า คุณหม่อมชุลีเป็นผู้ใหญ่แล้ว ที่น่าต้อง"รู้ควรไม่ควร" ด้วยตัวเอง แต่อาจด้วยความนึกสนุกที่ว่า ไม่มีใครรู้ของที่มาที่ไป จึงคะนองไปตามบทบาท
แต่เมื่อการณ์กลับกลายเป็น ว่า คุณหม่อมนั้นยืนอยู่ในที่โล่งแจ้ง แดงแจ๋   นั่นก็ต้องถือว่า การที่ทุกคนช่วยกันทำให้เรื่องเงียบหาย
ลืมไปว่า มันเป็นการผิดพลาดที่ไม่น่าเกิด
นั่นคือ ผลดีต่อคุณหม่อมชุลีทั้งในด้านการดำเนินชีวิต หรือ เส้นทางการงาน


กระทู้: ก็อสสิปนอกกำแพงวัง
เริ่มกระทู้โดย: ลายคราม ที่ 03 พ.ย. 04, 21:34
 อ่ะค่ะ


กระทู้: ก็อสสิปนอกกำแพงวัง
เริ่มกระทู้โดย: ลายคราม ที่ 03 พ.ย. 04, 21:47
 ขอบritคุณ  คุณcinnabar8jt


กระทู้: ก็อสสิปนอกกำแพงวัง
เริ่มกระทู้โดย: พวงร้อย ที่ 04 พ.ย. 04, 03:29

มัวแต่วุ่นวายกับฮาโลวีนจนผักบุ้งที่ซื้อไว้ใส่ตู้เย็นเหี่ยวหมดแล้ว  ถึงเพิ่งจะมีเวลาทำเมื่อวานค่ะ  เคยแต่ไปซื้อหมูหันมาทำ  นี่ลงทุนซื้อหมูสามชั้น  คิดว่าใช่นะคะ  ที่นี่เค้าเรียก pork belly น่ะค่ะ  มาทำ  ออกมาอร่อยมาก  มะกรูดปีนี้ลูกดกน้ำฉ่ำมาก  เปรี้ยวจี๊ดเลยค่ะ  ขอบคุณที่หาสูตรมาให้นะคะ


กระทู้: ก็อสสิปนอกกำแพงวัง
เริ่มกระทู้โดย: เทาชมพู ที่ 04 พ.ย. 04, 10:49
แกงหมูสามชั้นเทโพ  เมด อิน ยูเอสเอ เห็นแล้วน่ากินมากค่ะ  คุณพวงร้อย

ออกนอกกำแพงวังมาเข้าครัวส่งท้ายกระทู้  
ถ้าหากว่าชอบทานหมูนะคะ  บอกวิธีทำหมูส้ม(หรือหมูหมัก)ให้  ทำง่ายๆ  หมูอมเปรี้ยว  รสชาติเหมือนกินแหนมน่ะค่ะ  แต่ว่าไม่มีส่วนผสมดินประสิวก่อมะเร็ง  จึงปลอดภัยกว่า
อ้อ มีข้อแม้อีกอย่างว่า คนกินต้องไม่เกลียดกลิ่นกระเทียมด้วย

หั่นหมูเป็นชิ้นบางๆ  โขลกกระเทียมใส่ลงไปเยอะๆ เช่นหมู ๕ ขีด กระเทียม ๓ ขีด  เกลือนิดหน่อย แล้วแต่ชอบเค็มมากน้อย เติมน้ำลงไปสักครึ่งถ้วยกาแฟ
คลุกๆขยำๆให้เข้ากันจนนิ่ม  ใส่ซุปเปอร์แวร์ปิดฝาให้แน่น   ตั้งทิ้งไว้นอกตู้เย็นสัก ๒ คืน   ถ้าอุณหภูมิในห้องอุ่นเท่าอากาศในห้องเมืองไทยก็ ๒ คืนได้ผล  ถ้าอากาศเย็นเห็นจะต้องเพิ่มเวลา จนกว่าจะเปรี้ยวได้ที่
เคล็ดลับที่ทำให้หมูเปรี้ยวคือกระเทียมเยอะๆ ไม่ต้องกลัวว่าจะมากไป  
และเคล็ดลับที่ทำให้หมูนิ่ม (ได้มาจากแม่ค้าขายหมู) คือใส่น้ำลงไป หมูจะนิ่มค่ะ

พอได้ที่ก็เอามาทอด  อย่างธรรมดา  เหมือนทอดหมูทั่วไป ถ้าชอบกระเทียมเจียวก็เจียวให้เหลืองโรยหน้า  ไม่ชอบก็กินกับขิงและหัวหอม  หมูออกมาสุกปลอดภัย เนื้อนิ่มไม่แข็ง รสอมเปรี้ยวเหมือนแหนมทอด   กินกับข้าวต้มร้อนๆอร่อยนักแล


