เรือนไทย

General Category => หน้าต่างโลก => ข้อความที่เริ่มโดย: Dr Yu ที่ 19 ก.พ. 06, 01:46



กระทู้: สงสัยมั๊ยครับว่าทำไมความเป็นชาตินิยม ถึงทำให้ประเทศเจริญ
เริ่มกระทู้โดย: Dr Yu ที่ 19 ก.พ. 06, 01:46
 เคยมีนักศึกษามาถามผมว่าทำอย่างไรประเทศของเราถึงจะเจริญซักที ผมเลยตอบว่าเราต้องปฏิรูปเรื่องของการศึกษา แต่ปัจจุบันเรากำลังหลงทางที่ไปมุ่งเน้นด้านวิชาการ แต่ไม่ได้เน้นเรื่องของชาตินิยมอย่างจริงจัง

ผมได้มีโอกาสไปต่างประเทศบ่อยครั้ง และหลายประทศเป็นประเทศที่ครั้งหนึ่งเคยล้าหลังประเทศไทย เช่น เกาหลี ไต้หวัน จีน แต่วันนี้เค๊าแซงเราไปไกลจนไม่เห็นฝุ่นแล้ว ทุกวันนี้เค๊ามีทั้งเงินทุนและเทคโนโลยี เค๊าคิดเรื่องปฏิรูปการศึกษามาก่อนเรา และปลูกฝังเรื่องความรักชาติ และชาตินิยมมาโดยตลอด ซึ่งหลายคนสงสัยว่าการที่ประชาชนมีความเป็นชาตินิยมมันเกี่ยวอะไรกับการทำให้ประเทศพัฒนา

ผมก็ขอแสดงความเห็นในมุมมองของเศรษฐศาสตร์ธุรกิจครับ การที่ประชาชนมีความเป็นชาตินิยม จะทำให้สินค้าที่ผลิตในประเทศมีโอกาสเกิด และขายได้ ทำให้มีเงินทุนหมุนเวียนเข้ามาพัฒนาสินค้าให้ดียิ่งขึ้น เชื่อมั๊ยครับในประเทศที่ผมกล่าวมาข้างต้นเค๊ามีสินค้าแบรนด์ที่ผลิตภายในประเทศจำนวนมาก และสามารถแข่งขันกับชาติตะวันตกได้ ทั้งนี้เพราะรัฐบาล และประชาชนของเค๊าสนับสนุนสินค้าในประเทศ ครั้งหนึ่งว่ากันว่าในการประมูลซื้อรถของกรมตำรวจเกาหลีใต้ บริษัทอเมริกันเข้ามาเสนอราคาคันละ 1 วอน กรมตำรวจเกาหลียังไม่เอาเลยครับ แต่กลับไปซื้อฮุนไดแทน เพราะเค๊ามองในมุมว่าซื้อรถในประเทศหนึ่งคันมันก็จะเกิดการจ้างงานเป็นห่วงโซ่ยาวเหยียด

ในประเทศจีนเองก็มีโทรศัพท์มือถือยี่ห้อของตัวเอง 300 ยี่ห้อไปแล้ว แสดงให้เห็นว่าผลิตภัณฑ์ในประเทศมีการพัฒนาสูงมาก และตลาดให้การตอบรับ เวลาผมไปประเทศจีนทุกครั้งผมจะหาโอกาสเดินดูสินค้า และพบว่าสินค้าจีนมีการพัฒนาที่รวดเร็วมากจริงๆ

เราต้องจับตามองประเทศเพื่อนบ้านเราคือเวียดนามให้ดีครับ เพราะคนเวียดนามมีความอดทนสูงมาก และมีความเป็นชาตินิยมด้วย เลยไม่รู้ว่าจะวิ่งแซงเราแบบเกาหลีหรือไต้หวัน หรือจีน เมื่อไหร่


กระทู้: สงสัยมั๊ยครับว่าทำไมความเป็นชาตินิยม ถึงทำให้ประเทศเจริญ
เริ่มกระทู้โดย: paganini ที่ 19 ก.พ. 06, 02:28
 ชาตินิยม คือ มองว่าเผ่าพันธุ์ สัญชาติเราต้องมาก่อน
ทำให้เกิดการเอื้อเฟื้อเผื่อแผ่ซึ่งกันและกัน
ก่อเกิดเป็นพลังขับเคลื่อนของคนในชาติ
คนที่โอกาสน้อยกว่าจะได้รับการหยิบยื่นโอกาสจากเพื่อนร่วมชาติ
เปรียบดังกิ่งไม้เล็กๆ เอามารวมกันเป็นมัดยากที่จะหักได้
นี่คือเหตุผลคร่าวๆว่าทำไมชาตินิยมถึง นำประเทศเจริญ

แต่ถ้าคนในชาติมองแต่ตัวเอง เห็นแก่ตัว คบใครก็ได้ ต่างชาติก็เอา
ขึ้นกับว่าใครมีผลประโยชน์ให้ดีกว่า
คิดแบบนี้ทำให้เกิดการเอารัดเอาเปรียบขึ้น คนชาติเดียวกันไม่มีความหมาย
สังคมอ่อนแอ เพราะไม่มีการเกื้อกูล คนจะแตกความสามัคคี เพราะมองแต่ประโยชน์ส่วนตน
ชาติก็จะล่มจมได้เพราะไร้พลังชีวิต
อยุธยาเคยล่มเพราะเหตผลนี้มาแล้ว
อนิจจา! สยามของเรา


กระทู้: สงสัยมั๊ยครับว่าทำไมความเป็นชาตินิยม ถึงทำให้ประเทศเจริญ
เริ่มกระทู้โดย: สร ที่ 19 ก.พ. 06, 04:01
 ลองวิธีทางวัฒนธรรมอีก หาคำขวัญประทับใจ มาช่วย เช่น

"ไทยทำ ไทยใช้ ไทยเจริญ" (ของเก่า)

"ถอดสายดูด ฐานชีวิตไทย ออกนอกประเทศ" (ของใหม่)

"ถอดเสื้อนอก สวมเสื้อไทย ร่วมทำงาน" (ของใหม่)


กระทู้: สงสัยมั๊ยครับว่าทำไมความเป็นชาตินิยม ถึงทำให้ประเทศเจริญ
เริ่มกระทู้โดย: เทาชมพู ที่ 19 ก.พ. 06, 09:58
 เห็นด้วยค่ะ  
แต่ที่ยังตอบตัวเองไม่ได้คือทำยังไงเราจึงจะปลูกฝังได้สำเร็จ

เราเรียนรู้วิทยาการและวัฒนธรรมดีๆจากประเทศอื่นได้
แต่ก็เรียนเพื่อรู้เท่าทัน
ไม่ใช่เรียนเพื่อนิยมเลื่อมใสเขายิ่งกว่าตัวเอง


กระทู้: สงสัยมั๊ยครับว่าทำไมความเป็นชาตินิยม ถึงทำให้ประเทศเจริญ
เริ่มกระทู้โดย: HotChoc ที่ 20 ก.พ. 06, 22:27
 ผมว่าเริ่มต้นด้วยการสอนประวัติศาสตร์ำไทยแบบปกติธรรมดาไม่ต้องคลั่งชาติดีไหมครับ
เราถูกสอนให้เกลียดพม่าดูถูกลาวเขมร ทีนี้พอเราดูถูกลาวเขมรว่าไม่เจริญ
ก็พลอยดูถูกคนไทยต่างจังหวัดไปด้วยโดยเฉพาะทางอีสาน แล้วก็จะยกย่องความเจริญซึ่งมากับชาติตะวันตก กลายเป็นฝรั่งนิยมไป


กระทู้: สงสัยมั๊ยครับว่าทำไมความเป็นชาตินิยม ถึงทำให้ประเทศเจริญ
เริ่มกระทู้โดย: เทาชมพู ที่ 21 ก.พ. 06, 17:38
 ดิฉันคิดว่าเข้าใจสิ่งที่ Dr.Yu พยายามบอกนะคะ
คือทำยังไงคนไทยจะภูมิใจและเห็นคุณค่าของชาติตัวเอง
ช่วยกันทะนุบำรุง  ส่งเสริม  สร้างสรรค์สิ่งดีๆให้กับบ้านเมือง
ถ้ามันยังไม่ดีทันใจในวันนี้   ก็ยังมีความหวังว่าจะดีในวันพรุ่งนี้

การดูถูกประเทศชาติบ้านเมืองอื่นก็ดี
หรือว่าการนิยมยกย่อง เอามาเปรียบกับประเทศของเรา
แล้วเห็นว่ายังไงเขาก็ดีกว่า
สิ่งนี้ทำให้ชาติเราเจริญไปไม่ได้ค่ะ

ส่วนประวัติศาสตร์   ดิฉันก็คิดอยู่เหมือนกันว่าเราจะสอน
ประวัติศาสตร์ไทยยังไง โดยไม่ให้รู้สึกในทางลบกับพม่า
จะบอกว่ากรุงแตก ๒ ครั้ง พม่าแทบไม่มีส่วนเลย
หรือว่าเป็นความผิดของคนไทยมากกว่า  งั้นหรือ
หรือบอกว่าเป็นของธรรมดาที่อาณาจักรใกล้เคียงกันก็ต้องรบกัน  อย่าไปคิดมากมาย
รบกันได้ก็ดีกันได้

ข้อความเหล่านี้ไม่ได้ประชดประชัน เป็นคำถามที่ถามตัวเองมานานล้ว
แต่ยังไม่ได้คำตอบ


กระทู้: สงสัยมั๊ยครับว่าทำไมความเป็นชาตินิยม ถึงทำให้ประเทศเจริญ
เริ่มกระทู้โดย: CrazyHOrse ที่ 21 ก.พ. 06, 17:55
 ผมเห็นด้วยกับ Dr Yu ที่ว่าเราจะเจริญได้ต้องเน้นการปฏิรูปการศึกษา

แต่ถ้าคิดว่าปัญหาของเราอยู่ที่การหลงไปมุ่งวิชาการโดยไม่สนใจชาตินิยม ก็คือมองว่าปัญหาคือมุ่งสร้าง supply แต่ด้าน demand ไม่พยายามสร้างตลาดโดยหวังให้คนซื้อของไทยด้วยความคิดแบบชาตินิยม

แต่น่าคิดว่าปัญหาเป็นเช่นนั้นจริงหรือ?

ลองไปดู case study อย่างที่ Dr Yu ได้ตั้งไว้ จีนมีผู้ผลิตโทรศัพท์มือถือยี่ห้อของจีนเองจำนวนมาก เป็นเพราะชาตินิยมหรือไม่? หรือเป็นเพราะโทรศัพท์มือถือยี่ห้อท้องถิ่นราคาถูกกว่ามากในขณะที่คุณภาพก็ยอมรับได้?

น่าคิดนะครับ

เกาหลีใต้พัฒนาขึ้นมาเร็วมาในช่วงหลายสิบปีหลังสงคราม แต่ที่รถยนต์เกาหลีพัฒนามาถึงวันนี้ได้เป็นเพราะชาตินิยมทำให้คนเกาหลีช่วยกันซื้อรถเกาหลีหรือ? หรือเป็นเพราะรัฐบาลตั้งกำแพงภาษีสำหรับรถยนต์จากต่างประเทศพร้อมๆกับอุดหนุนการพัฒนาอุตสาหกรรมขนาดหนักผ่านแชโบลจนทำให้รถยนต์เกาหลีมีโอกาสไล่ทันรถยนต์จากต่างประเทศกันแน่?

มองกลับมาที่ประเทศไทย ประมาณ 20 ปีที่แล้วมี PC ยี่ห้อ"ถาวร" ทำออกมาขายอยู่ระยะหนึ่ง แต่ต้องล้มเลิกไปในที่สุด

ที่คนไม่ซื้อ "ถาวร" เป็นเพราะคนไทยไม่มีความเป็นชาตินิยม ไม่ช่วยกันอุดหนุนของไทยหรือ? หรือเป็นเพราะคอมพิวเตอร์ของ "ถาวร" ออกแบบ PCB โดยขาด knowledge ในเรื่องการออกแบบ PCB ที่ทำงานที่ high frequency จนทำให้คอมพิวเตอร์ที่ผลิตออกมาขายมีปัญหาอย่างมากมายกันแน่?

ชาตินิยมเป็นเพียงส่วนหนึ่งการตัดสินใจซื้อของผู้บริโภค แต่สุดท้ายแล้วสิ่งที่กำหนดก็คือ "คุณค่า" โดยรวมของสินค้านั้น ดังนั้นหากคุณภาพไม่ได้มาตรฐานแล้วยังไม่สามารถทำได้ที่ต้นทุนต่ำด้วย ชาตินิยมก็คงช่วยอะไรไม่ไหวครับ

กลับมามองเรื่องวิชาการ ผมมองว่าถ้าจะหลงทางก็เป็นเพราะว่า
1. รัฐบาล มองสถาบันศึกษาเป็น expense มากกว่าที่จะเป็น investment สุดท้ายผลักไสมหาวิทยาลัยออกนอกระบบเพื่อลดภาระรายจ่ายโดยที่ไม่มีการกำหนดเส้นทางของมหาวิทยาลัยที่เหมาะสม
2. สถาบันศึกษา position ตัวเองเป็นผู้ผลิตบัณฑิต มากกว่าเป็นศูนย์กลางการพัฒนาองค์ความรู้ เมื่อออกนอกระบบจึงหารายได้เพิ่มโดยการเก็บค่าเล่าเรียนเพิ่มขึ้น ไม่ได้คิดหารายได้หลักจากการเป็นผู้วิจัย บางแห่งที่ขาดจรรยาชีพก็ไม่ควบคุมคุณภาพของบัณฑิต ผลิตออกมาโดยเน้นแต่ปริมาณอย่างเดียว ปัญหาของผู้รับเหมาก่อสร้างเมื่อก่อนต้องเจอกับ "จับกังช่างไม้" อาจได้เห็น "จับกังนายช่าง" กันบ้าง
3. ประชาชน มองการศึกษาเป็นเรื่องของเกียรติยศมากกว่าเป็นวิชาชีพ สิ่งที่มุ่งหวังจึงเป็นปริญญาบัตรไม่ใช่ความรู้

เป็นเช่นนี้จึงว่าการศึกษาบ้านเราหลงทางครับ

ถ้าเราดำเนินไปในวิถีทางนี้ โดยที่มีกระแสชาตินิยมรุนแรง ผมว่าจะยิ่งกลายเป็นการฉุดรั้งความเจริญของประเทศหนักเข้าไปอีก

ลองคิดดูว่าหากประชาชนคนไทยหร้อมใจกันเลือกใช้ของที่ผลิตโดยคนไทยทั้งๆที่คุณภาพต่ำกว่า และราคาแพงกว่า นอกจากจะเป็นความสูญเปล่าทางเศรษฐกิจแล้วยังทำให้ผู้ประกอบการขาดความกระตือรือร้นที่จะผลิดสินค้าที่ดีขึ้นด้วยครับ


กระทู้: สงสัยมั๊ยครับว่าทำไมความเป็นชาตินิยม ถึงทำให้ประเทศเจริญ
เริ่มกระทู้โดย: CrazyHOrse ที่ 21 ก.พ. 06, 18:49
 ส่วนเรื่องชาตินิยมเองนั้น คงต้องมามองกันว่า ชาตินิยม คืออะไร และเรามุ่งหวังอะไรกันแน่

ที่แน่ๆชาตินิยมที่เป็นอยู่ทุกวันนี้ 8 โมงเช้า 6 โมงเย็น ได้ยินเพลงชาติหยุดยืนนิ่งกันทุกคน เรื่องพม่าไม่ต้องพูดถึง มีความเกลียดเป็นทุน เขมรลาวเรามองเป็นลูกไล่ ตอนมีเรื่องกับเขมร เขาเผาธงชาติไทย เราจะเป็นจะตายเสียให้ได้

ที่ว่ามานี่ไม่ใช่จะมองว่าเป็นเรื่องแย่ แต่มองมุมกลับ เวลาไปซื้อของ คนส่วนมากหลีกเลี่ยงที่จะจ่าย VAT (ถ้าทำได้) บนถนนหนทางคนยังทิ้งขยะทิ้งก้นบุหรี่ลงบนพื้นถนน ไม่เว้นกระทั่งคนที่ขับรถอยู่บนถนน หรือกระทั่งบนทางด่วนสดๆร้อนๆเมื่อวานนี้เอง ประมาณ16:00 ผมเห็น taxi คันหนึ่งจอดข้างทางตรงช่วงต่อทางด่วนขั้นที่ 1 กับขั้นที่ 2 ข้างๆรถมีชายในเครื่องแบบลายพรางของทหารยืนปัสสาวะอยู่ พื้นที่สาธารณะต่างๆมีมือดีไปพ่นสีบ้าง ทำลายบ้าง

เห็นได้ชัดว่าคนของเรารักชาติอยู่แบบไม่เข้าท่า รักอยู่บนพื้นฐานของความเกลียดผู้อื่น แต่ไม่มีสำนึกที่ดีต่อส่วนรวมเลย

เคยอ่าน Band of Brothers คนเขียนเล่ามุมมองของทหารอเมริกันที่ถูกส่งไปรบกับเยอรมัน ก่อนไปถึงเยอรมันก็ถูก propaganda เต็มที่ มองเยอรมันเป็นคนป่าเถื่อนที่สมควรถูกกำจัด แต่เมื่อไปถึงก็พบสิ่งที่ตรงกันข้าม บ้านเรือนเยอรมันมีเครื่องอำนวยความสะดวกทัดเทียมกับบ้านชาวอเมริกันทั้งหลาย และที่สำคัญที่สุดหมู่บ้านเยอรมันที่ถูกยึดครอง หากมีความเสียหายที่เกิดจากการรบก่อนหน้านั้น เช่นหลุมระเบิดบนถนนที่ทำให้มีปัญหากับการสัญจรบนทางนั้น ชาวบ้านจะรีบออกมาช่วยกันซ่อมแซมจนเรียบร้อยอย่างรวดเร็ว

ลักษณะเช่นนี้ตรงข้ามกับชาติพันธมิตรบางชาติ(อย่าให้พาดพิงเลย)ที่คนเห็นว่าเรื่องแบบนี้ธุระไม่ใช่ ปล่อยให้บ้านเมืองเละเทะ

ในเรื่องเดียวกันนี้ยังได้กล่าวถึงเหตุการณ์ที่ทหารอเมริกันบุรุกเข้าไปในบ้านชาวบ้านเยอรมันเพื่อพักผ่อน แต่พบว่าบ้านหนึ่งมีเจ้าบ้านเป็นทหารเยอรมันที่ปลดประจำการณ์แล้ว เป็นสถานการณ์ที่ดูน่าจะตึงเครียดทีเดียว แต่เมื่อเจ้าบ้านให้การต้อนรับพร้อมกับบอกว่าเขาปลดประจำการณ์แล้วถือว่าหมดหน้าที่ เชิญทหารอเมริกันเข้ามาพักผ่อนได้ตามสบายเรื่องก็จบ

น่าคิดว่าชาตินิยมที่ผลักดันคนเยอรมันคือชาตินิยมแบบเดียวกับชาตินิยมของไทยหรือไม่?