กระทู้: ก็อสสิปนอกกำแพงวัง
เริ่มกระทู้โดย: พวงร้อย ที่ 05 พ.ย. 04, 12:25

ดีใจคุณครูมาชมการบ้านค่ะ อิๆๆ  สูตรหมูส้มดูน่าทานมากเลยค่ะ  เดี๋ยวอาทิตย์หน้าไปตลาดเอเชียแล้วจะหาเนื้อหมูมาลองทำ  ฝรั่งตัดเนื้อหมูไม่เหมือนคนเอเชีย  เจอทีไรหงุดหงิดทุกที  อย่างหมูสันในนี่สับรวมกับ pork chops ทั้งกระดูกกระเดี้ยว เสียดายของสุดๆเลยค่ะ  เลยต้องรอไปตลาดเอเชียถึงจะถูกใจ  แต่มันไกลไปหน่อย  นานๆถึงไปทีค่ะ

ว่าไปน่าจะมี ครัวเรือนไทย นะคะ  อาหารไทยเดี๋ยวนี้ เด็กไทยรุ่นใหม่ๆก็ไม่รู้จักกันแล้วก็มี  กลับไปเมืองไทยหาอาหารพื้นบ้านก็ยาก  อย่างน้ำพริกนี่มีแต่ปลาแต่ไข่มาให้จิ้ม  หาผักสดๆทานให้จุใจยากมากๆเลยค่ะ  แถวแอลเอเสียอีกมีอาหารและขนมไทยทานเหมือนสมัยก่อนมากกว่าหลายร้านเลยทีเดียวค่ะ  

เอากุหลาบที่เพิ่งซื้อมา ยังไม่ทันลงดินมาฝากค่ะ  ดอกหอมมากๆๆ ดมกลิ่นถูกใจแล้วถึงถอยมาค่ะ


กระทู้: ก็อสสิปนอกกำแพงวัง
เริ่มกระทู้โดย: พระอุทัย ที่ 13 ธ.ค. 04, 17:02
 เรียนคุณพวงร้อย ถ้าไปเจอหมูบดติดกระดูกอ่อน ลองผัดระเบิดดูบ้างซิ   ใช้น้ำพริกแบบแกงหมูก็ได้  แต่ต้องใส่พริกไทยอ่อน กับใบยี่หร่าด้วย ความเผ็ดมากๆ ขนาด 4ดาวขึ้นไป   โดยเติมพริกขี้หนูสดบุบลงไปผัดกับเครื่องแกงด้วย   ร้านอาหารที่เมืองไทยเขากำลังนิยมกัน


กระทู้: ก็อสสิปนอกกำแพงวัง
เริ่มกระทู้โดย: V_Mee ที่ 21 ก.ย. 05, 23:48
 อ่านที่อาจารย์เทาชมพูกรุณาตอบไว้ในกระทู้ราชสกุลแล้วพาดพิงถึงกระทู้นี้เลยต้องตามเข้ามาอ่าน  แล้วก็อดไม่ได้ที่จะต้องแสดงความเห็นเพิ่มเติม

"...สตรีที่อยู่ในข่ายเหมาะสมกับสมเด็จพระบรมโอรสาธิราชฯ หรือสมเด็จพระมงกุฎเกล้าฯ เขาว่ากันว่ามี 3 องค์ ล้วนแต่พิจารณาโดยสมเด็จพระพันปี
นอกจากเสด็จพระองค์หญิงเยาวภาฯ ก็มีพระธิดาในกรมพระสวัสดิวัดนวิศิษฎ์อีกองค์หนึ่ง
อีกองค์คือสมเด็จหญิงน้อย เจ้าฟ้านิภานภดล กรมขุนอู่ทองเขตขัตติยนารี พระธิดาในพระวิมาดาเธอ กรมพระสุทธาสินีนาฎ
แต่พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้า ฯ ทรงตั้งพระราชหฤทัยว่าจะไม่อภิเษกสมรสกับพระกนิษฐภคินีไม่ว่าองค์ใด ส่วนองค์ที่เป็นพระญาติสนิท พระพันปีทรงเปลี่ยนพระทัยเองในเวลาต่อมา..."
ในเรื่องนี้ ล้นเกล้าฯ รัชกาลที่ ๖ ได้ทรงบรรยายไว้ในพระราชบันทึก "ประวัติต้นรัชกาลที่ ๖" ที่พระราชทานเจ้าพระยารามราฆพไว้ว่า "...เสด็จแม่ได้ตรัสแก่ฉันให้เลือกคู่เสียทีเถิด  และทรงอ้างว่าทูลกระหม่อมก็ได้ทรงบ่นอยู่ว่าอยากให้ฉันมีเมีย  ส่วนพระองค์เสด็จแม่เองนั้นมีพระประสงค์ให้ฉันเลือกลูกเธอของทูลกระหม่อมองค์ ๑  และทรงแนะนำว่าหญิงน้อย (สมเด็จเจ้าฟ้าหญิงนาภานภดล) เปนผู้ที่ทรงเห็นเหมาะ  แต่ฉันก็ยืนยันอยู่เช่นที่ได้เคยยืนยันมาแล้วตั้งแต่กลับจากยุโรป  ว่าไม่ยอมเลือกน้องสาวเปนเมียเปนอันขาด...
  เมื่อฉันไม่ยอมเลือกน้องสาวเปนเมียแล้ว  เสด็จแม่จึ่งทรงยอมว่า ถ้าเช่นนั้นก็ให้เลือกหม่อมเจ้าหญิงคนใดคน ๑  ฝ่ายฉันเห็นว่าจะอิดเอื้อนหรือผัดผ่อนต่อไปก็ไม่งดงาม  จึ่งทูลว่าถ้าเช่นนั้นขอเลือกลูกสาวเสด็จลุงคน ๑  เสด็จแม่จึ่งรับสั่งว่า ทรงเห็นว่าพอใช้ได้มีอยู่คน ๑ คือ ....................(ที่เรียกกันว่า "หญิงโอ")  แต่ในเวลานั้นฉันยังมิได้รู้จักมักคุ้นอะไรเลย  จึงตกลงเปนอันว่าเสด็จแม่ทรงรับจะฝึกฝนกิริยามรรยาทและสั่งสอนให้เรียบร้อยก่อน  แล้วจึ่งค่อยนำความกราบบังคมทูลพระเจ้าหลวงขอพระราชทานพระบรมราชานุญาตต่อไป
  เมื่อได้ตกลงเช่นนั้นแล้วฉันจึงรูสึกชอบกล  ฉันเองเปนผู้ที่ได้เคยกล่าวค่อนแคะผู้ชายที่แต่งงานกับผู้หญิงที่ไม่รู้จัก  มาบัดนี้สิฉันเองจะต้องทำเช่นนั้น..."
แต่ในที่สุดสมเด็จพระพันปีหลวงทรงกริ้วหม่อมเจ้าหญิงพระองค์นั้น  จึงทรงบอกเลิกไปเอง
เสด็จลุงในพระราชบันทึกนั้นคือ สมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมพระยาเทววงศ์วโรปการ  ส่วน "หญิงโอ" นั้น คือ หม่อมเจ้าทิพรัตนประภา  เทวกุล  
นอกจากพระราชบันทึกดังกล่าวข้างต้นแล้ว  ยังมีเรื่องเล่ากันว่า โปรดหม่อมเจ้าพูนพิสมัย  ดิศกุล อยู่เหมือนกัน  แต่ท่านหญิงทรงรับใช้ใกล้ชิดติดพระองค์สมเด็จกรมพระยาดำรงราชานุภาพมาก  จึงมีรับสั่งว่า หญิงพูนเธอไม่รู้จักโตเสียที   ในส่วนของท่านหญิงพูนเองนั้นก็ดูว่าจะทรงเคารพรักในล้นเกล้าฯ ยิ่งกว่าเจ้าพี่เจ้าน้องทุกพระองค์ในราชสกุลดิศกุล