กระทู้: สงสัยมั๊ยครับว่าทำไมความเป็นชาตินิยม ถึงทำให้ประเทศเจริญ
เริ่มกระทู้โดย: จ้อ ที่ 21 ก.พ. 06, 19:24
เข้ามายกมือเห็นด้วยกับคุณม้าผยอง CrazyHOrse ครับ โดยส่วนตัวผมไม่คิดว่าความเป็นชาตินิยมเป็นสิ่งเดียวที่ทำให้ชาติอย่างญี่ปุ่น หรือ เกาหลี พัฒนาได้อย่างรวดเร็ว ผมว่ามีสิ่งอื่นที่สำคัญกว่าครับ และสิ่งนั้นคนไทยขาดเอามากๆซะด้วย นั่นคือ ความมีวินัยครับ

ผมคิดว่าแค่เก่ง แค่ฉลาดอย่างเดียว หรือรักชาติอย่างเดียว ไม่ทำให้เจริญขึ้นมาได้  ความมีวินัยของคนในชาติเป็นสิ่งสำคัญครับ มันทำให้แต่ละคนรู้หน้าที่ของตัวเอง และเคารพกฎเกณฑ์ของสังคม และเคารพกฎหมาย สังคม การที่คนรู้หน้าที่ของตัวเอง ทำให้เขาตั้งใจที่จะทำงานในหน้าที่ออกมาให้ดีที่สุด ตามความสามารถที่เขามี

สังคมญี่ปุ่นและเกาหลี เป็นสังคมที่มีวินัยครับ ทุกๆคนรู้จักหน้าที่ของตัวเอง และพยามทำหน้าที่ของตัวเองอย่างดีที่สุด เคารพกฎระเบียบของสังคม และเรื่องพวกนี้สอนยากมากๆ อยากกว่าสอนวิชาการเยอะแยะ มันเป็นสิ่งที่ถ้าคนๆนั้นหรือสังคมนั้นๆเข้าใจและเห็นความสำคัญ เขาก็จะปฏิบัติ แต่ถ้าไม่พูดให้ตาย สอนให้ตายก็ไม่เห็นความสำคัญ กลับจะมองเป็นเรื่องไร้สาระ

สังคมไทยขาดวินัยอย่างแรงครับ ไม่เชื่อดูนิสิตนักศึกษาในมหาวิทยาลัยได้ เริ่มตั้งแต่แต่งตัวผิดระเบียบ ตามแฟชั่นไปเรื่อยๆ ทั้งผู้ชายและผู้หญิง ความจริงคำว่าระเบียบวินัยนี่สอนกันตั้งแต่ชั้นประถมแล้ว แต่ไม่รู้เหมือนกันว่านิสิตนักศึกษาเหล่านี้คิดได้อย่างไรว่า ยิ่งโตยิ่งไม่จำเป็นต้องมีวินัย ผมกลับคิดว่าคนเรายิ่งโตยิ่งต้องมีวินัย ยิ่งต้องมีความรับผิดชอบต่อตัวเอง กะแค่กฎของมหาวิทยาลัยพวกนี้ยังปฏิบัติตามไม่ได้ ก็ไม่มีอะไรจะการันตีว่าโตขึ้นเด็กพวกนี้จะรักษากฎหมาย จะรักษาศีลธรรม เรื่องแบบนี้คนอื่นอาจจะมองเป็นเรื่องไร้สาระ หรือเรื่องเล็กน้อย แต่ผมว่ามันบอกอะไรได้หลายๆอย่าง

อย่าลืมว่านิสิตนักศึกษาในวันนี้ เป็นอนาคตของชาติในอีกห้าถึงสิบปีข้างหน้า ผมมองความมีวินัย และความรับผิดชอบของเด็กสมัยนี้แล้ว หวั่นใจครับ โดยเฉพาะเด็กที่ผมสอนอยู่ๆในมหาวิทยาลัยที่ได้ชื่อว่าคัดเด็กมีคุณภาพแล้ว ยิ่งทำให้หวั่นใจหนักขึ้นไปอีก ก็ไร้วินัยกันแต่เด็ก โตขึ้นก็จะไม่รู้หน้าที่ และเมื่อไม่ทำหน้าที่ของตัวเอง ประเทศชาติก็จะเจริญยากครับ


กระทู้: สงสัยมั๊ยครับว่าทำไมความเป็นชาตินิยม ถึงทำให้ประเทศเจริญ
เริ่มกระทู้โดย: บ้านายคำเก่ง ที่ 21 ก.พ. 06, 19:58
 เห็นว่าเกี่ยวข้องกับชาตินิยมและความเจริญก็เลยอยากจะเอาข้อสังเกตบางประการที่ผมได้ทำกรณีศึกษาส่งอาจารย์เมื่อเทอมที่แล้ว

เมื่อเทอมที่แล้วผมได้ศึกษาการจัดระบบความรู้ของประเทศต่างๆในเอเชีย โดยสำรวจการจัดระบบความรู้ของประเทศอาหรับ ตุรกี อิสราเอล จีน ญี่ปุ่น เกาหลี ไทย มาเลเซีย อินเดีย และภูฐาน(บางท่านนิยมเขียน ภูฎาน) ซึ่งประเทศทั้งหลายเหล่านี้ล้วนมีมรดกความรู้ที่เป็นภูมิปัญญาของตนเองมายาวนาน

ความรู้ที่ว่านี้คือ ความรู้ของคนในชาตินั้น ถ้าเป็นบ้านเราก็คือเอกสารโบราณ ใบลาน สมุดข่อย สมุดไทย พับสา ลายจุ้ม(เขียน/ปักอักษรลงบนผ้า) ฯลฯ รวมทั้งหนังสือ ตำรา ที่มีการตีพิมพ์ พร้อมทั้งยังดูวิธีการจัดระบบตำราต่างประเทศในประเทศนั้นๆด้วย

พบว่า ประเทศชาตินิยมคือ เกาหลี และญี่ปุ่น สองประเทศนี้ไม่ยอมใช้วิธีจัดระบบความรู้แบบตะวันตก(สหรัฐ/อังกฤษ/เยอรมัน/ฝรั่งเศส)สำหรับสิ่งที่เป็นภูมิปัญญาของตนเอง นั่นคือไม่ได้แบ่งความรู้ออกเป็นสาขาวิชา เช่น วิทยาศาสตร์ เศรษฐศาสตร์ รัฐศาสตร์ ศิลปะ ... แต่จะเน้นการจัดระบบแบบดูที่เจตนาของผู้ถ่ายทอดความรู้เป็นหลัก เช่น งานวรรณกรรมผู้เขียนมีเจตนามุ่งที่จะเล่าประสบการณ์ของตนเอง ภาพร่วมของสังคมในขณะนั้น หรือคำสอน คำบอกเล่าที่ถ่ายทอดสืบต่อกันมา แก่ผู้อ่านรุ่นหลัง ทั้งสองประเทศนี้จะจัดสิ่งที่เรียกว่าวรรณกรรมนี้ เป็นหมวดวรรณกรรมขนาดใหญ่ แล้วจำแนกหมวดย่อยเช่น ความเป็นญี่ปุ่น/ความเป็นเกาหลี ความสัมพันธ์กับนานาประเทศ ศาสนา ประวัติศาสตร์ชาติ การกินอยู่ เป็นต้น เมื่อดูการจัดระบบความรู้ที่ได้รับจากต่างประเทศหรือปรับเอาต่างประเทศมาใช้ พบว่า ทั้งสองประเทศนี้มีการตั้งหน่วยงานส่วนกลางขึ้นมาดูแล ทั้งเกาหลีเหนือและเกาหลีใต้มีคณะกรรมการจัดการความรู้ และที่ญี่ปุ่นดูแลโดยสภา Diet มีกฎอยู่ว่า การเปลี่ยนแปลงการจัดระบบความรู้ใดๆต้องได้รับความเห็นชอบจากสภาสูงก่อน ความรู้ที่ได้จากต่างประเทศให้จัดแบบต่างประเทศ ส่วนภูมิปัญญาของคนเกาหลี/ญี่ปุ่น ให้จัดตามวิธีโบราณดังที่กล่าวมาแล้วข้างต้น โดยแยกเป็นหมวดๆเช่น   ความเป็นญี่ปุ่น/ความเป็นเกาหลี ความสัมพันธ์กับนานาประเทศ ศาสนา ประวัติศาสตร์ชาติ การกินอยู่(อาหารและเครื่องแต่งกาย) ราชวงศ์ การปกครองส่วนท้องถิ่น สำหรับจีนนั้นมีการแบ่งเป็น 20 หมวด แต่เน้นเรื่องการเมือง เรื่องเล่า/นิทาน คำสอนปรัชญา วิทยาศาสตร์ โดยพบว่าหมวดที่จีนให้ความสำคัญคือหมวดการเมืองซึ่งมีเรื่องเศรษฐกิจและสังคมเป็นหมวดย่อย หมวดนี้กล่าวถึงคอมมืวนิสต์และเหมาเจ๋อตุง เรียกว่าเป็นหมวดสะสมภูมิความรู้และประสบการณ์ของประธานฯเหมา

หากจะเปรียบเทียบกับการจัดระบบความรู้สากล ขอยกตัวอย่างในห้องสมุด หากเราเดินเข้าไปหาหนังสือในห้องสมุดจะพบสัญลักษณ์ตัวเลข 000-999 แสดงหมวดต่างๆเช่น 400-499 ภาษา 500-599 วิทยาศาสตร์ 900-999 ประวัติศาสตร์ เป็นต้น ซึ่งแบบนี้เป็นของตะวันตก

สำหรับในกลุ่มประเทศอาหรับ (อิรัก อิหร่าน อียิปต์ ฯลฯ) และตุรกี อิสราเอล ก็ใช้เหมือนเกาหลีญี่ปุ่น มีภาคีความร่วมมือในกลุ่มประเทศอิสลาม ซึ่งในปี พ.ศ.2545 รัฐบาลมาเลเซียสนใจไปดูงาน และนำมาทดลองใช้ โดยแยกความรู้ที่เกี่ยวกับมาเลย์ จีน อินเดีย ออกจากกัน ความรู้ของชาวมาเลย์แบ่งตามวิธีภาคีความร่วมมือประเทศอิสลาม ส่วนความรู้ของชาวจีนและอินเดียจัดระบบตามสากล อย่างไรก็ตาม ประเทศเหล่านี้เน้น ศาสนา ถึงจะไม่ใช้แบบสากลนิยมแต่ก็ไม่มีการแบ่งหมวด ความเป็นอิสลามเหมือนกับเกาหลีและญี่ปุ่นข้างบน

ในประเทศอินเดียกับภูฐานนั้น ก็เช่นเดียวกัน แบ่งความรู้จากต่างประเทศเป็นอีกระบบหนึ่งต่างหาก ให้ความสำคัญกับภูมิปัญญาของตนเอง แต่ก็เน้นศาสนาเช่นกัน ที่ภูฐานปฏิเสธความรู้จากต่างประเทศ นำตำราต่างประเทศไปกองไว้ชั้นใต้ดิน แต่ความรู้ของตนเองนำมาเก็บไว้ชั้นบน ทำชั้นหนังสือและเอกสารเหมือนแท่นบูชา มีการนมัสการหนังสือก่อนและหลังอ่าน แบ่งหมวดออกเป็น ศาสนา(เน้นโยคีนุ่งลมห่มฟ้า) ราชวงศ์ การติดต่อกับประเทศเพื่อนบ้าน มีเพียง 3 หมวด ส่วนอินเดียแบ่งเป็น 17 หมวด มี 3 หมวดเน้นเรื่องการเมืองการปกครองโดยเฉพาะ คือ หมวดมหาตมะคานธี หมวดผู้นำอื่นๆ(บุคคลสำคัญ) และหมวดการได้เอกราช แต่อินเดียมีภาษาหลายภาษาทำให้เป็นปัญหาว่าจะจัดระบบความรู้ตามภาษาก่อนหรือตามหมวดความรู้ก่อน ทำให้การค้นหาและการหยิบใช้เกิดปัญหา

ส่วนประเทศไทยและมาเลเซียนั้นต่างนำการจัดระบบความรู้ของตะวันตกมาใช้ ไม่มีการพัฒนาหรือปรับปรุง หรือคิดเองเหมือนญี่ปุ่นเกาหลี ประเทศเราไม่มีหมวดที่ว่าด้วยความเป็นไทย ไม่มีหมวดใดที่บ่งบอกความเป็นคนไทยได้เลย การกระจายของความรู้มีผลในทางวิชาการและการสร้างองค์ความรู้ของประเทศ กล่าวคือขาดความเป็นตัวเอง ตัวอย่างเช่น เมื่อมีผู้จะศึกษาเรื่องคนไท(ทั้งในและนอกประเทศไทย) ก็ต้องไปหาหนังสือที่เกี่ยวกับคนไทยในทุกหมวดคือ 000-999 ดังนี้

000-099  สารานุกรมไทยภาค....(เหนือ กลาง อีสาน ใต้)
100-199  เล่าเรื่องด้วยภาพ หนังสือเก่า พิพิธภัณฑ์
200-299  ศาสนาพุทธและศาสนาอื่นที่เกี่ยวข้อง อิทธิพลของพุทธศาสนาต่อสังคม ไทย/ไท
300-399  นิทาน ตำนาน การค้า การติดต่อกับต่างประเทศ การตั้งถิ่นฐาน
400-499  ภาษาชนเผ่า ไทย/ไต
500-599  ภูมิปัญญาท้องถิ่น วิทยาการพื้นบ้าน
600-699  โหราศาสตร์ การคำนวณวันเดือนปีไท
700-799  ศิลปวัตถุ จิตรกรรม สถาปัยกรรม ไทย/ไต
800-899  วรรณกรรมไทย/ไต
900-999  ประวัติศาสตร์ชนชาติต่างๆ เช่นไทดำ ไทแดง ยวน สยาม ลาว ไทใหญ่ ไทคำตี่ ไทอาหม รวมทั้งพงศาวดาร บันทึกจดหมายเหตุ

หากมองผู้เข้าถึงข้อมูลบ้าง การที่ความรู้เรื่องไทย/ไท กระจายตามหมวดต่างๆ ทำให้เรารู้เรื่องความเป็นชาติเราไม่ครอบคลุม วนๆเวียนๆอยู่กับประวัติศาสตร์บ้าง การเมืองบ้าง มีวรรณกรรมเล็กน้อย เหตุนี้หรือเปล่าที่เรานิยมแต่เกลียดพม่า ดูถูกเขมรลาว มองผ่านเวียดนาม และเทิดทูนความสงบตั้งใจมองไม่เห็นคลื่นใต้น้ำที่รุนแรง  


ความรู้ที่ว่านี้คือ ความรู้ของคนในชาตินั้น ถ้าเป็นบ้านเราก็คือเอกสารโบราณ ใบลาน สมุดข่อย สมุดไทย พับสา ลายจุ้ม(เขียน/ปักอักษรลงบนผ้า) ฯลฯ รวมทั้งหนังสือ ตำรา ที่มีการตีพิมพ์ พร้อมทั้งยังดูวิธีการจัดระบบตำราต่างประเทศในประเทศนั้นๆด้วย

พบว่า ประเทศชาตินิยมคือ เกาหลี และญี่ปุ่น สองประเทศนี้ไม่ยอมใช้วิธีจัดระบบความรู้แบบตะวันตก(สหรัฐ/อังกฤษ/เยอรมัน/ฝรั่งเศส)สำหรับสิ่งที่เป็นภูมิปัญญาของตนเอง นั่นคือไม่ได้แบ่งความรู้ออกเป็นสาขาวิชา เช่น วิทยาศาสตร์ เศรษฐศาสตร์ รัฐศาสตร์ ศิลปะ ... แต่จะเน้นการจัดระบบแบบดูที่เจตนาของผู้ถ่ายทอดความรู้เป็นหลัก เช่น งานวรรณกรรมผู้เขียนมีเจตนามุ่งที่จะเล่าประสบการณ์ของตนเอง ภาพร่วมของสังคมในขณะนั้น หรือคำสอน คำบอกเล่าที่ถ่ายทอดสืบต่อกันมา แก่ผู้อ่านรุ่นหลัง ทั้งสองประเทศนี้จะจัดสิ่งที่เรียกว่าวรรณกรรมนี้ เป็นหมวดวรรณกรรมขนาดใหญ่ แล้วจำแนกหมวดย่อยเช่น ความเป็นญี่ปุ่น/ความเป็นเกาหลี ความสัมพันธ์กับนานาประเทศ ศาสนา ประวัติศาสตร์ชาติ การกินอยู่ เป็นต้น เมื่อดูการจัดระบบความรู้ที่ได้รับจากต่างประเทศหรือปรับเอาต่างประเทศมาใช้ พบว่า ทั้งสองประเทศนี้มีการตั้งหน่วยงานส่วนกลางขึ้นมาดูแล ทั้งเกาหลีเหนือและเกาหลีใต้มีคณะกรรมการจัดการความรู้ และที่ญี่ปุ่นดูแลโดยสภา Diet มีกฎอยู่ว่า การเปลี่ยนแปลงการจัดระบบความรู้ใดๆต้องได้รับความเห็นชอบจากสภาสูงก่อน ความรู้ที่ได้จากต่างประเทศให้จัดแบบต่างประเทศ ส่วนภูมิปัญญาของคนเกาหลี/ญี่ปุ่น ให้จัดตามวิธีโบราณดังที่กล่าวมาแล้วข้างต้น โดยแยกเป็นหมวดๆเช่น   ความเป็นญี่ปุ่น/ความเป็นเกาหลี ความสัมพันธ์กับนานาประเทศ ศาสนา ประวัติศาสตร์ชาติ การกินอยู่(อาหารและเครื่องแต่งกาย) ราชวงศ์ การปกครองส่วนท้องถิ่น สำหรับจีนนั้นมีการแบ่งเป็น 20 หมวด แต่เน้นเรื่องการเมือง เรื่องเล่า/นิทาน คำสอนปรัชญา วิทยาศาสตร์ โดยพบว่าหมวดที่จีนให้ความสำคัญคือหมวดการเมืองซึ่งมีเรื่องเศรษฐกิจและสังคมเป็นหมวดย่อย หมวดนี้กล่าวถึงคอมมืวนิสต์และเหมาเจ๋อตุง เรียกว่าเป็นหมวดสะสมภูมิความรู้และประสบการณ์ของประธานฯเหมา

หากจะเปรียบเทียบกับการจัดระบบความรู้สากล ขอยกตัวอย่างในห้องสมุด หากเราเดินเข้าไปหาหนังสือในห้องสมุดจะพบสัญลักษณ์ตัวเลข 000-999 แสดงหมวดต่างๆเช่น 400-499 ภาษา 500-599 วิทยาศาสตร์ 900-999 ประวัติศาสตร์ เป็นต้น ซึ่งแบบนี้เป็นของตะวันตก

สำหรับในกลุ่มประเทศอาหรับ (อิรัก อิหร่าน อียิปต์ ฯลฯ) และตุรกี อิสราเอล ก็ใช้เหมือนเกาหลีญี่ปุ่น มีภาคีความร่วมมือในกลุ่มประเทศอิสลาม ซึ่งในปี พ.ศ.2545 รัฐบาลมาเลเซียสนใจไปดูงาน และนำมาทดลองใช้ โดยแยกความรู้ที่เกี่ยวกับมาเลย์ จีน อินเดีย ออกจากกัน ความรู้ของชาวมาเลย์แบ่งตามวิธีภาคีความร่วมมือประเทศอิสลาม ส่วนความรู้ของชาวจีนและอินเดียจัดระบบตามสากล อย่างไรก็ตาม ประเทศเหล่านี้เน้น ศาสนา ถึงจะไม่ใช้แบบสากลนิยมแต่ก็ไม่มีการแบ่งหมวด ความเป็นอิสลามเหมือนกับเกาหลีและญี่ปุ่นข้างบน

ในประเทศอินเดียกับภูฐานนั้น ก็เช่นเดียวกัน แบ่งความรู้จากต่างประเทศเป็นอีกระบบหนึ่งต่างหาก ให้ความสำคัญกับภูมิปัญญาของตนเอง แต่ก็เน้นศาสนาเช่นกัน ที่ภูฐานปฏิเสธความรู้จากต่างประเทศ นำตำราต่างประเทศไปกองไว้ชั้นใต้ดิน แต่ความรู้ของตนเองนำมาเก็บไว้ชั้นบน ทำชั้นหนังสือและเอกสารเหมือนแท่นบูชา มีการนมัสการหนังสือก่อนและหลังอ่าน แบ่งหมวดออกเป็น ศาสนา(เน้นโยคีนุ่งลมห่มฟ้า) ราชวงศ์ การติดต่อกับประเทศเพื่อนบ้าน มีเพียง 3 หมวด ส่วนอินเดียแบ่งเป็น 17 หมวด มี 3 หมวดเน้นเรื่องการเมืองการปกครองโดยเฉพาะ คือ หมวดมหาตมะคานธี หมวดผู้นำอื่นๆ(บุคคลสำคัญ) และหมวดการได้เอกราช แต่อินเดียมีภาษาหลายภาษาทำให้เป็นปัญหาว่าจะจัดระบบความรู้ตามภาษาก่อนหรือตามหมวดความรู้ก่อน ทำให้การค้นหาและการหยิบใช้เกิดปัญหา