เรื่องล้นเกล้าฯ ทรงขัดแย้งกับกรมหลวงชุมพรฯ นั้นมีเรื่องเล่ากันพิสดารเสียเหลือเกิน  แต่ที่ผมเคยทราบมานั้น  เนื่องจากเสด็จในกรมชุมพรฯ ทรงมีพระชนมายุมากกว่าล้นเกล้าฯ เพียง ๑๓ วัน จึงทรงใกล้ชิดสนิทสนมกันมาแต่ทรงพระเยาว์  เมื่อเสด็จออกไปศึกษาต่อที่อังกฤษก็เสด็จออกไปพร้อมกัน  ในชั้นต้นนั้นก็ประทับอยู่ด้วยกัน  และจะทรงเรียนทหารเรือด้วยกันทั้งสองพระองค์  แต่ล้นเกล้าฯ ทรงได้รับสถาปนาเป็นสมเด็จพระยุพราชรัชกาลที่ ๕ จึงโปรดทรงเปลี่ยนการศึกษามาเรียนทางพลเรือนเป็นหลักเพื่อเตรียมพระองค์เป็นพระมหากษัตริย์  แต่ก็โปรดให้ทรงเรียนวิชาทหารเพื่อรู้ไว้ด้วย  แต่ด้วยพระราชหฤทัยที่หนักไปในทางการทหารจึงได้ทรงศึกษาจนจบจากโรงเรียนนายร้อยแซนด์เฮิร์สท์  แล้วเสด็จไปทรงศึกษาวิชาปืนเล็ก และวิชาทหารปืนใหญ่เพิ่มเติม  รวมทั้งได้ทรงศึกษาค้นคว้าด้วยพระองค์เองจนทรงเชี่ยวชาญเรื่องการสงครามป้อมค่ายประชิด  และพระยาเทพหัสดิน (ผาด  เทพหัสดิน ณ อยุธยา) อดัตแม่ทัพไทยในสงครามโลกครั้งที่ ๑ ได้เล่าไว้ว่า  เมื่อล้นเกล้าฯทรงมีพระชนมายุได้ราว ๒๑พรรษา ได้เสด็จฯ ประพาสเบลเยี่ยม  และวันหนึ่งได้เสด็จฯ ทอดพระเนตร สถานที่ที่เมืองลิเอซ (Liez) เมื่อเสด็จฯ กลับถึงที่ประทับแรมได้ทรงเล่าถึงป้อมเมืองลิเอซ (ป้อมนี้ได้ชื่อว่าเป็นป้อมที่แข็งแรงที่สุดในยุโรปเวลานั้น)  ถึงสะพานและช่องทางที่ข้าศึกอาจยกเข้ามา  ได้ทรงทำนายไว้ว่า เยอรมันจะต้องยกเข้ามาทางนั้น  ได้รับสั่งเรื่องนี้แก่พระยาเทพหัสดิน ซึ่งเป็นมหาดเล็กข้าหลวงเดิมไว้เมื่อ ๒๔๔๔ (ค.ศ. 1901)  และต่อมาใน พ.ศ. ๒๔๕๗ หรือ ค.ศ. 1914 คือ ๑๓ ปีหลังจากนั้น  กองทัพเยอรมันก็ได้เข้าโจมตีลิเอซตามทางที่ได้ทรงทำนายไว้จริงๆ  และ Encyclopedia Britanica ได้บันทึกไว้ว่า  ในการรบครั้งนั้นซึ่งกินเวลาราว ๗ วัน  มีทหารเสียชีวิตกว่า ๔ หมื่นคน
ขอย้อนมากล่าวถึงเรื่องความขัดแย้งระหว่างล้นเกล้าฯ กับเสด็จในกรมชุมพรต่อ  เมื่อเสด็จกลับจากทรงศึกษาที่อังกฤษทั้งสองพระองค์แล้ว  ล้นเกล้าฯ ได้ทรงรับราชการเป็น จเรทัพบก ทัพดรือ และผู้บังคับการกรมทหารมหาดเล็ก  ส่วนเสด็จในกรมฯ ได้เสด็จฯ เข้ารับราชการในกรมยุทธศึกษาทหารเรือ  และทรงเป็นอาจารย์ในโรงเรียนนายเรือ  ในตอนปลายรัชกาลที่ ๕ เมื่อโปรดให้สร้างพระตำหนักพญาไทขึ้นนั้น  โปรดที่จะเล่นปิคนิคและทรงปลูกผักทำสวนครัว  รวมทั้งทรงเลี้ยงไก่  กล่าวกันว่า เสด็จในกรมชุมพรฯ โดยคำแนะนำของกรมหลวงประจักษ์ก็ทรงเจริญรอยพระยุคลบาท  ทรงอ้างว่าทรงปลูกผักทำสวนครัวตามพระราชนิยม  มีผักมาถวายเป็นเข่งๆ ทุกวัน  แต่แท้จริงแล้วว่ากันว่าทรงซื้อมาจากตลาด  และเมื่อหม่อมเจ้าหญิงทิพสัมพันธ์ พระชายาสิ้นชีพิตักษัยไปแล้ว  เสด็จในกรมฯ คงจะทรงโทมนัสมากจึงได้ทรงหันไปศึกษาวิชาคาถาอาคม  ประกอบกับได้เกิดเหตุวิวาทกันระหว่างนักเรียนนายเรือกับมหาดเล็กของสมเด็จพระบรมฯ ดังที่อ้างถึงข้างต้น  ซึ่งท่านผู้ใหญ่ทางฝ่ายมหาดเล็กท่านว่า  