ส่วนประเทศไทยและมาเลเซียนั้นต่างนำการจัดระบบความรู้ของตะวันตกมาใช้ ไม่มีการพัฒนาหรือปรับปรุง หรือคิดเองเหมือนญี่ปุ่นเกาหลี ประเทศเราไม่มีหมวดที่ว่าด้วยความเป็นไทย ไม่มีหมวดใดที่บ่งบอกความเป็นคนไทยได้เลย การกระจายของความรู้มีผลในทางวิชาการและการสร้างองค์ความรู้ของประเทศ กล่าวคือขาดความเป็นตัวเอง ตัวอย่างเช่น เมื่อมีผู้จะศึกษาเรื่องคนไท(ทั้งในและนอกประเทศไทย) ก็ต้องไปหาหนังสือที่เกี่ยวกับคนไทยในทุกหมวดคือ 000-999 ดังนี้

000-099  สารานุกรมไทยภาค....(เหนือ กลาง อีสาน ใต้)
100-199  เล่าเรื่องด้วยภาพ หนังสือเก่า พิพิธภัณฑ์
200-299  ศาสนาพุทธและศาสนาอื่นที่เกี่ยวข้อง อิทธิพลของพุทธศาสนาต่อสังคม ไทย/ไท
300-399  นิทาน ตำนาน การค้า การติดต่อกับต่างประเทศ การตั้งถิ่นฐาน
400-499  ภาษาชนเผ่า ไทย/ไต
500-599  ภูมิปัญญาท้องถิ่น วิทยาการพื้นบ้าน
600-699  โหราศาสตร์ การคำนวณวันเดือนปีไท
700-799  ศิลปวัตถุ จิตรกรรม สถาปัยกรรม ไทย/ไต
800-899  วรรณกรรมไทย/ไต
900-999  ประวัติศาสตร์ชนชาติต่างๆ เช่นไทดำ ไทแดง ยวน สยาม ลาว ไทใหญ่ ไทคำตี่ ไทอาหม รวมทั้งพงศาวดาร บันทึกจดหมายเหตุ

หากมองผู้เข้าถึงข้อมูลบ้าง การที่ความรู้เรื่องไทย/ไท กระจายตามหมวดต่างๆ ทำให้เรารู้เรื่องความเป็นชาติเราไม่ครอบคลุม วนๆเวียนๆอยู่กับประวัติศาสตร์บ้าง การเมืองบ้าง มีวรรณกรรมเล็กน้อย เหตุนี้หรือเปล่าที่เรานิยมแต่เกลียดพม่า ดูถูกเขมรลาว มองผ่านเวียดนาม และเทิดทูนความสงบตั้งใจมองไม่เห็นคลื่นใต้น้ำที่รุนแรง


กระทู้: สงสัยมั๊ยครับว่าทำไมความเป็นชาตินิยม ถึงทำให้ประเทศเจริญ
เริ่มกระทู้โดย: paganini ที่ 22 ก.พ. 06, 04:19
 """กลับมามองเรื่องวิชาการ ผมมองว่าถ้าจะหลงทางก็เป็นเพราะว่า
1. รัฐบาล มองสถาบันศึกษาเป็น expense มากกว่าที่จะเป็น investment สุดท้ายผลักไสมหาวิทยาลัยออกนอกระบบเพื่อลดภาระรายจ่ายโดยที่ไม่มีการกำหนดเส้นทางของมหาวิทยาลัยที่เหมาะสม
2. สถาบันศึกษา position ตัวเองเป็นผู้ผลิตบัณฑิต มากกว่าเป็นศูนย์กลางการพัฒนาองค์ความรู้ เมื่อออกนอกระบบจึงหารายได้เพิ่มโดยการเก็บค่าเล่าเรียนเพิ่มขึ้น ไม่ได้คิดหารายได้หลักจากการเป็นผู้วิจัย บางแห่งที่ขาดจรรยาชีพก็ไม่ควบคุมคุณภาพของบัณฑิต ผลิตออกมาโดยเน้นแต่ปริมาณอย่างเดียว ปัญหาของผู้รับเหมาก่อสร้างเมื่อก่อนต้องเจอกับ "จับกังช่างไม้" อาจได้เห็น "จับกังนายช่าง" กันบ้าง
3. ประชาชน มองการศึกษาเป็นเรื่องของเกียรติยศมากกว่าเป็นวิชาชีพ สิ่งที่มุ่งหวังจึงเป็นปริญญาบัตรไม่ใช่ความรู้"""""


อ่านความเห็นของพี่อาชาคลั่งแล้วต้องคำนับเลย

วิจารณ์ ตีแผ่ได้ชัดเจนจับใจมากครับ

ท่านที่เหลือก็มีมุมมองที่น่าสนใจ แต่ผมบอกได้เลยว่ากระทู้นี้ ช่างเหนี่ยวนำไปสู่มุมมองที่แตกต่างกัน ซึ่งมาจากพื้นหลังของผู้แสดงความเห็นแต่ละท่านได้อย่างชัดเจนยิ่ง

มหาวิทยาลัยบางแห่งเน้นการสร้างถาวรวัตถุเพื่อเป็นผลงาน มากกว่าใช้เงินนั้นไปพัฒนาบุคลากร  
ถ้าคนที่อยู่ในตึกนั้นไร้ความสามารถ ตึกใหญ่ไฮเทคแค่ไหนก็ไร้ความหมาย

ส่วนข้อ 3 นั้นจริงๆมากเลยครับ เด็กสมัยนี้สนใจแต่ว่าข้อสอบจะออกอะไรจะได้ไปอ่านให้ตรงกับข้อสอบเท่านั้น ส่วนที่ไม่จำเป็นอย่าอ่าน

หากคนจะประสบความสำเร็จต้องมี attitude ที่นำไปสู่ความสำเร็จฉันใด ประเทศชาติจะศิวิไลซ์ก็ต่อเมื่อมี public attitude ที่ถูกต้องฉันนั้น


กระทู้: สงสัยมั๊ยครับว่าทำไมความเป็นชาตินิยม ถึงทำให้ประเทศเจริญ
เริ่มกระทู้โดย: HotChoc ที่ 22 ก.พ. 06, 18:47
 ผมมองว่าการสอนประวัติศาสตร์ก็ควรสอนไปตามเนื้อผ้าน่ะครับ กรุงศรีฯถูกพม่าตีแตกสองครั้งจริง ก็สอนไปตามสาเหตุว่าทำไมอยุธยาสู้ไม่ได้ ก่อนหน้านี้ก็ต้องสอนว่าอยุธยากระทบกระทั่งกับพม่าเรื่องอะไร คือให้มองเห็นสาเหตุด้วยน่ะครับ แล้วตลอดประวัติศาสตร์อยุธยา 400 ปีนี่ไม่มีช่วงที่ดีกับพม่าเลยหรือครับ ตอนที่สยามถูกอังกฤษฝรั่งเศสแบ่งดินแดน ก็ควรสอนเรื่องพม่าเสียเมืองด้วย นอกจากจะเป็นการเปรียบเทียบนโยบายที่แตกต่างกัน ก็ยังเป็นการแสดงให้เห็นว่ายุคที่พม่าเป็นศัตรูตัวฉกาจของเราจบไปแล้ว


กระทู้: สงสัยมั๊ยครับว่าทำไมความเป็นชาตินิยม ถึงทำให้ประเทศเจริญ
เริ่มกระทู้โดย: Histor ที่ 23 ก.พ. 06, 06:54
 การที่จะให้คนในชาติรักความเป็นชาติของตัวเองนั้น ผมว่าอยู่ที่การสร้างจิตสำนึกให้กับคนรุ่นใหม่ด้วยนะครับ โดยเฉพาะผู้ใหญ่ควรเป็นตัวอย่างในเรื่องการภูมิใจในความเป็นไทย เพราะ"ตัวอย่างที่ดี  มีค่ามากกว่าคำสอน" ถ้าเราอยู่ในสภาวะแวดล้อมแบบไหน มันก็ย่อมมีผลให้เราคล้อยตามได้เช่นกัน หรือชี้ให้เห็นถึงประโยชน์


กระทู้: สงสัยมั๊ยครับว่าทำไมความเป็นชาตินิยม ถึงทำให้ประเทศเจริญ
เริ่มกระทู้โดย: อ๊อฟ ที่ 23 ก.พ. 06, 17:18
ผมเห็นด้วยกับหลายท่าน ว่า "ชาตินิยมเพียงอย่างเดียว" ไม่ได้ช่วยให้ชาติเจริญ แต่ผมก็เห็นประเด็นของ Dr Yu ที่ชี้ว่า มันมีผลมากระดับนึงเลยทีเดียว ที่จะช่วยพัฒนาประเทศนี้

ผมชอบอันนี้
"ครั้งหนึ่งว่ากันว่าในการประมูลซื้อรถของกรมตำรวจเกาหลีใต้ บริษัทอเมริกันเข้ามาเสนอราคาคันละ 1 วอน กรมตำรวจเกาหลียังไม่เอาเลยครับ แต่กลับไปซื้อฮุนไดแทน เพราะเค๊ามองในมุมว่าซื้อรถในประเทศหนึ่งคันมันก็จะเกิดการจ้างงานเป็นห่วงโซ่ยาวเหยียด"
ผมไม่รู้ว่าใครผิดใครถูก แต่ผมชอบแนวคิดที่ Dr Yu ยกนี้ ถ้าคิดสั้นๆก็เห็นว่า ซื้อรถคันละหนึ่งบาท ประหยัดตังค์กว่าตั้งเยอะทำไมจะไม่เอา แต่ถ้าคิดยาวๆ เงินที่ต้องจ่ายเยอะกว่ามันวนทำให้เกิดผลลัพธ์เป็นลูกโซ่

จริงอยู่ผลิตภัณฑ์ที่ผลิตในเมืองไทย มักจะด้อยกว่าต่างประเทศ แต่ถ้าเรารักชาติแล้วยอมทนใช้มัน โดยมองเป็นว่าเป็นการเสียสละเพื่อส่วนรวม บริษัทก็กำไร มีตังค์จ้างงานต่อเนื่อง แรงงานก็มีงานทำ มีกำไรไปทำวิจัย พัฒนาให้มันอยู่รอดและมีแรงไปสู้กับต่างชาติได้ นักวิทยาศาสตร์ก็ไม่ต้องบ่นตกงานเหมือนทุกวันนี้ (บริษัทไทยที่มีหน่วยวิจัยเองมีไม่กี่แห่งในประเทศ AIS เป็นหนึ่งในนั้น - แต่มันเกิดได้เพราะมีกำไรมากพอที่จะทำให้มันเกิด) ก็เกิดนักการตลาดเก่งๆไปสู้กับสิงคโปร์ ฮ่องกง - จริงๆลูกโซ่มันอาจจะยาวกว่าที่เรามองเห็นอีกเยอะ แต่ถ้าเราไม่ยอมใช้มัน บริษัท(และวงจรลูกโซ่)ก็ล้มพับตั้งแต่แบเบาะ

แต่คนส่วนใหญ่(รวมถึงผมด้วย) ยังเห็นแก่ประโยชน์ระยะสั้นของตัวเองอยู่ เพราะเราไม่เคยถูกปลูกฝังให้รู้จักรักประโยชน์ส่วนรวมของชาติ ถ้าถามคนส่วนใหญ่(ซึ่งรวมผมด้วย) ว่าจะซื้อรถที่ผลิตในเมืองไทยมั้ยแม้มีตังค์พอจะซื้อรถนอก คำตอบที่น่าจะได้รับคือ "ไม่" สันดานของผมมันแก้ลำบากแล้ว แต่ถ้าเป็นไปได้ผมก็อยากสอนให้ลูกผมตอบว่า "ซื้อครับ"


กระทู้: สงสัยมั๊ยครับว่าทำไมความเป็นชาตินิยม ถึงทำให้ประเทศเจริญ
เริ่มกระทู้โดย: อาจารย์โกย ที่ 24 ก.พ. 06, 01:44
 เห็นด้วยกับคุณอ๊อฟนะครับ

แต่ยังไงก็จะพยายามขุดสันดอนของตัวเอง (มีคนบอกว่า สันดอนขุดได้ สันดานขุดไม่ได้ :D) เดี่ยวนี้ก็เบื่อ brand name มาก ๆ ผมว่าของไทยก็ดูเก๋ดีออกนะ แต่ผมถือย่ามหรือกระเป๋าสานไปข้างนอกมีแต่คนมอง :D ไม่รู้ว่ามองในแง่ไหน


กระทู้: สงสัยมั๊ยครับว่าทำไมความเป็นชาตินิยม ถึงทำให้ประเทศเจริญ
เริ่มกระทู้โดย: Hotacunus ที่ 24 ก.พ. 06, 02:49
 ผมว่ามันต้องไปทั้งกระบวนครับ จะไปเน้นแต่ชาตินิยมอย่างเดียวไม่ได้หรอกครับ เพราะมันไม่ยั่งยืน

เพราะว่า การปลุกกระแสชาตินิยมนั้น เราจำเป็นต้อง "บิดเบือนประวัติศาสตร์" ให้มี จุดยืดเหนี่ยวความเป็นชาตินิยม

ประเด็นที่ "ชอบโกหก" กันบ่อยๆ คือ เราที่ชาติพันธุ์ที่บริสุทธิ์ (ซึ่งก็ไม่ได้บอกตรง) ที่อพยพมาจากที่อื่น มีความยิ่งใหญ่มาก่อน ยิ่งใหญ่มาก่อนจีน (แต่ตอนนี้ ?) ผมจึงมองว่า เรื่องชาตินิยม เป็นเปลือกครับ แก่นจริงๆ คือ จิตสำนึกใฝ่คุณธรรม ต่างหาก

ประเด็นต่อมา "สร้างศัตรูถาวร" และ "เน้นเหตุการณ์ที่ชาติถูกย่ำยีมากเกินควร" เพื่อให้เป็นปมเจ็บช้ำ และเกิดความรักชาติอย่างรุนแรง จากชาตินิยม กลับเป็น คลั่งชาติ

ผมมองว่า พวกชาตินิยมก็มีสูตรประมาณนี้แหละครับ
๑. ยกตนเป็นชาติพันธุ์ที่บริสุทธิ์ สืบเชื้อสายต่อเนื่องกันมาเป็นพันๆ ปี
๒. ยกตนเป็นชาติที่เจริญกว่าชาติอื่นๆ โดยเฉพาะความสามารถในการรบ และสติปัญญา และจะต้องมีชาติเปรียบเทียบ
๓. สร้างประเด็นที่ทำให้คนในชาติเห็นว่า ตัวเองถูกย่ำยีโดยชาติอื่น
๔. สร้างศัตรูถาวร เพื่อให้เป็นที่ระบายความแค้นของคนในชาติ

ทั้ง ๔ ข้อนี้ ลองจับพรรคนาซีมาคิดก็ใช้ได้ หรือแม้แต่ของไทยเองยังพอไปได้เลยครับ และทั้งหมดจะสำเร็จได้ก็ต้อง "บิดเบือนประวัติศาสตร์" สอนให้เด็ก ล้างสมองเด็ก ตั้งแต่ยังเล็กครับ

ประเทศจะเจริญได้ ก็ต้องมี "คุณธรรม" ครับ คุณธรรมมาก่อน แล้วประเทศเราจะเจริญอย่างยั่งยืน ถ้าคนในสังคมมีคุณธรรมแล้ว คุณธรรมนี่แหละครับจะทำให้ประเทศเราเจริญได้ เมื่อคนในสังคมไม่โกงกินโกงเก็บ ไม่เอื้อเฟื้อโกงให้ญาติโกงให้เพื่อนฝูงแล้ว ประเทศไทยเราไม่เจริญก็ไม่รู้จะว่าอย่างไรแล้วครับ

ที่ประเทศเราไม่เจริญ ไม่ใช่มีแต่เรื่องชาตินิยมครับ แต่เป็นเพราะผู้บริหารประเทศ ตั้งแต่ระดับใหญ่สุด ถึงเล็กสุดในสังคม "ไม่มีคุณธรรม" ในการปกครองครับ (ถ้ามีคุณธรรมก็คงเจริญไปนานแล้ว อิอิ) โดยเฉพาะผู้รักษากฏหมาย ก็ไม่มีคุณธรรม สังคมบ้านเราถึงอยู่แบบ "อยู่ไปวันๆ" เท่านั้นครับ ประชาชนดีๆ อย่างเราก็ต้องรอ "ถูกหวย" จากอำนาจมืดกันต่อไป

ฟันธงครับว่า "คุณธรรมของผู้นำ" เป็นสิ่งที่จะนำประเทศชาติไปสู่ความเจริญที่ยั่งยืนครับ



กระทู้: สงสัยมั๊ยครับว่าทำไมความเป็นชาตินิยม ถึงทำให้ประเทศเจริญ
เริ่มกระทู้โดย: CrazyHOrse ที่ 24 ก.พ. 06, 22:48
 พูดได้ "ตรงใจ" สมชื่อครับคุณ Hotacunus    


กระทู้: สงสัยมั๊ยครับว่าทำไมความเป็นชาตินิยม ถึงทำให้ประเทศเจริญ
เริ่มกระทู้โดย: สร ที่ 25 ก.พ. 06, 03:09
 Thanks Khun Hotacunus,



You raise my IQ up a few points (now closer to 100    ).



It seems that a tag like "one nation" would not work well in Thailand.

Because we are "many" (who are stuck in one land, not in one kinship - one race).

We are not one culture, one religion, one language, ...



I wonder if we could work on "one way of life in one land".

That maybe "equal rights within one balanced  view of freedom and responsibility".



It seems we don't have a "formula for one success" or we can't agree to one.

We expect "external drive" (from political leaders, business CEOs, etc.),

and "internal push" (to higher social morality in everyone in this one land),

to move us to "prosperity" (-sigh- economically AND ... AND ... AND ...).



We have come round to the same point again and we haven't gain anything.

Our social norms or averages haven't risen because there not enough high values.

(Maybe the opposite had happended - lower norms .)



I'd line up my magnet with your magnets and all neighbouring magnets,

Together, we could be "one" (magnet   ).


กระทู้: สงสัยมั๊ยครับว่าทำไมความเป็นชาตินิยม ถึงทำให้ประเทศเจริญ
เริ่มกระทู้โดย: สร ที่ 25 ก.พ. 06, 03:45
 Haste maketh waste ... please note my error

... We have come round to the same point again and we haven't gained anything.



Why should we be like magnets?

Because magnets have 2 poles - opposite and apart -.

There is no "internal" wishy-washy if-errh-but about.

(Of course, we can argue about nagnets until we die and we change nothing.)



Lining our magnets (cooperating) will start chains of lining up with our magnets, ...

This "local" grouping can spread out and become one "global" group.



Did I capture your attention? Imagination? Motion?  

Can we begin by displaying magnetic tags (hopefully "made by Thai   ")?



-- To Dr Off --

I don't mind if you "sell" magnetic tags to fund vcharkarm.com.

I would like to see vcharkarn.com/wiki, though.    