นักเรียนนายเรือไปห้ามพวกมหาดเล็กมิให้ฝึกหัดท่าทหาร  จึงมีปากเสียงกันขึ้น  เมื่อความทราบฝ่าละอองพระบาทจึงโปรดให้เลขานุการในพระองค์มีหนังสือว่ากล่าวไปทางผู้บังคับการโรงเรียนนายเรือ  ทรงหวังว่าเรื่องคงจะจบลงเพียงนี้  แต่วันหนึ่งล้นเกล้าฯ รัชกาลที่ ๕ มีรับสั่งให้หาสมเด็จพระบรมฯ ไปเฝ้าในที่รโหฐานและได้มีพระราชดำรัสว่า ที่ทรงให้เลขานุการในพระองค์มีหนังสือเตือนไปนั้น  ทางผู้บังคับการโรงเรียนนายเรือเกรงกลัวภัยจะถึงตัว  รวมทั้งได้รับสั่งว่า ในกรมชุมพรฯ ทรงเกรงภยันตรายจึงได้นำความกราบบังคมทูลขอพระราชทานพระบารมีปกเกล้าฯ  แต่สมเด็จพระบรมฯ ก็มิได้ทรงติดใจอะไร  และเล่ากันว่สมื่อเสด็จกลับถึงวังสราญรมย์แล้ว ทูลกระหม่อมบริพัตรซึ่งเวลานั้นทรงเป็นผู้บัญชาการทหารเรือก็ได้เสด็จไปเฝ้าฯ และกราบทูลขอโทษว่า ไม่ทรงทราบเรื่องมาก่อน  และทรงรับว่าจะไปต่อว่าเสด็จในกรมชุมพรฯ มิใทรงกระทำเช่นนั้นอีก
ต่อมาปรากฏว่า เสด็จในกรมชุมพรฯ ซึ่งเป็นพวกหัวใหม่ ทรงขัดแย้งกับนายทหารเรือรุ่นเก่า ที่เรียกกันว่าพวก "หัวเก่า" ถึงกับไม่เสด็จไปทรงงานที่กองทัพเรือเลย  แต่ยังทรงรับเงินเดือนเต็ม นับว่าทรงเป็นแบบอย่างที่ไม่ดีแก่พวกทหารเรือหนุ่มๆ จนถึงขั้นนายทหารเรือหนุ่มคนหนึ่งถึงกับขู่ว่า  หากไม่ได้รับเงินค่าเดินทะเลที่ค้างจ่ายมาแต่แผ่นดินพระพุทธเจ้าหลวงแล้ว  จะสไตรค์เอาเรือไปลอยเสียที่ปากน้ำ  ซึ่งในเรื่องนี้ก็ไม่ปรากฏว่า เสด็จในกรมฯ ทรงห้ามปรามลูกศิษย์  กลับทรงเข้าข้างพวกลูกศิษย์  ล้นเกล้าฯ รัชกาลที่ ๖ จึงได้ทรงนำเรื่องนี้เข้าหารือในที่ประชุมเสนาบดีสภา  กรมหลวงนครไชยศรีสุรเดช เสนาบดีกระทรวงกลาโหม และสมเด็จเจเฟ้ากรมหลวงพิษณุโลกประชานาถ เสนาธิการทหารบก ทรงเห็นว่า ควรปลดกรมหลวงชุมพรออกเป็นกองหนุนเพื่อให้ทรงสำนึกตัว  จึงได้มีพระบรมราชโองการให้ปลดเสด็จในกรมชุมพรฯ ออกจากราชการเป็นกองหนุนอยู่ชั่วระยะเวลาหนึ่ง  ต่อมาเสด็จในกรมฯ ได้กราบบังคมทูลสำนึกผิดจึงได้โปรดให้เสด็จเข้ารับราชการในกระทรวงทหารเรือต่อมาจนได้เสด็จไปทรงเลือกซื้อเรืรบหลวงพระร่วง  และทรงบังคับการลูกเรือชาวไทยทั้งลำนำเรือนั้นเดินทางกลับจากอังกฤษสู่ประเทศสยามโดยสวัสดิภาพ  นับเป็นการเดินเรือข้ามทวีปโดยชาวไทยล้วนๆ เป็นครั้งแรก  และในบั้นปลายพระชนม์ชีพ  ได้โปรดเกล้าฯ ให้เสด็จในกรมเป็นเสนาธิการทหารเรือ และเสนาบดีกระทรวงทหารเรือในที่สุด
ขอกล่าวถึงเรื่องนักเรียนนายเรือเพิ่มเติม  ในรัชสมัยรัชกาลที่ ๖ นั้นกล่าวกันว่า นักเรียนนายเรือมิได้เป็นสุภาพบุรุษทหารเรือดังเช่นทุกวันนี้  ในสมัยนั้นเมื่อนักเรียนนายเรือไปแข่งขันฟุตบอลกัลโรงเรียนหรือหน่วยงานอื่นๆ สุดท้ายมักไปตีกับฝ่ายตรงข้ามเป็นประจำ  จึงถูกห้ามมิให้เข้าแข่งขันไปพักหนึ่ง  จนหลังสงครามโลกครั้งที่ ๒ ทีมสุภาพบุรุษโรงเรียนนายเรือจึงได้เข้าร่วมการแข่งขันรักบี้ฟุตบอลกับทีมมหาวิทยาลัยต่างๆ  มาจนถึงทุกวันนี้  จากนั้นจึงได้ขยายไปสู่กีฬาอื่นๆ ยกเว้นกีฬาฟุตบอล