กระทู้: สงสัยมั๊ยครับว่าทำไมความเป็นชาตินิยม ถึงทำให้ประเทศเจริญ
เริ่มกระทู้โดย: เทาชมพู ที่ 25 ก.พ. 06, 09:31
 คำว่า ชาตินิยม เห็นจะกลายเป็นคำที่ถูกมองในทางลบเสียแล้ว  เอ่ยถึงทีไรต้องมีคนคัดค้านไม่เห็นด้วยกับคำนี้

ดิฉันเข้าใจว่า Dr.Yu คงไม่ได้หมายถึงความคลั่งชาติ หรือยกย่องว่าชาติตัวเองดี จนกระทั่งไปข่มชาติอื่นเขาหมด  
ต้องบิดเบือนประวัติศาสตร์ หรือเอาประวัติศาสตร์มาปลุกระดมเยาวชน

มันมีอีกคำหนึ่ง เรียกว่า public mind  แปลเป็นไทย(แบบอ่านแล้วไม่ค่อยจะรู้เรื่องนัก)ว่า จิตสาธารณะ
ประชาชนประเทศไหนมี public mind ก็คือมีจิตใจที่เห็นแก่สังคมส่วนรวมมากกว่าเห็นแก่ตัวเอง
ไม่ถือว่า "รู้รักษาตัวรอดเป็นยอดดี" แต่ถือว่า "รู้รักษาสังคมรอดเป็นยอดดี"

ดิฉันจะไม่เอาคำว่า "ชาติ" เข้ามาเกี่ยวข้องละค่ะ เดี๋ยวจะผิดความประสงค์ไป
แต่จะบอกว่า คนที่มี public mind จะมีสำนึกอยู่เสมอว่าตัวเขานั้นนอกจากเป็นนาย ก. นาย ข. น.ส. ค. แล้ว เขายังเป็นสมาชิก ก. ข และ ค.ของสังคมที่เขาเกิดมาด้วย
สังคมนั้นกว้างที่สุดคือแผ่นดินที่เขาอยู่อาศัย ได้กิน ได้ใช้ทรัพยากร และพึ่งพาเกี่ยวข้องกับเพื่อนร่วมแผ่นดินในการดำรงชีวิต
จะกินก็พึ่งเกษตรกร   จะมีความรู้ก็พึ่งร.ร. และครู   จะมีรายได้ก็พึ่งหน่วยงานที่เขาสังกัด  จะป่วยก็พึ่งหมอ  จะมีความปลอดภัยในชีวิตและทรัพย์สินก็ต้องพึ่งตำรวจ   จะไม่ถูกประเทศอื่นรุกรานก็ต้องพึ่งทหาร
จะได้รับความยุติธรรมไม่ถูกเอารัดเอาเปรียบ ก็ต้องพึ่งศาล ทนายความ อัยการ
ทุกอย่างต้องอาศัยพึ่งพากันหมด   ทุกคนไม่ได้อยู่โดดๆในป่าในถ้ำ
เพราะฉะนั้นเขาทุกคนก็มีหน้าที่รักษาและทะนุบำรุงสิ่งเหล่านี้ให้อยู่ยั่งยืน และพัฒนาไปในสภาพดีที่สุด  
เพื่อตัวเขาเองทุกคน ไม่ใช่คนเดียว   การเอาตัวรอดคนเดียวไม่ได้ทำให้ไปรอดกันได้ทุกคน
เมื่อคนอื่นๆล่มตัวเขาก็หนีการล่มไปไม่พ้น

คนในประเทศไหนมีสำนึกแบบนี้กันมากๆ  การตัดสินใจในหลายเรื่องมันก็ออกมาโดยอัตโนมัติเอง
ว่างานนี้เขาจะทำให้ตัวเองรอด หรือว่าสังคมรอดกันแน่
ถ้าทำแบบนี้ตัวเองรอด สังคมไม่เดือดร้อนอะไร เขาก็ทำโดยสะดวกใจ
ถ้าทำอีกแบบ ตัวเองสบายแต่คนอื่นได้รับผลกระทบมันเยอะในวงกว้าง  ยังงี้อย่าทำ
ใครขืนทำ มีบทลงโทษหนัก เพราะมันเสียหายต่อส่วนรวม  จะมาอ้างสิทธิส่วนบุคคลไม่ได้   สิทธิที่ว่าทำได้ต่อเมื่อมันไม่มีผลกระทบอะไรกับใครนอกจากตัวคุณเอง

การปลูกฝัง public mind  เมื่อสมัยโน้นๆๆๆ อยู่ในวิชาที่เรียกว่า "หน้าที่พลเมืองและศีลธรรม"
ไม่รู้ว่าตอนนี้ไปแทรกอยู่ในวิชาไหนบ้าง   แต่ก็แสดงให้เห็นว่าหลักสูตรของเราไม่ค่อยจะให้ความสำคัญกับเรื่องนี้เท่าไร


กระทู้: สงสัยมั๊ยครับว่าทำไมความเป็นชาตินิยม ถึงทำให้ประเทศเจริญ
เริ่มกระทู้โดย: paganini ที่ 26 ก.พ. 06, 00:07
 อาจารย์ครับ พูดได้โดนใจมั่กๆครับ (ขอใช้ภาษาวัยรุ่นหน่อย)
นี่คือความเห็นที่ชัดเจนแจ่มแจ้งและตรงจุดอย่างยิ่ง
ขออนุญาติบังอาจบอกว่าสมแล้วกับเกียรติยศที่อาจารย์ได้รับมา

: heart:

ถ้าคนส่วนใหญ่ในประเทศเรามีอุดมการณ์อย่างที่อาจารย์ว่า คงไม่มาถึงจุดที่พวกเราอยู่ทุกวันนี้หรอกครับ

ผมขอเสริมว่า ชาตินิยมในความคิดผม คือผมรักชาติไทยของผม นั่นเพราะว่าผมเกิดมา เติบโต เรียนรู้ และใช้ชีวิตในประเทศนี้ มีปฏิสัมพันธ์กับคนในชาตินี้ ผมจึงรักประเทศนี้ โดยไม่สนใจว่าเพื่อนร่วมชาติของผมจะมีเชื้อชาติใด ไม่สนว่าประวัติศาสตร์ชาติเรามีศัตรูเป็นใคร ผมมองว่าทุกวันนี้หากเพื่อนร่วมชาติเราลำบาก เราเห็นใจและอยากให้เขาพ้นลำบาก


กระทู้: สงสัยมั๊ยครับว่าทำไมความเป็นชาตินิยม ถึงทำให้ประเทศเจริญ
เริ่มกระทู้โดย: Karine!! ที่ 26 ก.พ. 06, 01:01
 การีนไม่แน่ใจหรอกค่ะว่า...
อะไร คือ ปัจจัยที่ทำให้ชาติเจริญ
แต่โดยพื้นฐานแล้ว ชาติที่เจริญต้องมีคนในชาติที่มีคุณภาพ และเห็นคุณค่าในชาติของตนเอง

อะไรที่จะทำให้คนในชาติมีคุณภาพ
และอะไรที่ทำให้คนรู้คุณค่า


กระทู้: สงสัยมั๊ยครับว่าทำไมความเป็นชาตินิยม ถึงทำให้ประเทศเจริญ
เริ่มกระทู้โดย: สร ที่ 26 ก.พ. 06, 03:17
 The change in the flow of social events is eminent (April 2).
And we (and captains of our nation boat) are still discussing ...
the good, the bad and the ugly sides of history - that has come to pass.
We (and other spectators) are still unable to take side - one side.
We are (trained and polished to be) very neutral and to observe from "outside".
(Eventhough, we are "in it"; and every wish we have is "in it".
We have this fear of being "wrong" and loosing our status of being "academically invincible",
We have this "self-serving" immune system that tries to be apart from others.
Here, we talk and justify "our" talks. Here we feel "safe" and able to "defer decision".)

Proud to be XXXXX (as Karine!! suggested).
Please substitute XXXXX with your own values (actual or otherwise). Now.      

I urge your decision, your action to "influence" and to "ensure" the outcome
of "this eminent turning" of our social adjustment towards XXXXX.

Be another magnet!    


กระทู้: สงสัยมั๊ยครับว่าทำไมความเป็นชาตินิยม ถึงทำให้ประเทศเจริญ
เริ่มกระทู้โดย: สร ที่ 26 ก.พ. 06, 05:19
 กิตติทัศน์ ชาญสมุทร : เกิดในไทยจากพ่อไทย ก็ตกเป็นเด็กไร้รัฐได้

โดย รศ.ดร.พันธุ์ทิพย์ กาญจนะจิตรา สายสุนทร โครงการเด็กไร้รัฐ มูลนิธิสาธารณสุขแห่งชาติ

 http://www.matichon.co.th/matichon/matichon_detail.php?s_tag=01way02260249&day=2006/02/26  


กระทู้: สงสัยมั๊ยครับว่าทำไมความเป็นชาตินิยม ถึงทำให้ประเทศเจริญ
เริ่มกระทู้โดย: สร ที่ 26 ก.พ. 06, 06:56
 I had found more mistakes in typing (give me wiki please   )

e.g. loosing [should be 'losing'], there [instead of 'there are'] ... a few postings back.



These and more are "honest" and "unconcealed" mistakes we can see.  

We can hide some mistakes in the past, and hide some in the future, intentionally.



For more information:
 http://www.thairath.co.th/thairath1/images/freebanner/whitecover.pdf  


กระทู้: สงสัยมั๊ยครับว่าทำไมความเป็นชาตินิยม ถึงทำให้ประเทศเจริญ
เริ่มกระทู้โดย: Karine!! ที่ 28 ก.พ. 06, 16:00
 เง้อ.....หนูไม่เข้าใจๆๆๆๆๆๆ

รอสักนิดนะค่ะ....การีนจะมาตอบให้
ตอนนี้ไม่เข้าใมจอะไรทั้งนั้น...กระทั่งสมองตัวเอง

T_T


กระทู้: สงสัยมั๊ยครับว่าทำไมความเป็นชาตินิยม ถึงทำให้ประเทศเจริญ
เริ่มกระทู้โดย: สร ที่ 01 มี.ค. 06, 01:20
 Karine!!'s posting #21: say there are some factors or variables (XXXXX).



I said #22: we have not even defined 'these' important factors in 'academic ways'; e.g.

#23: a baby was born in the land - does he have a natural right to be in the society?

#24: a leader of the society, so pronounced in artificial rights in the society, but is he ...?

And we are going about our lives, making decisions, acting on these factors,

without even knowing what these factors are.  



Dear Karine!!,

My apologies for pushing the topic to an 'edge of chaos'.  

I expect that by moving through turbulences, we learn how to face our uncertain future.

Of course, it would be good to know what XXXXX are.    


กระทู้: สงสัยมั๊ยครับว่าทำไมความเป็นชาตินิยม ถึงทำให้ประเทศเจริญ
เริ่มกระทู้โดย: เทาชมพู ที่ 02 มี.ค. 06, 20:56
โปรแกรมการรับรู้ด้านภาษาในสมองของดิฉันคงชำรุด
ดิฉันอ่าน ค.ห.ของคุณ สร ไม่รู้เรื่องเอาจริงๆ
ขอความกรุณาใครสักคนช่วยแปลเป็นไทยให้ฟังได้ไหมคะ


กระทู้: สงสัยมั๊ยครับว่าทำไมความเป็นชาตินิยม ถึงทำให้ประเทศเจริญ
เริ่มกระทู้โดย: สร ที่ 03 มี.ค. 06, 06:42
 My sincere apologies;

I was following this chain -



Dr Yu: ...มุมมองของเศรษฐศาสตร์ธุรกิจครับ การที่ประชาชนมีความเป็นชาตินิยม จะทำให้สินค้าที่ผลิตในประเทศมีโอกาสเกิด และขายได้ ทำให้มีเงินทุนหมุนเวียนเข้ามาพัฒนาสินค้าให้ดียิ่งขึ้น...มองในมุมว่าซื้อรถในประเทศหนึ่งคันมันก็จะเกิดการจ้างงานเป็นห่วงโซ่ยาวเหยียด...

paganini: ชาตินิยม คือ มองว่าเผ่าพันธุ์ สัญชาติเราต้องมาก่อน ทำให้เกิดการเอื้อเฟื้อเผื่อแผ่ซึ่งกันและกัน ก่อเกิดเป็นพลังขับเคลื่อนของคนในชาติ ...อนิจจา! สยามของเรา

สร: ลองวิธีทางวัฒนธรรมอีก หาคำขวัญประทับใจ มาช่วย ...

เทาชมพู: เห็นด้วยค่ะ แต่ที่ยังตอบตัวเองไม่ได้คือทำยังไงเราจึงจะปลูกฝังได้สำเร็จ ...

HotChoc: การสอนประวัติศาสตร์ำไทยแบบปกติธรรมดาไม่ต้องคลั่งชาติดีไหม ...

เทาชมพู: ทำยังไงคนไทยจะภูมิใจและเห็นคุณค่าของชาติตัวเอง..;การดูถูกประเทศชาติบ้านเมืองอื่นก็ดี หรือว่าการนิยมยกย่อง เอามาเปรียบกับประเทศของเรา แล้วเห็นว่ายังไงเขาก็ดีกว่า สิ่งนี้ทำให้ชาติเราเจริญไป...;เราจะสอน ประวัติศาสตร์ไทยยังไง โดยไม่ให้รู้สึกในทางลบ...

CrazyHOrse: ...ประชาชน มองการศึกษาเป็นเรื่องของเกียรติยศมากกว่าเป็นวิชาชีพ สิ่งที่มุ่งหวังจึงเป็นปริญญาบัตรไม่ใช่ความรู้ เป็นเช่นนี้จึงว่าการศึกษาบ้านเราหลงทางครับ

ถ้าเราดำเนินไปในวิถีทางนี้ โดยที่มีกระแสชาตินิยมรุนแรง ผมว่าจะยิ่งกลายเป็นการฉุดรั้งความเจริญของประเทศหนักเข้าไปอีก

ลองคิดดูว่าหากประชาชนคนไทยหร้อมใจกันเลือกใช้ของที่ผลิตโดยคนไทยทั้งๆที่คุณภาพต่ำกว่า และราคาแพงกว่า นอกจากจะเป็นความสูญเปล่าทางเศรษฐกิจแล้วยังทำให้ผู้ประกอบการขาดความกระตือรือร้นที่จะผลิดสินค้าที่ดีขึ้นด้วย

CrazyHOrse: ชาตินิยม คืออะไร และเรามุ่งหวังอะไรกันแน่...

จ้อ: คนไทยขาดเอามากๆซะด้วย นั่นคือ ความมีวินัย ...แค่เก่ง แค่ฉลาดอย่างเดียว หรือรักชาติอย่างเดียว ไม่ทำให้เจริญขึ้นมาได้ ความมีวินัยของคนในชาติเป็นสิ่งสำคัญครับ มันทำให้แต่ละคนรู้หน้าที่ของตัวเอง และเคารพกฎเกณฑ์ของสังคม และเคารพกฎหมาย สังคม การที่คนรู้หน้าที่ของตัวเอง ทำให้เขาตั้งใจที่จะทำงานในหน้าที่ออกมาให้ดีที่สุด ตามความสามารถที่เขามี ...

บ้านายคำเก่ง : ประเทศชาตินิยมคือ เกาหลี และญี่ปุ่น สองประเทศนี้ไม่ยอมใช้วิธีจัดระบบความรู้แบบตะวันตก...; ประเทศเราไม่มีหมวดที่ว่าด้วยความเป็นไทย ไม่มีหมวดใดที่บ่งบอกความเป็นคนไทยได้เลย; การกระจายของความรู้มีผลในทางวิชาการและการสร้างองค์ความรู้ของประเทศ กล่าวคือขาดความเป็นตัวเอง...

paganini: ...1. รัฐบาล มองสถาบันศึกษาเป็น expense มากกว่าที่จะเป็น investment...;2. สถาบันศึกษา position ตัวเองเป็นผู้ผลิตบัณฑิต มากกว่าเป็นศูนย์กลางการพัฒนาองค์ความรู้;3. ประชาชน มองการศึกษาเป็นเรื่องของเกียรติยศมากกว่าเป็นวิชาชีพ สิ่งที่มุ่งหวังจึงเป็นปริญญาบัตรไม่ใช่ความรู้...

Histor: ...ผู้ใหญ่ควรเป็นตัวอย่างในเรื่องการภูมิใจในความเป็นไทย เพราะ"ตัวอย่างที่ดี มีค่ามากกว่าคำสอน" ถ้าเราอยู่ในสภาวะแวดล้อมแบบไหน มันก็ย่อมมีผลให้เราคล้อยตามได้เช่นกัน...

อ๊อฟ : ...คนส่วนใหญ่(รวมถึงผมด้วย) ยังเห็นแก่ประโยชน์ระยะสั้นของตัวเองอยู่ เพราะเราไม่เคยถูกปลูกฝังให้รู้จักรักประโยชน์ส่วนรวมของชาติ ...

อาจารย์โกย: ...จะพยายามขุดสันดอนของตัวเอง  [my note *** first action commitment ***]

Hotacunus: ...เน้นแต่ชาตินิยมอย่างเดียวไม่ได้...เพราะมันไม่ยั่งยืน...จำเป็นต้อง "บิดเบือนประวัติศาสตร์" ให้มี จุดยืดเหนี่ยวความเป็นชาตินิยม...;...ชาติพันธุ์ที่บริสุทธิ์...;สร้างศัตรูถาวร" และ "เน้นเหตุการณ์ที่ชาติถูกย่ำยีมากเกินควร" เพื่อให้เป็นปมเจ็บช้ำ และเกิดความรักชาติอย่างรุนแรง จากชาตินิยม กลับเป็น คลั่งชาติ...;...คุณธรรมมาก่อน แล้วประเทศเราจะเจริญอย่างยั่งยืน ...

สร: ...we don't have a "formula for one success" or we can't agree to one.

We expect "external drive" [my note "from environment], and "internal push" (to higher social morality ...) [my note "from within ourselves"]...; ...I'd line up my magnet with your magnets and all neighbouring magnets,together, we could be "one" (magnet) ...; ...Lining our magnets (cooperating) will start chains of lining up with our magnets, ...This "local" grouping can spread out and become one "global" group.[my note "start small and grow large"]

เทาชมพู: ไม่ถือว่า "รู้รักษาตัวรอดเป็นยอดดี" แต่ถือว่า "รู้รักษาสังคมรอดเป็นยอดดี"...;"หน้าที่พลเมืองและศีลธรรม" ไม่รู้ว่าตอนนี้ไปแทรกอยู่ในวิชาไหนบ้าง แต่ก็แสดงให้เห็นว่าหลักสูตรของเราไม่ค่อยจะให้ความสำคัญกับเรื่องนี้เท่าไร

Karine!!: อะไร คือ ปัจจัยที่ทำให้ชาติเจริญ แต่โดยพื้นฐานแล้ว ชาติที่เจริญต้องมีคนในชาติที่มีคุณภาพ และเห็นคุณค่าในชาติของตนเอง; อะไรที่จะทำให้คนในชาติมีคุณภาพ และอะไรที่ทำให้คนรู้คุณค่า

สร:  ปัจจัยที่ทำให้ชาติเจริญ (factors or variables XXXXX); X1=คนในชาติที่มีคุณภาพ และ X2=เห็นคุณค่าในชาติของตนเอง ...Xn=....

#22: we have not even defined 'these' important factors in 'academic ways'; e.g.

#23: a baby was born in the land... คนในชาติ?

#24: a leader of the society...เห็นคุณค่าในชาติ?

And we are going about our lives, making decisions, acting on these factors, without even knowing what these factors [XXXXX] are. (เราใช้ชีวิต เลือกและแสดง ชาตินิยม ทั้งที่เราไม่รู้ว่า  ชาตินิยม คืออะไร)...; ...'edge of chaos'... [my note "chaos=uncertainty; once we learn what possible to predict in the uncertainty, we learn more - in contrast "staying with what known and copying what there, we learn nothing new"].

--- [in sum (of my view)]

I have decided on how I would act on this issue - based on my picture of ชาตินิยม.

I urge your decision and action - based on your picture of ชาตินิยม.

It would be good if our pictures look much alike or complementary.

We could have 'magnetization effects' that go from a small area to the whole area.

In any case, knowing what same and what different is a learning step.

If I have chosen badly, I would get bad results and forced to choose, again. Would I not have learned more?


กระทู้: สงสัยมั๊ยครับว่าทำไมความเป็นชาตินิยม ถึงทำให้ประเทศเจริญ
เริ่มกระทู้โดย: ภูมิ ที่ 03 มี.ค. 06, 10:18
 อยากให้ชาตินิยมเป็นผลไม่ใช่เหตุ
ชาติดีจึงชาตินิยม
ทำให้ชาติดี ก่อให้เกิดชาตินิยม

ไม่ใช่ สร้างชาตินิยม ให้ชาติพัฒนา


กระทู้: สงสัยมั๊ยครับว่าทำไมความเป็นชาตินิยม ถึงทำให้ประเทศเจริญ
เริ่มกระทู้โดย: เทาชมพู ที่ 03 มี.ค. 06, 10:29
 มอบให้คุณ สร

John F. Kennedy:
Ask not what your country can do for you, but what you can do for your country.
************************************
Adlai Stevenson:
What do we mean by patriotism in the context of our times? I venture to suggest that what we mean is a sense of national responsibility ... a patriotism which is not short, frenzied outbursts of emotion, but the tranquil and steady dedication of a lifetime.
**************************************
Edith Cavell:
I realise that patriotism is not enough. I must have no hatred or bitterness towards anyone.
***************************************
Felix Adler:
Love of country is like love of woman -- he loves her best who seeks to bestow on her the highest good.


กระทู้: สงสัยมั๊ยครับว่าทำไมความเป็นชาตินิยม ถึงทำให้ประเทศเจริญ
เริ่มกระทู้โดย: MathGuy ที่ 03 มี.ค. 06, 12:42
ได้มุมมองต่างๆ ดีมากครับ

ผมสะดุด (ชอบใจอยู่หลายแนวคิด) เช่น

- ชาตินิยม เพราะว่า เรามีดีให้นิยม
- Public Mind
- ความมีวินัย
- ความมีคุณธรรม

ซึ่งรวมๆ แล้ว คือ ความดี ของชาติ ที่แสดงออกมาจากคนในชาติแต่ละคน หลายๆคนรวมกัน

ผมพยายามนำเสนออยู่เสมอว่า ชาติ หรือ สังคม ไม่มีตัวตนที่แท้จริง แต่บุคคล แต่ละคนที่รวมกันเข้าต่างหาก ที่ทำให้เกิด ชาติ หรือ สังคม

ชาตินิยมจึง = การที่คนในชาติ(ส่วนใหญ่) ภาคภูมิใจในชาติที่เขาอยู่ และอยากจะทำอะไรๆ ให้เกิดประโยชน์ต่อชาติ จะทำอะไรก็พยายามนึกถึงประโยชน์ของชาติมาก่อน และในบางครั้ง ถึงกับยอม เสียความชอบใจ หรือผลประโยชน์ส่วนตน

ผมว่า คนไทย ลึกๆ ก็มีความรักชาติ แต่เรา อาจจะไม่เก่ง ในเรื่องของการแสดงออกมา ... น่าจะเข้าทำนอง ไม่ได้ตระหนักรู้อย่างรุนแรงอยู่ตลอดเวลา

ความหย่อนในเรื่องวินัย คงเพราะเรา ชอบตามใจ เอาแต่สบายตัวเราลืมนึกถึงคนอื่น ... จริงๆ ก็ไม่ได้เจตนาจะทำให้คนอื่นเดือดร้อน ... แต่ความตระหนักรู้ หรือจิตสำนึก มันไม่มีกำลังแรงมากพอ ... จนบางทีกลายเป็นความเคยชิน ติดเป็นนิสัย

ที่ผสมโรงเข้าไปก็คือ การปลูกฝังเยาวชน ซึ่งทำไม่ได้แน่ๆ ถ้าผู้ใหญ่ไม่ทำตัวเป็นแบบอย่างที่ดี


ผมขอพูด จำเพาะลงไป เพิ่มเติมเกี่ยวกับ เรื่อง การบริโภค ความทันสมัย และ เทคโนโลยี

เรายังห่างไกลจากการเป็นผู้ผลิตเทคโนโลยี

รัฐบาลเองก็ยังขาด vision อยู่มาก

ผมไม่เห็นด้วยกับ เมกกะโปรเจคต์

เรามีคนเก่งมากมายแล้ว เราต้องฝึกสร้าง ผลิตเทคโนโลยีของเราเอง

ไม่เริ่มวันนี้ แล้วจะไปเริ่มกันเมื่อไหร่ เราจะต้องเป็นหนี้
ต้องจ่ายค่าโง่ กันไปอีกกี่ครั้ง กี่หน จึงจะฉลาด ที่จะทำอะไรกันเอง

มิเช่นนั้น ความภาคภูมิใจในชาติ จะมาจากไหน


(จริงๆ มีประเด็นเรื่อง ทุจริต พฤติกรรมขี้โกง ที่น่าจะเกี่ยวข้องด้วย ... เอาไว้ค่อยคุยกันอีกทีครับ    )


กระทู้: สงสัยมั๊ยครับว่าทำไมความเป็นชาตินิยม ถึงทำให้ประเทศเจริญ
เริ่มกระทู้โดย: เทาชมพู ที่ 03 มี.ค. 06, 12:57
 ดิฉันก็นึกแปลกใจเหมือนกันเมื่อมาถึงเรื่องการผลิตเทคโนโลยีของเราเอง ในเมื่อดูจากการศึกษา ไทยก็มีความรู้ไม่น้อยหน้าใคร  
ยกตัวอย่าง สาขาเดียวกัน
เรามีคณะวิศวฯมาตั้งค่อนศตวรรษแล้ว   มีคนไทยที่ไปจบจากสถาบันชั้นนำของอเมริกา อังกฤษ เยอรมัน ญี่ปุ่น ฯลฯ   มาตั้งแต่รุ่นคุณทวด  
รัฐบาลไทยให้ทุนไม่อั้น ค่าเล่าเรียนแพงเท่าไรก็ยอมจ่าย   คนไทยเราก็เก่ง ไม่ว่ามหาวิทยาลัยดังๆที่ไหนจะต้องมีนักเรียนไทยหัวกะทิไปเรียนจบมาเสมอ

แล้วทำไมจนบัดนี้  แม้แต่รถยนต์คนไทยผลิต ยี่ห้อไทย ยังไม่มีสักคัน


กระทู้: สงสัยมั๊ยครับว่าทำไมความเป็นชาตินิยม ถึงทำให้ประเทศเจริญ
เริ่มกระทู้โดย: OrThoMorPheUs! ที่ 03 มี.ค. 06, 19:56
 ผมว่าคนไทยไปเรียนนอก ก็ใช้แต่เครื่องมือนอก พอกลับมาเมืองไทย ก็มีแต่เครื่องมือเก่าๆบางทีก็ไม่มีอะไรเลย ตรงนี้เลยดูเหมือนพัฒนาแต่บุคลากรอย่างเดียว แต่ไม่ลงทุนในด้านอื่นเท่าที่ควร ไม่รู้ว่าจะถูกรึป่าวนะครับ


กระทู้: สงสัยมั๊ยครับว่าทำไมความเป็นชาตินิยม ถึงทำให้ประเทศเจริญ
เริ่มกระทู้โดย: HotChoc ที่ 03 มี.ค. 06, 22:21
 เรื่องที่ไทยยังไม่มีรถยนต์นี่อาจจะซับซ้อนกว่าที่คิดนะครับ ไม่ใช่แค่ว่าคนไทยทำไม่ได้หรือคนไทยจะไม่ซื้อ คงต้องสังเกตุด้วยว่าพวกโตโยต้าฮอนด้าเขา"สกัดดาวรุ่ง"กันยังไง อาจารย์คนไหนหรือใครมีโครงการสร้างรถก็จะเอาหล่ะ อยากทำงานกับทางเราไหม? เงินเดือนแสนอัพ ใครจะผลิตรถเิองก็ผลิตรถให้ทางเราดีกว่าไหม นอกจากนี้เส้นสายนักการเมืองก็มี รถยนต์ยี่ห้อไทยคงเกิดยาก

เรื่องพวกนี้ผมฟังมาจากรุ่นพี่วิศวะฯเครื่องกลน่ะครับ


กระทู้: สงสัยมั๊ยครับว่าทำไมความเป็นชาตินิยม ถึงทำให้ประเทศเจริญ
เริ่มกระทู้โดย: HotChoc ที่ 03 มี.ค. 06, 22:27
 ผมเห็นด้วยกับคุณ MathGuy นะครับ ถ้าจะให้ไทยผลิตเทคโนโลยีเอง รัฐบาลก็ต้องช่วยปกป้อง โลกยุคทุนนิยมตอนนี้ พวกบริษัทยักษ์ใหญ่ไม่ยอมให้ใครมาแย่งส่วนแบ่งตลาดกันง่ายๆหรอกครับ FTA บางทีก็ใช้เป็นอาวุธได้


กระทู้: สงสัยมั๊ยครับว่าทำไมความเป็นชาตินิยม ถึงทำให้ประเทศเจริญ
เริ่มกระทู้โดย: ภูมิ ที่ 03 มี.ค. 06, 22:51
 สร้างแบรนด์และรักษาแบรนด์ไม่ใช่เรื่องง่าย
ถามว่าทำทุกอย่างในเมืองไทยได้ไหม
ตอบว่าได้ แต่ economic of scale ไม่พอ
คนไทยเราซึ่งฉลาดและขึ้เกียจ ก็เลยทำOEM เอา
ผมว่าไม่ค่อยเกี่ยวกับเรื่องสกัดดาวรุ่งเท่าไรหรอก


กระทู้: สงสัยมั๊ยครับว่าทำไมความเป็นชาตินิยม ถึงทำให้ประเทศเจริญ
เริ่มกระทู้โดย: Nuchana ที่ 03 มี.ค. 06, 23:49
ค.ห. 30
อ. เทาชมพู คะ

ดิฉันสังเกตว่ารูปประโยคที่อาจารย์ยกมา ซึ่งเป็นคำพูดของรัฐบุรุษหรือบุคคลมีชื่อเสียง ล้วนแต่ใช้ภาษาง่ายๆ
โครงสร้างประโยคเป็นประโยคเชิงเดี่ยว ไม่สลับซับซ้อน แต่ก็สามารถสื่อความหมายได้ดีเหลือเกิน

ดังนั้น ถ้าประโยคง่ายๆ และกระชับ สามารถสื่อสารได้มีประสิทธิภาพ ก็คงไม่มีความจำเป็นที่ต้อง
เขียนให้ยาวเหยียด มีส่วนขยายของส่วนขยาย หรือ  play around (not adultery) with words for fun.
ดิฉันเข้าใจถูกไหมคะ

แฮะๆๆ ยอมรับค่ะ เขียนไปแล้วลืมตัวไป ชอบเล่นคำให้ยอกย้อนเล่นๆ เพื่อความมัน จนบางครั้ง
ถูกเทศนาว่าน้ำท่วมทุ่ง หาผักบุ้งไม่เจอ "Your essay is so wordy, wordy." อิอิ


กระทู้: สงสัยมั๊ยครับว่าทำไมความเป็นชาตินิยม ถึงทำให้ประเทศเจริญ
เริ่มกระทู้โดย: CrazyHOrse ที่ 04 มี.ค. 06, 00:44
 เรื่องการทำวิจัยนั้น บางครั้งคงต้องประเมินกำลังของเราเอง

จริงอยู่ที่เรามีคณะวิศวฯมานาน (วิศวฯจุฬารุ่นล่าสุดนับดูแล้วน่าจะเป็นรุ่น 90) แต่โลกของการทำวิจัยนั้นเหมือนการวิ่งแข่งกัน

ถ้าเราออกวิ่งตามหลังคู่แข่งมาก แล้วยังวิ่งช้ากว่าเขา บางครั้งก็ต้องมาลองคิดดูว่าเราน่าจะลงไปแข่งกับเขาหรือไม่?

ที่ว่าอย่างนี้ไม่ใช่ว่าให้ถอดใจยอมรับความพ่ายแพ้โดยไม่ทำอะไรเลยนะครับ

แต่ในเมื่อเรามีทรัพยากรจำกัด เราก็ต้อง focus กำหนดเป้าหมายร่วมกัน รวมพลังกันทำวิจัยเพื่อชนะในการแข่งขันซึ่งเราประเมินแล้วว่า "สู้ได้"

นี่เป็นสิ่งสำคัญสิ่งหนึ่งที่เรายังขาดอยู่ครับ


กระทู้: สงสัยมั๊ยครับว่าทำไมความเป็นชาตินิยม ถึงทำให้ประเทศเจริญ
เริ่มกระทู้โดย: สร ที่ 04 มี.ค. 06, 04:28
 May I pass #30 to someone we know full well?  



I will keep going with "I urge your decision and action".

(Those who follow "Let's talk English" would see where I am heading.)



We will find difficulties in looking at ALL alternatives to choose the BEST,

due to power, time and resources constraints and so on.

It is more practical to choose one FEASIBLE action and PERFORM it in TIME,

then assess the results for FITNESS for the purpose using a "win - stay, lose - change".

So, step by step, we can get closer to our goal(s).



This is a local strategy - anyone can do it and influence neighbours to do the same;

not a national formula coming from a high authority.    


กระทู้: สงสัยมั๊ยครับว่าทำไมความเป็นชาตินิยม ถึงทำให้ประเทศเจริญ
เริ่มกระทู้โดย: Karine!! ที่ 04 มี.ค. 06, 17:18
 ง่ะ...การีนเข้ามาชื่นชมกระทู้ทีไร...ช่วงนี้...ต้องมาพบเข้ากับคุณสรพอดี...การีนก็พยายามอ่านทุกกระทู้ เพราะหมู่นี้เข้ามาเรือนไทยไม่บ่อยนัก...แล้วก็ต้องมาเจอเข้ากับอุปสรรคชิ้นใหญ่ เพราะไม่สันทัดในภาษาอังกฤษของตนเอง
อิ อิ
คุณสร น่าจะเปิดกระทู้สอนภาษาอังกฤษเน้อค่า..555+
อันที่จริงการีนเห็นแล้วว่าหลายๆท่านในเรือนไทยแห่งนี้ ล้วนเป็นผู้มากด้วยความรู้ทุกท่าน อ่านเขียนภาษาอังกฤษ(และอาจภาษาอื่นๆด้วย)ได้ดี
ยอมรับนับถือเว็บแห่งวิชาการเพื่อคนไทยเว็บนี้จริงๆ ที่ได้รวบรวมผู้ทรงภูมิไว้ด้วยกันหลายๆท่านเช่นนี้

เห็นไหมค่ะ...อย่างน้อยที่สุด เรือนไทยและเว็บไซต์แห่งนี้ก็เป็นอีกแห่ง ที่บอกความเป็นชาตินิยม และความเจริญของคนไทยเรา

คนไทยเก่งที่จะเรียนรู้...
แต่ไม่ค่อยคิดทำ และคิดแข่งขัน เราไปอย่างไร มาอย่างนั้น
เพราะคนไทยรักสงบ 55+
สบายๆง่ายๆ อะไรก็ได้ นี่ก็เป็นสไตล์คนไทยอยู่แล้วนี่ค่ะ

การีนเห็นด้วยที่คุณCrazyHorse ว่าเราควรสนับสนุนให้แข่งขันในส่วนที่เรา "สู้ได้"
แต่ในขณะเดียวกัน การีนก็เชื่อว่าคนไทยเราทำได้ทุกอย่าง ถ้าเราตั้งใจจะทำ

เราควรส่งเสริมให้เยาวชนเรา ได้เรียนรู้ผ่านกระบวนการของ
การสอนให้คิดเป็น ....

ถ้าเราลองสังเกต เด็กอนุบาลไทยจะกระตือรือร้นที่จะมีส่วนร่วมในการศึกษา แต่เมือ่โตขึ้น เด็กเราเหมือนเจอกรอบแห่งอะไรสักอย่างที่การีนก็บอกไม่ถูก จนทำให้เด็กไทยส่วนมากจะเป็นผู้ที่รู้จักแต่คิดอยู่คนเดียว... ไม่กล้าแสดงความคิดของตนเอง กลัวเด่นกว่าเพื่อน กลัวว่าความคิดตนเองผิด กลัวไปกลัวมา นั่งคิดไปนั่งคิดมา....หมดเวลาที่อาจารย์บอกให้เราแสดงความคิดเห็น
บางที เด็กก็แสดงความคิดนะค่ะ....แต่อาจารย์จะบอกว่า ความคิดคุณน่ะ...ผิดนะ...ไม่ดีนะ...บางทีเจอคำรุนแรงกว่านั้น
ปัญญาอ่อนรึเปล่าเธอน่ะ...
แป่ว....เด็กหมดความคิด และหมดกำลังใจที่จะคิด

กรอบหลายๆอย่างของสังคมไทยนี่ละค่ะ....ที่ทำให้คนเราออก...คล้าย...ไม่มีความเป็นชาตินิยม

อยบากให้สอนให้เยาวชนของชาติในรุ่นต่อๆไปรักชาติ ด้วยการสอนให้...

รู้จักคิด และกล้าที่จะแสดงออกด้วย และโดยการเน้นเข้าไปด้วยวิชาแห่งจริยธรรม รวมกับวิชาการ


....


กระทู้: สงสัยมั๊ยครับว่าทำไมความเป็นชาตินิยม ถึงทำให้ประเทศเจริญ
เริ่มกระทู้โดย: MathGuy ที่ 04 มี.ค. 06, 18:46
 ผมว่าปรัชญาในการดำรงชีวิตเป็นสิ่งสำคัญ

ถ้าเราจะวิเคราะห์ตัวเราเอง คนอื่น สังคม หรือ ปรากฏการณ์ทางสังคมของคน

เราสามารถใช้เครื่องมือทางปรัชญามาช่วยอธิบายได้

ผมไม่ได้มีเจตนา จะว่า วิศวกรบ้านเรา

แต่วิศวกร สองคน ที่มีปรัชญาชีวิตต่างกัน
จะเป็นตัวกำหนด การกระทำ ของวิศวกร

คนหนึ่ง อาจจะเลือกทำงานให้บริษัทต่างประเทศ

อีกคนหนึ่ง อาจจะพยายามตั้งโรงงานของเขาเอง ผลิตสินค้าทางเทคโนโลยี

ผมพอจะรู้จัก คนที่ชอบเครื่องบินบังคับ ไม่ได้เป็นช่าง หรือ วิศวกร

หัด รื้อ ประกอบ ซ่อมเอง
จนปัจจุบันนี้ มีโรงงานขนาดย่อม ทำเครื่องบินบังคับส่งออกนอก


ถ้าเราพูดถึง รถยนต์ของไทยจริงๆ ที่จะแข่งขันในตลาดโลก อาจจะเป็นอะไรที่ฝันเฟื่อง ถ้าดูตามสภาพจริงขณะนี้

แต่ถ้าเราดูเทคโนโลยีต่างๆ ไม่ว่า จะชิ้นเล็กน้อยแค่ไหน
ใช้ความรู้มาก น้อยแค่ไหน

ที่เป็นของไทยจริงๆ มันมีน้อยมากๆ ครับ


อ.จันทรชัย หญิงประยูร บอกผมว่า

รายได้จากการขายของเล่น(ทางวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี)ของฮ่องกง
มากกว่า เงินงบประมาณของประเทศเราเสียอีก!
   