กระทู้: ก็อสสิปนอกกำแพงวัง
เริ่มกระทู้โดย: V_Mee ที่ 22 ก.ย. 05, 00:00
 อ่านความเห็นที่ ๙๖ ที่ว่า
ขอย้อนไปความเห็นที่ 38 ของคุณเทาชมพูครับ

"เจ้าฟ้ากรมหลวงพิษณุโลกฯ สิ้นพระชนม์ กล่าวกันว่าปอดบวม ดิฉันเคยคุยกับแพทย์ท่านหนึ่ง ท่านบอกว่าน่าสงสัย เพราะปอดบวมจะไม่ส่งผลรุนแรงขนาดสองวันคนไข้ตาย น่าจะยืดเยื้ออยู่เป็นอาทิตย์ รักษาทัน ก็เลยไม่แน่ใจว่าเป็นอะไร"

ตรงนี้ต้องขอเรียนว่า อย่าเอาวิทยาการสมัยใหม่ไปจับนะครับ  สมัยนั้นการแพทย์ยังไม่เจริญเท่าทุกวันนี้  สาเหตุที่ทิวงคตนั้นน่าจะมาจากทรงตรากตรำพระวรกายในตำแหน่งเสนาธิการทหารบก  ซึ่งต้องทรงเป็นผู้บัญชาการในการซ้อมรบใหญ่ทหารบกที่ทุ่งอยุธยา (ตรงนี้ต้องเรียนว่าการซ้อมรบสมัยก่อนนั้นใช้ทหารหลายหมื่นนายลงไปกินนอนอยู่กลางทุ่งเป็นสัปดาห์  การสื่อสารก็ยังต้องใช้พลเดินสารหรืออาณัติสัญญาณธง) และการที่จะต้องทรงไปคลุกคลีกินนอนอยู่กับทหารตากแดดตากลมอยู่กลางทุ่งเป็นเวลานับสิบวันนั้น  ร่างกายย่อมทรุดโทรมลงเป็นธรรมดา  เมื่อเสร็จการซ้อมรบแล้วก็เสด็จออกไปสิงคโปร์เลย  ไม่ทันได้ทรงพักผ่อน  คงจะทรงไปพักในเรือในระหว่างเสด็จยุโรป  ประกอบกับทรงมีโรคประจำพระองค์อยู่แล้ว  เมื่อมาเจอฝนจึงเป็นเหตุให้ประชวรปอดบวมแล้วเสด็จทิวงคตในเวลอันรวดเร็วก็เป็นได้  แต่ที่ลือกันว่า อาจจะทรงถูกวางยานั้น  เพราะมีนายทหารผู้ใหญ่เสียชีวิตกันหลายท่านในเวลาใกล้เคียงกัน  แต่อาจะลืมนึกไปว่าแต่ละท่านนั้นปกติมิได้ออกไปตรากตรำกลางทุ่งกันอย่างนั้นมาก่อน  เมื่อร่างกายทนการตรากตรำไม่ไหวก็มีอันต้องร่วงโรยไพร้อมๆ กันได้


กระทู้: ก็อสสิปนอกกำแพงวัง
เริ่มกระทู้โดย: V_Mee ที่ 22 ก.ย. 05, 00:09
 อันคำว่าพระพันปีหลวง กับพระพันวษา นั้น  เคยอ่านพบในตำราแม่ครัวหัวป่าก์ของท่านผู้หญิงเปลี่ยน ภาสกรวงศ์ ซึ่งเป็นคุณข้าหลวงเดิมในเจ้าฟ้าบุญรอด ซึ่งต่อมาในรัชกาลที่ ๔ ได้โปรดสถาปนาพระอํฐิเป็น กรมเสด็จพระสุริเยนทรามาตย์ ที่สมเด็จพระบรมราชชนี พันปีหลวง  แต่ในบทประพันธ์นั้นท่านผู้เขียนได้ออกพระนามเจ้าฟ้าหญิงบุญรอดว่า "พระพันวษา" มาโดยตลอด  และออกพระนามกรมเด็จพรัศรีสุราลัย ว่า "สมเด็จพระพันปี"  และในเฉลิมพระยศเจ้านาย  ก็จะปรากฏเป็นธรรมเนียมว่า เมื่อพระเจ้าแผ่นดินเสวยราชสมบัติแล้วจะทรงสถาปนาสมเด็จพระบรมราชชนี พันปีหลวง ขึ้นเป็นกรมสมเด็จพระ... ทุกรัชกาล
จึงน่าจะสรุปได้ว่า  สมเด็จพระพันปีหลวง นั้น คือ พระมเหสีในพระมหากษัตริย์รัชกาลก่อนและทรงเป็นพระบรมราชชนนีของพระเจ้าแผ่นดินในรัชกาลต่อมา  ส่วนสมเด็จพระพันวัสสา นั้นก็ทรงเป็นพระมเหสีเอกในพระเจ้าแผ่นดิรัชกาลก่อนแต่มิได้ทรงเป็นพระบรมราชชนนีพระเจ้าแผ่นดินในรัชกาลต่อมา  หากแต่ทรงยกย่องเสมอด้วยพระบรมราชชนี