กระทู้: สงสัยมั๊ยครับว่าทำไมความเป็นชาตินิยม ถึงทำให้ประเทศเจริญ
เริ่มกระทู้โดย: ต้นกล้าเป็นspy ที่ 05 มี.ค. 06, 21:50
 กว่าจะได้มาซึ่งความรักชาติ ก็ต้องเกิดเหตุการณ์ที่สำคัญที่สะท้อนให้ทุกคนเห็นความสำคัญของคำว่า "ชาติ"
เฉกเช่นเดียวกับญี่ปุ่นพ่ายแพ้สงครามโลก ถึงแม้จะเสียหายอย่างหนัก แต่ ชาตินิยมของเขาได้ทำให้ประเทศพัฒนาได้อย่างรวดเร็ว


กระทู้: สงสัยมั๊ยครับว่าทำไมความเป็นชาตินิยม ถึงทำให้ประเทศเจริญ
เริ่มกระทู้โดย: ศรีปิงเวียง ที่ 09 มี.ค. 06, 17:13
 ขอโพสต์นอกเรื่องนะครับ
ผมไม่เข้าใจความหมายของคำว่า civillize และไม่เข้าใจบรรทัดฐานของคำว่า เจริญ ครับ
สุดท้ายนี้ ผมขอชื่นชมความเห็นของผู้ทรงคุณวุฒิทุกท่านครับ    วันหลังผมจะมาใหม่


กระทู้: สงสัยมั๊ยครับว่าทำไมความเป็นชาตินิยม ถึงทำให้ประเทศเจริญ
เริ่มกระทู้โดย: i'm boring ที่ 13 มี.ค. 06, 08:32
 ผมไม่รู้ว่าชาตินิยมจะนิยามอย่างไร เพราะพวกประเทศเช่น จีนหรือญี่ปุ่น ถ้าคุณเป็นคนต่างชาติ แต่ยอมรับเอาวัฒนธรรมของเขา เขาก็จะถือว่าคุณเป็นพวกเดียวกัน ไม่ค่อยแบ่งแยกหรือกีดกันหรอกครับ (จากประสบการณ์ของผมนะครับ)
ส่วนผมคิดว่าที่ประเทศเหล่านั้นเจริญ เพราะเขามีสิ่งที่คนไทยส่วนมากไม่ค่อยจะมี ก็คือ ความขยันและประหยัด
ความประหยัดผมเองก็พอมี แต่ความขยันนี่ซิผมก็ไม่ค่อยมีหรอกครับ ผมคิดว่าสองสาเหตุนี้เป็นสาเหตุใหญ่ที่ทำให้บ้านเมือง อย่างจีน ญี่ปุ่นหรือเกาหลีเจริญ อย่างคนญี่ปุ่นพนักงานจำนวนมากทำงานถึง 2ทุ่มถึงสี่ห้าทุ่มกันเลย ทั้งๆที่เวลางานจริงๆเลิกแค่ห้าโมง คนที่เป็นหัวหน้าก็จะทำงานหนักและต้องรับผิดชอบมากกว่าลูกน้อง ต่างกับคนไทยครับเวลามีอะไรมักโบ้ยให้ลูกน้อง คนพวกนี้อดทนต่องานมากทำงานหามรุ่งหามค่ำ พวกนี้สู้กับงานมาก ถ้าเคยดู หนังญี่ปุ่น การ์ตูน ในตอนจบก็มักจะมีคำว่า "สู้ต่อไป..." หรือ พวกทีวีแชมเปี้ยน คนแข่งก็จะพูดอยู่ตลอดว่า "สู้สู้" หรือ "จะทำให้ดียิ่งขึ้น" ผมคิดว่ามาจากคำว่า "กัม-ป่ะ-เร-มัส" คำพวกนี้เป็นคำที่อยู่ในสายเลือดของคนญี่ปุ่นเลย แต่คนไทยมักจะไม่ค่อยพูดคำในเชิงแบบนี้  คนญี่ปุ่นทั่วไปจะนิยมชมชอบนักกีฬามากกว่าดาราอีก เพราะว่านักกีฬาที่ประสบความสำเร็จได้จะต้องมีความพยายามสูงต้องฝึกซ้อมทุกวัน ไม่ใช่แค่อาศัยความเก่งหรือพรสวรรค์อย่างเดียว สิ่งที่เขาชื่นชมคือความอุตสาหะมากกว่าความเก่ง
สมัยผมเด็กๆเวลาเรียนหรืออ่านเกี่ยวกับนักวิทยาศาสตร์ผู้ยิ่งใหญ่ ก็มักจะเป็นในแบบที่ว่าคนพวกนี้เก่ง อัจฉริยะ แต่ไม่ค่อยพูดถึงความอุตสาหะพยายามเลยครับ
ส่วนคนไทยผมก็คิดว่าความอดทนสูงเหมือนกันนะครับ แต่เป็นความอดทนประเภทที่ทำให้ไม่พัฒนา คืออดทนกับปัญหา ทนมันอยู่อย่างนั้นโดยไม่แก้ไข

สิ่งที่สำคัญรองมาผมคิดว่าเป็น มาตรฐานทางด้าน คุณธรรม จริยธรรม และจรรยาบรรณ ที่มีสูงกว่าบ้านเรา (ขอยกเว้นจีน นะครับ เพราะไม่ค่อยต่างกับเมืองไทย) อย่างถ้าคดีที่คนแจ้งบัญชีหุ้นผิดและถูกสงสัยว่าใช้ข้อมูลภายใน ถ้าอยู่ที่เกาหลีหรือญี่ปุ่น ความผิดก็จะร้ายแรงมาก ตำรวจเจ้าหน้าที่ก็จะมาคุมตัวและยึดเอกสารต่างๆ เสมือนกับประกอบอาชญากรรมร้ายแรงมาทีเดียว และประเทศอย่างญี่ปุ่นก็มีสถิติอาชญากรรมต่ำมาก หรือในกรณีงานวิจัยโคลนนิ่งของเกาหลี ผมคิดว่าเหตุการณ์นี้ประเทศเกาหลีน่าชื่นชมมากครับ เพราะไม่ว่า ศ.หวาง เป็นคนดังของประเทศไม่ต้องสน โดนปิดแลปและตรวจอย่างตรงไปตรงมา อย่างใน nature ยังวิจารณ์เปรียบเทียบจริยธรรมในการทำวิจัย ว่าเกาหลีใต้จะดีกว่าญี่ปุ่นด้วยซ้ำ
 http://www.nature.com/nature/journal/v439/n7077/full/439634a.html
และกรณีในอตีดที่มีคนในระดับผู้นำของประเทศ เกาหลี และ ญี่ปุ่น ถูกจำคุกจากการคอรับชั่น ประเทศพวกนี้เป็นประเภท ที่ว่ามีกฏอยู่ ถ้าอยากจะทำผิดกฎหมายก็ทำไป แต่อย่าให้ใครรู้หรือถูกจับได้แล้วกันไม่งั้นโดนหนักแน่
มาตรฐานทางคุณธรรม จริยธรรมที่สูงนี้เองทำให้สภาพบ้านเมืองสงบ ไม่ต้องมีปัญหาด้านสังคมมาก คนพวกนี้ก็จะได้เครียดเรื่องงานอย่างเดียว ทำงานให้เต็มที่
แค่ในสถาบันการศึกษาที่น่าจะเป็นแบบอย่างของประเทศ ระดับทางจริยธรรมก็ยังต่ำเลย อย่างเช่นมหาวิทยาลัยที่มีชื่อเสียงบางแห่งเกี่ยวกับเรื่องการทุจริตในการสอบ การลงโทษก็มีหลากหลายตามคณะ บางคณะก็แรงมาก พักการเรียนสองปี ปรับตกทุกวิชา บางคณะก็พักการเรียนเทอมเดียว บางคณะก็มีแต่กฎแต่ไม่ทำอะไรมาก ที่ผมรู้ก็เพราะรู้จักกับอาจารย์คณะที่มีกฎแรง คือพักการเรียนไปสองปีและตกทุกวิชา เค้าเล่าให้ฟังว่ามีเด็กคณะอื่นมาเรียน แล้วถูกจับได้ วิชานั้นได้F และส่งเรื่องให้คณะต้นสังกัดแต่ทางต้นสังกัดก็ไม่ทำอะไร วิชาอื่นก็ได้เกรดปกติและก็ได้เรียนต่อในเทอมถัดไป นี่และครับมาตรฐานทางจริยธรรมของเมืองไทย
ส่วนในสังคมไทยทั่วไปหรือครับลองเปิดหนังสือพิมพ์ก็รู้แล้วว่าเป็นอย่างไร หรือลองไปถามแม่ค้าร้านตลาด ว่าเจ้าหน้าที่ สรรพากร ตำรวจ หรือเทศกิจเป็นยังไง บ้าง

ส่วนที่มีบางท่านกล่าวถึงเรื่องระเบียบวินัย ผมเห็นด้วยครับ แต่คิดว่ามันงี่เง่ามากที่ว่า ต้องแต่งเครื่องแบบให้ถูกระเบียบถึงมีวินัยเพราะว่าทำตามกฎ แล้วถ้าคิดต่อไปว่ากฎนี้มันมีประโยชน์อะไรครับ ถ้าการแต่งเครื่องแบบดีจริง บรรดาครูอาจารย์ ทำไมไม่แต่งเครื่องแบบมาสอนกันทุกคนละครับ ถ้าไม่มีกฎก็ช่วยออกกฎด้วยซิครับ แต่ถ้าพูดว่า เด็กพวกนี้ไม่มีวินัยเลย เพราะไม่ตั้งใจเรียน ไม่ค่อยเข้าเรียน ไม่ค่อยทำการบ้าน ไม่ค่อยอ่านหนังสือ อันนี้ผมเห็นด้วยเต็มที่ เพราะเป็นการมีวินัยแบบมีเหตุและมีผล คนไทยไม่ค่อยชอบปลูกฝังค่านิยมแบบนี้เลย
ชอบแต่แบบให้แต่งตัวให้เรียบร้อย คนที่แต่งไม่เรียบร้อย หัวยุ่ง หนวดเคราไม่โกนก็มักจะถูกเพ่งเล็งหรือต่อว่า แต่ไม่เคยดูในผลงานต่างๆที่เขาทำเลย คนไทยเราก็มักจะมองกันที่ภายนอก คนแต่งตัวดีก็น่าจะเป็นคนดี พวกโจรเลยสบายไงครับ แค่ขับรถหรูๆ บีเอ็มหรือ เบ็นซ์ ก็ไปปล้นบ้านคนโดยที่ รปภ ไม่รู้ตัวเลยก็มีเยอะนะครับ


กระทู้: สงสัยมั๊ยครับว่าทำไมความเป็นชาตินิยม ถึงทำให้ประเทศเจริญ
เริ่มกระทู้โดย: ศรีปิงเวียง ที่ 13 มี.ค. 06, 17:24
 ผมสนับสนุน และไม่เห็นด้วยกับคุณ  i'm boring หลายประการครับ

ที่ว่าไม่เห็นด้วย เพราะไม่ใช่ว่าบ้านเราไม่มีจริยธรรม แต่เพราะบ้านเราเคยชินกับระบบอุปถัมภ์เสียจนเคยตัวมากกว่าครับ

ระบบอุปถัมภ์นั่นแหละ ที่เปรียบดัง ปลวก ที่กัดแทะเราอยู่ทุกวัน ๆ


กระทู้: สงสัยมั๊ยครับว่าทำไมความเป็นชาตินิยม ถึงทำให้ประเทศเจริญ
เริ่มกระทู้โดย: ศรีปิงเวียง ที่ 13 มี.ค. 06, 17:26
 ผมเห็นว่า ปัญหาสังคมของเกาหลีใต้และญี่ปุ่น ไม่ใช่ว่าไม่มี เพียงแต่เราไม่ทราบข่าวคราว หรือปัญหาต่างจากเราเท่านั้นครับ


กระทู้: สงสัยมั๊ยครับว่าทำไมความเป็นชาตินิยม ถึงทำให้ประเทศเจริญ
เริ่มกระทู้โดย: i'm boring ที่ 14 มี.ค. 06, 07:56
 ขอแสดงความคิดเห็นแย้งกับคุณ ศรีปิงเวียง หน่อยครับ

#45
ไม่ใช่ผมว่าคนไทยไม่มีจริยธรรม แต่ว่าบรรทัดฐานของจริยธรรมของคนไทยต่ำกว่า ญี่ปุ่น กับเกาหลี ครับ คดีฆาตกรรม และ ข่มขีนในเมืองไทยเกิดทุกวัน คนไทยไม่ค่อยรู้สึกอะไรเห็นเป็นเรื่องธรรมดาไปแล้ว

#46
สำหรับปัญหาของเกาหลีนั้นผมไม่รู้ แต่ที่ญี่ปุ่นพอมีประสบการณ์บ้าง การก่ออาชญากรรมน้อยมากพอมีคดีฆ่ากันตายซักคดีก็เป้นเรื่องใหญ่มาก ส่วนปัญหาสังคมด้านอื่นก็มีบ้าง ผมคิดว่าถ้าอยากจะรู้ว่าบ้านเมืองเขามีปัญหาอะไรก็ลองดูจากหนังสือพิมพ์ของเขาได้ เพราะว่ามันจะสะท้อนบ้านเมืองเขาได้

นสพ ของญี่ปุ่น
 http://www.yomiuri.co.jp/dy/
http://www.asahi.com/english/Herald-asahi/nationlist.html  


กระทู้: สงสัยมั๊ยครับว่าทำไมความเป็นชาตินิยม ถึงทำให้ประเทศเจริญ
เริ่มกระทู้โดย: จ้อ ที่ 14 มี.ค. 06, 11:15
อืม … มันก็แปลกดีนะครับคุณคนขี้เบื่อ (i'm boring)  ในแง่หนึ่งคุณบอกว่าชื่นชมจริยธรรมของญี่ปุ่นของเกาหลี แต่กลับไม่มองว่าญี่ปุ่นและเกาหลีเป็นชาติที่มีวินัยขนาดไหน เครื่องแบบนักเรียนที่คุณว่างี่เง่าน่ะญี่ปุ่นเขามีให้ใส่กันหรือเปล่าล่ะ?



การที่เด็กคนหนึ่งเรียนดี ฉลาด ทำงานดี ไม่ได้หมายความว่าเขาจะทำผิดระเบียบได้ ผลงานก็ส่วนผลงาน กฎก็ส่วนกฎ แน่นอนถ้าทำผลงานได้ดีเขาก็ได้คะแนนดี ผมไม่คิดว่าอาจารย์ในมหาวิทยาลัยจะดูหน้านักศึกษาแล้วให้คะแนน (อย่างน้อยก็ไม่ใช่ผม) แต่ในทางกลับกัน ถ้านิสิตนักศึกษาทำผิดระเบียบก็สมควรจะต้องถูกตักเตือน การทำอย่างใดอย่างหนึ่งได้ดีไม่สามารถจะมาเปลี่ยนอีกสิ่งหนึ่งจากผิดเป็นถูกได้ เช่น นักศึกษาไม่มีสิทธิจะมาอ้างได้ว่า “ก็ผมเรียนเก่ง ผมได้เกรดดี ผมมีสิทธิ์ที่จะไม่ปฎิบัติตามระเบียบ”



การที่คนเราทำตามระเบียบไม่ได้หมายความว่าเขาจะไม่สามารถมีความคิดสร้างสรรค์ผลิตผลงานดีๆได้ และการที่จะสร้างสรรค์ผลงานดีๆ ก็ไม่ได้หมายความว่าจะต้องแหกกฎของสังคม มันไม่มีอะไรเชื่อมโยงกัน ผมคิดว่าเยาวชน(และเจ้าของความเห็นเพิ่มเติมที่ 44) ควรจะเข้าใจ อัจฉริยะและนักคิดที่สำคัญๆ อาจจะเป็นคนที่คิดนอกกรอบ แต่ไม่ใช่คนที่แหกกฎและระเบียบของสังคม คนที่แหกกฎของสังคมมักจะเป็นพวกอาชญากรครับ



คุณคงไม่อยากเห็นนิสิตนักศึกษาที่จบจากมหาวิทยาลับมีแต่ความรู้ มีความฉลาด แต่ไม่สนใจกฎระเบียบสังคมไม่ยอมรับกติกาของสังคมไม่ว่าจะกฎของประเทศ หรือกฎขององค์กรที่เขาทำงานอยู่ คนที่ไม่สนใจกฎของสังคมก็จะนำไปสู่คนที่ขาดศีลธรรมนั่นแหละ



ก็ที่คนออกมาประท้วงกันเต็มถนนวันนี้ไม่ใช่เพราะว่าบ้านเมืองเราเต็มไปด้วยคนฉลาดที่ไม่ยอมรับกฎกติกาของสังคมหรอกหรือ? ที่บ้านเมืองร้อนเป็นไฟก็เพราะมีแต่คนที่เห็นว่าการทำตามกฎ (ไม่ว่าจะเป็นกฎหมายหรือระเบียบขององค์กร) เป็นสิ่งไร้สาระงี่เง่า เหมือนกับที่คุณพูดไปนั่นแหละ



พระภิกษุยังต้องมีเครื่องแบบยังต้องมีพระวินัย ถึงแม้ว่าจริงๆแล้วบางคนอาจจะเข้าถึงพระธรรมคำสั่งสอนของพระพุทธเจ้าได้โดยไม่ต้องบวช ไม่ต้องนุ่งเหลืองห่มเหลือง แต่ถ้าไม่นุ่งเหลืองห่มเหลืองก็ไม่เรียกว่าศิษย์ของตถาคต ก็ต้องไปหาสำนักอื่น ไม่ต้องมาอยู่วัด … นิสิตนักศึกษาก็เช่นกัน เหตุผลว่าทำไมพระต้องมีเครื่องแบบพระ หรือเหตุผลว่าทำไมนิสิตนักศึกษาต้องมีเครื่องแบบน่ะมันมีครับ แต่มันไม่ใช่ประเด็นสำคัญ สำคัญอยู่ที่ว่าระเบียบและกฎมันมีอยู่ แต่ละที่ก็มีแนวทางการสอนของเขา ก่อนเข้าเรียนทุกคนก็ต้องรับรู้กฎและกติกาของมหาวิทยาลัยอยู่แล้ว และลงชื่อยินยอมว่าจะปฏิบัติตามด้วย ถ้าไม่เห็นด้วยตั้งแต่แรกก็ควรจะไปเรียนที่อื่น เช่นจุฬามีเครื่องแบบ ถ้าไม่ชอบไม่อยากใส่ ก็ไปเข้าที่อื่น ไม่ใช่ไม่ยอมรับกติกาแล้วแหกกฎ ถ้ามีความคิดอย่างนี้ตั้งแต่เล็กๆ โตขึ้นคงจะแหกกฎทุกอย่าง และเห็นบรรทัดฐานของสังคมเป็นเรื่องงี่เง่าไปหมด ทุกวันนี้คุณยังเห็นคนไทยทำผิดกฎระเบียบไม่พออีกหรือ? ไล่ตั้งแต่กฎง่ายๆอย่างกฎจราจร ไปจนถึงกฎหมายบ้านเมือง แม้กระทั้งกฎหมายรัฐธรรมนูญ ผมไม่เห็นว่าการสอนให้เด็กรู้จักรักษาระเบียบและกาละเทศะโดยการแต่งให้ถูกระเบียบมันจะงี่เง่าตรงไหน คุณบอกว่าบรรทัดฐานจริยธรรมของสังคมญี่ปุ่นสูงกว่า ถ้าคุณเข้าใจสังคมญี่ปุ่นให้ลึกซึ้งกว่านี้ คุณจะเห็นว่าความมีวินัยของเขาสูงขนาดไหน และกฎของสังคมของเขาบางเรื่องคุณอาจจะบอกว่ามันดูงี่เง่ากว่าเรื่องเครื่องแบบนักศึกษาอีกต่างหาก ความมีวินัยนี่แหละทำให้กฎหมายของญี่ปุ่นไม่ใช่เป็นแต่ตัวอักษรที่ไม่มีใครปฎิบัติตาม นี่แหละทำให้คดีต่างๆเป็นเรื่องใหญ่ และนี่แหละคือสิ่งที่สังคมไทยขาด



นักศึกษาเมืองนอกไม่ต้องใส่เครื่องแบบ เขาก็เรียนได้ มีวินัยได้ แต่ผมรับประกันได้เลยว่าถ้าเขามีเครื่องแบบ นักศึกษาของเขาก็จะปฏิบัติ เพราะความมีวินัยของสังคมมันต่างกัน และนี่แหละคือเหตุผลที่ประเทศเราพัฒนาช้า จิตสำนึกเพื่อส่วนรวม ความมีวินัย การเคารพกฎของสังคม ถ้าพลเมืองของประเทศไหนมีสิ่งพวกนี้อยู่ ประเทศนั้นพัฒนาแน่


กระทู้: สงสัยมั๊ยครับว่าทำไมความเป็นชาตินิยม ถึงทำให้ประเทศเจริญ
เริ่มกระทู้โดย: เทาชมพู ที่ 14 มี.ค. 06, 11:51


 วันนี้คุณจ้อมามาดเข้มครูเต็มตัว  นับถือ นับถือ



คุณ i'm boring คุณตั้งใจจะใช้ชื่อนี้ ในความหมายว่าคุณเป็นคนน่าเบื่อ

I'm (a)boring(person). คือคุณรู้ว่าใครๆเขาก็เบื่อคุณ



หรือว่าคุณเป็นคนขี้เบื่อ   เห็นอะไรๆหลายอย่างรอบตัวน่าเบื่อ

ถ้างั้นน่าจะเป็น I'm bored นะคะ



กระทู้: สงสัยมั๊ยครับว่าทำไมความเป็นชาตินิยม ถึงทำให้ประเทศเจริญ
เริ่มกระทู้โดย: ศรีปิงเวียง ที่ 14 มี.ค. 06, 15:36
ขอบพระคุณทุกความเห็นครับ
ความเห็นของคุณจ้อ(ความเห็นที่ 48)
"นักศึกษาเมืองนอกไม่ต้องใส่เครื่องแบบ เขาก็เรียนได้ มีวินัยได้ แต่ผมรับประกันได้เลยว่าถ้าเขามีเครื่องแบบ นักศึกษาของเขาก็จะปฏิบัติ เพราะความมีวินัยของสังคมมันต่างกัน และนี่แหละคือเหตุผลที่ประเทศเราพัฒนาช้า จิตสำนึกเพื่อส่วนรวม ความมีวินัย การเคารพกฎของสังคม ถ้าพลเมืองของประเทศไหนมีสิ่งพวกนี้อยู่ ประเทศนั้นพัฒนาแน่"

จากข้อคิดเห็นดังกล่าว ก็ตรงกับคติที่ว่า ทำอะไรตามใจคือไทยแท้
และผมก็มาคิดว่า ถ้ากติกาไม่เป็นธรรม เรามีสิทธิ์ปรับปรุง แก้ไขให้ถูกต้องตามธรรมนองคลองธรรมหรือไม่
และสุดท้าย ถ้าประเทศเราพัฒนา แล้วเราจะรับมืออย่างไร


กระทู้: สงสัยมั๊ยครับว่าทำไมความเป็นชาตินิยม ถึงทำให้ประเทศเจริญ
เริ่มกระทู้โดย: i'm boring ที่ 14 มี.ค. 06, 16:16
 สำหรับ ความเห็น 49 ผมคิดว่าผมเป็นประเภทน่าเบื่อที่มีความเห็นไม่ค่อยจะตรงกับชาวบ้านแค่นั้นเองครับ
สำหรับ ความเห็น 48 นะครับ
ผมไม่ได้นิยมคนทำผิดกฎหมาย แต่ผมรังเกียจคนที่บูชาและชื่นชมในกฎโง่โง่ ถ้ากระทบใครก็ขออภัยด้วยครับ เพราะว่าพูดจากใจจริง
มีมหาวิทยาลัยบางแห่ง นิสิตแต่งถูกระเบียบ แต่ไม่นิยมข้ามถนนในทางข้ามชอบข้ามตัดหน้ารถ จอดรถบนถนนสาธารณะในที่ห้ามจอดกีดขวางทางจราจร นิสิตไปเมาหัวราน้ำอยู่ข้างนอก แต่ทางมหาวิยาลัยก็ยังรณรงค์แต่จะให้แต่กายถูกระเบียบ เรื่องอื่นไม่ใช่เรื่องใหญ่ก็ไม่สน นิสิตใหม่เพิ่งเอนท์ติด สารจารอธิการฉบับแรกก็พูดถึงการแต่งกายให้ถูกระเบียบอย่างเดียว ไม่เคยกล่าวให้ตั้งใจเรียน ถ้าพูดเรื่องระเบียบวินัย สิ่งแรกที่ผุดขึ้นมาจากก้นบึ้งของจิตใจก็คือชุดนิสิต ไม่รู้ผมเข้าใจผิดหรือเปล่าว่าการกระทำนั่นจะหมายความว่าสิ่งที่ดีงามที่สุดในการเป็นนิสิตคื่อการแต่งเครื่องแบบ มากกว่าการกระทำด้านอื่น มองภาพลักษณ์ของมหาวิทยาลัยอยู่ที่เครื่องแต่งกาย แต่มิได้มองกันที่ผลงานการกระทำเลย ไม่ได้มองถึงผลงาน หรือความตั้งใจความขยันหมั่นเพียรของนิสิตนักศึกษา ไม่ได้มองที่ผลงานการวิจัยของคณาจารย์ ปลูกฝังแต่ค่านิยมในด้านการแต่งกายให้ถูกระเบียบอย่างเดียว
การที่บอกว่าพระก็มีเครื่องแบบ สำหรับผมผมยังคิดว่าไม่น่าใช่เหตุผลที่ดีพอ เพราะเผอิญผมมันบาปหนานับถือพุทธแต่ในนามครับ ผมเลยไม่ค่อยบูชาศาสนามากนักเป็นเสมือนคนไร้ศาสนา เลยไม่ได้หลับหูหลับตาว่าอะไรที่ศาสนาบัญญัติไว้ดีหมดโดยไม่ต้องหาเหตุผล
ถ้าจะให้ดีช่วยบอกเหตุผลของการแต่งเครื่องแบบนิสิต นักศีกษา หรือการที่นักเรียนต้องตัดผมสั้น หน่อยนะครับ ไม่ใช่อ้างว่าเหตุผลมีแต่ไม่สำคัญเท่าว่าเป็นระเบียบเป็นกฎ เราต้องปฎิบัติตามกฎนั้นสำคัญกว่า เพราะถ้ามันไร้เหตุผล ทำไมถึงไม่ยอมคิดเปลี่ยนกฎละครับ หรือถ้ามันดีจริงทำไมถึงไม่ออกกฏนี้ให้ครูอาจารย์ทุกคนปฎิบัติตามบ้างละครับจะได้เป็นแบบอย่างให้เห็น
ครูบาอาจารย์ผมก็ให้เหตุผลคล้ายๆ กับความเห็น 48 ผมถึงยังเบื่ออยู่ไงครับเพราะมันไม่ใช่เหตุผลที่ดีพอ
ผมถึงคิดว่า นี่แหละคนไทย เพราะเราถูกสอนให้ไม่ต้องหาเหตุผลใดๆ ยึดถือกฏเป็นที่ตั้ง ไม่ได้ยึดหลักแห่งความถูกต้อง ทำให้มีคนอาศัยผลประโยชน์จากกฎ โดยไม่คำนึงถึงเหตุผล ถ้าคนอยู่ในระบบราชการก็จะทราบดีว่า ถ้าไม่อยากทำอะไรก็จะอ้างว่าผิดระเบียบ แต่ถ้าอยากทำหรือต้องการเชลียผู้มีอำนาจก็บอกว่าในกฎมีข้อยกเว้นไว้ให้ ไม่ผิดกฎ  แต่ไม่ได้คำนึงถึงเหตุผลความถูกต้องเลย ประเทศชาติทุกวันนี้ถึงมีระบบการคอรับชั่นแบบถูกกฏหมายไงละครับ คนที่มาประท้วงทุกวันนี้เขายึดถือในหลัการความถูกต้องคุณธรรมและจริยธรรม แต่ไม่ได้หมายความว่าเขาไม่เคารพกฎ เพราะเคารพกฎนี่แหละจึงต้องมาทำกฎใหม่ให้มันถูกต้องไงครับ ถ้าเราสนใจแต่เพียงกฎ ใครทำอะไรเลวทรามผิดศีลธรรมแต่ยังถูกกฏก็ยังเป็นคนดีอีกหรือ
ผมไม่ได้อยากให้ใครแหกกฎ แต่อยากให้ยึดถือในความถูกต้องและหลักเหตุผล คุณธรรมจริยธรรม เพราะนิสิตหรือนักศึกษา บางส่วนอาจได้มีโอกาสในการออกกฎต่างๆของบ้านเมือง และถ้าใช้หลักที่ว่าคนโน้นบอกมา ครูสอนมาแบบนี้ พระท่านว่า โดยไม่มีเหตุผล หรือไม่ก็ไม่เคยคิดแก้ไขกฏที่มันไม่ค่อยได้เรื่องให้มันดีขึ้น จะเป็นอย่างไรบ้างละครับ
และต้องขออภัยที่มีแต่ความคิดที่น่าเบื่อหน่ายแบบนี้ครับ


กระทู้: สงสัยมั๊ยครับว่าทำไมความเป็นชาตินิยม ถึงทำให้ประเทศเจริญ
เริ่มกระทู้โดย: เทาชมพู ที่ 14 มี.ค. 06, 21:10
 อ่านของคุณแล้วดิฉันลองตั้งเป็นแบบฟอร์ม แบบนี้

- ทำไมจะต้องมาให้ความสำคัญกับเรื่อง (๑)..................ซึ่งเป็นเรื่องเล็กๆ ทีเรื่อง(๒)..................ที่สำคัญกว่าตั้งเยอะกลับไม่ทำเท่าที่ควร

ถ้าคุณมีแบบฟอร์มทำนองนี้อยู่ในใจละก็   คุณจะกรอกอะไรลงไปในหมายเลข ๑ และ ๒ ได้แทบจะทุกเรื่องในโลกเชียวละ
เช่น  
๑) มอเตอร์ไซค์ซิ่ง................ ๒)  โจรแบ่งแยกดินแดน
๑) ขโมยของในห้าง.............  ๒)  คอรัปชั่นเมกะโปรเจ็ค
๑) เด็กไม่ทำการบ้านเอง.......๒) บัณฑิตจบมาไม่มีคุณภาพ

วิธีคิดแบบนี้จะนำไปสู่การฝึกตัวเองให้รู้จักบ่ายเบี่ยงไม่อยากทำสิ่งที่อ้างว่าเป็นเรื่องเล็ก  
โดยเกี่ยงคนอื่นให้ไปแก้เรื่องใหญ่ๆเสียก่อนโน่น

ผลคือเรื่องอะไรที่พอทำได้ก็ไม่ทำ     เพราะเห็นว่าเรื่องที่ใหญ่กว่านั้นก็ยังแก้ไม่เสร็จนี่นา
เลยไม่ได้ทำสิ่งที่เป็นประโยชน์แก่ตัวเองและสังคม


กระทู้: สงสัยมั๊ยครับว่าทำไมความเป็นชาตินิยม ถึงทำให้ประเทศเจริญ
เริ่มกระทู้โดย: เทาชมพู ที่ 14 มี.ค. 06, 21:38
ถ้าคุณนับถือศาสนาใดแต่ในนาม  ก็ไม่มีเหตุผลพอที่จะออกความเห็นในเรื่องศาสนาที่คุณไม่ได้ศึกษาอย่างจริงจัง พอจะเป็นศาสนิกชนได้เต็มปาก

เรื่องเครื่องแบบกวดขันไปทำไมน่ะหรือ   อย่างหนึ่งที่ดิฉันมองเห็นก็คือเป็นส่วนหนึ่งของการยอมรับว่า คุณได้เข้ามาเป็นส่วนหนึ่งของสถาบันการศึกษาแห่งนี้แล้ว  
ทางมหาวิทยาลัยมีความภูมิใจที่จะประกาศให้สังคมรับรู้ว่า นาย...หรือน.ส. คนนี้ได้มีวิริยะอุตสาหะมากพอจะสอบเข้ามาเรียนที่นี่ได้สำเร็จ    เป็นสมาชิกคนหนึ่งในรั้วนี้    คนผ่านไปมาทั้งในและนอกรั้วรับรู้จากเครื่องแบบ(และสัญลักษณ์)ที่มหาวิทยาลัยมอบให้คุณ  เห็นชัดเจนไม่คลุมเครือ
สิ่งเหล่านี้ไม่ได้เป็นแค่เสื้อผ้าหรือเข็มเครื่องหมาย หรือหัวเข็มขัดธรรมดาๆที่คุณมีเงินก็ไปซื้อตามร้านได้   หรือไม่มีเงินก็หยิบยืมขอใครก็ได้   แต่เป็นสิ่งที่จำกัดเฉพาะสมาชิกของสถาบันนี้
แต่เป็นเครื่องเตือนใจให้รู้ว่า นอกจากเกียรติที่มหาวิทยาลัยมอบให้สมาชิกอย่างคุณแล้ว   คุณมีหน้าที่ความรับผิดชอบที่จะทำตัวเองให้เป็นความภูมิใจของสถาบัน  เหมือนสถาบันภูมิในตัวคุณ
เครื่องหมายสถาบันบนตัวคุณ เป็นสิ่งเตือนใจว่าคุณไม่ควรทำสิ่งใดที่จะนำความเสื่อมเสียมาให้สถาบัน  หรือถ้าคุณเห็นเพื่อนนิสิตทำสิ่งเสื่อมเสีย เช่นไปกินเหล้าเมาทะเลาะวิวาท หรือทำร้ายผู้อื่น หรือเดินเข้าไปในบ่อนในซ่อง  คุณก็ควรจะห้าม หรือเตือน หรืออย่างน้อยก็ไม่เอาอย่างเขา   ไม่ใช่โบ้ยไปให้อธิการบดีตามไปดุไปด่าเขาให้เลิกทำ

อันที่จริงนิสิตชายสมัยนี้ก็ไม่เห็นมีเครื่องแบบอะไรจะต้องแต่งมากมายจนเป็นภาระต้องเอามาบ่น  อย่างมากก็มีหัวเข็มขัด หรือน้องปีหนึ่งบางคณะก็ผูกเนคไท    แต่ถ้าเป็นเด็กนักเรียนชายละก็มีฟอร์มเครื่องแบบ ส่วนนิสิตหญิงนุ่งกระโปรงสั้นจนเห็นกางเกงใน เสื้อฟิตจนกระดุมกลัดแทบไม่ถึง  เนื้อบางเห็นบราชัดแจ๋ว ปล่อยชายนอกกระโปรง    มันดูโป๊น่าเกลียดอยู่แล้ว
ความเห็นข้างบนนี้เอาไปประยุกต์กับเด็กนักเรียนได้

ตอนดิฉันเรียน ดิฉันแต่งเครื่องแบบจนเรียนจบ เพราะตระหนักว่าโอกาสที่เราจะได้แต่งเครื่องแบบมันมีอยู่แค่เวลาสั้นๆ ๔ หรือ ๕ ปีแล้วแต่หลักสูตร
แต่เวลาที่เราไม่ต้องแต่งเครื่องแบบ หรือไม่มีสิทธิ์จะแต่งอีกมันมียาวนานไปตลอดชีวิต
เพราะฉะนั้น เมื่อเป็นนิสิต ก็ทำตัวให้สมกับเป็นนิสิต    มหาวิทยาลัยรับดิฉันเข้าเป็นสมาชิก    ดิฉันก็เห็นค่าของมหาวิทยาลัยพอจะประกาศตัวเองว่าใช่ ฉันเป็นนิสิตของที่นี่   ฉันภูมิใจที่ให้สังคมรู้ว่าฉันเรียนและจะออกไปทำงานให้สังคมในวันหนึ่งข้างหน้า  
ระหว่างนี้ฉันจะไม่ทำอะไรให้เสียหายแก่สถาบันของฉัน     เครื่องแบบของฉันยืนยันได้    ถ้าฉันใส่เสื้อยืดนุ่งกางเกงธรรมดาๆฉันไปวิ่งราวใคร คงไม่มีคนเอาไปทำข่าว แต่ถ้าฉันแต่งชุดนิสิต ไปวิ่งราว  ฉันขึ้นหน้าหนึ่งแน่     เครื่องแบบทำให้ฉันต้องสำรวมและระมัดระวังอีกชั้นหนึ่งนอกเหนือจากชุดธรรมดาๆที่ฉันสวมอยู่แล้ว

นี่คืออีกมุมมองหนึ่งค่ะ


กระทู้: สงสัยมั๊ยครับว่าทำไมความเป็นชาตินิยม ถึงทำให้ประเทศเจริญ
เริ่มกระทู้โดย: จ้อ ที่ 15 มี.ค. 06, 10:05
ความคิดของคุณคนน่าเบื่อก็คล้ายๆกับนิสิตนักศึกษาในมหาวิทยาลัยสมัยนี้แหละครับ ที่เห็นว่ากฎระเบียบอะไรที่ไม่ถูกใจตัวเองเป็นเรื่องโง่ๆ งี่เง่าไปหมด

ผมเห็นด้วยกับความเห็นของคุณเทาชมพูในความเห็นเพิ่มเติมที่ 52 ครับ คนสมัยนี้มักจะมีข้ออ้างให้กับตัวเองเสมอเวลาที่ตัวเองทำผิดกติกา เช่น ไปสนใจทำกับแต่งตัวให้ถูกระเบียบ ทำไม่ไม่รณรงค์ให้เด็กตั้งใจเรียน ฯลฯ เรียกว่าถ้ากฎไหนตัวเองไม่ชอบก็บอกว่าโง่ แล้วหาเหตุผลโดยการปัดสวะไปให้คนอื่นที่ทำความผิดขั้นร้ายแรงกว่า ผมขอเรียกพฤติกรรมแบบนี้ว่าพฤติกรรม “ปัดสวะ” ครับ คือปัดให้พ้นๆตัว ไม่ยอมรับกฎเกณฑ์ที่ค้านกับความคิดเห็นของตัวเอง เช่น "ฉันอยากจะแต่งตัวไม่สุภาพ ฉันอยากจะแต่งตัวโป๊ มาว่าฉันทำไม นู่นไปว่าคนไม่ข้ามทางม้าลายนู่น" ถ้าทุกคนมีความคิด “ปัดสวะ” กันหมด คุณคนน่าเบื่อ คิดว่าสังคมจะเจริญขึ้นหรือ? ถ้าเช่นนั้นอีกหน่อยคุณก็จะเจอคำพวกนี้มากยิ่งขึ้น

“จ่ามาจับผมทำไม ผมแค่ไม่ข้ามทางม้าลายไม่ได้ขับรถชนใคร”
“สังคมมาประณามหนูทำไม หนูแค่ถ่ายภาพนู้ด ไม่ได้ขายตัวสักหน่อย ”
“มาว่าดิฉันทำไม ดิฉันแค่มีกิ๊ก ยังไม่ได้แย่งสามีใครเหมือนยายคนนั้น”
“มาว่าผมทำไม ถึงผมจะมีเมียน้อย แต่ก็ไม่ได้แย่งเมียใคร ผมไม่ผิดซะหน่อย”
หรือเมื่อเร็วๆนี้ที่ท้องสนามหลวง “ถึงดิฉันจะเป็นโสเภณี ถึงดิฉันจะผิดที่ขายตัว แต่อย่างน้อยดิฉันก็ไม่ได้ขายชาติ” ... ว่ากันไปนั่น

ในสังคมปัดสวะแบบนี้ จะมีคนเลวมั้ยครับนี่ หรือว่ากฎเกณฑ์ของสังคมและกฎศีลธรรมมันโง่งี่เง่าเอง

คนสมัยนี้มัวแต่ไปสนใจว่าใครผิดมากกว่าใคร ใครถูกมากกว่าใคร แต่ไม่เคยสนใจเลยว่าที่ตัวเองทำอยู่นะถูกหรือผิด!!  ผมคิดว่าสิ่งที่สำคัญมันไม่ได้อยู่ที่ใครผิดกว่าใคร แต่มันสำคัญอยู่ที่ว่าสิ่งที่เราทำอยู่นะมันถูก หรือ มันผิด !! ถ้ามันผิด แม้ว่าจะเป็นเรื่องน้อยนิดก็ควรจะยอมรับและแก้ไข ไม่ใช่ปัดสวะว่าเป็นเรื่องโง่เง่า เรื่องเล็กน้อย ถ้าเรื่องเล็กน้อยอย่างนี้ยังไม่มีกำลังต่อต้าน แล้วกิเลสหนักๆที่ยั่วยวนกว่าคุณจะเอากำลังที่ไหนไปต่อต้าน?