กระทู้: ก็อสสิปนอกกำแพงวัง
เริ่มกระทู้โดย: ศรีปิงเวียง ที่ 02 ต.ค. 05, 10:29
 
เคยโดดเด่นคนเห็นเป็นพลุดัง สวยสะพรั่งแพรวพราวขาวเวหา
แล้วตกต่ำดิ่งด่ำคว่ำลงมา อยู่กับพื้นคนพามองหน้าดู


เบื่อชีวิตไม่คิดจะอย่างนี้ เบื่อเต็มทีระทมขมขื่นหลาย
เบื่อลำบากยากไร้ไม่สบาย เบื่ออยากตายทุกข์ทนอยู่คนเดียว


ยามชราหูตาต่างมัวมืด จิตชาชืดหนังย่นร่นความสวย
ไม้ใกล้ฝั่งนั่งคอยเวลาม้วย เพราะเหตุด้วยดูโลกโศกเศร้านาน


อนาถหนอโลกนี้ชีวิตมนุษย์ ยามสาวสุดสูงเด่นเป็นดวงแข
ยามชราเอือมระอาคนรังแก ช่างไม่แน่เหมือนหวังดังคาดเดา


อนิจจาโอ้ว่าตัวเรา ตรมเศร้าโศกสลดหมดสุข
ขมขื่นกลืนแต่ความทุกข์ ทรยุคยากไร้ไข้ครอง
ลำบากยากแค้นแสนสาหัส อัตคัดผู้คนปรนสนอง
มีแต่ศัตรู จู่ปอง ครอบครองย่ำยีบีฑา
เจ็บจนทนทุกข์ถึงที่ ไม่มีญาติมิตรมาหา
บ่นไปก็ไร้ราคา นิ่งเสียดีกว่าเป็นบ้าไป
เคราะห์ดีที่เราเฝ้าเพียร ขีดเขียนข้อข้องป้องได้
พอปลอบดวงจิตพิษภัย สดใสสร่างเศร้าเหงางง
คนเดียวเดี่ยวโดดต่อสู้ สัตรูมากมายไม่หลง
ยังสู้สัตรูอย่างทนง นึกปลงว่ากรรมทำมา
วันหนึ่งจักได้ชัยชนะ เพราะพระธีรราชมหา
รับสั่งว่าไว้ใครมา อะเวราสนองป้องภัยเอย

ใครรานพาลข่มข้า ลักษมี
ขอเดชพระบารมี เลิศล้ำ
บันดาลพวกกาลี พินาศ
มันข่มข้าชอกช้ำ ใช่แกล้งกล่าวหา

พระนางเธอลักษมีลาวัณ


ไม่ทราบว่าพระนิพนธ์ “ขีดเขียนข้อข้องป้องได้ พอปลอบดวงจิตพิษภัย สดใสสร่างเศร้าเหงางง” ทั้งบทนี้เป็นอย่างไรครับ เพราะในห้องสมุดไม่มีหนังสือที่กล่างถึงพระนิพนธ์ดังกล่าว เต็ม ๆ ครับ

ดูจากพระนิพนธ์ซึ่งไม่ต้องอธิบายมากแล้ว ก็เข้าเรื่องในกระทู้นี้ได้อย่างไม่ต้องสงสัยครับ
ผมขอถาม อ. เทาชมพูว่า เรื่องหม่อมเป็ดสวรรค์ นี้ถือว่าผิดกฎกติกาของวิชาการดอทคอมหรือเปล่าครับ เคยอ่านแล้วสนุกดี สะท้อนหลาย ๆ สิ่งหลาย ๆ อย่างในราชสำนัก    


กระทู้: ก็อสสิปนอกกำแพงวัง
เริ่มกระทู้โดย: นางมารน้อย ที่ 10 พ.ค. 13, 14:16
ต้องกราบขอบพระคุณคุณ V_Mee ด้วยค่ะที่กรุณามาให้ขอมูลในอีกแง่มุมหนึ่งให้เราได้รับรู้ค่ะ

เพิ่งได้มาติดตามอ่าน ขอบคุณคุณเทาชมพูสำหรับเรื่องราวค่ะ


กระทู้: ก็อสสิปนอกกำแพงวัง
เริ่มกระทู้โดย: yong9798 ที่ 18 ส.ค. 13, 22:30
สวัสดีค่ะคุณ paganini หายหน้าไปพักใหญ่เชียวนะคะ  งานยุ่งมากหรือ

ยินดีที่กลับมาร่วมวงคุยกันอีกค่ะ


คุณพวงร้อยคะ   ข้อสังเกตของคุณพวงร้อยทำให้ดิฉันต้องกลับไปทบทวนเกี่ยวกับเรื่องการเสกสมรสของเจ้านายอีกครั้ง

ก็พบอะไรบางอย่างที่น่าสนใจ


ถ้าหากว่าเราลำดับถึงพระมหากษัตริย์และพระมเหสีในแต่ละรัชกาลแล้ว  จะเห็นได้ว่ามีรัชกาลเดียวเท่านั้นที่มีพระมเหสีเป็นพระกนิษฐภคินีต่างพระมารดากัน   คือในรัชกาลที่ ๕

นอกนั้นไม่ใช่

ในรัชกาลที่ ๑  พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าฯกับสมเด็จพระอมรินทร์ฯ ท่านไม่ได้เกี่ยวข้องกันทางสายเลือดเลย  ฝ่ายชายมีตระกูลอยู่ทางกรุงศรีอยุธยา  ฝ่ายหญิงอยู่ราชบุรี

แล้วมาสมรสกันด้วยความเห็นชอบของผู้ใหญ่

 ในรัชกาลที่ ๒  พระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้าฯ กับสมเด็จพระศรีสุริเยนทราฯ ไม่ใช่พี่น้อง  แต่เป็นลูกพี่ลูกน้องกัน  แบบ first cousin  ฝ่ายหญิงเป็นลูกป้า  ฝ่ายชายเป็นลูกน้า(ชาย)

ในรัชกาลที่ ๓  ไม่ทรงมีพระมเหสีในราชวงศ์จักรี  ทรงมีแต่เจ้าจอม  ซึ่งไม่ได้เกี่ยวข้องกันทางสายเลือด

ในรัชกาลที่ ๔  สมเด็จพระจอมเกล้าฯ ทรงมีพระมเหสี ซึ่งนับตามลำดับญาติแล้ว เป็นหลานปู่  แต่ไม่ใช่หลานแท้ๆ

ในรัชกาลที่ ๖   พระนางเธอลักษมีฯ   เป็นลูกพี่ลูกน้องของพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าฯ  พระนางเจ้าอินทรศักดิศจีเป็นสามัญชน เช่นเดียวกับพระนางเจ้าสุวัทนา   ไม่มีสายเลือดเกี่ยวข้องกัน

ในรัชกาลที่ ๗   พระบาทสมเด็จพระปกเกล้าฯ และพระนางเจ้ารำไพพรรณี อยู่ในฐานะพระญาติ first cousin

ในรัชกาลปัจจุบัน  สมเด็จพระนางเจ้าฯพระบรมราชินีนาถ ทรงเป็นพระญาติในพระราชวงศ์จักรี   ดิฉันเข้าใจว่าถ้านับแบบฝรั่งเขาจะเรียกว่า second cousin
ขอเรียนถามอาจารย์ว่าเจ้าฟ้ากุณฑลซึ่งเป็นพระราชธิดาของรัชกาลที่๑ ทรงอยู่ในฐานะพระเหสีหรือเจ้าจอมของรัชกาลที่๒ ครับ


กระทู้: ก็อสสิปนอกกำแพงวัง
เริ่มกระทู้โดย: NAVARAT.C ที่ 18 ส.ค. 13, 23:43
^

http://th.wikipedia.org/wiki/%E0%B8%9E%E0%B8%A3%E0%B8%B0%E0%B8%A3%E0%B8%B2%E0%B8%8A%E0%B8%8A%E0%B8%B2%E0%B8%A2%E0%B8%B2%E0%B8%99%E0%B8%B2%E0%B8%A3%E0%B8%B5_%E0%B9%80%E0%B8%88%E0%B9%89%E0%B8%B2%E0%B8%9F%E0%B9%89%E0%B8%B2%E0%B8%81%E0%B8%B8%E0%B8%93%E0%B8%91%E0%B8%A5%E0%B8%97%E0%B8%B4%E0%B8%9E%E0%B8%A2%E0%B8%A7%E0%B8%94%E0%B8%B5


กระทู้: ก็อสสิปนอกกำแพงวัง
เริ่มกระทู้โดย: yong9798 ที่ 19 ส.ค. 13, 00:12
^

http://th.wikipedia.org/wiki/%E0%B8%9E%E0%B8%A3%E0%B8%B0%E0%B8%A3%E0%B8%B2%E0%B8%8A%E0%B8%8A%E0%B8%B2%E0%B8%A2%E0%B8%B2%E0%B8%99%E0%B8%B2%E0%B8%A3%E0%B8%B5_%E0%B9%80%E0%B8%88%E0%B9%89%E0%B8%B2%E0%B8%9F%E0%B9%89%E0%B8%B2%E0%B8%81%E0%B8%B8%E0%B8%93%E0%B8%91%E0%B8%A5%E0%B8%97%E0%B8%B4%E0%B8%9E%E0%B8%A2%E0%B8%A7%E0%B8%94%E0%B8%B5


ขอบคุณครับ