จะโทษคุณ ความเห็นเพิ่มเติมที่ 51 ที่มีความคิดน่าเบื่อมากๆแบบนี้อยู่ก็คงจะไม่ได้ เพราะสื่อสมัยนี้ก็ชี้ให้คนทำผิดกฎระเบียบกันอยู่แล้ว สังเกตดูละครไทยหลังข่าว และ ละครวัยรุ่น ตัวเอก ตัวดีที่สาวๆกรี๊ด มักจะต้องทำตัวเป็นคนที่แหกกฎ ต้องทำตัวผิดระเบียบ หรือไม่ก็ต้องเกเรนิดๆบ้างล่ะให้มันเด่นออกมา(ในทางไร้สาระ) ส่วนตัวละครที่ตั้งใจเรียน ทำตัวถูกระเบียบไม่สร้างปัญหา คนเขียนบทละครจะสร้างภาพให้เห็นว่าเป็นคนที่น่าเบื่อ ทั้งๆที่ในชีวิตจริง พวกที่ชอบแหกกฎนี่แหละที่น่าเบื่อที่สุด และสร้างปัญหาให้กับทุกฝ่าย และมักจะหวังพึ่งอะไรไม่ค่อยได้ (ก็จะหวังพึ่งอะไรได้ เรียนก็ไม่เรียน ความรู้ก็ไม่มี เอาแต่แหกกฎทำเทห์ไปวันๆ พอเกรดออกก็โวยหาว่าอาจารย์ลำเอียงทำนองว่า "ผมแต่งตัวไม่เรียบร้อยใช่มั้ยล่ะ เลยไม่ให้คะแนนผม ลำเอียงนี่หว่า" ... ว่าไปนั่น ... พวกนี้พบได้ตามสถานศึกษาทั่วไป)

อีกอย่างการแต่งกายผิดระเบียบของนิสิตนักศึกษาส่วนใหญ่ก็ไม่ได้ใช้สมองของตัวเองซักเท่าไหร่ ทำตามแฟชันซะมากกว่า มันก็น่าขำที่นักศึกษาทำตามแฟชันได้แต่กลับจะเป็นจะตายที่จะทำตัวให้ถูกตามระเบียบ ถ้านักศึกษามีแนวคิดเป็นแบบตัวเอง ปฎิเสธเครื่องแบบจะแต่งตัวแบบไทยๆแบบเนาวรัตน์ พงศ์ไพบูลย์ บอกว่า "ผมไม่แต่งหรอกครับเครื่องแบบมันสิ้นเปลือง ต่อไปนี้ผมจะห่มผ้าผืนเดียวมาเรียนก็พอ ตามแบบอย่างของท่านคานธี" ถ้าอย่างนั้นละก็พอจะบอกได้ว่าไอ้หมอนี่มีความคิดเป็นของตัวเองมีอุดมการณ์ แต่ที่เห็นในปัจจุบันเป็นเหยื่อแฟชั่นเสียมากกว่า แล้วคุณอยากให้ปัญญาชนของไทยมีภูมิต้านทานต่ำ ถูกจูงจมูกได้ง่ายๆอย่างนั้นหรือ? พอเห็นว่าเขาชอบกางเกงหลุดก้นโชว์ขอบกางเกงใน ก็ทำตามเขาไปเหมือนคนไร้สมอง อย่างนี้ทำไมคุณไม่ไปถามเขาบ้างล่ะว่าใส่กางเกงหรือกระโปรงเอวต่ำมันมีประโยชน์อะไร ที่จะใส่เครื่องแบบละก็ถามเอาถามเอา? จริงๆแล้วเด็กจะแต่งตัวตามแฟชั่นอย่างไรก็ไม่มีใครว่าหรอกครับ ถ้ามันไม่ผิดกาละเทศะ แต่ให้ถูกสถานที่ถูกเวลา และก็กาลเทศะนี่แหละที่มหาวิทยาลัยอยากจะสอน เพราะเด็กสมัยนี้น่ะ มันขาดเอามากๆ

อ้อ คุณดูจะเข้าใจผิดหลายอย่างเกี่ยวกับมหาวิทยาลัยนะครับ ระเบียบของมหาวิทยาลัย อย่างน้อยก็ที่ๆผมสอนอยู่ไม่ได้บังคับว่านิสิตจะต้องไว้ผมสั้นเป็นทหารเกณฑ์ จะไว้ผมยาว ผมทองผมม่วง หรือโกนหัว ก็ไม่มีใครว่า แค่ขอให้แต่ให้ถูกระเบียบ เสื้อไม่ให้สั้นรัดติ้วจนดูอุจาดตา กระโปรงไม่ให้เอวต่ำจนน่าเกลียด แล้วที่นักศึกษาคงจะลืมไปก็คือ มหาวิทยาลัยเช่น จุฬาฯ เป็นสถานที่ราชการ คำว่า “สถานที่ราชการ” แปลว่าอะไรคงไม่ต้องบอก เวลาคุณไปติดต่อสถานที่ราชการ ควรจะแต่งกายสุภาพหรือไม่ แล้วทำไม่สถานที่ราชการอื่นๆเช่นไปที่ว่าการเขตคุณทำได้ แต่ตัวเรียบร้อยได้ ครูบาอาจารย์คุณนั่งทำงานอยู่หรือเปล่า? แต่ทำไมสถานที่ๆอบรมสั่งสอนคุณกับไม่ยอมรับ ทำไมเวลาเรียนจบไปเข้าทำงานในบริษัทที่ต้องแต่งเครื่องแบบถึงแต่งให้ถูกระเบียบได้ หรือว่ากลัวถูกตัดเงินเดือน แต่ไม่กลัวอาจารย์ว่า? เวลาเข้าห้องสอบซึ่งบังคับว่าต้องแต่งตัวถูกระเบียบทำไมแต่งตัวถูกระเบียบได้ หรือว่ากลัวสอบตก โชคดีนะที่เรียนเมืองไทย ถ้าคุณเรียนที่มหาวิทยาลัย Oxford ละก็ เวลาเข้าห้องสอบคุณต้องใส่เสื้อครุยเข้าไปสอบด้วย (ผมก็ไม่เห็นมีเด็กอ็อกบริดจ์คนไหนออกมาบอกว่างี่เง่า เขาภูมิใจเสียด้วยซ้ำ)

สิ่งที่อธิการสอนให้แต่งตามระเบียบไม่ได้หมายความว่าอย่างอื่นไม่ได้สอน ผมก็ชี้แจงไปแล้วว่ามหาวิทยาลัยเห็นความสำคัญของผลงานของนิสิต ไม่ใช่ว่าคุณไม่เข้าเรียนแต่แต่งตัวเรียบร้อยแล้วคุณจะได้เกรดเอ ถ้าคุณยังคิดอย่างนี้อยู่ก็ขอให้เปลี่ยนความคิดซะ มันคนละเรื่องกัน ในทุกสังคม กฎ กติกา เป็นเรื่องสำคัญ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในสังคมประชาธิปไตย มันทำให้เราใช้สิทธิของตนเองได้ โดยไม่เบียดเบียนสิทธิของคนอื่น มหาวิทยาลัยพยายามที่จะสอนให้คนรู้จักเคารพกฎ แน่นอน เราสอนให้เด็กรู้จักเคารพกฎจราจรด้วย รู้จักตั้งใจเรียนด้วยไม่ใช่ไม่สอน แต่นักศึกษาจะฟังหรือเปล่านั่นอีกเรื่อง คุณก็เห็นๆอยู่ขนาดเรื่องเล็กๆแค่ให้แต่งตัวถูกระเบียบยังไม่ยอมทำ แล้วเรื่องให้ทำถูกกฎจราจรซึ่งยากกว่าจะทำได้หรือ? ถ้าคนในสังคมเห็นความสำคัญของกฎและกติกา คงไม่มีใครจะมาแก้กฎหมายเพื่อเอื้อประโยชน์ของตัวเองได้ง่ายๆหรอกครับ ที่บ้านเมืองเรามาถึงจุดนี้ได้ไม่ใช่เพราะกฎหมายเราห่วย แต่เป็นเพราะคนในสังคมไร้วินัยที่จะปฎิบัติตามต่างหากถึงได้แก้รัฐธรรมนูญกันไม่รู้กี่รอบต่อกี่รอบ กฎและระเบียบของราชการมันก็ไม่ได้งี่เง่านักหรอกครับ ระเบียบต่างๆเขาสร้างมาเพื่อกันปัญหาต่างๆ แต่คนที่ไม่รู้หน้าที่ ไม่มีวินัยในการทำงานต่างหาก ที่ก่อให้เกิดปัญหา

ผมเชื่อว่าต่อให้คุณแก้กฎแก้ระเบียบไปอีกกี่รอบ ตราบใดก็ตามที่ค่านิยมของคนยังไม่เปลี่ยน ยังไร้วินัยเหมือนเดิม กฎระเบียบก็เป็นแค่ตัวหนังสือ สิ่งสำคัญคือต้องสร้างให้คนในชาติมีวินัย รู้จักหน้าที่ของตนเอง และนั่นคือสิ่งที่มหาวิทยาลัยทำ นี่คื่อสิ่งที่การศึกษาจะสร้างขึ้น ไม่ใช่แค่ให้ความรู้ แต่ยังสอนนิสิตให้มีวินัยและสำนึกของพลเมืองที่ดี เพื่อที่จะเป็นกำลังของชาติ และหลายสิ่งที่เราสอนไม่ได้เขียนอยู่ในตำราและมันก็รวมถึงสิ่งที่คุณบอกว่ามันเป็นระเบียบโง่เง่านั่นเอาไว้ด้วย

ที่บอกว่าถ้าเครื่องแบบดีจริงทำไมไม่ให้อาจารย์แต่งเครื่องแบบ ... คุณทราบบ้างหรือเปล่าว่าคนที่เป็นครูบาอาจารย์น่ะมีกฎอะไรบ้าง ทั้งที่เป็นระเบียบของมหาวิทยาลัย ทั้งที่เป็นจรรยาบรรณของครู และทั้งที่ไม่ได้เขียนแต่เป็นสามัญสำนึกของคนที่เป็นครูที่ดี ทีมีหน้าที่ต้องอบรมนักเรียนให้เป็นคนดี? ถ้าคนเป็นครูเป็นอาจารย์นุ่งกระโปรงเอวต่ำมาสอน หรืออาจารย์ชายนุ่งเสื้อรัดๆ กางเกงเอวต่ำโชว์ขอบกางเกงในมาสอน คุณเอามั้ยล่ะ? สำหรับนิสิตนักศึกษาถ้าแค่หน้าที่ของตัวเอง และกฎง่ายๆที่แม้แต่เด็กมัธยมยังทำได้ ยังไม่มีความอดทนอดกลั้นพอที่จะทำ แล้วจะให้หวังอะไรได้


กระทู้: สงสัยมั๊ยครับว่าทำไมความเป็นชาตินิยม ถึงทำให้ประเทศเจริญ
เริ่มกระทู้โดย: i'm boring ที่ 15 มี.ค. 06, 15:25
 ขอบคุณ คุณเทาชมพู ที่ช่วยให้เหตุผลข้อดีของการแต่งชุดนิสิตนะครับ

สำหรับความเห็น 52
เรื่องแต่งนะครับไม่เกี่ยวข้องกับบุคคลผู้ใดและสถาบันใดทั้งสิ้น
นายส้ม เป็นลูกชาวบ้านร้านตลาดสมัยเรียนผมก็ไม่ได้ร่ำรวยอะไร ต้องขึ้นรถเมล์ และขึ้นไม่ทันประจำเพราะบรรดานิสิตที่ไม่มีที่จอดชอบเอารถมาจอดขวางป้ายรถเมล์ นายส้มเองไม่โทษนิสิตหรอกครับ โทษบรรดาอาจารย์ และผู้บริหารที่ไม่เคยสนใจการกระทำใดๆของนิสิตจริงๆจัง  พอนายส้มจบมามีงานทำหาเงินพอจะมีรถขับ ขับผ่านหน้ามหาวิทยาลัยนี้ทีไร ก็มักจะมีเด็กนิสิตมาวิ่งตัดหน้าอยู่เสมอจนบางครั้งเกือบจะทำให้เป็นฆาตกร เวลาผ่านมาหลายปีก็ยังเป็นเช่นนี้อยู่ หรือบางครั้งพอผ่านถนนอีกด้านของมหาวิทยลัยถนน 4 เลนมีรถจอดจนเหลือเลนเดียวจนทำรถติด นายส้มก็เลยมีความเห็นว่าการกระทำของเด็ก(เช่นตัวอย่างที่ยกมานี้)พวกนี้ทำให้ชาวบ้านอย่างนายส้มเดือดร้อน และชาวบ้านตาดำๆอย่างนายส้มก็ดันไปรู้มาว่าในมหาวิทยาลัยนี้มีการรณรงค์กันให้แต่งชุดถูกระเบียบ และนายส้มนี้ก็คิดต่อไปตามประสาชาวบ้านว่าการรณรงค์นี้ มีการพิมพ์โปสเตอร์ติดทั้งมหาวิทยาลัยน่าจะใช้เงินหลายเลยนะ เวลาออกระเบียบเพิ่มก็น่าจะใช้เวลาประชุมของพวกสภาคณาจารย์ และคณะอาจารย์ กรรมการ ทั้งมหาลัยมากอยู่นะ เพราะระเบียบต่างๆคงต้องใช้เวลากลั่นกลองนาน นายส้มก็เลยคิดว่าที่จริงแล้วการแต่งกายชุดนิสิตหรือไม่ก็ไม่เห็นเป็นไรเพราะไม่ทำให้นายส้มเดือดร้อน แต่การกระทำดังที่ยกมานี้มันทำให้ชาวบ้านเดือดร้อน ถ้าเพียงแค่เจียดกำลังส่วนหนึ่งมาแก้ปัญหานี้ก็จะดีมาก และนายส้มดันไปรู้มาอีกว่าคำขวัญของมหาวิทยาลัยนี้คือการรับใช้ประชาชน นายส้มก็เลยได้แต่คิดว่าไม่ต้องมารับใช้ข้าหรอกแค่ไม่ทำให้เดือดร้อนเป็นพอ
   
และผมเองจะขอยุติการให้ความเห็นประเด็นชุดนิสิตแต่เพียงแค่นี้ เพราะดูเหมือนว่ามันชักจะเป็นการเอาชนะคะคานกันไปแล้ว ถ้าความเห็นของผมล่วงเกินผู้ใดก็ขออภัยด้วยนะครับ และถ้าเห็นว่าไม่เหมาะสมก็ลบไปเลยนะครับ


กระทู้: สงสัยมั๊ยครับว่าทำไมความเป็นชาตินิยม ถึงทำให้ประเทศเจริญ
เริ่มกระทู้โดย: Peking Man ที่ 16 มี.ค. 06, 13:21
 อืม...ออกทะเลกันไปไกลแล้วนะครับ... ผมอ่านแล้วก็เห็นด้วยและไม่เห็นด้วยในหลายประเด็น แต่ในใจ ผมก็คิดว่า ถ้าไทยเป็นชาตินิยมขึ้นมาจริง เราจะ "พํฒนา" หรือ "ก้าวหน้า" ในด้านไหน? นอกจากนั้นแล้ว ความเป็นไทย ที่เราคุ้นเคยกันจะเปลี่ยนแปลงไปอย่างไร?


กระทู้: สงสัยมั๊ยครับว่าทำไมความเป็นชาตินิยม ถึงทำให้ประเทศเจริญ
เริ่มกระทู้โดย: เหมียวซิล่า ที่ 17 มี.ค. 06, 23:28

วินัยเริ่มที่บ้าน สอนลูกหลานให้เป็นระเบียบ

ถ้าไม่ได้เริ่มที่บ้าน เริ่มที่โรงเรียนก็คงไม่สายมั้งคะ


กระทู้: สงสัยมั๊ยครับว่าทำไมความเป็นชาตินิยม ถึงทำให้ประเทศเจริญ
เริ่มกระทู้โดย: neverheal ที่ 19 มี.ค. 06, 21:31
 -*-

ออกทะเลไปแร้ว...คุณจ้อกับคุณ i'm boring



ผมขอสนับสนุน คห.40 ของคุณ karin

ตรงที่ว่า พอเด็กคิดอะไรได้เนี่ย ก็ไม่กล้าจะเสนอความคิดนั้นออกไป

เพราะเวลาเสนอ คุณครู กับเพื่อนๆ

ก็มักจะติจนเสียกระบวนยุทธได้ พอนานๆเข้า

เด็กคนนั้นก็ไม่กล้าที่จะคิดอะไรดีๆอีก



ตอนนี้เราปลูกฝังให้เด็กกล้าคิด กล้าพูด กล้าทำ ได้

แต่ทำไมเราไม่ปลูกฝังให้รู้จักรับฟังความคิดเห็นของผู้อื่นบ้าง

จะว่าเราเก่ง เราเทพ มันก็ไม่ไหวนา

จะเก่งขนาดไหนโดนรุมก็เป็นศพได้





- -" ผมก็ออกทะเลเหมือนกันแฮะ


กระทู้: สงสัยมั๊ยครับว่าทำไมความเป็นชาตินิยม ถึงทำให้ประเทศเจริญ
เริ่มกระทู้โดย: MathGuy ที่ 20 มี.ค. 06, 11:48
 ช่วยกันๆ เป็นแบบอย่างที่ดี
คิด ทำ สิ่งที่สร้างสรรค์
มีสำนึกของการให้ นึกถึงส่วนรวม

ช่วยกันคนละมือคนละไม้ ก็จะเกิดพลังมากขึ้นๆ

เป็นกำลังใจให้กันและกัน เป็นกัลยาณมิตรที่ดีต่อกัน

สะท้อนในแง่มุมที่ยังอาจพร่องไป
ตรงไหนยังขาดก็ช่วยกันเติม อะไรเกินหรือสุดโต่งไปก็ต้อง
ปล่อยทิ้ง ปล่อยวางไปบ้าง

แม้แต่ชีวิตของเราเองนี้  ก็ยังยากนัก ที่จะทำให้ดี
ให้ถูกใจเราได้    


กระทู้: สงสัยมั๊ยครับว่าทำไมความเป็นชาตินิยม ถึงทำให้ประเทศเจริญ
เริ่มกระทู้โดย: Dr Yu ที่ 20 มี.ค. 06, 16:22
 ผมได้อ่านความเห็นของแต่ละท่านแล้วครับ ก็มีหลายมุมมองที่แตกต่าง แต่ก็เป็นประโยชน์ครับ

เมื่อไม่กี่วันนี้ประเทศสหรัฐอเมริกาที่ได้ชื่อว่าเป็นประเทศทุนนิยมสุดโต่ง แต่ก็ปกป้องกิจการท่าเรือของตัวเองไม่ให้บริษัทจาก UAE เทคโอเวอร์ได้ โดยใช้กลไกของรัฐสภา